Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: oatekung ที่ กันยายน 07, 2017, 16:16:05
-
ถ้าไม่ได้มีบำนาญ แต่มีกิจการส่วนตัวหนะครับ
พวก luxury car ที่ราคา 4-5 ล้านขึ้นไป ควรจะมีเงินเก็บ หรือทรัพย์สิน ที่ไม่ใช่บ้าน เท่าไรถึงจะไม่เกินตัวครับ
ขอบคุณมากครับพี่ๆ :-*
-
แล้วแต่สภาพคล่อง ของแต่ละคนครับ
ญาติผมซื้อ Velfire มือ 2 ราคา 2ล้านต้นๆ ซื้อโรงงานแห่งที่2 ราคา 60 ล้านเงินสด
-
50ล้าน กำลังดีครับ
ตอบแบบไม่คิดอะไรเลย
อายุเท่าไหร่ กิจการอะไร มั่นคงไหม เป็นหนี้รึเปล่า มีครอบครัวต้องเลี้ยงกี่คน สุขภาพแข็งแรงดีป่าว ความรู้ในการดูแลรถมีมากไหม ...
ช่วงที่ผมตกงาน ผมมีเงินเก็บสิบเท่าของรถที่ซื้อ ผมถึงว่ามันเซฟ เพราะเม็ดเงินสดมีแต่จะหดค่าลง
รถยนต์มันสร้างความสุขแค่ชั่วอึดใจเดียว พอหมดความใหม่ก็กลายเป็นพหานะที่รอวันหมดค่า
ดูแค่เงินเก็บ ก็ต้องเผื่อเยอะๆไว้ก่อน รถ5ล้าน เวลาซ่อมโน่นนี่นั่นมันก็เป็นแสนๆแล้ว
รวมๆหลายปีเผลอๆเป็นล้าน
-
ถ้ามองเหตุผล เป็นผมจะซื้อรถ 4-5 ล้านนี่ ผมขอมีเงินอย่างน้อย 50 ล้านขึ้นไป
แต่ถ้าอารมณ์ล้วนๆ แล้วไม่เดือนร้อนใคร มี 6-7 ล้านผมก็ซื้อแล้วครับ 55555
-
margin of safety ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ลักษณะการทำงาน หรือประเภทธุรกิจที่ทำก็ต่างกัน ไม่มีเกณฑ์ตายตัว เอาเป็นว่าเงินที่จ่ายให้กับรถ 4-5 ล้าน ไม่ทำให้เดือดร้อนถึงการใช้จ่ายประจำวัน ประจำเดือน หรือค่าผ่อนงวดต่างๆ รวมถึงเงินหมุนในธุรกิจต่างๆ บางที 10 ล้านก็เหลือๆ แล้ว บางที 50 ล้าน อาจจะหมุนไม่คล่องก็ได้ ถ้ามีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เพิ่มเข้ามา ลองสำรวจแผนการเงินตัวเองดูครับ
-
แล้วแต่คนครับ คิดเป็นสูตรตายตัวไม่ได้
ส่วนตัว ผมเงินเก็บมีน้อยหรืออาจจะเรียกว่าไม่มีเลย แต่ยอมทำงานหาเงินมา แทบจะเอาเงินทั้งหมดที่มี ซื้อรถคันล่ะ 2 ล้าน คันที่อยากได้ และได้มากครอบครองด้วยความภูมิใจ
ที่เหลือก็หาเงินต่อ เพื่อเติมน้ำมัน ประกัน และซ่อมบำรุง 5555
-
ตอบไม่ได้ครับ มันไม่แน่นอนแล้วแต่คน หลายๆคนให้ความสำคัญกับรถไม่เยอะ ผมเห็นคนมีเงินเก็บหลักร้อย ซื้อรถราคา 1-2 ก็เยอะ ที่เหลือเขาไว้ซื้ออย่างอื่นที่มีค่าและคุ้มค่ามากกว่าเยอะในสายตาเขา
-
แต่ละคนอ่ะ ของผม 100 ล้านและไม่ใช่เงินเก็บ แต่เป็น"สภาพคล่อง" (รถต้องเป็นได้แค่ 5 %) ของสภาพคล่องเรา ณ ตอนนั้นครับ
-
ขึ้นกับ balance และมุมมองชีวิตของแต่ละคนครับ
วัดกันที่ความกว้าง ความไกลของวิสัยทัศน์ ...
บางคนเงินเหลือไม่เยอะ แต่ต้องใช้ภาพลักษณ์เยอะ
คือภาพลักษณ์เปลี่ยนเป็นเงินได้ มีแค่ 2-3 เท่าค่ารถก็จัดแล้วนะครับ
บางคนแค่ใช้ให้สมกับเงินเหลือๆ ก็ 5-10 เท่าขึ้นไปของค่ารถ
บางคนอยากชดเชยปมในใจ อยากบอกให้โลกรู้ มีแค่พอดีๆค่าราคาเต็มรถ ก็จัดเงินผ่อนหละ :P
-
ตามสภาพคล่องอย่างที่ว่าครับ ผมมองว่าคนทำกิจการสามารถหาเงิน หมุนเงินมาผ่อนได้ง่ายมากเลย โดยเฉพาะเดีียวนี้มีผ่อนแบบบอลลูน ผมว่าสบายมากครับ
-
ตามข้างบนครับ
ไม่ค่อยเกี่ยวกันนัก จนแทบตายยังกัดฟันซื้อก็มี
บางคนจำเป็นเพราะต้องส่งเสริมฐานะทางสังคม ความน่าเชื่อถือ ฯลฯ ต้องใช้
อย่างผม ผมซื้อเงินสดได้สี่ห้าล้าน แต่ผม ใช้รถราคาสองสามแสนมือสองสามสี่เท่านั้นเอง ราคาถูกกว่าอีโค่ฯอีกครับ
-
รถราคาแบบนี้ ขึ้นกับความพอใจครับ พอใจล้วน ๆ เลย ญาติซื้อไป 5-6 ล้าน จอดที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ เอาไปออกงานเท่านั้น ใช้ประจำ JAZZ ครับ ญาติผู้ใหญ่อีกท่านก็ซื้อราว ๆ นั้น ขับไป-กลับวันละ 8-10 กิโลเท่านั้น เอาไว้โชว์ว่า ประธานมาแล้ว
-
ตามข้างบนครับ
ไม่ค่อยเกี่ยวกันนัก จนแทบตายยังกัดฟันซื้อก็มี
บางคนจำเป็นเพราะต้องส่งเสริมฐานะทางสังคม ความน่าเชื่อถือ ฯลฯ ต้องใช้
อย่างผม ผมซื้อเงินสดได้สี่ห้าล้าน แต่ผม ใช้รถราคาสองสามแสนมือสองสามสี่เท่านั้นเอง ราคาถูกกว่าอีโค่ฯอีกครับ
โห พี่ ผ้าขี้ริ้วห่อทองจริง ๆ
-
ถ้ามีเงินเยอะๆ อีโค่คาร์อย่าไปซื้อเลยครับ ระบบความปลอดภัยมันน้อย ชีวิตมีค่าเลือกรถที่ทำให้ชีวิตเราปลอดภัยขึ้นเถอะครับ
-
ได้หมดถ้าสดชื่น
-
สำหรับจะซื้อรถ 4-5M. ต้องมีเงินสัก 100M ครับผม จะได้สมน้ำสมเนื้อ สมมติ 5M นี้คือ 5% ของเงินที่เรามีเลยนะครับ
-
ถ้าต้องถึงขนาดมี 50 ล้าน ไม่นับรวมบ้าน ถึงจะซื้อรถ 4-5 ล้านบาท รถหรูมันไม่เกลื่อนเมืองขนาดนี้หรอกครับ
คุณลองดูรถระดับ 1-1.5 ล้าน คุณคิดว่าคนซื้อต้องมีเงินเก็บ 7-10 ล้านถึงจะซื้อกันรึเปล่าละ ผ่อนเดือนชนเดือนเยอะครับ
เงินถึง ไม่เดือดร้อน ใจถึง จัดได้เลยครับ มีซัก 6-7 ล้านก็ซื้อสบายแล้วครับ จัดเงินผ่อนไปครับ เงินที่เหลือขยับขยายต่อครับ
-
ซื้อรถราคา 4-5 ล้าน ต้องมีเงินเก็บ 50 ล้าน
แล้ว...
ซื้อรถราคา 1 ล้าน ต้องมีเงินเก็บ 10 ล้าน ?
ซื้อรถราคา 5 แสน ต้องมีเงินเก็บ 5 ล้าน ?
ซื้อรถราคา 3 แสน ต้องมีเงินเก็บ 2.5 ล้าน ?
-
ของใช้งานที่เสื่อมค่าลงทุกวัน ไม่ควรเกิน 10% ของเงินเก็บครับ
ย้ำ เงินเก็บ เงินลงทุน ในทอง หุ้น ที่ดินเงินหมุนเวียนในกิจการไม่นับ นับเฉพาะเงินเก็บเย็นๆเท่านั้น
เข้าบัญชีเงินเก็บ 10บาท ใส่บัญชีซื้อรถบาทนึง กระจายเงินเก็บเป็นเงินสกุลอื่นๆไว้บ้างเช่น ดอลล่า ยูโร เยน สิงคโปร์ สกุลละ5%
สำหรับผมมีครบร้อยล้านคงไม่ซื้อ D Segment ดีพอแล้วสำหรับชีวิต ใช้คันนึง10ปีขึ้นไปด้วย ::) ::) ::) ::)
อาจดูตึงมากไปหน่อยแต่สำหรับคนผ่านต้มยำกุ้งมาเกือบๆจะล้มละลาย ผมว่ามีเขี้ยวลากดินกว่าผมหลายคน
ตอนนี้ผมเห็นรางๆ ต้มยำกุ้งแบบกลับหัว ขอเตือนๆพวกใช้เงินเกินตัวให้ระวังอย่าก่อหนี้
แต่ถ้ารับราชการมั่นคง บริษัทใหญ่มากๆล้มยากๆ ไม่ต้องระวังมากก็ได้ 8)
-
ของผมเอามูลค่ารถ x4 พอครับ คือเงินสดที่ต้องมี
-
ซื้อรถราคา 4-5 ล้าน ต้องมีเงินเก็บ 50 ล้าน
แล้ว...
ซื้อรถราคา 1 ล้าน ต้องมีเงินเก็บ 10 ล้าน ?
ซื้อรถราคา 5 แสน ต้องมีเงินเก็บ 5 ล้าน ?
ซื้อรถราคา 3 แสน ต้องมีเงินเก็บ 2.5 ล้าน ?
ผมคิดว่าไม่ต้องบรรยัติไตรยางค์แบบนั้นครับ
กฎ 10% เจ้านายเก่ารวยหลายพันล้านสอนมา ถ้าอยากรวยให้ใช้เงินแบบนี้ ไม่อยากก็ตามใจ
รถราคาประมาณ ล้านนึงหรือมากกว่า มันเรื่มเข้าข่ายของฟุ่มเฟือย เกินจำเป็นแล้วสำหรับการใช้งาน
กระบะแคป รถeco หรือ b seg มันก็ใช้จาก จุด Aไป bได้
มีเงินเก็บ 7-8 แสนจะซื้ออัลติศหรือ city ซักคันเป็นรถคันเดียวของบ้าน อันนี้ดู ok ถือว่ามีไว้ใช้งาน
มีเงินเก็บล้านนึง แต่ไปผ่อน benz หรือ bmw แบบนี้เอาเงินอนาคตมาใช้มากไป รถหรูพวกนี้สำหรับคนมีเงินเหลือๆ อย่างข้างบนๆบอกซัก 50ล้าน
-
ของใช้งานที่เสื่อมค่าลงทุกวัน ไม่ควรเกิน 10% ของเงินเก็บครับ
ย้ำ เงินเก็บ เงินลงทุน ในทอง หุ้น ที่ดินเงินหมุนเวียนในกิจการไม่นับ นับเฉพาะเงินเก็บเย็นๆเท่านั้น
เข้าบัญชีเงินเก็บ 10บาท ใส่บัญชีซื้อรถบาทนึง กระจายเงินเก็บเป็นเงินสกุลอื่นๆไว้บ้างเช่น ดอลล่า ยูโร เยน สิงคโปร์ สกุลละ5%
สำหรับผมมีครบร้อยล้านคงไม่ซื้อ D Segment ดีพอแล้วสำหรับชีวิต ใช้คันนึง10ปีขึ้นไปด้วย ::) ::) ::) ::)
อาจดูตึงมากไปหน่อยแต่สำหรับคนผ่านต้มยำกุ้งมาเกือบๆจะล้มละลาย ผมว่ามีเขี้ยวลากดินกว่าผมหลายคน
ตอนนี้ผมเห็นรางๆ ต้มยำกุ้งแบบกลับหัว ขอเตือนๆพวกใช้เงินเกินตัวให้ระวังอย่าก่อหนี้
แต่ถ้ารับราชการมั่นคง บริษัทใหญ่มากๆล้มยากๆ ไม่ต้องระวังมากก็ได้ 8)
Feeling Tom Yum Kung นี่มันแสบจริงๆ ครับ
เจ้าของศูนย์เบนซ์แห่งหนึ่งที่ล้มไปบนฟูกนิ่มๆ แบงค์ไปทวงก็บอก ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย
และอีกมากมายที่ใช้ชีวิตหรูหรามาได้ทุกวันนี้แต่เป็นหนี้กรูไม่จ่ายในตอนนั้น
เจ้าหนี้ซวย
-
ตามข้างบนครับ
ไม่ค่อยเกี่ยวกันนัก จนแทบตายยังกัดฟันซื้อก็มี
บางคนจำเป็นเพราะต้องส่งเสริมฐานะทางสังคม ความน่าเชื่อถือ ฯลฯ ต้องใช้
อย่างผม ผมซื้อเงินสดได้สี่ห้าล้าน แต่ผม ใช้รถราคาสองสามแสนมือสองสามสี่เท่านั้นเอง ราคาถูกกว่าอีโค่ฯอีกครับ
โห พี่ ผ้าขี้ริ้วห่อทองจริง ๆ
ขอคำนับงามๆ
รถราคาไม่ถึง 1%
เขี้ยวลากดินกว่าผมอีก Ativ ซักคันไหมครับ ถุงลม 7ใบ ปลอดภัยหน่อย ไม่แพง ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหลอก ;D ;D ;D ;D ;D
-
สำหรับผม5เท่าของราคารถครับ เพื่อความชัวร์
-
มีเงินอยากได้ก็ซื้อครับ ไม่จำเป็นต้องสิบต้องร้อยล้านหรอก แต่ถ้าซื้อจริงก็ต้องยอมรับค่าซ่อมบำรุง และราคาขายด้วยนะครับ เอาง่ายๆคือ เหมือนโยนเงินสี่ห้าล้านไปแล้วได้รถมาคันหนึง ถ้าไม่เดือดร้อนก็ซื้อครับ คนรักรถ มีเงินเท่าราคารถก็ซื้อได้แล้วครับ อย่าไปแคร์ใคร ขอแค่ยอมรับสภาพหลังจากนั้นให้ได้
-
10% พอสำหรับรถพวกนี้ ถ้ารถทำมาหากิน %ติดลบช่างมัน
-
คหสต.ผม ถ้าซื้อแล้วไม่เดือดร้อนถือว่าโอเคนะ,มี 100+ ซื้อ 5-10 หรือมีซัก 50 ซื้อ 5
เพราะรถยนต์นี่ถ้าไม่ใช่รุ่นพิเศษจริงๆ มูลค่ามันลดลงตั้งแต่แรกซื้อเลยครับ
-
ผมว่าซื้อได้ถ้าใจถึงครับ แต่ถ้าเป็นผมขอมีบ้านมีเงินเก็บเย็นๆซัก 20 ล้าน เงินหมุนซัก 2-3 ล้านก็ไม่เดือดร้อนแล้วครับ
-
ไม่มีกฎตายตัวว่าต้องมีเงินเก็บกี่เท่าครับ
ความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน ความสุขของคนเราอาจอยู่ที่สิ่งของต่างกัน
บางคนชอบนาฬิกา ก็อาจซื้อนาฬิกาแพงกว่า
ส่วนอีกคนมีเงินมากกว่า แต่ไม่ได้ขอบนาฬิกา ก็อาจซื้อนาฬิกาที่ถูกกว่า
หากมองกันแค่ในประเด็นซื้อนาฬิกานี้ ไม่ได้แสดงว่าใครฉลาดหรือใครโง่กว่ากัน (แบบที่คนชอบกระแนะกระแหนกัน)
แค่แสดงให้เห็นว่าใครมีความชอบในสิ่งใดมากกว่ากัน เท่านั้นเอง
เพราะคนข้างบนที่ซื้อนาฬิกาที่ถูกกว่า ก็อาจไปซื้อปากกาที่แพงกว่าอีกคนที่มีเงินมากกว่าก็ได้
มันแค่แสดงให้เห็นความชอบของแต่ละคน
บางทีเราเอาเรื่องการซื้อของแพงๆของคนอื่น มาพูดในเชิงไม่ค่อยดีเท่าไหร่
อันนี้ต้องกลับมาย้อนดูใจเราเอง ว่า มันต้องมีสาเหตุอะไรเกี่ยวกับเราเองที่ทำให้เรามีความคิดแบบนั้น
ผมมองว่าหากซื้อได้โดยที่ไม่เดือดร้อนตัวเอง ไม่เดือดร้อนครอบครัว แล้วสิ่งนั้นเป็นความสุขของเรา ก็ไม่ผิดอะไรครับ ซึ่งคำว่าซื้อได้โดยไม่เดือดร้อนนี่เองที่ทำให้ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าต้องมีเงินกี่เท่า เพราะ อดีตของแต่ละคนมาไม่เท่ากัน อนาคตของแต่ละคนก็ไปได้ไม่เท่ากันเช่นกัน
บางคนเงินมีเก็บมาเยอะ ก็ซื้อได้
บางคนมีเงินเก็บเกินมูลค่าสิ่งของไปไม่มาก แต่มีอนาคตที่ดี เค้าก็อาจจะตัดสินใจซื้อเลยก็ได้
ผมขออ้างอิงข้อความในบทความทดสอบ AMG GT-S ของคุณจิมมี่
(ซึ่งคุณจิมมี่อ้างอิงข้อความของคุณเสริมศิลป์ ประดับ มาอีกที)
และคุณจิมมี่ได้ลงท้ายเป็นข้อคิดว่า
" ว่าแต่คุณผู้อ่านล่ะครับ คิดว่าคุณเองเป็นคนประเภทไหนดี? "
ตามภาพนี้ครับ
-
บ้านผมมีเงินไม่เยอะ ซื้อคันละสามล้านเพราะ ไม่มีหนี้ รายได้ และการเงินก็เรื่อยๆไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรกับการผ่อนเดือนละเจ็ดหมื่น
พ่อแก่แล้ว อยากมีรถหรูสักครั้งในชีวิต ความอยากของคนแก่ล้วนๆ ไม่มีเหตุผล แค่นั้นเอง
ไม่ต้องมีเงินถึงสามสิบล้านแน่นอนฟันธง
-
มันแล้วแต่จริงๆครับ เห็นหลายๆคนมีเงินไม่เท่าไหร่หรอก แต่ดูเงินเดือนแล้วคิดว่าผ่อนได้ก็มีเยอะ
รู้จักพี่อยู่คนนึงเป็นเซลเงินเดือน 6-7หมื่น ค่าคอมโน่นนี่อีก ไม่รู้เงินเก็บมีเท่าไหร่
ลงทุนซื้อ Benz C-Class 1 คัน เหตุผลเพราะลูกเข้าเรียนแล้วเพื่อนลูกมีแต่รถ Benz BMW มารับ
กลัวลูกอายเพื่อนเพราะตัวเองมีแต่รถญี่ปุ่นขับ ดูเหตุผลนะครับ เหมือนอย่างที่โฆษณาว่า คนไทยฟุ้งเฟ้อ
นี่ก็เป็นเหตุผลที่หลายๆคนที่แค่ "อยากได้" ต้องจบลงด้วยการโดนยึดรถ เพราะผ่อนต่อไมไหว
สำหรับผมหรอ ถ้าเป็นรถที่ใช้ทำมาหากิน ซื้อมาแล้วใช้ส่งของ ซื้อไปเถอะครับ เพราะมันทำรายได้
แต่ถ้ารถที่ใช้ในชีวิตประจำวันถ้าไม่ได้ติดความหรูหราอะไร รถตลาด ซ่อมง่าย อะไหล่เยอะ
ถ้าตัวรถเป็นเงิน 50-60% ของเงินเก็บก็ยังโอเคนะ หรือถ้ามันพาเราไปหาเงินได้ ไม่ขัดสนมากก็ซื้อไป
แต่ถ้าอยากมีรถหรูหรา อันนี้ใช้ซื้อหน้าตาละ ควรจะเป็น 10% ของเงินเก็บครับ
-
รถหรู=ไม่เกิน10%ของทรัพย์สินครับ
-
แล้วแต่คนมั้งครับ คันแรกที่ซื้อแพงเกือบ 3 ล้านเงินเก็บก็มีแค่ 4-5ล้านเองครับ
ผ่อนปกติแล้วใช้ชีวิตไม่ลำบาก รอเก็บถึง 100ล้านค่อยซื้อคงตายก่อนได้ขับ
ทุกวันนี้ก็ไม่อดตายนะผ่อนหมดแล้วครับ
จะว่าฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินเกินตัวก็สุดแล้วแต่คนครับ หาเองใช้เองเป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่นครับ
สำหรับผม รายได้ทั้งปีเกือบหรือเท่าราคา ผมก็ซื้อละครับ มานั่งคิด % จุดคุ้มทุนปวดหัวครับ บางทีมันเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับคนที่เอื้อมไม่ถึงมากกว่าครับ บอกตัวเองจะได้สบายใจและดูฉลาดใช้เงินก็สุดแล้วแต่ สำหรับผมแค่รู้สึกว่าหาเงินมาก็ซื้อในสิ่งที่ตัวเองมีความสุขและพอใจ จะเก็บไว้ให้ฟอซซิลขึ้นทำไม
บางคนมีเงินแต่บอกตัวเองว่ามันเปลือง ก็แปลว่าเค้ามีความกังวลในรายได้ในอนาคตครับ อาจจะแปลว่าแหล่งรายได้ไม่แน่นอนหรือภาระความรับผิดชอบเยอะ
ตัวเองตอบได้ดีที่สุดว่าพร้อมซื้อตอนไหน คาดว่าจะมีรายได้ในอนาคตเท่าไหร่
มี 10 ล้านฝากกองทุนที่แบงค์ดูแลให้แบบไม่ดูผลประกอบการเลย yield มาก็ผ่อนได้แล้วครับคุณ นอกจากไม่มีรายได้เลยรอใช้ yield รายปีกินอย่างเดียวไม่มีรายได้ทางอื่นเลยก็ว่าไปอีกอย่าง
อ่อผมก็มีเพื่อนเป็นเจ้านักลงทุนนะครับ มานั่งแจกแจงทุกวันว่าควรจะเอาเงินไปลงที่ไหนบ้าง เค้าก็ดูมีความสุขดีนะครับ คอนโดก็ไม่ซื้อนั่งรถสาธราณะไปกลับมา 5-6 ปีแล้วตั้งแต่เรียนจบ สงสัยตอนนี้คงจะรวยน่าดูเลยครับ
-
แล้วแต่คนมั้งครับ คันแรกที่ซื้อแพงเกือบ 3 ล้านเงินเก็บก็มีแค่ 4-5ล้านเองครับ
ผ่อนปกติแล้วใช้ชีวิตไม่ลำบาก รอเก็บถึง 100ล้านค่อยซื้อคงตายก่อนได้ขับ
ทุกวันนี้ก็ไม่อดตายนะผ่อนหมดแล้วครับ
จะว่าฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินเกินตัวก็สุดแล้วแต่คนครับ หาเองใช้เองเป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่นครับ
สำหรับผม รายได้ทั้งปีเกือบหรือเท่าราคา ผมก็ซื้อละครับ มานั่งคิด % จุดคุ้มทุนปวดหัวครับ บางทีมันเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับคนที่เอื้อมไม่ถึงมากกว่าครับ บอกตัวเองจะได้สบายใจและดูฉลาดใช้เงินก็สุดแล้วแต่ สำหรับผมแค่รู้สึกว่าหาเงินมาก็ซื้อในสิ่งที่ตัวเองมีความสุขและพอใจ จะเก็บไว้ให้ฟอซซิลขึ้นทำไม
บางคนมีเงินแต่บอกตัวเองว่ามันเปลือง ก็แปลว่าเค้ามีความกังวลในรายได้ในอนาคตครับ อาจจะแปลว่าแหล่งรายได้ไม่แน่นอนหรือภาระความรับผิดชอบเยอะ
ตัวเองตอบได้ดีที่สุดว่าพร้อมซื้อตอนไหน คาดว่าจะมีรายได้ในอนาคตเท่าไหร่
มี 10 ล้านฝากกองทุนที่แบงค์ดูแลให้แบบไม่ดูผลประกอบการเลย yield มาก็ผ่อนได้แล้วครับคุณ นอกจากไม่มีรายได้เลยรอใช้ yield รายปีกินอย่างเดียวไม่มีรายได้ทางอื่นเลยก็ว่าไปอีกอย่าง
อ่อผมก็มีเพื่อนเป็นเจ้านักลงทุนนะครับ มานั่งแจกแจงทุกวันว่าควรจะเอาเงินไปลงที่ไหนบ้าง เค้าก็ดูมีความสุขดีนะครับ คอนโดก็ไม่ซื้อนั่งรถสาธราณะไปกลับมา 5-6 ปีแล้วตั้งแต่เรียนจบ สงสัยตอนนี้คงจะรวยน่าดูเลยครับ
อันนี้เห็นด้วย
-
โดยส่วนตัวผม จะซื้อรถที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดเท่าที่ผมจะซื้อได้ครับ (ส่วนใหญ่รถที่แพงกว่ามักจะปลอดภัยกว่า) ชีวิตไม่มีอะไหล่ สมัยนี้อันตรายรอบด้าน คนไทยขับรถเร็ว ระเบียบวินัยจราจรเลว มีเงินมากเท่าไร คราดวงไม่ดี เปรี้ยงเดียว เงินที่สะสมและมีอยู่ก็เปล่าประโยชน์ และซื้อความปลอดภัยในชีวิตย้อนหลังไม่ได้นะครับ
-
ถ้าต้องมีเงินถึง 50 ล้านถึงจะซื้อรถ4-5ล้านได้นี่ พวกเด็กจบใหม่เงินเดือน 15000-20000 ที่ต้องผ่อนรถเดือนละ 6-7000 นี่คงเรียกว่าไม่มีสภาพคล่อง และใช้เงินเกินตัวอย่างมากเลยนะครับ
-
ถ้าซื้อสด คงต้องมีเก็บซัก 5 เท่าของราคารถ
ถ้าซื้อผ่อน ซัก 2-3 เท่าของราคารถ
และต้องไม่ใช่เงินเก็บในลักษณะหุ้นหรือกองทุนนะ
ต้องเป็นเงินเก็บที่มีสภาพคล่องจริงๆ
-
บางคนแทบไม่มีเงินเก็บ แต่ภาระไม่มาก ก็ซื้อได้นะครับ
-
เผื่อๆ เหตุการณ์ไม่คาดคิดไว้ด้วยครับ ของมันไม่แน่ไม่นอน
-
มีเก็บ 10ล้าน เงินเหลือ 5ล้าน ผมซื้อแล้ว
ซื้อเงินสดนะ ผมไม่ชอบผ่อน เสียดอกเบี้ยทำไม
ดอกเบี้ยเงินกู้ มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอีก
-
มีเก็บ 10ล้าน เงินเหลือ 5ล้าน ผมซื้อแล้ว
ซื้อเงินสดนะ ผมไม่ชอบผ่อน เสียดอกเบี้ยทำไม
ดอกเบี้ยเงินกู้ มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอีก
เห็นด้วยครับ อยากได้ซื้อไปเลย รอคิดแบบให้เป็น กี่ % ของเงินเก็บ ทั้งชาตินี้ ไม่ต้องขับ benz, bmw , porsche กันพอดี ที่ผมซื้อเพราะว่า มันคุ้มครองตัวเราให้ปลอดภัยได้ มีรุ่นพี่ึคนนึง รถกระบะข้ามเลนมาชน กระบะคาที่ CLS ของเขาพังยับ แต่ไม่เป็นอะไรเลย เขาบอกเลย ราคา 3 ล้านกว่า แต่คุ้มชีวิตให้เขาและคนที่รักได้เรียกว่าเกินคุ้ม ซึ่งผมก็เห็นด้วย ดีกว่า ซื้อรถ ถูกๆ ชนทีนึง คาที่ หรือพิการไม่คุ้ม เงินที่หามาได้ ก็ไม่ได้ใช้เลย น่าเสียดาย
-
สมัยผมตัดสินใจซื้อรถที่เป็นของตัวเองจริงๆ คันแรก เมื่อเกือบ 6 ปีที่แล้ว เงินเย็นมีไม่เยอะครับ รถราคา 1.4 ล้าน ก็ผ่อนเอา
ตอนนั้นเพิ่งเปิดบริษัทของตัวเองได้ไม่นาน ยอดขายเพิ่งได้ปีละ 4-5 ล้านเอง ซื้อเพราะอยากได้คันนี้มาก ไม่รู้เป็นอะไร ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยแค่ความอยากอย่างเดียวครับ
ตอนนั้นมีรถที่ฝันไว้ใจใจคือ boxster
ทีนี้พอเวลามันผ่านไป ความคิดผมเริ่มเปลี่ยนละ เดี๋ยวนี้แทบไม่มีความอยากได้รถรุ่นนี้นรุ่นนี้เป็นพิเศษเลย จะซื้อรถก็ดูความจำเป็นกับความเหมาะสมก่อน
แต่ที่เน้นอันดับแรกคือความปลอดภัยครับ ปัจจุบันบริษัทยอดขายปีละ 10 ล้าน (ถือว่ากระจอกมากถ้าเทียบกับเพื่อนฝูง) เพิ่งขยับรถแพงขึ้นมาหน่อยเป็น 1.7 ล้าน
ถ้าถามผมว่าจะต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ถึงจะซื้อรถ 4-5 ล้านนี่ ถ้าผมพอมีเงินออกได้ผมก็เอาแล้วครับ (แต่คงอีกหลายปีครับ ตอนนี้ขอเปิดโรงงานให้ได้ก่อน)
ตอนนี้ผมมองเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักเพราะเดี๋ยวนี้บนถนนคนบ้าเยอะมาก
ถ้าผมจะมีอุบัติเหตุใน suv ราคา 1.7 ล้าน กับ alphard/xc90/gle ผมเลือกนั่งอย่างหลังนะ อย่างน้อยผมว่ามันเซฟชีวิตได้ แล้วมีกำลังมาทำงานหาเงินต่อก็พอแล้วครับ
-
จขกท.หมายถึงเงินส่วนหมุนเวียน ไม่รวมอสังหา ประมาณว่าเงินติดบัญชี
ส่วนตัวผมไม่ซีเรียสขนาดต้องมี 40 50 ล้าน เพราะเราเองก็เติบโตมากับรถคันก่อน ตอนนั้นเงินเราน้อยกว่านี้ซะอีก แถมรถเองก็มีส่วนสนับสนุนเรามาถึงวันนี้
สุดท้ายวัดกันที่ใจ ถ้ากล้าพอ 10ล้านก็ผ่อนได้ครับ
แต่ถ้าไม่อยากได้อะไรแล้ว ไม่อยากเหนื่อย จะรอปันผลอย่างเดียว ก็ต้องรอมีราวๆ40 50 ล้าน(ปีไหนน้อ ชาตินี้หรือชาติหน้าๆ)
แต่เคสจขกท. มีธุรกิจด้วย ก็สบายๆแหละครับ ตามที่ใจสั่งมาได้เลย
-
ไม่ต้องมีเงินเยอะมาก เอาแค่พอมีเงินค่าดาว์นรถ ใช้ไปปีสองปี ขายทิ้ง แค่เอาไว้ถ่ายลง FB แล้วก็เปลี่ยนรถใหม่ มันไม่เกี่ยวกับเงินเก็บ
มนุษย์เรามีหลายเหตุผลที่จะซื้อ
-
.
.
.
เรื่องการซื้อรถสำหรับผมนี่ไม่ใช่เรื่องความคุ้มค่าเลย
รถมันเป็นเรื่องความพอใจล้วนๆ ไปหาความคุ้มค่าได้ยาก
แต่มันเป็นของที่ใช้แล้วทำให้เรามีความสุข เพื่อมีแรงไปทำงานได้ต่อ
สำหรับผมถ้าไม่เดือดร้อนคือซื้อเลย แต่ผมไม่ซื้อเงินสดเด็ดขาด
เอาเงินสดไปทำอย่างอื่นดีกว่า ต่อยอดได้มากกว่าเอามาซื้อรถ
ส่วนรถนี่ผมผ่อนหมด เหมือนซื้อความสุขไปในแต่ละเดือน
เพราะฉะนั้นเวลาคำนวญว่าผมจะซื้อรถราคาเท่าไหร่ ผมจะดูจากเงิน
ที่ผมยอมจ่ายเพื่อซื้อความสุขตรงนี้เลยว่าแต่ละเดือนยอมจ่ายเท่าไหร่
ถ้าเกินกว่านี้ก็ไม่เอาครับ
-
คำถามนี้ถามคน 10 คนคำตอบก็คงไม่เหมือนกันหมดหรอกครับ
เพราะคนเราแต่ละคนแต่ละพื้นฐาน มีความต่างกันในรายละเอียดเยอะ
สำหรับความเห็นผมคือ ลองตีความคำว่า quality of life สำหรับตัวเราเองดูครับ
อาจช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
-
เรื่องรถแพงๆนี่มันมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเยอะครับ ความอยากได้อยากมีทุกคนเป็นแล้งแต่ว่ากับสิ่งใด ผมเชื่อว่าสมาชิก HLM หลายๆท่านก็เป็นคนรักรถ ชอบรถ เช่นเดียวกับผม
ยกตัวอย่างคนรอบตัวครับ ผมรู้จักผู้ใหญ่ท่านนึงเป็น CEO บริษัทบัญชียักษ์ใหญ่แห่งนึง แกมีเงินในพอร์ทเป็นพันล้าน ลงทุนในอหังสาคอนโดทียก floor แต่เชื่อไหมครับ แกใช้แค่ Camry แกไม่ได้สนใจเรื่องรถเลย
อีกกรณีที่อ่านเจอคือ DJ ชื่อดังคนนึง มีเงินเก็บ 20 กว่าล้าน เอาไปสร้างบ้านให้ครอบครัว 10 ล้าน อีก 10 ล้านเอาไปซื้อแลมโบ เหลือเงินติดบัญชีนิดๆหน่อยๆ แต่หลังจากนั้น DJ คนนั้นบอกว่าดังขึ้น ทุกคนชื่นชม งานไหลมาเทมา ทำงานได้เงินต่อครั้งเยอะกว่าเดิมอีก
หรืออย่างกรณีสุดท้ายเป็นคุณพ่อผมเองครับ แกเดินทางทำงานบ่อย อยู่ในรถมากกว่าอยู่บ้านอีก วันหนึ่งแกนั่ง Fortuner แล้วเจออุบัติเหตุรถหมุนตกข้างทาง โชคดีที่รอดมาได้ จากนั้นความคิดแกก็เปลี่ยนครับ เน้นรถดีๆขับขี่ปลอดภัย เงินตอนมีชีวิตก็หาใหม่ได้เรื่อยๆครับ โดยบ้านผมมองว่าราคาไม่ควรเกิน 30% ของเงินสด และรถทุกคันซื้อเงินสดครับ (GLC S300 911)
-
สำหรับผมตีความว่าซื้อเพื่อหรู หรือซื้อเพื่อปลอดภัยอะครับ
เอาความปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่เงินซื้อไหว ผมให้เงินเก็บราวๆ 3-5 เท่าของราคารถครับ
คิดซะว่า .. ถ้าพรุ่งนี้เช้า ขับรถไปทำงาน โดนสิบล้อฝ่าไฟแดงมาเสยเข้า ..
คุณจะอยากนั่งอยู่ในรถคันไหน ระหว่าง ativ,city ถุงลม 7 ใบ กับ benz c , gla , 320 , x1 หรือ ระดับ 5,7 ,e ,s
ไม่ใช่อะไรนะครับ อายุอานาม 30 กว่า - 40 (ผมเดาเอา) อย่างคนในบอร์ดที่พอมีกำลังซื้อ ... (ถ้าเด็กกว่านั้นก็ยินดีด้วยกับความสามารถคุณครับ)
ไปงานศพ เพื่อน พี่ น้อง ญาติ มาเท่าไหร่แล้ว .. . . . น่าจะเห็นอะไรหรือมีความรู้สึกอะไรบางอย่าง ..
ง่ายๆ คือ ผมยังไม่อยากตายครับ .. บอกตรง ๆ อยากอยู่ใช้เงินไปอีกนาน ๆ 5555 ในประเทศที่อุบัติเหตุทางรถยนต์ สูงที่สุดในโลกประเทศนี้
-
เงินสดเย็นๆ 100ล้าน
-
คำถามแบบนี้มีทั้งเวปนี้และก็พันทิป
จริง ๆ มันอยู่ที่คนชอบรถและให้ความสำคัญกับการมีรถหรือเปล่านั่นละ ถ้าชอบและให้ความสำคัญกับรถ ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินมากมายเกินจำเป็นหรอก แค่มีเงินพอซื้อรถคันนั้นได้ไม่เดือดร้อน ก็ซื้อทั้งนั้นละ มันเป็นความสุขอย่างนึง ได้ใช้สอยด้วย ความปลอดภัยด้วยหรือตอบสนองอารมณ์ด้วย
แต่ถ้าคิดเป็นตัวเงินกันอย่างเดียว แน่นอนว่าการซื้อรถมันสู้เอาเงินไปลงทุนไม่ได้หรอก ยังไงเหตุผลนี้ก็ชนะ
หรือถ้าคนที่ไม่สนใจเรื่องรถเลย ขอแค่มีรถขับเป็นตัวช่วยเดินทาง จากจุดนึงไปอีกจุดนึง บางคนคิดแค่นี้ ต่อให้มีเงิน 10-100 ล้าน เขาก็ซื้อรถตามความจำเป็น หรือซื้อรถรุ่นที่ไม่แพง เอาแค่พอใช้ ดังที่เราเห็นเศรษฐีหลายคนซื้ออิโคคาร์มาใช้หรือไปไหนนั่งรถเมล์โบกแท๊กซี่นั่นละ บางคนอาจซื้อมือ 2 มาใช้หรือป้ายแดงญี่ปุ่นแต่เปลี่ยนบ่อยหน่อย เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยมองปัจจัยของเรื่องรถเป็นเรื่องสำคัญแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้อยู่ที่คนซื้อรถ จะให้น้ำหนักไปทางเรื่องใดเรื่องนึงเท่านั้น ผลลัพธ์มันก็จะออกมาเป็นรถที่เราซื้อนั่นละ
-
กลับมาอ่านอีกครั้งก็รู้สึกดีครับ ผมว่า
30% ของเงินสดนี่ก็พอโอเคครับ แหะๆ
หรือซื้อพวก มือ2กริ๊บๆซ่อมจบ อย่าง lexus rx ก็อุ่นใจดีครับ