ผู้เขียน หัวข้อ: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?  (อ่าน 5995 ครั้ง)

ออฟไลน์ solo

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 526
    • อีเมล์

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,977
    • อีเมล์
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2023, 21:27:37 »
ว่าเรื่องรายได้ คนทำความสะอาด 47,520 คิดว่ายังไม่หักภาษีนะ รับจริงเหลือเท่าไรไม่รู้

รถญี่ปุ่นไม่แพง ตีเป็นเงินบาทก็ถูกกว่าไทยแต่ภาษีและอื่นๆแพงมาก

ทีนี้มาประเด็น คุณสมบัติคนทำความสะอาด คือต้องได้ (JLPT) N4 และ (JFT) A2

ซึ่งถ้าใครสอบผ่าน 2 ใบนี้ ไม่ต้องไปเป็นคนทำความสะอาดหรอกครับ มาสมัครเป็นล่ามบริษัทญี่ปุ่นในไทย ได้เงินประมาณนี้แหละ งานดีกว่า สบายกว่าคนทำความสะอาดเยอะ

คุณสมบัติแบบนี้ ให้เป็นคนทำความสะอาด บ้าไปแล้ว

ออฟไลน์ kiwiwi

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,872
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2023, 21:40:10 »
ว่าเรื่องรายได้ คนทำความสะอาด 47,520 คิดว่ายังไม่หักภาษีนะ รับจริงเหลือเท่าไรไม่รู้

รถญี่ปุ่นไม่แพง ตีเป็นเงินบาทก็ถูกกว่าไทยแต่ภาษีและอื่นๆแพงมาก

ทีนี้มาประเด็น คุณสมบัติคนทำความสะอาด คือต้องได้ (JLPT) N4 และ (JFT) A2

ซึ่งถ้าใครสอบผ่าน 2 ใบนี้ ไม่ต้องไปเป็นคนทำความสะอาดหรอกครับ มาสมัครเป็นล่ามบริษัทญี่ปุ่นในไทย ได้เงินประมาณนี้แหละ งานดีกว่า สบายกว่าคนทำความสะอาดเยอะ

คุณสมบัติแบบนี้ ให้เป็นคนทำความสะอาด บ้าไปแล้ว

เรื่องรถ ใช่เลย
บ้านเรา เช่าบ้านเขาอยู่ ไม่มีที่จอด มีเงินเดือนประจำ ก็ออกรถมือสองมาขับได้แล้ว อาศัยจอดตามที่สาธารณะเอา(ถ้าหาได้)​เพราะกฏหมายไม่บังคับเรื่องที่จอด

แต่บ้านเขา ต่อให้มีเงินซื้อรถ ถ้าไม่มีที่จอด แปลว่า ห้ามมีรถ เพราะกฏหมายเขาบังคับครับ

ออฟไลน์ aekoy

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 351
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2023, 21:55:01 »
ตัวรถราคาไม่แพง ค่าเช่าที่จอดรถในโตเกียวเดือนละประมาณ 20,000 - 30,000 บาท ตอนผมเรียนมีเพื่อนจะฝากซื้อแล้วใช้สิทธินักเรียนเอากลับมา ผมบอกว่าต้องจ่ายค่าเช่าที่จอดมาด้วย เลยต้องยกเลิกครับ
Volvo 850 T-5R
SAAB 9000 Aero
BMW E30 M10 coupe M/T 1987
Volvo V60
Toyota AE111

ออฟไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,709
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 06:48:30 »
ให้ข้อมูลคร่าว ๆ ครับ

1. ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 26 บาท (โดยประมาณ) ดังนั้น เวลาเห็นสินค้าราคาเยน ให้คูณ 0.26 ก็จะเป็นบาทไทย
2. ราคาในญี่ปุ่น มักจะยังไม่รวม VAT ซึ่งคิด 10% (ของไทยคิด 7%)  ใครถูก ใครแพง ลองคิดดู
3. ค่าแรงญี่ปุ่น ถ้างานพาร์ทไทม์ ชั่วโมงละ 800-1000 เยน, ปริญญาตรี งานประจำ เริ่มต้นประมาณ 180,000 - 200,000 เยน
    ด้วยอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำจนถึงติดลบ ในแต่ละปี เงินเดือนขึ้นแค่หลักร้อย ถึง พันเยน เรียกได้ว่าเงินเดือนแทบไม่ขึ้น ถ้าไม่เก่งจน
    ได้โปรโมทเลือนตำแหน่ง
    ส่วนงานพาร์ทไทม่ เท่าที่สังเกต ร้านสะดวกซื้อ ขนาด เท่าๆ กับบ้านเราจะมีพนักงาน 3-4 คน แต่ที่ญี่ปุ่นใช้คน 1-2 คน

4. ภาษีที่ต้องจ่าย
     4.1 ภาษีเงินได้ มีอัตราก้าวหน้า พอ ๆ กับบ้านเรา จ่ายเข้ารัฐบาลกลาง
     4.2 ภาษีท้องถิ่น มีอัตราสูงกว่าภาษีเงินได้หน่อย ๆ  จ่ายเข้าเมืองที่เราอยู่ ตามทะเบียนบ้าน  (ภาษีนี้ที่ไทยไม่มี คนไทยไม่ได้จ่าย)
     4.3 เงินส่งประกันสุขภาพ  ต้องทำประกัน เพื่อเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล เราจะจ่ายแค่ 30% และเอาใบสั่งยาแพทย์ไปซื้อยาเอง
           ยังต้องจ่ายค่าหมอ แม้ว่าจะส่งเงินประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีประกันแล้วต้องจ่ายเอง 100% จะไหวไหม (ในขณะที่ไทย
           ใช้ประกันสังคม หรือบัตรทอง   ลองคิดดู)
     4.4 เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  อันนี้เก็บเป็นเงินบำนาญเหมือนบ้านเรา
     ทั้งหมด 4.1 - 4.4 คิดรวม ๆ แล้ว เงินเดือนจะหายไปประมาณ 25% 
5. ค่าเช่าห้อง 20-25 ตรม. ประมาณ 4-5 หมื่นเยนต่อเดือน น้ำ ไฟ จ่ายต่างหาก ถ้ามีทีวี ต้องจ่ายให้ NHK อีก

6. รถ ราคาประมาณ 1.5 ล้านเยน สำหรับพวก City, Yaris
7. แต่ก่อนจะซื้อรถ ต้องมีที่จอดก่อน โดยที่จอดนั้นต้องมีหลักฐานเป็นโฉนด แปลนที่จอดที่แสดงตำแหน่ง ความกว้าง x ยาว ที่จอด
8. จะซื้อรถอะไร ขนาดรถ กว้าง ยาว เท่าไหร่ ต้องไม่เกินที่จอดรถ และจะลักไก่เอาที่จอดซ้ำกันคันอื่นที่ลงทะเบียนจอดตรงนั้นแล้วไม่ได้
    และต้องเอา โฉนด ไปยื่นขอใบรับรองที่เขต หรือ สถานีตำรวจ อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะดีลเลอร์ดำเนินการให้  ดังนั้น การได้มาของโฉนด
    หรือ ใบเจ้าของที่รับรอง คือ ต้องมีบ้านที่มีที่จอดรถของตนเอง หรือสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อทางเจ้าของที่จะเซ็นต์ยินยอมให้จอด
9. ตัวรถเอง ต้องจ่ายภาษีป้ายทุกปี  ซึ่ง ภาษีนี้ ราคาตามขนาดรถ และราคาเท่ากันทุกปี ไม่มีแพงขึ้นอย่างที่ชอบพูดกันว่าภาษ๊รถยิ่งเก่ายิ่งแพง
10. แต่ปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 ปี  ก่อนที่จะยื่นต่อภาษี จะต้องตรวจสภาพรถก่อน ซึ่งเหมือน ตรอ บ้านเรา
11. ค่าตรวจรถ มีอัตราหลัก xx หมื่นเยน ไม่แพงมากนัก และเท่า ๆ กันในทุกปีที่ตรวจ ไม่ได้แพงขึ้นตามความเก่าของรถ
12. แต่การส่งรถเข้าตรวจเพื่อต่อภาษี นั่นแปลว่า เจ้าของรถต้องการต่อทะเบียน ดังนั้นจึงเท่ากับสั่งให้ทางอู่ตรวจรถทำการปรับสภาพรถในรายการ
      ที่ไม่ผ่านการตรวจ ให้สามารถเข้าเกณฑ์ต่อภาษีได้  ตรงนี้สำคัญ ดังนั้น รถยิ่งเก่า ยิ่งสภาพไม่ดี จะมีจุดที่ไม่ผ่านเยอะ และต้องซ่อม
      ต้องเปลี่ยนอะไหล่เยอะ ค่าใช้จ่ายก็จะสูง จะแพงขค้น จึงเป็นที่มาที่ว่า ยิ่งเก่ายิ่งแพง
13. ตรวจสภาพรถที่ญี่ปุ่นจะคล้ายบ้านเรา แต่หัวข้อเยอะกว่า และลงลึกว่า เช่น มลพิษ การทำงานของเบรค (จะดูลึกไปถึงความหนาผ้าเบรค)
      ไฟส่องสว่าง (ติดครบ, แสงสว่างได้, เลนส์ไม่ร้าว) การสึกหรอของยาง,  การเก็บไฟแบต, บลา ๆ ๆ ๆ  โดยรวม ๆ จะกินไปเกินกว่า
      หลักแสนเยน
14. ทำประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ

ก็ประมาณนี้ครับ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ข้อเท็จจริง กับสิ่งที่สื่อไทยพยายามสร้างภาพบิดเบือนความคิดคน
หรือถ้าจะให้ชัดคือ   เราจะเห็นตัวเลขรายได้ของคนญี่ปุ่นที่ดูสูง แต่สื่อไม่เคยพูดเรื่องภาษีเงินได้ที่ต้องจ่าย
ในขณะที่ราคารถที่นั่นถุก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถ 
เอาล่ะ pain point ของคนไทยในการมีรถคือภาษีสรรพสามิตที่ทำให้รถแพง
ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเก็บภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์ก็ได้ ในเมื่อเขาเก็บภาษีบุคคลไปเยอะแล้ว
pain point ของคนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ภาษีทั้งคู่ แต่ตัวภาษีที่ตกอยู่กับบุคคลมันคนละตัวกัน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คือ กรณีของคนญี่ปุ่น ถึงไม่ได้ซื้อรถก็จ่ายภาษีกันอ่วม
ในขณะที่คนไทย ถ้าไม่ได้ซื้อรถก็ไม่ต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เลย 
คนไทย 60++ ล้านคน ยื่น ภงด แค่ 10 ล้านคน และจ่ายจริงแค่ 4 ล้านคนเองนะ
ถามว่าแล้วอีก 50 กว่าล้านคนไปไหน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ร่วมด้วยช่วยกันใช้สาธารณูปโภคส่วนกลางของประเทศนี้
ถ้าเขาไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก กับ VAT แค่ 7% และไม่ได้เก็บกับสินค้าครบทุกหมวดหมู่
แล้วคนแค่ 4 ล้านคนที่จ่าย ภงด จะแบกไหวไหมครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 08:30:17 โดย Symphonic »

ออฟไลน์ renew

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 753
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 07:06:09 »
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ประมาณว่าจ่ายเงินบ้านเราซื้อ Jazz ใด้ Civic 

จ่ายเงินซื้อ Civic ใด้ Accord ประมาณนี้

ออฟไลน์ romeokk

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 114
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 07:47:12 »
รถที่ญี่ปุ่นถูกกว่าไทยครับ

ราคาปัจจุบันตัวล่างสุด รุ่นเดียวกับที่ขายในไทย

Corolla (Altis), Corolla Cross ประมาณ 5.17 แสนบาท
Camry ประมาณ 9.08 แสนบาท
Hilux GR (Revo ตัวท้อป) ประมาณ 1.1 ล้าน

สังเกตุว่าเป็นรถเก๋งถูกกว่าเยอะ แต่พอเป็นกระบะจะราคาใกล้ๆกัน เพราะกระบะในไทยรัฐมองเป็นรถเชิงพาณิชย์ คิดภาษีให้ถูก
ส่วนรถเก๋งจะคิดภาษีแพง โดยภาษีที่ว่านี้คือ ภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะเพิ่มเข้าไปกับสินค้าที่เข้าข่าย "ของฟุ่มเฟือย", เสียสุขภาพ, ฯลฯ

ส่วนตัวคิดว่ากฎหมายที่ใช้กำหนดสรรพสามิตของรถยนต์ ไม่ได้คำนึงถึงคนต่างจังหวัดเลย ขนส่งสาธารณะของรัฐแทบจะไม่มี แล้วสถานที่ทำงานก็มักจะไกลกว่าคนกรุงเทพมากๆด้วย เดินทางกันหลายสิบกิโลไปทำงาน เงินเดือนหมื่นเดียว ต้องไปซื้อรถคันละ 4-5 แสน เป็นหนี้ไม่รู้จบ ในขณะที่คนญี่ปุ่น รายได้ขั้นต่ำมากกว่าคนไทย 6.5 เท่า สามารถซื้อรถเก๋ง Toyota ในราคาถูกสุดได้ที่ 2.2 แสนบาท

ออฟไลน์ AkE

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,405
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 08:38:22 »
ราคารถถูกกว่าเราแต่ไม่มากมาย แต่ถูกกว่าครับ ค่าจอดรถก้อีกส่วนนึง แต่ที่แน่ๆรายได้ที่ว่ามา อยู่ไม่รอด

ครับในญี่ปุ่น ที่เขียนว่าคนไปทำงานจ่ายค่าที่พักเองนั่นล่ะครับ แค่นั้นก้เหลือน้อยละครับเงินเดือน ค่ารถไฟ

ค่ากิน อยู่ไม่รอดครับ ค่าจ้างแค่นั้นในญี่ปุ่น

ออฟไลน์ Kanarath

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 398
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 08:48:11 »
ให้ข้อมูลคร่าว ๆ ครับ

1. ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 26 บาท (โดยประมาณ) ดังนั้น เวลาเห็นสินค้าราคาเยน ให้คูณ 0.26 ก็จะเป็นบาทไทย
2. ราคาในญี่ปุ่น มักจะยังไม่รวม VAT ซึ่งคิด 10% (ของไทยคิด 7%)  ใครถูก ใครแพง ลองคิดดู
3. ค่าแรงญี่ปุ่น ถ้างานพาร์ทไทม์ ชั่วโมงละ 800-1000 เยน, ปริญญาตรี งานประจำ เริ่มต้นประมาณ 180,000 - 200,000 เยน
    ด้วยอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำจนถึงติดลบ ในแต่ละปี เงินเดือนขึ้นแค่หลักร้อย ถึง พันเยน เรียกได้ว่าเงินเดือนแทบไม่ขึ้น ถ้าไม่เก่งจน
    ได้โปรโมทเลือนตำแหน่ง
    ส่วนงานพาร์ทไทม่ เท่าที่สังเกต ร้านสะดวกซื้อ ขนาด เท่าๆ กับบ้านเราจะมีพนักงาน 3-4 คน แต่ที่ญี่ปุ่นใช้คน 1-2 คน

4. ภาษีที่ต้องจ่าย
     4.1 ภาษีเงินได้ มีอัตราก้าวหน้า พอ ๆ กับบ้านเรา จ่ายเข้ารัฐบาลกลาง
     4.2 ภาษีท้องถิ่น มีอัตราสูงกว่าภาษีเงินได้หน่อย ๆ  จ่ายเข้าเมืองที่เราอยู่ ตามทะเบียนบ้าน  (ภาษีนี้ที่ไทยไม่มี คนไทยไม่ได้จ่าย)
     4.3 เงินส่งประกันสุขภาพ  ต้องทำประกัน เพื่อเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล เราจะจ่ายแค่ 30% และเอาใบสั่งยาแพทย์ไปซื้อยาเอง
           ยังต้องจ่ายค่าหมอ แม้ว่าจะส่งเงินประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีประกันแล้วต้องจ่ายเอง 100% จะไหวไหม (ในขณะที่ไทย
           ใช้ประกันสังคม หรือบัตรทอง   ลองคิดดู)
     4.4 เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  อันนี้เก็บเป็นเงินบำนาญเหมือนบ้านเรา
     ทั้งหมด 4.1 - 4.4 คิดรวม ๆ แล้ว เงินเดือนจะหายไปประมาณ 25% 
5. ค่าเช่าห้อง 20-25 ตรม. ประมาณ 4-5 หมื่นเยนต่อเดือน น้ำ ไฟ จ่ายต่างหาก ถ้ามีทีวี ต้องจ่ายให้ NHK อีก

6. รถ ราคาประมาณ 1.5 ล้านเยน สำหรับพวก City, Yaris
7. แต่ก่อนจะซื้อรถ ต้องมีที่จอดก่อน โดยที่จอดนั้นต้องมีหลักฐานเป็นโฉนด แปลนที่จอดที่แสดงตำแหน่ง ความกว้าง x ยาว ที่จอด
8. จะซื้อรถอะไร ขนาดรถ กว้าง ยาว เท่าไหร่ ต้องไม่เกินที่จอดรถ และจะลักไก่เอาที่จอดซ้ำกันคันอื่นที่ลงทะเบียนจอดตรงนั้นแล้วไม่ได้
    และต้องเอา โฉนด ไปยื่นขอใบรับรองที่เขต หรือ สถานีตำรวจ อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะดีลเลอร์ดำเนินการให้  ดังนั้น การได้มาของโฉนด
    หรือ ใบเจ้าของที่รับรอง คือ ต้องมีบ้านที่มีที่จอดรถของตนเอง หรือสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อทางเจ้าของที่จะเซ็นต์ยินยอมให้จอด
9. ตัวรถเอง ต้องจ่ายภาษีป้ายทุกปี  ซึ่ง ภาษีนี้ ราคาตามขนาดรถ และราคาเท่ากันทุกปี ไม่มีแพงขึ้นอย่างที่ชอบพูดกันว่าภาษ๊รถยิ่งเก่ายิ่งแพง
10. แต่ปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 ปี  ก่อนที่จะยื่นต่อภาษี จะต้องตรวจสภาพรถก่อน ซึ่งเหมือน ตรอ บ้านเรา
11. ค่าตรวจรถ มีอัตราหลัก xx หมื่นเยน ไม่แพงมากนัก และเท่า ๆ กันในทุกปีที่ตรวจ ไม่ได้แพงขึ้นตามความเก่าของรถ
12. แต่การส่งรถเข้าตรวจเพื่อต่อภาษี นั่นแปลว่า เจ้าของรถต้องการต่อทะเบียน ดังนั้นจึงเท่ากับสั่งให้ทางอู่ตรวจรถทำการปรับสภาพรถในรายการ
      ที่ไม่ผ่านการตรวจ ให้สามารถเข้าเกณฑ์ต่อภาษีได้  ตรงนี้สำคัญ ดังนั้น รถยิ่งเก่า ยิ่งสภาพไม่ดี จะมีจุดที่ไม่ผ่านเยอะ และต้องซ่อม
      ต้องเปลี่ยนอะไหล่เยอะ ค่าใช้จ่ายก็จะสูง จะแพงขค้น จึงเป็นที่มาที่ว่า ยิ่งเก่ายิ่งแพง
13. ตรวจสภาพรถที่ญี่ปุ่นจะคล้ายบ้านเรา แต่หัวข้อเยอะกว่า และลงลึกว่า เช่น มลพิษ การทำงานของเบรค (จะดูลึกไปถึงความหนาผ้าเบรค)
      ไฟส่องสว่าง (ติดครบ, แสงสว่างได้, เลนส์ไม่ร้าว) การสึกหรอของยาง,  การเก็บไฟแบต, บลา ๆ ๆ ๆ  โดยรวม ๆ จะกินไปเกินกว่า
      หลักแสนเยน
14. ทำประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ

ก็ประมาณนี้ครับ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ข้อเท็จจริง กับสิ่งที่สื่อไทยพยายามสร้างภาพบิดเบือนความคิดคน
หรือถ้าจะให้ชัดคือ   เราจะเห็นตัวเลขรายได้ของคนญี่ปุ่นที่ดูสูง แต่สื่อไม่เคยพูดเรื่องภาษีเงินได้ที่ต้องจ่าย
ในขณะที่ราคารถที่นั่นถุก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถ 
เอาล่ะ pain point ของคนไทยในการมีรถคือภาษีสรรพสามิตที่ทำให้รถแพง
ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเก็บภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์ก็ได้ ในเมื่อเขาเก็บภาษีบุคคลไปเยอะแล้ว
pain point ของคนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ภาษีทั้งคู่ แต่ตัวภาษีที่ตกอยู่กับบุคคลมันคนละตัวกัน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คือ กรณีของคนญี่ปุ่น ถึงไม่ได้ซื้อรถก็จ่ายภาษีกันอ่วม
ในขณะที่คนไทย ถ้าไม่ได้ซื้อรถก็ไม่ต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เลย 
คนไทย 60++ ล้านคน ยื่น ภงด แค่ 10 ล้านคน และจ่ายจริงแค่ 4 ล้านคนเองนะ
ถามว่าแล้วอีก 50 กว่าล้านคนไปไหน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ร่วมด้วยช่วยกันใช้สาธารณูปโภคส่วนกลางของประเทศนี้
ถ้าเขาไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก กับ VAT แค่ 7% และไม่ได้เก็บกับสินค้าครบทุกหมวดหมู่
แล้วคนแค่ 4 ล้านคนที่จ่าย ภงด จะแบกไหวไหมครับ

ไม่คร่าวแล้วครับ ละเอียด ชัดเจนดีมากๆครับ

คนส่วนใหญ่เทียบแต่ราคารถ (หรือของอื่นๆ) แต่ไม่ได้ดูภาพรวม
แล้วก็บอกว่าไทยแพงหรือไม่ดีแบบนั้นแบบนี้

ออฟไลน์ FyGI

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,312
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 09:01:49 »
ให้ข้อมูลคร่าว ๆ ครับ

1. ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 26 บาท (โดยประมาณ) ดังนั้น เวลาเห็นสินค้าราคาเยน ให้คูณ 0.26 ก็จะเป็นบาทไทย
2. ราคาในญี่ปุ่น มักจะยังไม่รวม VAT ซึ่งคิด 10% (ของไทยคิด 7%)  ใครถูก ใครแพง ลองคิดดู
3. ค่าแรงญี่ปุ่น ถ้างานพาร์ทไทม์ ชั่วโมงละ 800-1000 เยน, ปริญญาตรี งานประจำ เริ่มต้นประมาณ 180,000 - 200,000 เยน
    ด้วยอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำจนถึงติดลบ ในแต่ละปี เงินเดือนขึ้นแค่หลักร้อย ถึง พันเยน เรียกได้ว่าเงินเดือนแทบไม่ขึ้น ถ้าไม่เก่งจน
    ได้โปรโมทเลือนตำแหน่ง
    ส่วนงานพาร์ทไทม่ เท่าที่สังเกต ร้านสะดวกซื้อ ขนาด เท่าๆ กับบ้านเราจะมีพนักงาน 3-4 คน แต่ที่ญี่ปุ่นใช้คน 1-2 คน

4. ภาษีที่ต้องจ่าย
     4.1 ภาษีเงินได้ มีอัตราก้าวหน้า พอ ๆ กับบ้านเรา จ่ายเข้ารัฐบาลกลาง
     4.2 ภาษีท้องถิ่น มีอัตราสูงกว่าภาษีเงินได้หน่อย ๆ  จ่ายเข้าเมืองที่เราอยู่ ตามทะเบียนบ้าน  (ภาษีนี้ที่ไทยไม่มี คนไทยไม่ได้จ่าย)
     4.3 เงินส่งประกันสุขภาพ  ต้องทำประกัน เพื่อเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล เราจะจ่ายแค่ 30% และเอาใบสั่งยาแพทย์ไปซื้อยาเอง
           ยังต้องจ่ายค่าหมอ แม้ว่าจะส่งเงินประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีประกันแล้วต้องจ่ายเอง 100% จะไหวไหม (ในขณะที่ไทย
           ใช้ประกันสังคม หรือบัตรทอง   ลองคิดดู)
     4.4 เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  อันนี้เก็บเป็นเงินบำนาญเหมือนบ้านเรา
     ทั้งหมด 4.1 - 4.4 คิดรวม ๆ แล้ว เงินเดือนจะหายไปประมาณ 25% 
5. ค่าเช่าห้อง 20-25 ตรม. ประมาณ 4-5 หมื่นเยนต่อเดือน น้ำ ไฟ จ่ายต่างหาก ถ้ามีทีวี ต้องจ่ายให้ NHK อีก

6. รถ ราคาประมาณ 1.5 ล้านเยน สำหรับพวก City, Yaris
7. แต่ก่อนจะซื้อรถ ต้องมีที่จอดก่อน โดยที่จอดนั้นต้องมีหลักฐานเป็นโฉนด แปลนที่จอดที่แสดงตำแหน่ง ความกว้าง x ยาว ที่จอด
8. จะซื้อรถอะไร ขนาดรถ กว้าง ยาว เท่าไหร่ ต้องไม่เกินที่จอดรถ และจะลักไก่เอาที่จอดซ้ำกันคันอื่นที่ลงทะเบียนจอดตรงนั้นแล้วไม่ได้
    และต้องเอา โฉนด ไปยื่นขอใบรับรองที่เขต หรือ สถานีตำรวจ อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะดีลเลอร์ดำเนินการให้  ดังนั้น การได้มาของโฉนด
    หรือ ใบเจ้าของที่รับรอง คือ ต้องมีบ้านที่มีที่จอดรถของตนเอง หรือสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อทางเจ้าของที่จะเซ็นต์ยินยอมให้จอด
9. ตัวรถเอง ต้องจ่ายภาษีป้ายทุกปี  ซึ่ง ภาษีนี้ ราคาตามขนาดรถ และราคาเท่ากันทุกปี ไม่มีแพงขึ้นอย่างที่ชอบพูดกันว่าภาษ๊รถยิ่งเก่ายิ่งแพง
10. แต่ปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 ปี  ก่อนที่จะยื่นต่อภาษี จะต้องตรวจสภาพรถก่อน ซึ่งเหมือน ตรอ บ้านเรา
11. ค่าตรวจรถ มีอัตราหลัก xx หมื่นเยน ไม่แพงมากนัก และเท่า ๆ กันในทุกปีที่ตรวจ ไม่ได้แพงขึ้นตามความเก่าของรถ
12. แต่การส่งรถเข้าตรวจเพื่อต่อภาษี นั่นแปลว่า เจ้าของรถต้องการต่อทะเบียน ดังนั้นจึงเท่ากับสั่งให้ทางอู่ตรวจรถทำการปรับสภาพรถในรายการ
      ที่ไม่ผ่านการตรวจ ให้สามารถเข้าเกณฑ์ต่อภาษีได้  ตรงนี้สำคัญ ดังนั้น รถยิ่งเก่า ยิ่งสภาพไม่ดี จะมีจุดที่ไม่ผ่านเยอะ และต้องซ่อม
      ต้องเปลี่ยนอะไหล่เยอะ ค่าใช้จ่ายก็จะสูง จะแพงขค้น จึงเป็นที่มาที่ว่า ยิ่งเก่ายิ่งแพง
13. ตรวจสภาพรถที่ญี่ปุ่นจะคล้ายบ้านเรา แต่หัวข้อเยอะกว่า และลงลึกว่า เช่น มลพิษ การทำงานของเบรค (จะดูลึกไปถึงความหนาผ้าเบรค)
      ไฟส่องสว่าง (ติดครบ, แสงสว่างได้, เลนส์ไม่ร้าว) การสึกหรอของยาง,  การเก็บไฟแบต, บลา ๆ ๆ ๆ  โดยรวม ๆ จะกินไปเกินกว่า
      หลักแสนเยน
14. ทำประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ

ก็ประมาณนี้ครับ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ข้อเท็จจริง กับสิ่งที่สื่อไทยพยายามสร้างภาพบิดเบือนความคิดคน
หรือถ้าจะให้ชัดคือ   เราจะเห็นตัวเลขรายได้ของคนญี่ปุ่นที่ดูสูง แต่สื่อไม่เคยพูดเรื่องภาษีเงินได้ที่ต้องจ่าย
ในขณะที่ราคารถที่นั่นถุก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถ 
เอาล่ะ pain point ของคนไทยในการมีรถคือภาษีสรรพสามิตที่ทำให้รถแพง
ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเก็บภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์ก็ได้ ในเมื่อเขาเก็บภาษีบุคคลไปเยอะแล้ว
pain point ของคนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ภาษีทั้งคู่ แต่ตัวภาษีที่ตกอยู่กับบุคคลมันคนละตัวกัน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คือ กรณีของคนญี่ปุ่น ถึงไม่ได้ซื้อรถก็จ่ายภาษีกันอ่วม
ในขณะที่คนไทย ถ้าไม่ได้ซื้อรถก็ไม่ต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เลย 
คนไทย 60++ ล้านคน ยื่น ภงด แค่ 10 ล้านคน และจ่ายจริงแค่ 4 ล้านคนเองนะ
ถามว่าแล้วอีก 50 กว่าล้านคนไปไหน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ร่วมด้วยช่วยกันใช้สาธารณูปโภคส่วนกลางของประเทศนี้
ถ้าเขาไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก กับ VAT แค่ 7% และไม่ได้เก็บกับสินค้าครบทุกหมวดหมู่
แล้วคนแค่ 4 ล้านคนที่จ่าย ภงด จะแบกไหวไหมครับ

ละเอียดมาก หัวข้อสุดท้ายเป็นตัวตอบทุกสิ่งอย่าง และที่ส่วนใหญ่ลืมตรงจุดนี้ไปครับ

ออฟไลน์ Neshz

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 271
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 09:20:29 »
บอกเลยครับ เงินเดือนแค่นี้ อยู่ญี่ปุ่น อ้วกครับ
ไหนจะค่าครองชีพ ไหนจะภาษี

ออฟไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,709
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 09:26:36 »
ยังมีอีกเรื่องที่คนไทยไม่คาดคิด แต่ถ้าใครเคยไปเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นแล้วจะสังเกตเห็น

นั่นคือค่าใช้ถนน หรือ "ค่าทางด่วน"

และมันไม่ใช่ทางด่วนที่อยู่ในเมือง แต่เป็นทางด่วนระหว่างเมือง

ถ้าเราอยู่เมืองไทย ขับรถจาก กทม ไปเชียงใหม่ 6-700 กม. วิ่งไฮเวย์ฟรี

แต่ที่ญี่ปุ่น ถ้าขับรถจาก โตเกียว ไป โอซาก้า ระยะทางประมาณ 5xx กม.
ใช้เวลาประมาณ 7 ชม. ต้องจ่ายค่าทางด่วน ราว ๆ 11,xxx เยน
หรือตก กม.ละ ประมาณ 20 เยน

แต่ถ้าจะไม่จ่ายเงิน จะไปถนนหลวง ก็จะต้องวิ่งถนน local 2 เลนสวน
ผ่านเมือง ติดไฟแดง ซึ่งอาจใช้เวลาเกิน 12 ชั่วโมง

ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นความแตกต่างที่ถ้าเราเอา mindset แบบไทย ๆ ไปคิด
ก็จะคิดว่าทางหลวงจังหวัดต้องฟรี  ซึ่งไม่ใช่ ทั้ง ๆ ที่ญี่ปุ่นเก็บภาษีเงินได้บุคคล
อย่างมากไปแล้วครับ

ออฟไลน์ taxzar

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 10
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 09:29:46 »
ให้ข้อมูลคร่าว ๆ ครับ

1. ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 26 บาท (โดยประมาณ) ดังนั้น เวลาเห็นสินค้าราคาเยน ให้คูณ 0.26 ก็จะเป็นบาทไทย
2. ราคาในญี่ปุ่น มักจะยังไม่รวม VAT ซึ่งคิด 10% (ของไทยคิด 7%)  ใครถูก ใครแพง ลองคิดดู
3. ค่าแรงญี่ปุ่น ถ้างานพาร์ทไทม์ ชั่วโมงละ 800-1000 เยน, ปริญญาตรี งานประจำ เริ่มต้นประมาณ 180,000 - 200,000 เยน
    ด้วยอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำจนถึงติดลบ ในแต่ละปี เงินเดือนขึ้นแค่หลักร้อย ถึง พันเยน เรียกได้ว่าเงินเดือนแทบไม่ขึ้น ถ้าไม่เก่งจน
    ได้โปรโมทเลือนตำแหน่ง
    ส่วนงานพาร์ทไทม่ เท่าที่สังเกต ร้านสะดวกซื้อ ขนาด เท่าๆ กับบ้านเราจะมีพนักงาน 3-4 คน แต่ที่ญี่ปุ่นใช้คน 1-2 คน

4. ภาษีที่ต้องจ่าย
     4.1 ภาษีเงินได้ มีอัตราก้าวหน้า พอ ๆ กับบ้านเรา จ่ายเข้ารัฐบาลกลาง
     4.2 ภาษีท้องถิ่น มีอัตราสูงกว่าภาษีเงินได้หน่อย ๆ  จ่ายเข้าเมืองที่เราอยู่ ตามทะเบียนบ้าน  (ภาษีนี้ที่ไทยไม่มี คนไทยไม่ได้จ่าย)
     4.3 เงินส่งประกันสุขภาพ  ต้องทำประกัน เพื่อเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล เราจะจ่ายแค่ 30% และเอาใบสั่งยาแพทย์ไปซื้อยาเอง
           ยังต้องจ่ายค่าหมอ แม้ว่าจะส่งเงินประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีประกันแล้วต้องจ่ายเอง 100% จะไหวไหม (ในขณะที่ไทย
           ใช้ประกันสังคม หรือบัตรทอง   ลองคิดดู)
     4.4 เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  อันนี้เก็บเป็นเงินบำนาญเหมือนบ้านเรา
     ทั้งหมด 4.1 - 4.4 คิดรวม ๆ แล้ว เงินเดือนจะหายไปประมาณ 25% 
5. ค่าเช่าห้อง 20-25 ตรม. ประมาณ 4-5 หมื่นเยนต่อเดือน น้ำ ไฟ จ่ายต่างหาก ถ้ามีทีวี ต้องจ่ายให้ NHK อีก

6. รถ ราคาประมาณ 1.5 ล้านเยน สำหรับพวก City, Yaris
7. แต่ก่อนจะซื้อรถ ต้องมีที่จอดก่อน โดยที่จอดนั้นต้องมีหลักฐานเป็นโฉนด แปลนที่จอดที่แสดงตำแหน่ง ความกว้าง x ยาว ที่จอด
8. จะซื้อรถอะไร ขนาดรถ กว้าง ยาว เท่าไหร่ ต้องไม่เกินที่จอดรถ และจะลักไก่เอาที่จอดซ้ำกันคันอื่นที่ลงทะเบียนจอดตรงนั้นแล้วไม่ได้
    และต้องเอา โฉนด ไปยื่นขอใบรับรองที่เขต หรือ สถานีตำรวจ อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะดีลเลอร์ดำเนินการให้  ดังนั้น การได้มาของโฉนด
    หรือ ใบเจ้าของที่รับรอง คือ ต้องมีบ้านที่มีที่จอดรถของตนเอง หรือสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อทางเจ้าของที่จะเซ็นต์ยินยอมให้จอด
9. ตัวรถเอง ต้องจ่ายภาษีป้ายทุกปี  ซึ่ง ภาษีนี้ ราคาตามขนาดรถ และราคาเท่ากันทุกปี ไม่มีแพงขึ้นอย่างที่ชอบพูดกันว่าภาษ๊รถยิ่งเก่ายิ่งแพง
10. แต่ปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 ปี  ก่อนที่จะยื่นต่อภาษี จะต้องตรวจสภาพรถก่อน ซึ่งเหมือน ตรอ บ้านเรา
11. ค่าตรวจรถ มีอัตราหลัก xx หมื่นเยน ไม่แพงมากนัก และเท่า ๆ กันในทุกปีที่ตรวจ ไม่ได้แพงขึ้นตามความเก่าของรถ
12. แต่การส่งรถเข้าตรวจเพื่อต่อภาษี นั่นแปลว่า เจ้าของรถต้องการต่อทะเบียน ดังนั้นจึงเท่ากับสั่งให้ทางอู่ตรวจรถทำการปรับสภาพรถในรายการ
      ที่ไม่ผ่านการตรวจ ให้สามารถเข้าเกณฑ์ต่อภาษีได้  ตรงนี้สำคัญ ดังนั้น รถยิ่งเก่า ยิ่งสภาพไม่ดี จะมีจุดที่ไม่ผ่านเยอะ และต้องซ่อม
      ต้องเปลี่ยนอะไหล่เยอะ ค่าใช้จ่ายก็จะสูง จะแพงขค้น จึงเป็นที่มาที่ว่า ยิ่งเก่ายิ่งแพง
13. ตรวจสภาพรถที่ญี่ปุ่นจะคล้ายบ้านเรา แต่หัวข้อเยอะกว่า และลงลึกว่า เช่น มลพิษ การทำงานของเบรค (จะดูลึกไปถึงความหนาผ้าเบรค)
      ไฟส่องสว่าง (ติดครบ, แสงสว่างได้, เลนส์ไม่ร้าว) การสึกหรอของยาง,  การเก็บไฟแบต, บลา ๆ ๆ ๆ  โดยรวม ๆ จะกินไปเกินกว่า
      หลักแสนเยน
14. ทำประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ

ก็ประมาณนี้ครับ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ข้อเท็จจริง กับสิ่งที่สื่อไทยพยายามสร้างภาพบิดเบือนความคิดคน
หรือถ้าจะให้ชัดคือ   เราจะเห็นตัวเลขรายได้ของคนญี่ปุ่นที่ดูสูง แต่สื่อไม่เคยพูดเรื่องภาษีเงินได้ที่ต้องจ่าย
ในขณะที่ราคารถที่นั่นถุก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถ 
เอาล่ะ pain point ของคนไทยในการมีรถคือภาษีสรรพสามิตที่ทำให้รถแพง
ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเก็บภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์ก็ได้ ในเมื่อเขาเก็บภาษีบุคคลไปเยอะแล้ว
pain point ของคนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ภาษีทั้งคู่ แต่ตัวภาษีที่ตกอยู่กับบุคคลมันคนละตัวกัน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คือ กรณีของคนญี่ปุ่น ถึงไม่ได้ซื้อรถก็จ่ายภาษีกันอ่วม
ในขณะที่คนไทย ถ้าไม่ได้ซื้อรถก็ไม่ต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เลย 
คนไทย 60++ ล้านคน ยื่น ภงด แค่ 10 ล้านคน และจ่ายจริงแค่ 4 ล้านคนเองนะ
ถามว่าแล้วอีก 50 กว่าล้านคนไปไหน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ร่วมด้วยช่วยกันใช้สาธารณูปโภคส่วนกลางของประเทศนี้
ถ้าเขาไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก กับ VAT แค่ 7% และไม่ได้เก็บกับสินค้าครบทุกหมวดหมู่
แล้วคนแค่ 4 ล้านคนที่จ่าย ภงด จะแบกไหวไหมครับ

เขียนจนเห็นภาพเลยครับ
:-* :-* :-* :-* :-*

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,977
    • อีเมล์
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 09:35:43 »
อ่านข้อมูล คุณSymphonic แล้ว รักเมืองไทยขึ้นอีกจมเลยครับ  ;D ;D

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,425
    • อีเมล์
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 10:13:30 »


อยู่ไทย พยายามยาม จับแหล่งทำธุรกิจ กับ แรงงาน พม่า กัมพูชา ลาว ให้ได้
รายได้ 40000  เรื่องกล้วยๆ สำหรับ คนมีต้นทุน

ออฟไลน์ romeokk

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 114
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 10:53:25 »
ให้ข้อมูลคร่าว ๆ ครับ

1. ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 26 บาท (โดยประมาณ) ดังนั้น เวลาเห็นสินค้าราคาเยน ให้คูณ 0.26 ก็จะเป็นบาทไทย
2. ราคาในญี่ปุ่น มักจะยังไม่รวม VAT ซึ่งคิด 10% (ของไทยคิด 7%)  ใครถูก ใครแพง ลองคิดดู
3. ค่าแรงญี่ปุ่น ถ้างานพาร์ทไทม์ ชั่วโมงละ 800-1000 เยน, ปริญญาตรี งานประจำ เริ่มต้นประมาณ 180,000 - 200,000 เยน
    ด้วยอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำจนถึงติดลบ ในแต่ละปี เงินเดือนขึ้นแค่หลักร้อย ถึง พันเยน เรียกได้ว่าเงินเดือนแทบไม่ขึ้น ถ้าไม่เก่งจน
    ได้โปรโมทเลือนตำแหน่ง
    ส่วนงานพาร์ทไทม่ เท่าที่สังเกต ร้านสะดวกซื้อ ขนาด เท่าๆ กับบ้านเราจะมีพนักงาน 3-4 คน แต่ที่ญี่ปุ่นใช้คน 1-2 คน

4. ภาษีที่ต้องจ่าย
     4.1 ภาษีเงินได้ มีอัตราก้าวหน้า พอ ๆ กับบ้านเรา จ่ายเข้ารัฐบาลกลาง
     4.2 ภาษีท้องถิ่น มีอัตราสูงกว่าภาษีเงินได้หน่อย ๆ  จ่ายเข้าเมืองที่เราอยู่ ตามทะเบียนบ้าน  (ภาษีนี้ที่ไทยไม่มี คนไทยไม่ได้จ่าย)
     4.3 เงินส่งประกันสุขภาพ  ต้องทำประกัน เพื่อเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล เราจะจ่ายแค่ 30% และเอาใบสั่งยาแพทย์ไปซื้อยาเอง
           ยังต้องจ่ายค่าหมอ แม้ว่าจะส่งเงินประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีประกันแล้วต้องจ่ายเอง 100% จะไหวไหม (ในขณะที่ไทย
           ใช้ประกันสังคม หรือบัตรทอง   ลองคิดดู)
     4.4 เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  อันนี้เก็บเป็นเงินบำนาญเหมือนบ้านเรา
     ทั้งหมด 4.1 - 4.4 คิดรวม ๆ แล้ว เงินเดือนจะหายไปประมาณ 25% 
5. ค่าเช่าห้อง 20-25 ตรม. ประมาณ 4-5 หมื่นเยนต่อเดือน น้ำ ไฟ จ่ายต่างหาก ถ้ามีทีวี ต้องจ่ายให้ NHK อีก

6. รถ ราคาประมาณ 1.5 ล้านเยน สำหรับพวก City, Yaris
7. แต่ก่อนจะซื้อรถ ต้องมีที่จอดก่อน โดยที่จอดนั้นต้องมีหลักฐานเป็นโฉนด แปลนที่จอดที่แสดงตำแหน่ง ความกว้าง x ยาว ที่จอด
8. จะซื้อรถอะไร ขนาดรถ กว้าง ยาว เท่าไหร่ ต้องไม่เกินที่จอดรถ และจะลักไก่เอาที่จอดซ้ำกันคันอื่นที่ลงทะเบียนจอดตรงนั้นแล้วไม่ได้
    และต้องเอา โฉนด ไปยื่นขอใบรับรองที่เขต หรือ สถานีตำรวจ อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะดีลเลอร์ดำเนินการให้  ดังนั้น การได้มาของโฉนด
    หรือ ใบเจ้าของที่รับรอง คือ ต้องมีบ้านที่มีที่จอดรถของตนเอง หรือสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อทางเจ้าของที่จะเซ็นต์ยินยอมให้จอด
9. ตัวรถเอง ต้องจ่ายภาษีป้ายทุกปี  ซึ่ง ภาษีนี้ ราคาตามขนาดรถ และราคาเท่ากันทุกปี ไม่มีแพงขึ้นอย่างที่ชอบพูดกันว่าภาษ๊รถยิ่งเก่ายิ่งแพง
10. แต่ปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 ปี  ก่อนที่จะยื่นต่อภาษี จะต้องตรวจสภาพรถก่อน ซึ่งเหมือน ตรอ บ้านเรา
11. ค่าตรวจรถ มีอัตราหลัก xx หมื่นเยน ไม่แพงมากนัก และเท่า ๆ กันในทุกปีที่ตรวจ ไม่ได้แพงขึ้นตามความเก่าของรถ
12. แต่การส่งรถเข้าตรวจเพื่อต่อภาษี นั่นแปลว่า เจ้าของรถต้องการต่อทะเบียน ดังนั้นจึงเท่ากับสั่งให้ทางอู่ตรวจรถทำการปรับสภาพรถในรายการ
      ที่ไม่ผ่านการตรวจ ให้สามารถเข้าเกณฑ์ต่อภาษีได้  ตรงนี้สำคัญ ดังนั้น รถยิ่งเก่า ยิ่งสภาพไม่ดี จะมีจุดที่ไม่ผ่านเยอะ และต้องซ่อม
      ต้องเปลี่ยนอะไหล่เยอะ ค่าใช้จ่ายก็จะสูง จะแพงขค้น จึงเป็นที่มาที่ว่า ยิ่งเก่ายิ่งแพง
13. ตรวจสภาพรถที่ญี่ปุ่นจะคล้ายบ้านเรา แต่หัวข้อเยอะกว่า และลงลึกว่า เช่น มลพิษ การทำงานของเบรค (จะดูลึกไปถึงความหนาผ้าเบรค)
      ไฟส่องสว่าง (ติดครบ, แสงสว่างได้, เลนส์ไม่ร้าว) การสึกหรอของยาง,  การเก็บไฟแบต, บลา ๆ ๆ ๆ  โดยรวม ๆ จะกินไปเกินกว่า
      หลักแสนเยน
14. ทำประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ

ก็ประมาณนี้ครับ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ข้อเท็จจริง กับสิ่งที่สื่อไทยพยายามสร้างภาพบิดเบือนความคิดคน
หรือถ้าจะให้ชัดคือ   เราจะเห็นตัวเลขรายได้ของคนญี่ปุ่นที่ดูสูง แต่สื่อไม่เคยพูดเรื่องภาษีเงินได้ที่ต้องจ่าย
ในขณะที่ราคารถที่นั่นถุก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถ 
เอาล่ะ pain point ของคนไทยในการมีรถคือภาษีสรรพสามิตที่ทำให้รถแพง
ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเก็บภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์ก็ได้ ในเมื่อเขาเก็บภาษีบุคคลไปเยอะแล้ว
pain point ของคนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ภาษีทั้งคู่ แต่ตัวภาษีที่ตกอยู่กับบุคคลมันคนละตัวกัน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คือ กรณีของคนญี่ปุ่น ถึงไม่ได้ซื้อรถก็จ่ายภาษีกันอ่วม
ในขณะที่คนไทย ถ้าไม่ได้ซื้อรถก็ไม่ต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เลย 
คนไทย 60++ ล้านคน ยื่น ภงด แค่ 10 ล้านคน และจ่ายจริงแค่ 4 ล้านคนเองนะ
ถามว่าแล้วอีก 50 กว่าล้านคนไปไหน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ร่วมด้วยช่วยกันใช้สาธารณูปโภคส่วนกลางของประเทศนี้
ถ้าเขาไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก กับ VAT แค่ 7% และไม่ได้เก็บกับสินค้าครบทุกหมวดหมู่
แล้วคนแค่ 4 ล้านคนที่จ่าย ภงด จะแบกไหวไหมครับ

เขียนมาดีครับ แต่ดันมาลงเอยเหยียดตอนท้าย แล้วเหยียดแบบผิดๆด้วย

Vat แค่ 7% เนี่ย ในปีงบประมาณ 65 คือ 9.3 แสนล้านบาท
ภาษีเงินได้บุคคล คือ 3.68 แสนล้าน
ในขณะที่ภาษีจากสรรพสามิตรถยนต์ คือ 0.97 แสนล้านบาท

คนจนไม่ได้ซื้อรถ แต่ซื้อมอเตอร์ไซค์ (ซึ่งอัตราการครอบครองมิเตอร์ไซค์ คือ 87% ของครัวเรือนในปี 62) ซึ่งมอเตอร์ไซค์ต้องเติมน้ำมัน
ซึ่งสรรพสามิตน้ำมัน ในปีงบประมาณ 65 คือ 1.67 แสนล้าน

นี่ละครับ คือคำตอบว่าแล้วอีก 50 ล้านคนไปไหน อย่าไปทึกทักเอาเองว่ามีแต่คนจ่ายภาษีเงินได้ที่ต้องแบกภาษีอยู่กลุ่มเดียว

ออฟไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,709
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 11:06:01 »
ให้ข้อมูลคร่าว ๆ ครับ

1. ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 26 บาท (โดยประมาณ) ดังนั้น เวลาเห็นสินค้าราคาเยน ให้คูณ 0.26 ก็จะเป็นบาทไทย
2. ราคาในญี่ปุ่น มักจะยังไม่รวม VAT ซึ่งคิด 10% (ของไทยคิด 7%)  ใครถูก ใครแพง ลองคิดดู
3. ค่าแรงญี่ปุ่น ถ้างานพาร์ทไทม์ ชั่วโมงละ 800-1000 เยน, ปริญญาตรี งานประจำ เริ่มต้นประมาณ 180,000 - 200,000 เยน
    ด้วยอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำจนถึงติดลบ ในแต่ละปี เงินเดือนขึ้นแค่หลักร้อย ถึง พันเยน เรียกได้ว่าเงินเดือนแทบไม่ขึ้น ถ้าไม่เก่งจน
    ได้โปรโมทเลือนตำแหน่ง
    ส่วนงานพาร์ทไทม่ เท่าที่สังเกต ร้านสะดวกซื้อ ขนาด เท่าๆ กับบ้านเราจะมีพนักงาน 3-4 คน แต่ที่ญี่ปุ่นใช้คน 1-2 คน

4. ภาษีที่ต้องจ่าย
     4.1 ภาษีเงินได้ มีอัตราก้าวหน้า พอ ๆ กับบ้านเรา จ่ายเข้ารัฐบาลกลาง
     4.2 ภาษีท้องถิ่น มีอัตราสูงกว่าภาษีเงินได้หน่อย ๆ  จ่ายเข้าเมืองที่เราอยู่ ตามทะเบียนบ้าน  (ภาษีนี้ที่ไทยไม่มี คนไทยไม่ได้จ่าย)
     4.3 เงินส่งประกันสุขภาพ  ต้องทำประกัน เพื่อเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล เราจะจ่ายแค่ 30% และเอาใบสั่งยาแพทย์ไปซื้อยาเอง
           ยังต้องจ่ายค่าหมอ แม้ว่าจะส่งเงินประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีประกันแล้วต้องจ่ายเอง 100% จะไหวไหม (ในขณะที่ไทย
           ใช้ประกันสังคม หรือบัตรทอง   ลองคิดดู)
     4.4 เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  อันนี้เก็บเป็นเงินบำนาญเหมือนบ้านเรา
     ทั้งหมด 4.1 - 4.4 คิดรวม ๆ แล้ว เงินเดือนจะหายไปประมาณ 25% 
5. ค่าเช่าห้อง 20-25 ตรม. ประมาณ 4-5 หมื่นเยนต่อเดือน น้ำ ไฟ จ่ายต่างหาก ถ้ามีทีวี ต้องจ่ายให้ NHK อีก

6. รถ ราคาประมาณ 1.5 ล้านเยน สำหรับพวก City, Yaris
7. แต่ก่อนจะซื้อรถ ต้องมีที่จอดก่อน โดยที่จอดนั้นต้องมีหลักฐานเป็นโฉนด แปลนที่จอดที่แสดงตำแหน่ง ความกว้าง x ยาว ที่จอด
8. จะซื้อรถอะไร ขนาดรถ กว้าง ยาว เท่าไหร่ ต้องไม่เกินที่จอดรถ และจะลักไก่เอาที่จอดซ้ำกันคันอื่นที่ลงทะเบียนจอดตรงนั้นแล้วไม่ได้
    และต้องเอา โฉนด ไปยื่นขอใบรับรองที่เขต หรือ สถานีตำรวจ อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะดีลเลอร์ดำเนินการให้  ดังนั้น การได้มาของโฉนด
    หรือ ใบเจ้าของที่รับรอง คือ ต้องมีบ้านที่มีที่จอดรถของตนเอง หรือสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อทางเจ้าของที่จะเซ็นต์ยินยอมให้จอด
9. ตัวรถเอง ต้องจ่ายภาษีป้ายทุกปี  ซึ่ง ภาษีนี้ ราคาตามขนาดรถ และราคาเท่ากันทุกปี ไม่มีแพงขึ้นอย่างที่ชอบพูดกันว่าภาษ๊รถยิ่งเก่ายิ่งแพง
10. แต่ปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 ปี  ก่อนที่จะยื่นต่อภาษี จะต้องตรวจสภาพรถก่อน ซึ่งเหมือน ตรอ บ้านเรา
11. ค่าตรวจรถ มีอัตราหลัก xx หมื่นเยน ไม่แพงมากนัก และเท่า ๆ กันในทุกปีที่ตรวจ ไม่ได้แพงขึ้นตามความเก่าของรถ
12. แต่การส่งรถเข้าตรวจเพื่อต่อภาษี นั่นแปลว่า เจ้าของรถต้องการต่อทะเบียน ดังนั้นจึงเท่ากับสั่งให้ทางอู่ตรวจรถทำการปรับสภาพรถในรายการ
      ที่ไม่ผ่านการตรวจ ให้สามารถเข้าเกณฑ์ต่อภาษีได้  ตรงนี้สำคัญ ดังนั้น รถยิ่งเก่า ยิ่งสภาพไม่ดี จะมีจุดที่ไม่ผ่านเยอะ และต้องซ่อม
      ต้องเปลี่ยนอะไหล่เยอะ ค่าใช้จ่ายก็จะสูง จะแพงขค้น จึงเป็นที่มาที่ว่า ยิ่งเก่ายิ่งแพง
13. ตรวจสภาพรถที่ญี่ปุ่นจะคล้ายบ้านเรา แต่หัวข้อเยอะกว่า และลงลึกว่า เช่น มลพิษ การทำงานของเบรค (จะดูลึกไปถึงความหนาผ้าเบรค)
      ไฟส่องสว่าง (ติดครบ, แสงสว่างได้, เลนส์ไม่ร้าว) การสึกหรอของยาง,  การเก็บไฟแบต, บลา ๆ ๆ ๆ  โดยรวม ๆ จะกินไปเกินกว่า
      หลักแสนเยน
14. ทำประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ

ก็ประมาณนี้ครับ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ข้อเท็จจริง กับสิ่งที่สื่อไทยพยายามสร้างภาพบิดเบือนความคิดคน
หรือถ้าจะให้ชัดคือ   เราจะเห็นตัวเลขรายได้ของคนญี่ปุ่นที่ดูสูง แต่สื่อไม่เคยพูดเรื่องภาษีเงินได้ที่ต้องจ่าย
ในขณะที่ราคารถที่นั่นถุก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถ 
เอาล่ะ pain point ของคนไทยในการมีรถคือภาษีสรรพสามิตที่ทำให้รถแพง
ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเก็บภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์ก็ได้ ในเมื่อเขาเก็บภาษีบุคคลไปเยอะแล้ว
pain point ของคนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ภาษีทั้งคู่ แต่ตัวภาษีที่ตกอยู่กับบุคคลมันคนละตัวกัน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คือ กรณีของคนญี่ปุ่น ถึงไม่ได้ซื้อรถก็จ่ายภาษีกันอ่วม
ในขณะที่คนไทย ถ้าไม่ได้ซื้อรถก็ไม่ต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เลย 
คนไทย 60++ ล้านคน ยื่น ภงด แค่ 10 ล้านคน และจ่ายจริงแค่ 4 ล้านคนเองนะ
ถามว่าแล้วอีก 50 กว่าล้านคนไปไหน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ร่วมด้วยช่วยกันใช้สาธารณูปโภคส่วนกลางของประเทศนี้
ถ้าเขาไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก กับ VAT แค่ 7% และไม่ได้เก็บกับสินค้าครบทุกหมวดหมู่
แล้วคนแค่ 4 ล้านคนที่จ่าย ภงด จะแบกไหวไหมครับ

เขียนมาดีครับ แต่ดันมาลงเอยเหยียดตอนท้าย แล้วเหยียดแบบผิดๆด้วย

Vat แค่ 7% เนี่ย ในปีงบประมาณ 65 คือ 9.3 แสนล้านบาท
ภาษีเงินได้บุคคล คือ 3.68 แสนล้าน
ในขณะที่ภาษีจากสรรพสามิตรถยนต์ คือ 0.97 แสนล้านบาท

คนจนไม่ได้ซื้อรถ แต่ซื้อมอเตอร์ไซค์ (ซึ่งอัตราการครอบครองมิเตอร์ไซค์ คือ 87% ของครัวเรือนในปี 62) ซึ่งมอเตอร์ไซค์ต้องเติมน้ำมัน
ซึ่งสรรพสามิตน้ำมัน ในปีงบประมาณ 65 คือ 1.67 แสนล้าน

นี่ละครับ คือคำตอบว่าแล้วอีก 50 ล้านคนไปไหน อย่าไปทึกทักเอาเองว่ามีแต่คนจ่ายภาษีเงินได้ที่ต้องแบกภาษีอยู่กลุ่มเดียว

คนที่จ่าย ภ.ง.ด.แล้วไม่ต้องจ่าย VAT ไม่ต้องจ่ายสรพพสามิต ไม่ต้องจ่ายภาษีน้ำมันรึไง?
สุดท้ายแล้วคนที่จ่าย ภ.ง.ด.ก็จ่ายภาษีทั้งหมดมากกว่าอยู่ดี

ถ้าคิดว่า 4 ล้านคนนี้ไม่แบก ก็ช่วยมาเข้าระบบแล้วจ่ายภาษีเงินได้หน่อยสิครับ
พวกภาษีสรรพสามิต พวก VAT มันจะได้ลดลงไง

คิดแบบ simple เลยว่า ถ้าคนไทยทุกคนที่มีเงินได้ จ่ายภาษีเงินได้รวมๆ กันเป็น
3.68 + 0.97 + 1.67 แสนล้าน เราก็ไม่ต้องมีภาษีสรรพสามิตรถยนต์
ไม่ต้องมีภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เราก็ได้ซื้อรถถูก น้ำมันถูกไงครับ

ปล. อันนี้มองเฉพาะในแง่ของเม็ดเงินภาษีที่จะเอามาใช้จ่ายส่วนกลางเท่านั้นนะครับ
ไม่นับรวมหน้าที่ของภาษีสรรพสามิตที่จะทีจะทำหน้าที่ในการควบคุมพฤติกรรมการบริโภค
ของประชาชน

ิอ้อ แล้วที่ว่า VAT แค่ 7% เนี่ย  ในบริบทของกระทู้นี้กำลังเทียบกับญี่ปุ่นที่ VAT 10%
แต่ไม่เก็บสรรพสามิตรถยนต์  ซึ่งถ้าจะให้เราเป็นแบบญี่ปุ่น นั่นคืออัด VAT เพิ่มให้ได้เม็ดเงิน
0.97 แสนล้านมาแทนสรรพสามิตรถยนต์ ทำให้รถยนต์ถูกลงจริง แต่ชาวบ้านที่ไม่ได้ต้องการรถยนต์
ก็จะจ่ายค่าเครื่องอุปโภคแพงขึ้นแทน มันควรรึเปล่าล่ะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 11:16:11 โดย Symphonic »

ออฟไลน์ PaPaMan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,188
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 11:40:06 »
ยังมีอีกเรื่องที่คนไทยไม่คาดคิด แต่ถ้าใครเคยไปเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นแล้วจะสังเกตเห็น

นั่นคือค่าใช้ถนน หรือ "ค่าทางด่วน"

และมันไม่ใช่ทางด่วนที่อยู่ในเมือง แต่เป็นทางด่วนระหว่างเมือง

ถ้าเราอยู่เมืองไทย ขับรถจาก กทม ไปเชียงใหม่ 6-700 กม. วิ่งไฮเวย์ฟรี

แต่ที่ญี่ปุ่น ถ้าขับรถจาก โตเกียว ไป โอซาก้า ระยะทางประมาณ 5xx กม.
ใช้เวลาประมาณ 7 ชม. ต้องจ่ายค่าทางด่วน ราว ๆ 11,xxx เยน
หรือตก กม.ละ ประมาณ 20 เยน

แต่ถ้าจะไม่จ่ายเงิน จะไปถนนหลวง ก็จะต้องวิ่งถนน local 2 เลนสวน
ผ่านเมือง ติดไฟแดง ซึ่งอาจใช้เวลาเกิน 12 ชั่วโมง

ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นความแตกต่างที่ถ้าเราเอา mindset แบบไทย ๆ ไปคิด
ก็จะคิดว่าทางหลวงจังหวัดต้องฟรี  ซึ่งไม่ใช่ ทั้ง ๆ ที่ญี่ปุ่นเก็บภาษีเงินได้บุคคล
อย่างมากไปแล้วครับ


ใช่เลยครับ เคยไปเที่ยวฮอกไกโดเช่ารถขับ ยอมซื้อค่าทางด่วนเหมาแบบ etc บอกเลยว่าคุ้มมาก วันนั้นลองคำนวณค่าทางด่วนได้ 3 พันกว่าบาท


เมืองไทยขับรถจาก กทม.ไปเชียงใหม่ไม่ต้องเสียค่าผ่านทางเลยซักบาท หรือเสียแค่ช่วงในกรุงเทพฯ


ประเทศไทยมีทางด่วน (ทางที่ต้องจ่ายค่าผ่านทาง) เป็นอันดับ 6 ของ south east asia แต่ความยาวของถนนมากเป็นอันดับหนึ่ง


เรื่องถนนในเมืองไทย ต่างชาติละแวกนี้เขาอิจฉาเราทั้งนั้นครับ ของเขาต้องเสียตังค์ ของเราไม่ต้อง แถมสภาพดีกว่าอีก

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,977
    • อีเมล์
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 11:59:06 »
ยังมีคนคิดว่า เสีย vat7 คือเสียภาษีเงินได้อยู่อีกหรอเนี่ย ...

เด็ก 6 ขวบ เดินไปขอเงินแม่ 10 บาท ไปซื้อขนมโปเต้ใน เซเว่น ใบเสร็จออกมามี vat 7% เด็กคนนั้นคือผู้เสียภาษีหรอ

แยกให้ออกนะครับ Vat กับ ภาษีเงินได้่ ที่คุณ Symphonic บอก มันคนละตัวกัน ภาษีเงินได้ ใครมีรายได้มากกว่า 3แสนบาท/ปี หรือเงินเดือนมากกว่า 26000บาท/เดือน ถึงจะเสียภาษี ตัวนั้นเค้าหักจากรายได้เราต้องจ่ายทุกปี ส่วน Vat อะ คนรวยคนจน ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้หลักล้าน เติมน้ำมันรถ ก็ต้องจ่ายทุกคนแหละ 

คนขับรถยนต์เดิมน้ำมัน 1000 บาท vat 7%= 70 บาท ส่วนมอไซด์ เติมน้ำมัน 100 บาท Vat7% = 7บาท ต่างกันเยอะไหมล่ะ ใครเป็นตัวแบก

ซื้อของเสีย Vat กับเติมน้ำมันเสีย Vat เค้าเรียกภาษีมูลค่าเพิ่มครับ ไม่ใช่ภาษีเงินได้ คนละตัวนะ ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 12:14:13 โดย apinui »

ออฟไลน์ Devil13

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,005
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 12:39:13 »
ว่าเรื่องรายได้ คนทำความสะอาด 47,520 คิดว่ายังไม่หักภาษีนะ รับจริงเหลือเท่าไรไม่รู้

รถญี่ปุ่นไม่แพง ตีเป็นเงินบาทก็ถูกกว่าไทยแต่ภาษีและอื่นๆแพงมาก

ทีนี้มาประเด็น คุณสมบัติคนทำความสะอาด คือต้องได้ (JLPT) N4 และ (JFT) A2

ซึ่งถ้าใครสอบผ่าน 2 ใบนี้ ไม่ต้องไปเป็นคนทำความสะอาดหรอกครับ มาสมัครเป็นล่ามบริษัทญี่ปุ่นในไทย ได้เงินประมาณนี้แหละ งานดีกว่า สบายกว่าคนทำความสะอาดเยอะ

คุณสมบัติแบบนี้ ให้เป็นคนทำความสะอาด บ้าไปแล้ว

ล่ามตามบริษัทใช้ N2 หรือ N1 ครับ
พนง. ตามร้าน งานต้อนรับ งานทั่วๆไป N3

ออฟไลน์ Devil13

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,005
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 12:46:19 »
บอกเลยครับ เงินเดือนแค่นี้ อยู่ญี่ปุ่น อ้วกครับ
ไหนจะค่าครองชีพ ไหนจะภาษี

เอาจริงๆ เรทนี้อยู่ได้ครับ
และก็มีคนไปอยู่กันเยอะ
ใช้จ่ายตามกำลัง
ทำอาหารกินเอง ซื้อของซุปเปอร์ปกติที่ไม่หรูหรา ถ้าบริหารดีก็อยู่ได้
แต่เอาราคาร้านดัง X 3 มือ + ค่าที่พักระดับบนๆ มันก็ไม่รอด
คนญี่ปุ่นเอง ระดับผู้จัดการยังไม่กินข้าวที่ร้านทุกมือเลย ที่พักก็อยู่ระดับธรรมดาเรียบง่าย

ออฟไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,709
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 13:01:53 »
ยังมีคนคิดว่า เสีย vat7 คือเสียภาษีเงินได้อยู่อีกหรอเนี่ย ...

เด็ก 6 ขวบ เดินไปขอเงินแม่ 10 บาท ไปซื้อขนมโปเต้ใน เซเว่น ใบเสร็จออกมามี vat 7% เด็กคนนั้นคือผู้เสียภาษีหรอ

แยกให้ออกนะครับ Vat กับ ภาษีเงินได้่ ที่คุณ Symphonic บอก มันคนละตัวกัน ภาษีเงินได้ ใครมีรายได้มากกว่า 3แสนบาท/ปี หรือเงินเดือนมากกว่า 26000บาท/เดือน ถึงจะเสียภาษี ตัวนั้นเค้าหักจากรายได้เราต้องจ่ายทุกปี ส่วน Vat อะ คนรวยคนจน ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้หลักล้าน เติมน้ำมันรถ ก็ต้องจ่ายทุกคนแหละ 

คนขับรถยนต์เดิมน้ำมัน 1000 บาท vat 7%= 70 บาท ส่วนมอไซด์ เติมน้ำมัน 100 บาท Vat7% = 7บาท ต่างกันเยอะไหมล่ะ ใครเป็นตัวแบก

ซื้อของเสีย Vat กับเติมน้ำมันเสีย Vat เค้าเรียกภาษีมูลค่าเพิ่มครับ ไม่ใช่ภาษีเงินได้ คนละตัวนะ ...

ใช่ครับพี่  ด้วยข้อมูลชุดเดียวกัน แต่การตีความต่างมุมมองกันเลยจริง ๆ

อันที่จริงข้อมูลที่พี่เขายกมา มันก็สนับสนุนสิ่งที่ผมอธิบายอยู่แล้วว่า เมื่อเราเก็บภาษีเงินได้แค่ 3.68 แสนล้าน
เราถึงต้องไปเก็บภาษีอื่น ๆ (เช่นภาษีรถ) เพื่อรวมเป็นเงินทุนสำหรับดำเนินการในประเทศไง

แล้วเขาคิดมั้ยครับว่า ถ้าเมื่อภาษีเงินได้มันเก็บได้แค่ 3.68 แสนล้าน  ถ้างั้นยกเลิกเก็บเลยดีมั้ย
ไปอัด VAT แทน  เอาซัก 20-25% ดีมั้ย ให้มันได้ เพิ่มจาก 9.3 แสนล้าน เป็น 12.98 แสนล้านแทน
cover ส่วนของภาษีเงินได้ที่ยกเลิกไปไง   ผมโอเคนะ เงินเดือนได้เต็ม ๆ ไม่หัก แล้วไปจ่ายภาษีตอนใช้จ่ายต่าง ๆ
เอามั้ยล่ะครับ  คนที่ไม่ยอมเข้าระบบภาษีเงินได้จะได้รับไปเต็ม ๆ  จะได้ไม่ต้องมาคิดว่าคนที่โดนหักภาษีเงินได้เขาเหยียดน่ะ

ออฟไลน์ Weetting

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,974
  • ช่วงล่าง+เครื่องยนต์
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 14:14:49 »
VAT กับ TAX 


คนละเรื่องกันนะครับ    ระบบในไทยคนที่เสีย TAX มาก ก็มีแนวโน้มจะ เสียVAT เพิ่มขึ้นตามตัวครับ 

ลองคิดตามดูก็ได้ ว่าคนเงินเดือน 2 หมื่น กับ 8 หมื่น   ใครมีแนวโน้มเสีย VAT มากกว่ากัน

อย่ามาท่องเป็นนกแก้ว เสียภาษีให้รัฐบาลเอาไปผลาญ โดยการเดินเข้า 7-11  ;D ;D ;D ;D
THE Manual Gearbox Preservation Society
Drive diesel until last day

ออฟไลน์ krating

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 89
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 14:22:47 »
เพราะแยกไม่ออก ภาษีเงินได้ กะ Vat 7% 
วันก่อนมีลุงแถวบ้าน ไปบอกเด็กว่า ถ้าหนูไปซื้อโปเต้ 10บาท ที่ เซเว่น
พวกหนูก็เป็นผู้เสียภาษีแล้วละ เป็นบุคคลสำคัญเชียวนะเออ

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,977
    • อีเมล์
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 15:12:38 »
ยังมีคนคิดว่า เสีย vat7 คือเสียภาษีเงินได้อยู่อีกหรอเนี่ย ...

เด็ก 6 ขวบ เดินไปขอเงินแม่ 10 บาท ไปซื้อขนมโปเต้ใน เซเว่น ใบเสร็จออกมามี vat 7% เด็กคนนั้นคือผู้เสียภาษีหรอ

แยกให้ออกนะครับ Vat กับ ภาษีเงินได้่ ที่คุณ Symphonic บอก มันคนละตัวกัน ภาษีเงินได้ ใครมีรายได้มากกว่า 3แสนบาท/ปี หรือเงินเดือนมากกว่า 26000บาท/เดือน ถึงจะเสียภาษี ตัวนั้นเค้าหักจากรายได้เราต้องจ่ายทุกปี ส่วน Vat อะ คนรวยคนจน ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้หลักล้าน เติมน้ำมันรถ ก็ต้องจ่ายทุกคนแหละ 

คนขับรถยนต์เดิมน้ำมัน 1000 บาท vat 7%= 70 บาท ส่วนมอไซด์ เติมน้ำมัน 100 บาท Vat7% = 7บาท ต่างกันเยอะไหมล่ะ ใครเป็นตัวแบก

ซื้อของเสีย Vat กับเติมน้ำมันเสีย Vat เค้าเรียกภาษีมูลค่าเพิ่มครับ ไม่ใช่ภาษีเงินได้ คนละตัวนะ ...

ใช่ครับพี่  ด้วยข้อมูลชุดเดียวกัน แต่การตีความต่างมุมมองกันเลยจริง ๆ

อันที่จริงข้อมูลที่พี่เขายกมา มันก็สนับสนุนสิ่งที่ผมอธิบายอยู่แล้วว่า เมื่อเราเก็บภาษีเงินได้แค่ 3.68 แสนล้าน
เราถึงต้องไปเก็บภาษีอื่น ๆ (เช่นภาษีรถ) เพื่อรวมเป็นเงินทุนสำหรับดำเนินการในประเทศไง

แล้วเขาคิดมั้ยครับว่า ถ้าเมื่อภาษีเงินได้มันเก็บได้แค่ 3.68 แสนล้าน  ถ้างั้นยกเลิกเก็บเลยดีมั้ย
ไปอัด VAT แทน  เอาซัก 20-25% ดีมั้ย ให้มันได้ เพิ่มจาก 9.3 แสนล้าน เป็น 12.98 แสนล้านแทน
cover ส่วนของภาษีเงินได้ที่ยกเลิกไปไง   ผมโอเคนะ เงินเดือนได้เต็ม ๆ ไม่หัก แล้วไปจ่ายภาษีตอนใช้จ่ายต่าง ๆ
เอามั้ยล่ะครับ  คนที่ไม่ยอมเข้าระบบภาษีเงินได้จะได้รับไปเต็ม ๆ  จะได้ไม่ต้องมาคิดว่าคนที่โดนหักภาษีเงินได้เขาเหยียดน่ะ

ถ้ามุมนี้ ผมนึกถึงประเทศโมนาโกเลยนะ .. คือไม่มีเก็บ Tax แต่เก็บ vat แพงมาก ของทุกอย่างในประเทศนี้แพงหมดค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก  เคยได้ยินว่า น้ำปล่าที่บ้านเราขาย 7 บาท ที่นั่นขาย 1000 บาทอะ (ถ้าเทียบเป็นเงินบาทนะ)

เก็บแบบนี้ในไทย ไม่รู้ใครจะอยู่ได้บ้าง คนจนตามหมด

ออฟไลน์ I-PULSE

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 978
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 15:13:32 »
รายได้แค่นั้นต้องมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นบ้างด้วย อยู่ไทยเถอะครับ สบายกว่าเยอะ

ออฟไลน์ Ao_Chosi

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 208
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 15:14:15 »
้เป็นอีก 1 กระทู้ ที่น่าสนใจและมีสาระ ในรอบปีนี้เลยครับ

ออฟไลน์ dht_tubes

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,647
    • อีเมล์
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 16:39:50 »
ให้ข้อมูลคร่าว ๆ ครับ

1. ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 26 บาท (โดยประมาณ) ดังนั้น เวลาเห็นสินค้าราคาเยน ให้คูณ 0.26 ก็จะเป็นบาทไทย
2. ราคาในญี่ปุ่น มักจะยังไม่รวม VAT ซึ่งคิด 10% (ของไทยคิด 7%)  ใครถูก ใครแพง ลองคิดดู
3. ค่าแรงญี่ปุ่น ถ้างานพาร์ทไทม์ ชั่วโมงละ 800-1000 เยน, ปริญญาตรี งานประจำ เริ่มต้นประมาณ 180,000 - 200,000 เยน
    ด้วยอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำจนถึงติดลบ ในแต่ละปี เงินเดือนขึ้นแค่หลักร้อย ถึง พันเยน เรียกได้ว่าเงินเดือนแทบไม่ขึ้น ถ้าไม่เก่งจน
    ได้โปรโมทเลือนตำแหน่ง
    ส่วนงานพาร์ทไทม่ เท่าที่สังเกต ร้านสะดวกซื้อ ขนาด เท่าๆ กับบ้านเราจะมีพนักงาน 3-4 คน แต่ที่ญี่ปุ่นใช้คน 1-2 คน

4. ภาษีที่ต้องจ่าย
     4.1 ภาษีเงินได้ มีอัตราก้าวหน้า พอ ๆ กับบ้านเรา จ่ายเข้ารัฐบาลกลาง
     4.2 ภาษีท้องถิ่น มีอัตราสูงกว่าภาษีเงินได้หน่อย ๆ  จ่ายเข้าเมืองที่เราอยู่ ตามทะเบียนบ้าน  (ภาษีนี้ที่ไทยไม่มี คนไทยไม่ได้จ่าย)
     4.3 เงินส่งประกันสุขภาพ  ต้องทำประกัน เพื่อเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล เราจะจ่ายแค่ 30% และเอาใบสั่งยาแพทย์ไปซื้อยาเอง
           ยังต้องจ่ายค่าหมอ แม้ว่าจะส่งเงินประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีประกันแล้วต้องจ่ายเอง 100% จะไหวไหม (ในขณะที่ไทย
           ใช้ประกันสังคม หรือบัตรทอง   ลองคิดดู)
     4.4 เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  อันนี้เก็บเป็นเงินบำนาญเหมือนบ้านเรา
     ทั้งหมด 4.1 - 4.4 คิดรวม ๆ แล้ว เงินเดือนจะหายไปประมาณ 25% 
5. ค่าเช่าห้อง 20-25 ตรม. ประมาณ 4-5 หมื่นเยนต่อเดือน น้ำ ไฟ จ่ายต่างหาก ถ้ามีทีวี ต้องจ่ายให้ NHK อีก

6. รถ ราคาประมาณ 1.5 ล้านเยน สำหรับพวก City, Yaris
7. แต่ก่อนจะซื้อรถ ต้องมีที่จอดก่อน โดยที่จอดนั้นต้องมีหลักฐานเป็นโฉนด แปลนที่จอดที่แสดงตำแหน่ง ความกว้าง x ยาว ที่จอด
8. จะซื้อรถอะไร ขนาดรถ กว้าง ยาว เท่าไหร่ ต้องไม่เกินที่จอดรถ และจะลักไก่เอาที่จอดซ้ำกันคันอื่นที่ลงทะเบียนจอดตรงนั้นแล้วไม่ได้
    และต้องเอา โฉนด ไปยื่นขอใบรับรองที่เขต หรือ สถานีตำรวจ อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะดีลเลอร์ดำเนินการให้  ดังนั้น การได้มาของโฉนด
    หรือ ใบเจ้าของที่รับรอง คือ ต้องมีบ้านที่มีที่จอดรถของตนเอง หรือสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อทางเจ้าของที่จะเซ็นต์ยินยอมให้จอด
9. ตัวรถเอง ต้องจ่ายภาษีป้ายทุกปี  ซึ่ง ภาษีนี้ ราคาตามขนาดรถ และราคาเท่ากันทุกปี ไม่มีแพงขึ้นอย่างที่ชอบพูดกันว่าภาษ๊รถยิ่งเก่ายิ่งแพง
10. แต่ปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 ปี  ก่อนที่จะยื่นต่อภาษี จะต้องตรวจสภาพรถก่อน ซึ่งเหมือน ตรอ บ้านเรา
11. ค่าตรวจรถ มีอัตราหลัก xx หมื่นเยน ไม่แพงมากนัก และเท่า ๆ กันในทุกปีที่ตรวจ ไม่ได้แพงขึ้นตามความเก่าของรถ
12. แต่การส่งรถเข้าตรวจเพื่อต่อภาษี นั่นแปลว่า เจ้าของรถต้องการต่อทะเบียน ดังนั้นจึงเท่ากับสั่งให้ทางอู่ตรวจรถทำการปรับสภาพรถในรายการ
      ที่ไม่ผ่านการตรวจ ให้สามารถเข้าเกณฑ์ต่อภาษีได้  ตรงนี้สำคัญ ดังนั้น รถยิ่งเก่า ยิ่งสภาพไม่ดี จะมีจุดที่ไม่ผ่านเยอะ และต้องซ่อม
      ต้องเปลี่ยนอะไหล่เยอะ ค่าใช้จ่ายก็จะสูง จะแพงขค้น จึงเป็นที่มาที่ว่า ยิ่งเก่ายิ่งแพง
13. ตรวจสภาพรถที่ญี่ปุ่นจะคล้ายบ้านเรา แต่หัวข้อเยอะกว่า และลงลึกว่า เช่น มลพิษ การทำงานของเบรค (จะดูลึกไปถึงความหนาผ้าเบรค)
      ไฟส่องสว่าง (ติดครบ, แสงสว่างได้, เลนส์ไม่ร้าว) การสึกหรอของยาง,  การเก็บไฟแบต, บลา ๆ ๆ ๆ  โดยรวม ๆ จะกินไปเกินกว่า
      หลักแสนเยน
14. ทำประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ

ก็ประมาณนี้ครับ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ข้อเท็จจริง กับสิ่งที่สื่อไทยพยายามสร้างภาพบิดเบือนความคิดคน
หรือถ้าจะให้ชัดคือ   เราจะเห็นตัวเลขรายได้ของคนญี่ปุ่นที่ดูสูง แต่สื่อไม่เคยพูดเรื่องภาษีเงินได้ที่ต้องจ่าย
ในขณะที่ราคารถที่นั่นถุก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถ 
เอาล่ะ pain point ของคนไทยในการมีรถคือภาษีสรรพสามิตที่ทำให้รถแพง
ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเก็บภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์ก็ได้ ในเมื่อเขาเก็บภาษีบุคคลไปเยอะแล้ว
pain point ของคนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ภาษีทั้งคู่ แต่ตัวภาษีที่ตกอยู่กับบุคคลมันคนละตัวกัน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คือ กรณีของคนญี่ปุ่น ถึงไม่ได้ซื้อรถก็จ่ายภาษีกันอ่วม
ในขณะที่คนไทย ถ้าไม่ได้ซื้อรถก็ไม่ต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เลย 
คนไทย 60++ ล้านคน ยื่น ภงด แค่ 10 ล้านคน และจ่ายจริงแค่ 4 ล้านคนเองนะ
ถามว่าแล้วอีก 50 กว่าล้านคนไปไหน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ร่วมด้วยช่วยกันใช้สาธารณูปโภคส่วนกลางของประเทศนี้
ถ้าเขาไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก กับ VAT แค่ 7% และไม่ได้เก็บกับสินค้าครบทุกหมวดหมู่
แล้วคนแค่ 4 ล้านคนที่จ่าย ภงด จะแบกไหวไหมครับ


เยี่ยมครับ

ออฟไลน์ Winnie_The_Poom

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 501
    • อีเมล์
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 21:03:53 »
ให้ข้อมูลคร่าว ๆ ครับ

1. ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 26 บาท (โดยประมาณ) ดังนั้น เวลาเห็นสินค้าราคาเยน ให้คูณ 0.26 ก็จะเป็นบาทไทย
2. ราคาในญี่ปุ่น มักจะยังไม่รวม VAT ซึ่งคิด 10% (ของไทยคิด 7%)  ใครถูก ใครแพง ลองคิดดู
3. ค่าแรงญี่ปุ่น ถ้างานพาร์ทไทม์ ชั่วโมงละ 800-1000 เยน, ปริญญาตรี งานประจำ เริ่มต้นประมาณ 180,000 - 200,000 เยน
    ด้วยอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำจนถึงติดลบ ในแต่ละปี เงินเดือนขึ้นแค่หลักร้อย ถึง พันเยน เรียกได้ว่าเงินเดือนแทบไม่ขึ้น ถ้าไม่เก่งจน
    ได้โปรโมทเลือนตำแหน่ง
    ส่วนงานพาร์ทไทม่ เท่าที่สังเกต ร้านสะดวกซื้อ ขนาด เท่าๆ กับบ้านเราจะมีพนักงาน 3-4 คน แต่ที่ญี่ปุ่นใช้คน 1-2 คน

4. ภาษีที่ต้องจ่าย
     4.1 ภาษีเงินได้ มีอัตราก้าวหน้า พอ ๆ กับบ้านเรา จ่ายเข้ารัฐบาลกลาง
     4.2 ภาษีท้องถิ่น มีอัตราสูงกว่าภาษีเงินได้หน่อย ๆ  จ่ายเข้าเมืองที่เราอยู่ ตามทะเบียนบ้าน  (ภาษีนี้ที่ไทยไม่มี คนไทยไม่ได้จ่าย)
     4.3 เงินส่งประกันสุขภาพ  ต้องทำประกัน เพื่อเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล เราจะจ่ายแค่ 30% และเอาใบสั่งยาแพทย์ไปซื้อยาเอง
           ยังต้องจ่ายค่าหมอ แม้ว่าจะส่งเงินประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีประกันแล้วต้องจ่ายเอง 100% จะไหวไหม (ในขณะที่ไทย
           ใช้ประกันสังคม หรือบัตรทอง   ลองคิดดู)
     4.4 เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  อันนี้เก็บเป็นเงินบำนาญเหมือนบ้านเรา
     ทั้งหมด 4.1 - 4.4 คิดรวม ๆ แล้ว เงินเดือนจะหายไปประมาณ 25% 
5. ค่าเช่าห้อง 20-25 ตรม. ประมาณ 4-5 หมื่นเยนต่อเดือน น้ำ ไฟ จ่ายต่างหาก ถ้ามีทีวี ต้องจ่ายให้ NHK อีก

6. รถ ราคาประมาณ 1.5 ล้านเยน สำหรับพวก City, Yaris
7. แต่ก่อนจะซื้อรถ ต้องมีที่จอดก่อน โดยที่จอดนั้นต้องมีหลักฐานเป็นโฉนด แปลนที่จอดที่แสดงตำแหน่ง ความกว้าง x ยาว ที่จอด
8. จะซื้อรถอะไร ขนาดรถ กว้าง ยาว เท่าไหร่ ต้องไม่เกินที่จอดรถ และจะลักไก่เอาที่จอดซ้ำกันคันอื่นที่ลงทะเบียนจอดตรงนั้นแล้วไม่ได้
    และต้องเอา โฉนด ไปยื่นขอใบรับรองที่เขต หรือ สถานีตำรวจ อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะดีลเลอร์ดำเนินการให้  ดังนั้น การได้มาของโฉนด
    หรือ ใบเจ้าของที่รับรอง คือ ต้องมีบ้านที่มีที่จอดรถของตนเอง หรือสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อทางเจ้าของที่จะเซ็นต์ยินยอมให้จอด
9. ตัวรถเอง ต้องจ่ายภาษีป้ายทุกปี  ซึ่ง ภาษีนี้ ราคาตามขนาดรถ และราคาเท่ากันทุกปี ไม่มีแพงขึ้นอย่างที่ชอบพูดกันว่าภาษ๊รถยิ่งเก่ายิ่งแพง
10. แต่ปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 ปี  ก่อนที่จะยื่นต่อภาษี จะต้องตรวจสภาพรถก่อน ซึ่งเหมือน ตรอ บ้านเรา
11. ค่าตรวจรถ มีอัตราหลัก xx หมื่นเยน ไม่แพงมากนัก และเท่า ๆ กันในทุกปีที่ตรวจ ไม่ได้แพงขึ้นตามความเก่าของรถ
12. แต่การส่งรถเข้าตรวจเพื่อต่อภาษี นั่นแปลว่า เจ้าของรถต้องการต่อทะเบียน ดังนั้นจึงเท่ากับสั่งให้ทางอู่ตรวจรถทำการปรับสภาพรถในรายการ
      ที่ไม่ผ่านการตรวจ ให้สามารถเข้าเกณฑ์ต่อภาษีได้  ตรงนี้สำคัญ ดังนั้น รถยิ่งเก่า ยิ่งสภาพไม่ดี จะมีจุดที่ไม่ผ่านเยอะ และต้องซ่อม
      ต้องเปลี่ยนอะไหล่เยอะ ค่าใช้จ่ายก็จะสูง จะแพงขค้น จึงเป็นที่มาที่ว่า ยิ่งเก่ายิ่งแพง
13. ตรวจสภาพรถที่ญี่ปุ่นจะคล้ายบ้านเรา แต่หัวข้อเยอะกว่า และลงลึกว่า เช่น มลพิษ การทำงานของเบรค (จะดูลึกไปถึงความหนาผ้าเบรค)
      ไฟส่องสว่าง (ติดครบ, แสงสว่างได้, เลนส์ไม่ร้าว) การสึกหรอของยาง,  การเก็บไฟแบต, บลา ๆ ๆ ๆ  โดยรวม ๆ จะกินไปเกินกว่า
      หลักแสนเยน
14. ทำประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ

ก็ประมาณนี้ครับ

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ข้อเท็จจริง กับสิ่งที่สื่อไทยพยายามสร้างภาพบิดเบือนความคิดคน
หรือถ้าจะให้ชัดคือ   เราจะเห็นตัวเลขรายได้ของคนญี่ปุ่นที่ดูสูง แต่สื่อไม่เคยพูดเรื่องภาษีเงินได้ที่ต้องจ่าย
ในขณะที่ราคารถที่นั่นถุก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถ 
เอาล่ะ pain point ของคนไทยในการมีรถคือภาษีสรรพสามิตที่ทำให้รถแพง
ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเก็บภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์ก็ได้ ในเมื่อเขาเก็บภาษีบุคคลไปเยอะแล้ว
pain point ของคนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ภาษีทั้งคู่ แต่ตัวภาษีที่ตกอยู่กับบุคคลมันคนละตัวกัน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คือ กรณีของคนญี่ปุ่น ถึงไม่ได้ซื้อรถก็จ่ายภาษีกันอ่วม
ในขณะที่คนไทย ถ้าไม่ได้ซื้อรถก็ไม่ต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เลย 
คนไทย 60++ ล้านคน ยื่น ภงด แค่ 10 ล้านคน และจ่ายจริงแค่ 4 ล้านคนเองนะ
ถามว่าแล้วอีก 50 กว่าล้านคนไปไหน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ร่วมด้วยช่วยกันใช้สาธารณูปโภคส่วนกลางของประเทศนี้
ถ้าเขาไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก กับ VAT แค่ 7% และไม่ได้เก็บกับสินค้าครบทุกหมวดหมู่
แล้วคนแค่ 4 ล้านคนที่จ่าย ภงด จะแบกไหวไหมครับ

+100 คะแนนเลยครับ อยากให้คนไทยส่วนใหญ่ที่อวยกัน ว่ารถต่างประเทศขายถูกได้อ่าน แล้วมาว่าเมืองไทยรถขายแพง

ส่วนตัวเคยทำงานบริษัทญี่ปุ่นที่ไทยช่วงสั้นๆ ปีกว่าๆ เมื่อสัก 7 ปีที่แล้ว รายได้เริ่มต้น แตะสองสามหมื่นต่อเดือน ยังไม่รวมโอที ที่บางเดือนจะสูงขึ้นไปอีก ถ้าอยู่ที่ญี่ปุ่น น่าจะได้สองเท่าของบริษัทในไทย นี่แค่งานปกติพนักงานร้านธรรมดา แล้วทีนี้ เค้าส่งพนักงานญี่ปุ่นมาคุมเอง  จำได้ว่าเคยคุยกับเค้าเรื่องรถยนต์ เค้าบอกว่าเรื่องการซื้อรถยนต์ใช้ที่นั่น คือสิ่งที่ต้องเสียเงินเยอะมาก จึงเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากดว่าส่วนตัว พอมาเมืองไทยเค้าบอกว่า อะไรง่ายไปหมด ไม่จุกจิก

ออฟไลน์ kamphola

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 182
Re: รถที่ญี่ปุ่นคันละเท่าไรครับถ้ารายได้เขาขนาดนี้?
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2023, 22:15:43 »
เป็นกระทู้ที่ดีมากๆ เพราะมีผู้รู้เอาข้อมูลเชิงลึกที่ดีมา share
และผมก็คือ 1 ใน 4 ล้านคนที่แบกประเทศนี้อยู่  :) จนใกล้เกษียณเต็มแก่
ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ