นิยามน้ำมันเครืื่องสังเคราะห์ แต่ละประเทศมันไม่เหมือนกันครับ
ทาง EUROPE น้ำมัน Group I ถึง III ไม่เรียกว่า สังเคราะห์
ทางอเมริกา Group II - V เรียกว่า สังเคราะห์
เมืองไทย ผมไม่รู้แฮะ เพราะงง ๆ กับ การเรียกมาก ๆ เอา Caltex เป็นตัวอย่าง ขออนุญาติใช้ยี่ห้อนี้เพราะผลิตภัณฑ์หลากหลายให้เปรียบเทียบ และ ยังเป็น Supplier ให้กับ อีกหลายๆ ยี่ห้อในบ้านเรา
Caltex Formula ตัวนี้ใคร ๆ ก็เรียกว่า น้ำมันธรรมดา แม้แต่บริษัทเองก็ยังขายแบบน้ำมันธรรมดา ทั้ง ๆ ที่ดูสูตรน้ำมันก็ใส่ Group II ไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเรียกกึ่งสังเคราะห์
Caltex Synthetic Blend อันนี้ใคร ๆ ก็เรียกว่า กึ่งสังเคราะห์ ทั้ง ๆ ที่ดูสูตรน้ำมันก็มีตั้งแต่ Group II ไปยัน Group III ในขณะที่บางยีห้อเรียกแบบนี้ว่า สังเคราะห์แท้
ไปหา MSDS ดูกันเองนะครับ เคยแปะแล้ว ขีเกียจละ
ถ้าเอาแบบ กลาง ๆ Group III ขึ้นไปเป็นสังเคราะห์ ก็จะกลายเป็นว่า น้ำมันกึ่งสังเคราะห์ที่ขายในตลาดไทยเนีี่ย คือน้ำมันธรรมดาเกินกว่าครึ่ง
ถ้าเอาแบบ Group IV เป็นต้นไปเรียกว่า สังเคราะห์ จะมีน้ำมันสังเคราะห์แท้ในตลาดจะถูกเปลี่ยนเป็นกึ่งสังเคราะห์ 80% ของยี่ห้อทั้งหมดที่เห็น ๆ กัน
ต่างกันยังงัย ?
Group I, II ก็เป็นพวกน้ำมันเครื่องที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ ผ่านกระบวนการทางเคมีเป็นหลักเพื่อลดสภาพความเป็นขีี้ผึ้งให้น้อยลง เพราะพวกขี้ผึ้งมันจะเหนียวตอนอุณหภูมิต่ำ และ ใสหรือบางเกินที่อุณหภูมิสูง สร้างความเสียหายให้กับเครือ่งยนต์มาก ก็เลยต้องทำการ De-Wax ที่นิยมใช้ก็คือการเอา Chorine ชนิดนึงไปทำการแปรรูป แล้วแยกเอาของที่ไม่ต้องการออก กลุ่มนี้ อายุสั้น ราคาถูก ปกป้องดีไม่แพ้Group อื่น ๆ แน่นอน ผสมกับเคมีชนิดอื่น ๆได้ดีด้วยเหมาะกับการเติมสารปรุงแต่ง ผลิตง่าย แต่สำคัญเน้น ๆ คือ อายุมันสั้นที่สุดเทียบกับกลุ่มBase oil ที่สูงกว่าเมื่อเจอความร้อนสูง (150 ขึ้นไป) เพราะมันก็จะกลับมากลายเป็น พาราฟินอีกโดยกระบวนการภายในเครื่องยนต์ ที่เทียบกับ Pyrolysis ของไฮโดรคาร์บอน คุณสมบัติที่มักเห็นของสองกลุ่มนี้คือ VI อย่างน้อย 80 และมักจะไม่เกิน 120 Group I พบได้ตามร้านขายน้้ำมันที่บอกว่า "หัวเชื้อ" นั่นแหละครับเนื่องจากมันหนืดมาก ทำให้สามารถยกเบอร์น้ำมันขึ้นได้แม้ใส่ลงไปเพียงเล็กน้อย
Group III ต่างกับกลุ่ม I, II ตรงที่กระบวนการ ที่ใช้การนึ่งน้ำมันโดยตรง ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Hydrocrack คือ ความร้อนและความดันสูง ทำให้เกิดการเรียงโมเลกุลใหม่ กลุ่ม Hydrocrack มีหลายวิธีแล้วแต่บริษัทจะถนัด ดีกว่าgroup II, I ตรงที่มันจะมีความสามารถในการต้าน Oxidation ได้ดีขึ้นนิดนึง VI มากกว่า 120 โดยไม่ต้องปรุงแต่ง กลันออกมาก็เป็น 0W-20, 0W-30 ได้เลย
I-III เป็นพวกที่มาจากน้ำมันพื้นฐานทั้งหมด ราคาก็เลยถูก โรงกลั่นไม่ต้อง Hightech ก็สามารถทำใช้เองได้
Group IV คือ PAO เท่านั้น จะกลั่นมาจาก Ethylene ซึ่งได้มาจากไอที่เกิดขึ้นของการกลั่นน้ำมัน โดยเจ้าไอนี้มันจะถูกแปรรูปเป็นของเหลวด้วยการบวนการสังเคราะห์ทางเคมีและฟิสิกส์ ผลที่ได้คือน้ำมันที่มีโครงสร้างเป็นระเบียบ ให้ความฝืดน้อย ทนทานต่อสภาวะความเป็นกรดได้ดี ไม่แตกตัวไปกับความชื้น แต่ก็มีข้อเสียคือ มันไม่ค่อยผสมกับใคร เกาะกับผิวโลหะได้ไม่เก่งนักที่อุณหภูมิสูงเพราะมันบางมาก ไหลได้แม้อุณหภูมิต่ำ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ผลิตยากและแพงไม่ต่างกับ Group V
Group V คือ พวกที่ยังไม่เข้ากับกลุ่มไหนเลย ที่พบมากที่สุดตอนนี้คือ Phosphate Esterที่มักเรียกกันสั้น ๆว่า Ester ซึ่งผลิตจากแอลกอฮอล ที่ผ่านกระบวนการทางเคมีและฟิสิกส์เช่นกัน มีคุณสมบัติการเกาะผิวโลหะได้ดี โมเลกุลเล็กมากแทรกไปยังส่วนต่าง ๆ ได้ดี ทนความร้อนได้ดีหากผสมเป็นเบอร์หนา ตัว Ester เองมีปัญหาเรื่องความชื้น เพราะมันทำปฏิกิริยากับน้ำได้ดีในความร้อนสูง เพราะโดยพื้นฐานมันคือแอลกอฮอลเป็นหลัก เอาน้ำใส่ เอาความร้อนใส่ มีอากาศ ก็จะเปลี่ยนตัวเองเป็นกรดได้อย่างรวดเร็ว แต่เพราะมันเกาะกับโลหะได้นานจึงถูกนำไปใช้เติมในน้ำมันสังเคราะห์ตัวอื่น ๆ นอกจากนี้ก็ยังมี Silicone, Biolubes, PAG ที่จัดในกลุ่มหล่อลื่น Group V ด้วย
จะเห็นว่าไม่มีตัวไหนที่เป็นน้ำมันที่สมบูรณ์แบบ เพียงแต่การใช้งานทั่วไปเพียงพอทุกกลุ่มเพราะต้องการ Additive เพื่อเปลี่ยนคุณสมบัติทั้งนั้น ESTER มีมากก็ทนชื้นไม่เก่งกลายเป็นกรดเร็ว , PAO ถึงจะใช้มากดีแต่ช่วงสตาร์ทก็เกาะโลหะไม่เท่า Ester, GroupIII, II, I ก็ไม่ได้มี VI สูงพอกับสภาพอากาศหลากหลาย ก็ต้องอาศัย Viscosity Index Improver (VII)
น้ำมันอีกตัวที่ไม่ได้กล่าวถึงคือ น้ำมันเครื่องที่ทำจากน้ำมันดิบตรง ๆที่เป็น By-product กลิ่นแรง เหม็น พวกนี้จะพบได้ในกลุ่มที่เป็นเกรดเดียว เช่น SAE40 หรือไม่มันก็ถูกนำไปผลิตอย่างอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันเครื่องซะมากกว่าครับ
คิดว่ามาถึงตรงนี้ น่าจะไปหาอ่านเพิ่มศึกษาต่อเองได้นะครับ