Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: DoNg ที่ สิงหาคม 23, 2013, 22:33:17

หัวข้อ: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: DoNg ที่ สิงหาคม 23, 2013, 22:33:17
ผมใช้คำว่าพ่อมาได้สามเดือนกว่าๆ ละ

พอเข้าเว็ป HLM เยอะๆ บางทีรู้สึกกังวลเล็กๆ กับอนาคตของไอ่ตัวเล็ก
เห็นเด็กๆ ในนี้ มีรถใช้กันเยอะแยะไปหมด รถแพงๆ ทั้งนั้น บางคนเรียนอยู่
บางคนเพิ่งเริ่มทำงาน แต่พ่อ แม่ ก็หารถมาให้

เด็กสมัยนี้ อะไรมันช่างสบาย พ่อ แม่ประเคนให้ซะเยอะ และเยอะไปรึปล่่าว
กลัวว่า วันนึง ลูกเราไปเจอเพื่อน เค้าจะกลายเป็นคนติดความฟู่ฟ่า เพ้อฝัน
อยากได้อะไรก็จะหามาให้ได้รึปล่าว สาบานได้ว่าจะสั่งสอนเค้าให้ดี แต่บางทีตัวเรา
ไม่ได้ติดไปกับเค้าตลอด

อยากรู้ความคิดจังครับ หลายๆ คนที่อยู่ในเว็ปนี้ ที่พ่อแม่รวย ได้อะไรมาง่ายๆ
วันนึงที่คุณลำบาก คุณจะอยู่ได้ไหวมั๊ย เห็นมีเวลาคุยกันแต่รถแพงๆ

ถ้าให้คุณไปนั่งรถเมล์ โหนรถไฟ หรือทำงานหนักเพื่อที่จะได้รถ หรือสิ่งของมา
โดยไม่อาศัยพ่อ แม่ พวกคุณจะทำได้หรือเปล่า

อยากถามลูกคนรวยๆ ครับ อยากรู้ว่าเค้าคิดยังไงกันมั่ง



หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: AMG GT ที่ สิงหาคม 23, 2013, 22:49:49
ของผมตอนนี้  ผมอายุ 18 กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย  เพื่อนๆผม(บางคน)มักจะมีความคิดที่ว่า เรียนมหาวิทยาลัย ต้องขับรถยนต์ ถ้าให้ใช้มอเตอร์ไซด์  ยอมเดินดีกว่าว่างั้น    ส่วนผมคิดว่าถ้าไม่หนักหนามากใช้มอเตอร์ไซด์เอาดีกว่า  รถยนต์ค่อยทำงานเก็บเงินซื้อเอาครับ   
ปล.บ้านผมก็ไม่ได้รวยอะไรนะ  แต่ถ้าจะให้พ่อแม่ซื้อให้เนี่ย ก็ซื้อให้ได้ครับแต่ไม่เอาหรอก สงสารท่านครับ
ปล2. ผมว่าคนที่ พ่อแม่มีเงินที่พอจะซื้อสดให้ก็โอเคนะ  แต่บางคนส่วนมากด้วยพ่อแม่ต้องมานั่งผ่อนให้.....
คหสต. ครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: prysakol ที่ สิงหาคม 23, 2013, 22:57:11
ตอบในฐานะ พ่อคนนึงเหมือนกัน

ผมคิดว่า ถ้าเราอยากให้ลูกเราเป็นยังไง เราก็ต้องเลี้ยงเค้า ให้เป็นอย่างนั้น

เช่น คุณอยากให้เค้าเป็นคนรักพ่อแม่  แต่ถ้าคุณเองยังไม่รักพ่อแม่ตัวเองก็ไม่มีทางแน่ๆ

เพราะฉนั้น ก็ต้องให้เวลา ความรัก ความเข้าใจเค้าเยอะๆ แล้วออกมาก็จะได้อย่างที่เราหวังเองครับ

ด้วยความเคารพ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: pee1818 ที่ สิงหาคม 23, 2013, 22:58:58
ฝากคนที่ใช้มอเตอร์ไซด์หน่อยครับให้ใส่หมวกกันน็อคทุกครั้ง เพราะมอเตอร์เกิดอุบัติเหตุง่ายและโอกาศเจ็บมากจะเยอะ ยิ่งช่วงนี้หน้าฝนด้วย
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Ruksadindan ที่ สิงหาคม 23, 2013, 22:59:39
ไม่เป็นลูกคนรวยๆแต่ตอบได้ไหมครับ ยังไม่ใช่พ่อซะด้วยสิ คงไม่ใกล้ๆนี้แน่ แต่สมัยเรียน ก็ขอเน้นยืนรถเมล์ หรือรถไฟ ระบบสาธารณะดีกว่า เพื่อส่วนรวมครับ ไม่ปล่อยพิษ ไม่ทำรถติด นอกจากบางวันกลับดึก ในฐานะพ่อแม่ก็คงอยากให้ลูกปลอดภัยเป็นหลัก ก็เลยใช้บ้าง

แต่ก็ขอให้ดูแลเขาดีๆ อย่าสปอยล์เหมือนวัยรุ่นไทยในทีวีก็พอ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Family man ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:05:17
ตอบแบบเคยเป็นลูกคนจนๆไม่มีรถยนต์ใช้ ไม่มีมอไซค์ขี่ ทำงานจนมีทั่งรถและมอไซค์ใช้
ลำบากไว้ก่อนก็ดีจะได้ไม่เจ็บเวลาล้ม
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: AMG GT ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:08:29
แม่ผมบอกว่า  เด็กมหาลัย เนี่ยแม่เห็นรถคว่ำกันเยอะมากแต่ที่สำคัญ  คว่ำทีก็เสียชีวิตนักหลายคนเพราะว่าอัดกันไปเต็มรถ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Nlight ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:11:22
ตอนเรียนผมใช้ จักรยาน รู้สึกช่วงนั้นหล่อกว่าตอนขับรถเก๋งอีก(สมัยที่จักรยานยังไม่ฮิตเท่าทุกวันนี้ ไม่ค่อยมีคนใช้ สมัยที่หนังเกาหลีเข้ามาตีตลาดไทยใหม่ๆ สงสัยในหนังเกาหลีจะมีคนขับจักรยานเยอะ) สาวกรี๊ดเพียบ ~!  แต่ด้วยความชันของทางในมหาลัย ทำให้ผมจำเป้นต้องใช้ มอไซ (เอาจริงต้องบอกว่ามีระเบียบไม่มากพอจะใช้จักรยานได้)
และด้วยญาติกลัวไปเป็นเจ้าชายนิททาเลยบอกให้ใช้รถเถอถ

เห๊ยยย....นี่เราหันผิดทางรึเปล่าเนี่ย !!! กลับไปปั่นจักรยานยังทันมั๊ย  ;D
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: il Rewki' N. li ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:12:30
อยากให้เป็นสิทธิส่วนบุคคลมากกว่าครับ
คนรวยๆหลายคน ไม่ใช่สอนลูกไม่เป็นครับ
แต่เขาไม่ได้ฟุ่มเฟือย เขาแค่ใช้สินค้าที่สมฐานะน่ะครับ

เหมือนคนมีเงินล้าน จะใช้หลุยส์หรือแอร์มีส  เราก็ไม่มองว่าเค้าฟุ่มเฟือยนะครับ
แต่ถ้าคนมีแค่เงินหมื่น...  อยากจะใช้หลุยส์ ... แบบนี้เรียกฟุ่มเฟือยครับ


บางคนที่เป็นเด็ก  พ่อ แม่ ก็ไม่ได้ซื้อให้เสมอไป
ผมคนนึงละซื้อรถเองตอนอายุ 19 จากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง

....

ถ้าอยากเลี้ยงลูกให้ดีนะครับ
ให้เขาหา ให้เขาทำ ของๆเขาเอง
แล้วเขาจะรัก และดูแล และเห็นค่าของมัน
พร้อมทั้งใช้ชีวิตในโลกที่ยุ่งเหยิงได้อย่างมีคุณภาพครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: OLan-मंदिर लड़का ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:13:31
ตอบในฐานะลูกที่ที่บ้านพอมีจะกินน่ะครับ (แต่ไม่มาก 555)  :P

ส่วนตัวพ่อผมปลูกฝั่งให้ผมเก็บเอาเองอ่ะครับ ถ้าอยากได้อะไรก็เก็บเอา  แถมยังเลี้ยงแบบลากหญ้ามากๆๆ (จะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย)  ;)

แต่ก็มีบ้างทีท่านให้เป็นของขวัญ  :D
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Wayfarer-R ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:15:53
คุยกันดีๆนะครับ เป็นห่วง  :)
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Maman_Haheinz ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:17:12
ผมขอตอบในฐานะลูกข้าราชการ พอมีเงินบ้างไม่ถึงกับรวย
ตอนเรียนป.ตรี บอกตรงๆนะครับมันก็มีความคิดแว๊บหนึ่งเข้ามาในหัวว่า...
"โตแล้ว อยากได้รถมาขับ มอไซด์ก็ยังดี" แต่พอมองถึงความจำเป็นที่ว่า
จะเอามาทำอะไร ไม่ได้ไปไหนไกล วันๆก็ไปเรียน หอก็อยูใกล้ม.
แถมค่าใช้จ่ายมันก็มากขึ้นเรื่อยๆหากมีรถเมื่อไหร่ จ่ายค่าน้ำมันเยอะแน่นอน
ดังนั้นรถจักรยานก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในเวลานั้นของผมแหละครับ

คืออยากให้มองถึงความจำเป็นมากกว่า ว่าสมควรใช้รถรึเปล่า บางคนอาจพอมีเงินบ้าง
ประกอบกับบ้านอยู่ไกล ระบบขนส่งมวลชนห่วย รถยนต์ส่วนตัวก็อาจเป็นคำตอบของครอบครัวนั้นๆก็ได้นะครับ

หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: pinggiyam ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:26:23
ตอบในฐานะเด็กอายุ20 ปี3 แต่ขับรถไปเรียนเองตั้งแต่ 16นะครับ

ผมว่าพ่อแม่ทุกคนๆ ควรจะปลูกฝังลูกตัวเอง ให้มีเกราะป้องกัน กับเรื่องพวกนี้ไว้ครับ
สังคมมันมีคนหลายระดับมากๆ เด็กที่ไม่มีความคิดอาจจะเกิดความอิจฉาเพื่อน ที่มีรถขับ บ้านรวย ใช้ของราคาแพง (ยิ่งในสังคมมหาลัยนี้นักมาก
 พวกผู้หญิงสะพายกระเป๋าครึ่งแสน )

บางคนถึงขั้นเก็บไปคิดจนเป็นปมด้อย ซึ่ง"ในความคิดของผม"นะครับ ความผิดไม่ได้อยู่ที่เด็ก หรือเพื่อนเขา หรือพ่อแม่ของเพื่อนเขาเลยครับ

ความผิดทั้งหมดมันอยู่ที่ พ่อ/แม่ ของตัวเด็กเอง ที่ไม่ปลูกฝังลูกตัวเอง หรือจะให้ผมตอบตรงๆอีกข้อเลย ก็คือไม่ยอมสร้างฐานะไว้ให้ลูกตัวเอง

จนลูกตัวเองมีความรู้สึกว่าด้อยกว่าคนอื่นๆในสังคมเดียวกันครับ  :D :D

ปล.ผมเกิดมาในครอบครัวที่พูดได้ว่ารวยครับ แต่ผมบอกได้เลยว่าผมไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ ค่าขนมผมก็ได้น้อยกว่าเพื่อนๆตลอด
ผมหาเงินเองตั้งแต่15 ทุกวันนี้ผมมีเงินพอจะซื้อรถเงินสดได้หลายคันเลยครับ(ใช้ความรู้ของตัวเอง ไม่ได้ต่อยอดธุรกิจครอบครัว) แต่ยังทนใช้w123เก่าๆจากพ่ออยู่ครับ
กะว่าเรียนจบค่อยซื้อรถดีๆมาขับ  :) :)
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: neutrino ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:51:20
โลกทุกวันนี้ผปค.ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ครับว่าจะสอนลูกหลานให้ดีได้อย่างไร สิ่งสำคัญที่สุด(ตอบในฐานะพ่อที่มีลูกเป็นวัยรุ่น) คือการสอน "วิธีคิด"ครับ ไม่ใช่ประเคนวัตถุ,เงินด้วยห่วงว่าลูกหลานจะลำบาก ถ้าลูกมีวิธีคิดที่ดีแล้ว รับรองได้เลยว่า สิ่งแวดล้อมทำอะไรลูกคุผณไม่ได้มากครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Lertvarit ที่ สิงหาคม 23, 2013, 23:52:03
ไม่ต้องกลัวหรอกครับ

ถ้าท่านเลี้ยงดู อบรม ให้ความรักความเข้าใจเค้าอย่างดี ยังไงเสียโตมาก็ได้ดี

... ส่วนผม บอกเลยว่าการมีรถยุโรปราคาแพงขับ มันไม่ได้ทำให้ความคิดหรือการใช้ชีวิตของผม ผิดแผกไปจากคนอื่น

นั่งรถเมลล์กับเพื่อนก็นั่งครับ รถไฟฟ้านี่ประจำ เพราะรถติด  ...

 ที่สำคัญ " ใช้รถราคาแพง อย่าทำตัวราคาถูก "  ยิ่งมีต้นทุนชีวิตที่ดี ยังไงก็ไม่ยอมใช้ชีวิตให้ขาดทุน

หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: DoNg ที่ สิงหาคม 24, 2013, 00:13:48
สิ่งที่ผมกลัวคือความคิดของลูกแบบคุณ pinggiyam

ที่กลัวคือความคิดแบบว่า ลูกไม่ผิด แต่พ่อแม่เลี้ยงผม/หนูมาแบบนี้นี่นา
คือกลัวเด็กที่มันคิดเองไม่ได้ แล้วโทษพ่อโทษแม่ ว่าทำไมไม่พยายามรวยเหมืิอนคนอื่น

กลัวจริงๆ ถ้าเด็กมันคิดแบบนี้เยอะๆ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Stroke8 ที่ สิงหาคม 24, 2013, 00:18:04
งั้นเราก็ต้องปลูกฝั่งให้เขาเป็นคนที่ชื่นชมของที่ "เจ๋ง" ครับ ไม่ใช่ "หรู"

ผมเป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย ที่บ้านรถแพง ได้ฟรีรถใช้ตั้งแต่อยู่ ปี1 ไม่ใช่สิ ได้งบประมาณฟรีๆมา แล้วเลือกซื้อเอง ตั้งแต่อยู่ปี1 ได้ก็พอสมควรครับ ไม่ใช่น้อยๆ ยุคนั้นรถป้ายแดงเก๋ไก๋ไฮโซมากมาย งบประมาณก้อนนั้นเพียงพอที่จะได้รถใหม่ป้ายแดงดีๆมาใช้ ผมเลือกคอร์ติน่าอายุ 29ปี ราคาสมัยนั้นไม่ถึงแสน ทำไมครับ? ผมเลือกดูของที่ความ "เจ๋ง" ไม่ใช่ความ "หรู" ผมอาจจะโดนด่าด้วยมุมมองแบบนี้ แต่ตอนผมเลือก ผมไม่ได้คิดถึงพ่อแม่ด้วยซ้ำ เพื่อนสมัยเรียนของผมใช้รถดีๆมากมาย แต่ผมไม่ได้สนใจเลยแม้แต่นิด ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมเลือกนั้นดีกว่า ... เอสแอลเค ... แซด 3 ... นิวบีเทิ้ล ... ผมรู้ด้วยตัวของผมเองครับ

ผมซื้ออะไหล่เอง (แน่นอนว่าฟอร์ดประเทศไทยสมัยนั้นไม่มีอะไหล่คอร์ติน่าเก็บสต็อก) ผมซ่อมเอง เรียนรู้ไปทีละขั้นตอน ผมใช้มันอยู่ได้ประมาณ 4ปี ผมขายไป เนื่องจากเหตุผลหลายๆประการด้วยกัน รวมๆแล้วผมใช้เงินพ่อแม่ไปน้อยกว่าค่าตัวของ โตโยต้าวีออส สมัยนั้นเสียอีก เสียค่าอะไหล่ ค่าน้ำมันไปเยอะครับ แต่ผมขายไปได้มากกว่าตอนซื้ออยู่สองหมื่น แทนที่จะต้องเสียหลายแสนกับค่าเสื่อมราคา ผมรู้อย่างนั้นตั้งแต่ผมเลือกว่าจะไปเส้นทางนี้แล้วครับ

คุณอาจจะสงสัยว่าผมจะมาเพ้อเจ้อบ่นอะไรเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของตัวเอง จุดที่ผมต้องการจะบอกอยู่ตรงนี้ครับ ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณสามารถให้ความรู้กับลูกได้มากพอ คุณก็ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ว่าเขาจะหลงใหลไปกับวัตถุนิยม

อย่าเหมารวมลูกคนรวยครับ

ถ้าเกิดคุณไม่มั่นใจว่าจะส่งเสริมทางด้านความประหยัด ก็ส่งเสริมมันทางด้านความรู้ ความเข้าใจโลกเนี่ยแหละครับ เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกัน ดูอย่างผมดิ ;D อ๋อ ไอ้ความคิดแบบนี้มันก็ใช้ไม่ได้กับทุกคนนะครับ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาเหมือนผม แต่ผมมั่นใจครับ ว่าแนวทางแบบนี้ ต่อให้เป็นคนปกติก็ทำได้ แต่อย่ายึดติดกับคำตอบของผมมาก อันนี้บอกเองเลยนะ ไม่ใช่แค่ค่อนข้างยากครับ โคตรยากเลย ถ้าคิดจะเลี้ยงลูกแบบนี้
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Parinceo ที่ สิงหาคม 24, 2013, 00:25:09
ผมอยู่ธรรมศาสตร์ รังสิตครับ ตอนนี้ปี3 ละ
นอนหอ ใช้จักรยานทุกวันครับ มีแวบนึงเหมือนกันที่ผมอยากได้รถมาขับเหมือนกัน
ตอนเช้าออกไปเรียน แดดก็ร้อน หนังสือก็หนัก ไปถึงตึกเรียนเหงื่อออกเต็มตัว
ตอนบ่ายเลิกเรียนฝนตกอีก ตากฝนกลับมาหนังสือก็เปียก
แต่ถามว่า ตอนนี้ที่มีโอเคไหม ผมก็ไม่เดือดร้อนครับ และก็ happy ที่จะใช้จักรยานต่อไป

เพื่อนผมหลายคนที่มีรถขับ หลายคนพ่อ แม่ห่วงเรื่องความปลอดภัย ไม่อยากให้อยู่หอ
ถ้าทางบ้านพร้อม จะออกมาซักคันผมก็โอเค ไม่เห็นว่าจะเป็นการฟุ่มเฟือย ขอให้เหตุผลพร้อมเท่านั้น
หรือถ้าที่บ้านมีเงินเก็บเป็นร้อยล้าน จะออกรถยุโรปมาซักคัน ก็ไม่แปลก ในเมื่อเขามี เขาก็ต้องมีสิทธิใช้ครับ
ถึงบางทีมันอาจจะดูเว่อร์ไปซักหน่อย แต่เค้าก็รอรับกิจการต่ออยู่แล้ว อนาคตมั่นคง ก็โอเค

ถ้าจะถามว่า ไปเจอเพื่อนที่รวยๆ จะติดหรู รึเปล่า
ผมตอบเลยว่า ถ้าคุณสอนเค้าให้ดี ไม่มีทางแน่ๆ
เพื่อนผมขับ E90 ผมปั่นจักรยาน อีกคนนั่งรถเมล์
ก็อยู่กันได้ ไม่มีใครรู้สึกต่ำต้อยกว่าใคร
เวลาไปเที่ยวไหนกันบางที ไอคนที่มีรถมันขี้เกียจเอารถไปด้วยซ้ำ
ก็นั่งรถตู้กันไป ไม่มีปัญหา

เอาจริงๆนะครับสำหรับผม
เรื่องเงิน ฐานะ เป็นเรื่องรองด้วยซ้ำ นิสัย สำคัญกว่าเยอะครับ
ต้องสอนลูกให้ได้ว่าเลือกคบคนดีๆ ที่นิสัย ไม่ใช่ฐานะ

แต่ก็อย่าเอาซะ ไม่ให้อะไรเลยจนมันกลายเป็นปมด้อยเขานะครับ
ไม่ต้องหรูที่สุด ก็ได้ เอาที่จะอยู่ได้โดยไม่น้อยหน้าใครก็พอ

ถ้าถามว่าตรงไหนพอ อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณ และสังคมของเขา
ถ้าอยากให้ลูกได้ภาษาอังกฤษ ยอมส่งเข้าโปรแกรมอินเตอร์
อันนี้ ของหรูหราติดตัว ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา มิฉะนั้นจะเข้าสังคมไม่ได้เลย เน้นว่า ไม่ได้เลยครับ
อันนี้เป็นเรื่องริงที่ผมเจอมากับตัวแล้ว
เพราะสุดท้าย สังคมมันก็วนกลับมาที่วัตถุแหละครับ ก็ต้องมีบ้านนิดๆหน่อยๆ

ผมก็เกิดมาอยู่ในบ้านที่ถือว่าฐานะค่อนข้างดีครับ
แต่ถ้าให้ผม โหนสองแถว ใช้รถสาธารณไปไหนมาไหน บอกได้เลยว่าบ่อยมากครับ
ไม่เป็นปัญหา คุณแม่ผมสอนว่า เมื่อถึงเวลา จำเป็นจริงๆ ค่อยมี
ที่จริงเงินของที่บ้านจะออรถยุโรป อีกซักคันมาให้ผมขับก็สบายๆ
แต่ผมก็ไม่ได้ต้องการครับ ไว้รอจบแล้วอาจจะให้ท่านดาวน์ C-seg, D-segให้ แล้วผมผ่อนรถเองซักคันอะไรก็ว่าไป

ปล. ผมคงโชคดีด้วยล่ะที่เจอเพื่อนดีๆ สังคมดีๆ ครอบครัวดีๆ ไม่งั้นผมคงไม่ได้มาอยู่ ณ จุดนี้ครับ
ปล.2 คนที่โดยสปอยล์ก็มีเยอะครับ แต่อันนั้นมันมาจากที่พ่อ แม่ไม่มีเวลาให้ คิดว่าตามใจเพื่อทดแทนความอบอุ่น อะไรประมาณนั้นครับ ซึ่งถ้าคุณสอนมาดีก็ไม่มีปัญหาครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: pinggiyam ที่ สิงหาคม 24, 2013, 00:33:28
สิ่งที่ผมกลัวคือความคิดของลูกแบบคุณ pinggiyam

ที่กลัวคือความคิดแบบว่า ลูกไม่ผิด แต่พ่อแม่เลี้ยงผม/หนูมาแบบนี้นี่นา
คือกลัวเด็กที่มันคิดเองไม่ได้ แล้วโทษพ่อโทษแม่ ว่าทำไมไม่พยายามรวยเหมืิอนคนอื่น

กลัวจริงๆ ถ้าเด็กมันคิดแบบนี้เยอะๆ
ขอโทษด้วยครับ ผมหมายถึงในแง่มุมที่ว่า ผู้ใหญ่มองว่าเด็กฟุ่งเฟ้อครับ แต่ไม่ค่อยกลับมามองตัวเองมากกว่านะครับ
ว่าสั่งสอนลูกดีพอหรือยัง และ อบรมเขาให้มีความคิด เตรียมความพร้อมให้เขาอยู่กับผู้คนในระดับใดของสังคม จนไม่เกิดความอิจฉาตาร้อนนะครับ
ผมขอใช้คำพูดแบบนี้แทนละกันครับ ยกตัวอย่าง เด็กที่พ่อแม่ต้องไปกู้เงินเพื่อเรียนม.เอกชน(ทั้งทีเรียนรัฐก็ได้) ค่าเทอมเกือบๆแสน
เด็กเข้าไปในสังคมแบบนั้น เกิดความอิจฉาเพื่อนๆขึ้นมา คำถามคือโทษใครดีครับ เด็กหรอ?? ผมว่าไม่นะครับ เพราะโดนพ่อแม่บังคับมาเรียน
แต่กลับไม่ได้เตรียมความพร้อมให้เขาในด้านอื่นๆ ที่จะอยู่ในสังคมแบบนั้นแบบไม่ต้องด้อยกว่าใครมากก ทำนองนั้นครับบ  ;D ;D
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: vellcap ที่ สิงหาคม 24, 2013, 00:46:22
ตอนนี้ผมเพิ่งปี 1 ครับ  ยังไม่มีรถเป็นของตัวเอง  ใช้รถส่วนกลางอย่างเดียว
แต่ผมใช้รถมาตั้งแต่เข้า ม.4 แล้วครับ  อยากใช้คันไหนก็เอาไปใช้
แต่หลังจากได้ใช้รถ บอกได้เลยว่าชีวิตผมไม่ได้สบายเหมือนตอนที่ไม่มีรถเลยครับ
เพราะตั้งแต่มีรถมา  มีงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะ  โดนที่บ้านสั่งนั่นนี่เพียบเลยครับ
แทบจะเรียกได้ว่าเรียนไป ทำงานไปด้วยเลยครับ
ยังกะว่าผมอยากได้  พอถึงเวลา  เขาก็ให้  แต่ต้องทำงานแลกเปลี่ยนนะ
ตอนนี้ผมอยากจะไปปั่นจักรยาน หรือ ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วครับ น่าจะสบายกว่านี้
แต่ไม่รู้จะได้ไหมนะครับ  :P :'(

อ้อ เคยเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งฟัง  เขาก็บอกผมว่าอยากได้รถ
ก็ได้แล้ว  แต่ก็ต้องทำงานแลกเปลี่ยนด้วยนะ    
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Headman ที่ สิงหาคม 24, 2013, 00:48:11
ผมในฐานะ เด็กอายุ 18 นะครับ ถามว่าอยากได้รถใหม่ไหม...อยากได้ครับ....เอา Kia Picanto คันเล็กๆ
เอาไว้ใช้ไปเที่ยวพักผ่อน อะไรประมาณนี้ แต่ถ้าถามว่า ตอนนี้ใช้อะไรเป็นหลัก...จักรยานครับ

ใครอยู่ชลบุรี ผมคิดว่าต้องเคยมีคนเห็นผมแน่นอน เพราะผมเชื่อว่า ฝีตีนการปั่นของตัวเอง มันกวนทีนชาวบ้านเค้าอยู่หลายๆ ครั้งเหมือนกันครับ ฮ๋าๆๆๆ

ทำไมใช้จักรยาน...ผมพิสูจน์แล้วว่า ในช่วงเวลา 6 โมงเช้าถึง 7 โมง จักรยาน คืนพาหนะที่ทำให้ผมไปถึงโรงเรียนได้เร็วที่สุด....ปลอดภัย ไม่เหนื่อย และถูกที่สุดครับ แถมตอนเย็นผมยังสามารถเอาจักรยานคันที่ว่าไปรับสาวๆ ไปเที่ยวได้อีกด้วยครับ (อยากจะบอกว่า...พาสาวๆ เที่ยวโดยใช้จักรยานนี้....ดูเท่ห์กว่ามอเตอร์ไซค์อีกครับ)

เพื่อนๆ มีรถแพงๆ แล้วผมอิจฉาไหมครับ เพื่อนผมมีตั้งแต่ ขับ Corolla เก่าๆ ไปจนถึง R8 Spyder ก็มี....ถามว่าอิจฉาไหม...ไม่นะครับ แต่ถ้าถามว่าคนอื่น อิจฉาผมไหม....ผมคิดว่าคนอื่นอิจฉาผมน่ะครับ ฮ๋าๆๆๆ

ถ้าถามว่า ตัวผมเองมีรถใช้ไหม....มีครับ แต่ยังสร้างไม่เสร็จ....แฮๆ ผมปั่นซากรถเก่าอยู่อ่ะครับ Citroen GS ปั่นมาหลายปีล่ะครับ ทำไปเรื่อยๆ ไม่รีบ ฮ๋าๆๆๆ

มีใครยังใช้จักรยานอยู่ไหมครับ ^^
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Ton247 ที่ สิงหาคม 24, 2013, 01:03:34
ผมว่าไม่มีอะไรถูก อะไรผิดหรอกครับ แค่แต่ละคนมีมุมมองกันคนละจุด เพราะแต่ละคนมีประสบการณ์ มีวัยวุฒิ คุณวุฒิ ต่างกัน ถึงเวลาประสบการณ์ก็จะค่อยๆสอนกันเองแหละครับ
คนที่ไม่ค่อยมี ถึงเวลามี เค้าก็อยากให้ลูกหลานสบาย จะซื้อรถให้ ใช้ของดีๆก็ไม่ผิดหรอกครับ และผมก็เชื่อว่าพ่อแม่หลายๆคนก็พยายามสั่งสอนแต่สิ่งดีๆให้กับลูก แต่ตัวลูกเองก็อาจจะต้องสั่งสมประสบการณ์บางอย่างเพิ่มเองด้วย เมื่อมีภูมิดีแล้ว ถึงเวลาไม่มี เค้าก็จะปรับตัวได้ครับ อย่างที่เห็นๆ เศรษฐีหลายๆคนบางทีตกอับก็มี แต่เค้าก็ประหยัด ปรับตัวได้จนสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาใหม่ได้อยู่ดีครับ
เราแค่ทำหน้าที่เราให้ดีที่สุดก็พอ พ่อแม่ก็ทำหน้าที่พ่อแม่ที่ดี เหมาะสมกับเหตุและปัจจัย ลูกก็ทำหน้าที่ของลูกที่ดี ถ้าทำเหตุดี ผลก็ดีครับ แต่ถ้าผลมันยังไม่ดี เราก็ต้องรู้จักวางให้เป็นครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: NONT4477 ที่ สิงหาคม 24, 2013, 01:04:08
80% อยู่ที่ฝคุณแม่จะสั่งสอนครับ เอาใจใส่ ให้ความรัก แต่อย่าตามใจแต่เด็ก ปลูกฝังให้รู้จักคิด
พ่อแม่บางคน ไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ลูก แต่กลับชดเชยด้วยเงินทองและตามใจลูก สุดท้ายเสียคนครับ อันนี้ยุ่ง
หาเงินให้จนสายตัวขาดก็ยังถมไม่เต็ม คงต้องรอให้ตายจากกันไป เคสนี้น่าสงสารน่ะ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pan Paitoonpong ที่ สิงหาคม 24, 2013, 01:06:35
ผมไม่มีลูกนะ มีแต่หลาน และมีแต่รุ่นน้อง รวมๆแล้วผมก็มีประสบการณ์กับเด็กตั้งแต่
เกิดจนถึงรุ่นมหาลัย ผมอาจจะไม่ใช่พ่อคนที่ดี แต่ผมว่าผมเข้าใจ mindset ของเด็กพวกนี้
ดีในระดับหนึ่ง

การจะพูดถึงรถแพงๆ ทำไมจะพูดถึงไม่ได้? คนมีเงินซื้อก็พูดถึงในแง่เจ้าของ
คนไม่มีเงินซื้อ ก็พูดถึง เพราะชอบ เพราะใฝ่ฝันว่าสักวันมันจะได้เป็นเจ้าของ
ก็ให้พูดกันไป ถ้าคนสองกลุ่มนี้คุยกันดี ถูกคอ คนรวยกว่าก็อาจจะแบ่งให้คนจนกว่า
ได้รับประสบการณ์ดีๆกับชีวิตบ้าง คนรวยไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเหมือนคนจนก็ได้
ที่มาของเงินแต่ละคนไม่เหมือนกัน ได้มาฟรี ได้มาเพราะมรดก ได้มาเพราะลำบาก
มันมากมายก่ายกองซึ่งผมรู้สึกว่าถ้ามันเป็นสิ่งที่คนคนหนึ่งมันกำเนิดมาด้วยสิ่งที่มี
มาให้มันอยู่แล้ว ก็ไม่ใช่ประเด็นว่าจะต้องทำเหมือนกันหมด

ผมสอนรุ่นน้อง สอนหลาน ผมไม่เคยด่ามันถ้ามันจะคบเพื่อนรวย หรือเพื่อนจน
แต่สอนแค่ว่าอยู่กับคนรวย อย่าเอาความรวยของเขามาทำให้เราเป็นคนมักง่าย เอาเปรียบเขา
เพราะ "ไอ้นี่รวย" ยิ่งคิดแบบนั้นชีวิตยิ่งคล้ายกาฝากมากขึ้น

ถ้ามีเพื่อนจนกว่า ให้แบ่งปัน ให้ช่วยเหลือเขา แต่ให้ดูด้วยว่าเขาแฟร์กับเราแค่ไหน
เพื่อนจนอาจจะไม่มีเงินคืนเรา เลี้ยงข้าวคืนเรา แต่เวลาลำบาก มันอยู่ข้างเราหรือเปล่า
ถ้ามันจน แถมยังมาหาเราเฉพาะตอนหิวข้าว ตอนอยากกินเหล้าฟรี แต่เราเจ็บป่วยไม่เคยถามไถ่
พอเราลำบากก็หายหัวเลย แบบนี้สู้มีเพื่อนรวยให้คันๆใจเล่นเสียยังจะดีกว่า

และที่สำคัญ ผมมักจะบอกน้องบอกหลานเสมอว่า ไม่ต้องไปรีวิวชาติกำเนิด
หรือเรื่องส่วนตัวของคนอื่นให้มันมากนัก มันแค่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเหมือนมีความวิเศษ
เวลาได้วิจารณ์คนอื่น แต่ที่จริงแล้วเสียเวลาเปล่า มองเขาในแง่มุมของพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ
ตีมันออกเป็นแง่ของความเสี่ยง อันไหนควรเลี่ยง อันไหนควรทำ อันไหนควรนำมาใช้
เป็นโมเดลได้ บางทีเรามีสิทธิ์สนุกด้วยกันได้ ตราบใดที่ไม่ดูถูกกัน

ไม่ต้องไปยึดติดอะไรกับฐานะมันมากหรอกครับ คนเงินหมื่นอย่างผม เจอเพื่อนที่รวยกว่าผม
มากมายมาก็เยอะ ตอนเรียนผมมีเงินใช้เดือนละ 6,500 ที่พ่อแม่ให้มา ส่วนเพื่อนผมได้ 20,000
แต่เป็นสองหมื่นต่อวัน ไม่ใช่ต่อเดือน ถามว่าถ้ามันอยากซื้อกระเป๋าใบละแสนให้แฟนเป็นของขวัญวันเกิด
มันใช่หน้าที่ผมหรือเปล่าที่จะต้องไปเตือนว่าไอ้เม้ง มึงฟุ่มเฟือยนะ ลดๆค่าใช้จ่ายลงหน่อย
ซึ่งกรณีนี้ ไอ้เม้งซึ่งได้เงินเดือนละสี่แสนก็บอกว่าเพื่อแฟน แค่นี้จิ๊บๆ แล้วครอบครัวไอ้เม้งจะจนฉิบหาย
เข้าสักวันหรือเปล่า หรือมันจะเป็นเด็กสปอยล์หรือเปล่า ไม่ใช่หน้าที่ของผมต้องไปยุ่งกับมัน
แต่ถ้าไอ้เม้งชอบดูถูกคนจนๆอย่างผม ผมคงชกมันก่อนเป็นอย่างแรก

และอันที่จริงคนอย่างไอ้เม้งก็มีเพื่อนที่รวยกว่ามัน รวยขนาดไหน? ก็ขนาดเจอรถคันไหนชอบ
ก็ซื้อเก็บ เจอเซลส์อ้อนก็ซื้อเก็บ ซื้อไปซื้อมา มารู้ตัวอีกที มีรถในชื่อตัวเองทะลุร้อยคันไปไกล
ไอ้เม้งมันก็จะบอกว่า เห้ย ไอ้จ๊อบ มึงฟุ่มเฟือยมากไปมั้ยวะ มีรถไปทำซาลาแมนเดอร์อะไรร้อยกว่าคัน
เม้งมีแค่ 5 คันเม้งยังดูแลไม่ทั่วถึงเลย ใช้เงินเป็นกระดาษเลยนะแก

คือถ้าเราตั้งประเด็นกับการที่ใครสักคนที่รวยกว่าเราจะมีวิถีชีวิตยังไง เราก็คงต้องตั้งประเด็นกันไป
สิบสองปีสิบสี่ชาติครับ พวกที่ชอบคิดว่าคนที่รวยกว่าเราจะสปอยล์เสมอ คนที่จนกว่าเราจะรสนิยม
ไม่ถึงใจเสมอ..โห ชาตินี้คงมีความสุขยากนะ แทนที่จะมองว่า เห้ยบางส่วนที่แกเงินถึง..ชั้นไม่ถึง
ชั้นไม่เล่นนะ เหี้ยบางอย่างชอบเหมือนกัน พอคุยกันได้ ก็มานั่งกินปาท่องโก๋จิบแมนซั่มคุยกันมันส์ๆ

เราในฐานะคนที่ต้อง shape เด็กยุค "ME ME ME and ME Generation" ให้โตขึ้นไปแล้ว
ไม่เป็นภาระคนอื่นนี่ ไม่ได้อยู่ที่แค่การสอนให้มันคิดดีทำดีแล้วครับ..แต่สอนให้
ประเมินสิ่งต่างๆให้ลึก แต่ไม่่ต้องปล่อยทุกสิ่งที่ตัวเองประเมินออกมา
อะไรทำได้ อะไรทำแล้วยาก? อะไรทำแล้วจะฉิบหายวายป่วง?
อะไรพูดได้ อะไรไม่ควรพูด? อะไรที่พูดแล้วช่วยคนอื่น อะไรที่บางครั้งเก็บๆไว้บ้างก็ได้

และท่ามกลางโลกที่ล้านคนชอบด่า แสนคนชอบวิจารณ์ ร้อยคนเสนอแนะวิธีการ และสิบคนลงมือทำจริง
ผมว่าการเลี้ยงเด็กให้มีคุณภาพทางความคิด มีทักษะในการประเมินความสามารถของตัวเอง และมี
การสื่อสารที่ถูกจังหวะ โดนทั้งเนื้อหา เหมาะสมทั้งเวลา นี่ล่ะคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดของคนเป็นพ่อเป็นแม่


หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Automotive Innovations ที่ สิงหาคม 24, 2013, 01:13:51
ในฐานะของคนอายุ 19 อยู่ปีสอง ม.หอการค้าไทย ขอบอกบ้างครับ ผมเองก็มีความคิดอยากได้รถเหมือนคนอื่นเค้า ทำไรก็ง่ายสบาย ไปไหนก็ไม่ลำบาก แต่เราลืมไปว่าที่เราใช้ตังนั้นมันไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นตังพ่อแม่ ซึ่งเรายังหาเงินเองไม่ได้ ดังนั้นผมจะแล้วแต่คุณพ่อคุณแม่ครับ เพราะเราเป็นลูกต้องเชื่อฟังท่าน ทุกวันนี้ผมก็นอนอยู่หอ ผมว่าสะดวกไปมหาลัยแปปเดียว แต่เวลาไปไหนต้องลำบากนิดนึง แต่ผมไม่แคร์ครับ เพราะผมรู้ว่าตัวเองยังโชคดีกว่าคนอื่นมากครับ บางคนยังไม่มีไอโฟนเหมือนเรา ไม่มีหออยู่เหมือนเรา ผมจะคิดเสมอว่าพ่อแม่ให้เราขนาดนี้ เราควรจะตอบแทนบุญคุณท่าน ไม่ทำให้ท่านเสียใจ ยอมลำบากตอนนี้ ดีกว่าลำบากวันหน้าครับ ไม่มีรถมันก็ไม่ตายครับ เดินไปเรียนเอา นั่งแท็กซี่เอาได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ผมก็เกริ่นๆไว้ว่าจะซื้อรถให้ ซึ่งผมก็แล้วแต่คุณพ่อคุณแม่เลยครับ

เราควรปลูกฝังให้เค้ามีจิตสำนึกครับ พยายามสิ่งดีๆให้เค้า คุยกับเค้าด้วยเหตุผลด้วยความเข้าใจ ไม่ควรใช้อารมณ์ ถ้าเค้าไม่เข้าใจเรา เราก็พยายามอธิบายครับ แค่นี้เค้าก็จะเป็นคนดี รู้จักแยกแยะ รู้จักคิดสิ่งดีๆได้แล้วครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pingu ที่ สิงหาคม 24, 2013, 01:19:07
ผมเพิ่งจบครับ เห็นเพื่อนใช้รถกันตั้งแต่ปีหนึ่ง บางคันพ่อแม่ซื้อให้ใหม่บ้าง หรือเอาคันที่มีอยู่แล้วมาใช้บ้าง ทั้งรถยุโรปและรถญี่ปุ่น

ส่วนผมนั่งรถตู้อย่างเดียวครับ เคยอยากได้รถเหมือนกันเพราะว่ามหาลัยไกลบ้าน แต่พอคิดๆดูแล้วถ้าได้รถค่าใช้จ่ายในบ้านคงบานปลาย ไหนค่าบำรุงรักษา

ค่าน้ำมัน เกรงใจพ่อแม่ด้วย กลัวที่บ้านมีรายจ่ายเพิ่ม เลยทนนั่งรถตู้จนจบ(แม่บอกดีออกมีคนขับรถให้ด้วย) ทุกวันนี้จบมาอยากได้รถบ้างกลายเป็น คิดโน่นนี่นั่นไป

เรื่อยครับ พอได้มาทำงานเอง ยิ่งยากเลยสำหรับการผ่อนรถคันนึง ตอนนี้เลยนั่งรถตู้เหมือนเดิม ฮาาา สำหรับเพื่อนผมที่มีรถก็ไม่ได้แย่นะครับ บางคนรู้จักรับผิดชอบ

ขับรถอย่างมีสติ ผมมองว่าจุดนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคลและวิจารณญาณของผู้ปกครองครับ ถ้าเค้าไม่เดือดร้อน และลูกมีความรับผิดชอบ ดูแลตัวเองได้ ใช้รถเป็น ก็ไม่

น่าเป็นห่วงอะไรครับ ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือพวกขับรถแย่ๆเนี่ย... :-\
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: wooot ที่ สิงหาคม 24, 2013, 02:00:03
ขอตอบในฐานะคนที่มีโอกาสคลุกคลีกับวัยรุ่นเยอะๆ ก็บรรดานิสิตนักศีึกษาครับ ผมมีหน้าที่สอนและดูแล
นิสิตผมมีทุกรูปแบบครับ ทั้งขาดแคลน และมีเหลือเฟือ
เรื่องข้าวของเงินทอง รถ โทรศัพท์ นิสัย จิตใจ ฯลฯ   เหล่านี้ผมให้น้ำหนักไปที่ครอบครัวเป็นอันดับต้นๆ ครับ

       เด็กที่ถูกเลี้ยงมาด้วยความรัก เอาใจใส่ ด้วยเหตุด้วยผล ไม่ว่ารวยหรือจน ผมพบว่าเป็นเด็กดีหมดครับ 99 % ไม่ว่ามันจะต่อยตีกัน กินเหล้า สูบบุหรี่ พูดจาหยาบคาย แต่เนื้อแท้ เป็นคนดีครับ มีน้ำใจ  เด็กพวกนี้พอขึ้นปีสาม จะกลับเข้าสู่ชีวิตที่ควรจะเป็น และจบออกไปค่อนข้างมีคุณภาพ

      เด็กที่ถูกเลี้ยงมาด้วยความรักที่ขาดเหตุผล เมื่อมีปัญหาผมพบว่ากลุ่มนี้ มักจะโทษสิ่งแวดล้อม โทษคนอื่น เมื่อเชิญผู้ปกครองมาพบ มักจะมาแบบเดียวกันเป๊ะ ลูกชั้นไม่ผิด มีแม้กระทั่ง โทรมาลาสอบให้ลูก เพราะลูกไม่อยากสอบ อ่านหนังสือไม่ทัน บางเคสลูกไ่ม่มาสอบเพราะไม่ได้สนใจว่า เค้ามีสอบกันนะเว้ยเฮ้ย! พ่อแม่ก็โทรมาอ้านู่นนี่นั่นให้ลูก หลายๆคนต้องรีไทร์กลางคัน

     กลับมาที่เรื่องข้าวของ รถ โทรศัพท์ ผมอยากให้มองเป็นเรื่องปกติของแต่ละครอบครัวครับ  คนมีเงินมากเด็กโตขึ้นท่ามกลางข้าวของที่มีคุณภาพสูงและราคาแพง ไม่แปลกถ้าครอบครัวอยากให้ใช้ของที่มีคุณภาพสูง ซึ่งแน่นอน ราคาแพง  ครอบครัวที่ีฐานะลดหลั่นกันลงมาก็ใช้ของตามฐานะกันไป
     
       ครอบครัวจะสอนยังไงให้ลูกเข้าใจว่า ข้าวของเหล่านี้ใช้เพื่อตอบโจทย์เท่านั้น โทรศัพท์ที่เล่นเฟสบุค ต่อเนต ถ่ายรูป อัพอินสตาแกรมได้ ไม่ได้มีแค่ ไอโฟน หรือ s4 เหล่านี้พ่อแม่ต้องทำให้ดูครับ ต้องให้เขาได้เห็นตั้งแต่เด็ก พ่อเป็นฮีโร่คนแรกของเด็กๆครับ พ่อทำยังไง เค้าจำครับและมีแนวโน้มจะทำตาม  สิ่งที่อยากให้มีมากๆคือ ความรับผิดชอบครับ  ต่อตัวเอง ต่อสังคม (ต่อการบ้านที่สั่งด้วยยิ่งดี  ผมจะได้มีคะแนนช่วยมันมั่ง)

       แต่อยากตั้งข้อสังเกตอีกนิดนึงว่า ถ้าคิดถึงคุณภาพ ของทุกอย่างมันมีมาตรฐานขั้นต่ำสุดที่จะยอมรับได้อยู่ ทั้งโรงเรียน ข้าวของเครื่องใช้ อาหาร หรืออะไรก็ตาม อันนี้แหละครับ ที่เป็นความเหนื่อยยากของพ่อแม่ละ ขึ้นอยู่กับว่าขั้นต่ำของคุณอยู่ตรงไหน และขั้นต่ำทั่ว่าเนี่ยเราพอใจที่จะให้ลูกของเราหรือเปล่า.....
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: I-Am-Mixx ที่ สิงหาคม 24, 2013, 02:06:50
ผมเป็นคนนึงที่มีรถใช้ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย
และได้รถเพราะว่า  มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ต่างจังหวัด   การเดินทางค่อนข้างลำบาก
ถ้าถามว่ามันเป็นของที่ฟุ่มเฟือยไหม  สำหรับผมคิดว่ามันเป็นเพราะตั้งแต่ผมมีมัน
ผมต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอีก  เดือนละ 1500 - 2000 บาท
ซึ่งรายจ่ายทั้งหมด เป็นภาระที่พ่อกับแม่ เป็นคนจ่าย
ถามว่าการมีรถแล้วเหลิงไหม เมื่ออายุยังน้อยมีบ้างนิดหน่อย
แต่เมื่อผมโตขึ้น ผมเริ่มที่จะเข้าใจอะไรๆมากขึ้น 
ปัจจุบันการใช้รถของผม  จะเน้นใช้เวลาไปเรียนเป็นหลัก   เพราะต้องขนคอมและเอกสารไปทำ Project
พ่อกับแม่ บอกเสมอว่า เงินทอง มันเป็นของหายาก และ ลำบากกว่าจะได้มันมา
จะใช้จ่ายอะไรให้จำไว้ว่า เงินทุกบาทมันคือ หยาดเหงือแรงกายของพ่อกับแม่
สำหรับผม มันไม่ใช่แค่รถคันนึง แต่มันความห่วงใยที่พ่อกับแม่มีให้
ผมถึงพยายามที่จะดูแลมันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Pasakorndvm ที่ สิงหาคม 24, 2013, 02:33:36
อดีตเคยจนครับ เลยตอบคำถามไม่ได้
แต่ด้วยประสบการณ์พ่อลูก๒จะบอกว่า ในความเป็นพ่อนั้น
เราคงกะเกณฑ์ คาดหวังในตัวลูกไม่ได้ ลูกจะไม่ฟังที่เราพูด แต่จะทำตามเรา
การเป็นตัวอย่างที่ดีสำคัญที่สุด
 
ตอนเด็กผมเคยนั่งข้างถนนมองเด็กคนอื่นๆกินข้าว แต่ผมกินวันละไม่เกิน๒มื้อ เพราะไม่มีเงิน กลับไปหาญาติที่แม่กลอง ต้องนั่งรถบรรทุกน้ำปลากลับไปหาอาม่าด้วยตัวเองตั้งแต่๑๐ขวบ เคยฆ่าตัวตายมาหลายรอบ เคยเสี่ยงมาทุกอย่าง แต่เมื่อเห็นที่สุดแห่งทุกข์ และความลำบาก
กลับเป็นประโยชน์ มันทำให้ผมไม่ยอมแพ้ แม้กระทั่งพ่อผมจะด่าง่าไอ้ควาย ไอ้ซื่อบื้อ ญาติจะด่าว่าอย่างไรไม่สนใจ ผมมีหน้าที่ทำชีวิตให้ดีขึ้น
เป็นแรงส่งให้ตัวเอง พัฒนาด้านฐานะ และ จิตใจ ถึงปัจจุบัน ไม่อิจฉาคนที่มีมากกว่า ไม่รังเกียจคนที่ด้อยกว่า เป็นสิ่งที่ภูมิใจว่า ลูกผมได้เห็นตัวอย่างด้านดีไว้มาก ด้านเลวผมพยายามลด ระวังลูกจะเลียนแบบ

จากชายบ้านนอกที่น่าจะติดยา หรือ ไม่ก็ซิ่งมอไซด์จนตาย มาเป็นคนทำงานเอกชน รายได้ ๖ หลักต่อเดือน แต่งงานกับลูกนายพลที่เป็นราชองครักษ์ มีลูกที่น่ารักและมีสัมมาคารวะ มีเพืี่อนและกลุ่มเพื่อนของภรรยาในทุกระดับฐานะ ตั้งแต่คนไม่มีอาชีพ ค้ายาเสพติด ขับแท็กซี่ ดารา นักร้อง ผู้ประกาศข่าว นายตำรวจ นายทหาร

แต่พอกลับบ้านผมจะไหว้และดูแลป้าที่ดูแลผมมาตลอด ป้าที่ทำงานหนัก ส่งเสียผมมา แม้แกจะจบแค่ป.๔ อาชีพหิ้วตะกร้าขายของในตลาด เวลาผมไปตลาดจะจอดรถยนต์ ลงไปไหว้แก และช่วยหิ้วของในตะกร้า ด้วยความภูมิใจว่า เพราะสินค้าและหยาดเหงื่อของท่านทำให้ผมมีวันนี้
ที่เล่ามา คือ การปฏิบัติดูแลผู้มีพระคุณ สิ่งนี้ลูกผมจะซึมซาบและรู้สึกได้เอง โดยที่ผมไม่เคยต้องสอน เวลาลูกผมเจอญาติผู้ใหญ่ที่ภายนอกดูไม่มีฐานะ ก็จะไม่รังเกียจ แถมยังเข้าไปช่วยงานโดยอัตโนมัติ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: chean ที่ สิงหาคม 24, 2013, 04:31:56
ความจนจะทำให้เรารวย.....

ความรวยจะทำให้เราจน......

แต่เหนือสิ่งอื่นใด พื้นฐานของครอบครัว เป็นตัวกำหนดให้เราเลือกเดินไปทางไหน

ปล.ดีนะผมเกิดมาแบบแรก 555
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: NS ที่ สิงหาคม 24, 2013, 07:09:58
   ตอนไม่มี อะไรก็ต้องงด ต้องรอ เอาแค่พอเหมาะ พอมีขึ้นมา เขาพยายามหาสิ่งที่ดีให้กับลูก คิดมาเป็นเงินไม่มากจากรายได้ (แต่มันมากไปสำหรับเด็กที่ยังหาเองไม่ได้ ลองคิดดูว่าคุณเคยเห็นภาพเด็ก 3-5 ขวบเล่น iPad ของพ่อกับแม่ไม๊ นั่นแหละ คือความคุ้นเคย) จีนบางทีไม่ได้คิดว่ามันจะกลายเป็นความเคยชิน เคยได้ แล้วต้องได้
    ต้องสอนให้เขารู้จักคำว่าพอดี ผมมีทั้งลูก มีทั้งหลาน ในวัยใกล้เคียงกัน เจอทั้งแบบพ่อแม่ประเคนให้และแบบพอมีพอใช้ และแบบอัตคัตที่จะให้ ต้องดูและสอนเขาให้เข้าใจดีๆนะครับ. คหสต ล้วนๆ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: decptt ที่ สิงหาคม 24, 2013, 07:40:26
สรุปสั้นๆให้ (แต่น่าจะอยู่กระทู้ Relax นะ 555+ อ่านแล้วคิดเยอะ อิอิอิ)
1. การปลูกฝัง  -- วินัย จิตสำนึก
2. ประสบการณ์
3. *** กตัญญู ***

ส่วนตัวผม จากคนพอจะมีกิน มีฐานะ จนปัจจุบัน มีแต่หนี้สิน จ่ายดอกเดือนละ 65,000 บาท เฉพาะดอกเบี้ยนะ ไม่รวมเงินต้นที่ไม่มีปัญญา จ่ายคืนในตอนนี้ 555+

ปล. หนี้สินการค้านะครับ ไม่ใช่หนี้พนัน หรือ หนี้แบบอื่น ^_^
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: 12ay13an ที่ สิงหาคม 24, 2013, 07:58:42
เคยผ่านชีวิตวัยรุ่นมา ครอบครัวก็ไม่ได้รวยมากฐานะปานกลาง เคยขอของอะไรจากพ่อแม่หลายอย่างแต่ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ขอมอไซตอนขึ้นม.4 ท่านก็ซื้อให้อย่างไม่ลังเล ตอนเข้ามหาลัยก็ขอรถยนต์ท่านแต่ท่านไม่ให้เราก็๋โกรธท่านแต่ตอนนั้นขับรถเป็นแล้วเพราะท่านสอนแต่ท่านก็ยังไม่ให้ท่านบอกยังไม่ถึงเวลาเราก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เคยแอบเอารถยนต์ออกมาต่างจังหวัดโดยไม่บอกท่านแล้วเกิดอุบัติเหตุ ตอนนั้นแหละครับถึงคิดได้ ตอนแรกคิดว่าโดนด่าเละแน่ๆ กลัวมากๆตอนโทรไปบอกท่านว่ารถชน แต่คำแรกที่ท่านถามมาท่านถามว่าเราเป็นอะไรมั้ยไม่ถามถึงรถยนต์ซักคำและท่านก็รีบมายังที่เกิดเหตุทันที แค่นั้นแหละครับน้ำตาไหลออกมาทันที สำนึกผิดครับ พอกลับมาบ้านท่านไม่ได้ว่าเราแม้แต่คำเดียวเพียงแต่สอนอะไรหลายๆอย่างให้เรารู้ และก็จำมาจนถึงทุกวันนี้ จึงอยากให้พ่อแม่ทุกท่านถ้าจะสอนอะไรลูกรีบๆสอนรีบๆปลูกฝังตั้งแต่ยังเป็นเด็กเลยครับ ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป ถึงแม้ผมจะยังไม่มีครอบครัวแต่ก็เป็นกำลังใจให้พ่อแม่ทุกคนครับ ทุกวันนี้ทำงานหาเงินเองได้รู้เลยครับกว่าจะได้เงินมาทุกบาทมันเหนื่อยมาก เวลาเห็นใครขับรถหรูๆแพงๆก็อิจฉาอยากได้เหมือนกันแหละครับคิดว่าทำไมเราไม่มีขับแบบเค้ามั่งแต่ผมก็คิดเสมอว่า เวลาที่เราอิจฉาคนที่รวยกว่าเรา ให้เรามองคนที่คนจนและลำบากกว่าเรายังมีอีกเยอะครับ เรามีแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว  ;D 
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Marverick ที่ สิงหาคม 24, 2013, 10:13:05
ผมก็ใช้คำว่า"พ่อ" มาเจ็ดเดือนกว่าๆแล้วครับ

   ก่อนหน้าที่จะแต่งงานนั้น ผมก็ใช้เงินตามสบายตามประสาคนโสด หาได้..ใช้ไป..หาใหม่ ไม่ค่อยระวังตัว แต่ก็ไม่ลืมที่จะเก็บออม....แต่เมื่อแต่งงานมีครอบครัว ความคิดก็เปลี่ยนไป ความรับผิดชอบมันมากขึ้น ต้องออมมากขึ้น ลงทุนมากขึ้น ข่มใจมากขึ้น มองไปที่อนาคตเพื่อการศึกษาของลูก ค่าใช้จ่ายที่ให้คนในครอบครัวสุขสบาย

   ผมเห็นเด็กวัยรุ่นที่ยังหาเงินเองไม่ได้ แต่มีความฝันที่อยากได้รถแบรนด์หรูๆมาขับขี่เพื่ออวดความมั่งมี ..ถ้าเด็กพวกนั้นมีฐานะทางบ้านที่ดี พ่อแม่สนับสนุน คงไม่สามารถไปห้ามอะไรได้..แต่สำหรับบางคนที่มีฐานะปานกลาง ผมเชื่อว่าเมื่อทำงานหาเงินได้จะมองเป้าหมายไปที่รถก่อนอย่างอื่น

   ผมอยากจะให้น้องๆคิดใหม่ ข่มใจเรื่องรถยนต์เอาไว้บ้าง มองว่ามันคือสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทาง เมื่อมีรถย่อมมีค่าใช้จ่ายอื่นๆตามมาอีก ผมมองว่าสิ่งแรกที่น้องๆควรจะมีคือ บ้าน ที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ที่มันมีมูลค่าที่งอกเงยขึ้น ไม่เหมือนรถยนต์ที่มีค่าเสื่อมราคาตั้งแต่ถอยรถป้ายแดงออกมา

   บางครั้งสมรรถนะหรือoption ที่ดีเด่นเกินความจำเป็น มันก็ไม่ได้ช่วยให้เราถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น
   
  "การจะพูดถึงรถแพงๆ ทำไมจะพูดถึงไม่ได้? คนมีเงินซื้อก็พูดถึงในแง่เจ้าของ
คนไม่มีเงินซื้อ ก็พูดถึง เพราะชอบ เพราะใฝ่ฝันว่าสักวันมันจะได้เป็นเจ้าของ
ก็ให้พูดกันไป ........... คนรวยไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเหมือนคนจนก็ได้
ที่มาของเงินแต่ละคนไม่เหมือนกัน". 
ผมชอบแนวคิดของคุณ Commander Cheng
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: cloud ที่ สิงหาคม 24, 2013, 11:08:06
น้ำตาจะไหล
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: MoO Cnoe ที่ สิงหาคม 24, 2013, 11:15:37
ตอบในฐานะเคยเป็นเด็กที่อยู่ในครอบครัวฐานะปานกลาง พอกินพอใช้
ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมกับเด็กวัยเดียวกันที่ฐานะค่อนไปทางดี ดีมาก
ไปจนถึงอภิมหาเศรษฐี ใช้ีชีวิตร่วมกันไม่ต่ำกว่า 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
5-6วันต่อสัปดาห์ ในโรงเรียนเอกชนชื่อดัง ตลอด 12ปีที่ผ่านมา

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่ ป.1 ถึง ม.6 ในบริบทที่บอกมาข้างต้น
อย่าไปโทษสังคมรอบข้างครับ ทัศนคติของเด็กจะเป็นอย่างไร
พื้นฐานอยู่ที่ครอบครัวและผู้ปกครอง ว่าสอนมาอย่างไร สอนให้เด็กคิดอย่างไร
สังคมรอบตัวหรือเพื่อนๆมีส่วนบ้าง แต่ไม่มากที่จะทำให้เปลี่ยนความคิด
ไปอย่างสิ้นเชิงได้ ต้องสอนให้เค้าคิดมีเหตุมีผล คนมีฐานะไม่จำเป็นต้องฟู่ฟ่า
ฟุ่มเฟือยเสมอไป เด็กบางคนใช้ประหยัดกว่าเด็กฐานะกลางๆอีก เพราะเค้าคิดเป็น
หรือถูกสอนมาดี อย่าไปสอนเด็กให้คิดลบกับคนรวย เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่มีวันรวย
แต่จงให้เหตุผลทำไมเค้าถึงรวย แล้วมันจะเป็นแรงผลักดันให้เค้าขยัน พยายาม
อดทน และมีเป้าหมายให้ตัวเองในชีวิตได้

ส่วนใหญ่ที่ผมเจอ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เป็นส่วนใหญ่
ส่วนใหญ่คนที่รวยจริงๆ เราจะเป็นคนรู้เอง ว่าเค้ารวย ไม่ใช่จากการอวด

คนรวยจริง จะไม่อวด แต่คนที่อวดคือคนที่รวยไม่จริง
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: grev ที่ สิงหาคม 24, 2013, 11:16:44
พื้นฐานทางสังคมมันไม่เท่ากันครับ
ผมว่าเอามาเทียบลำบากนะ
ถ้าใครมีเงินเชื่อเถอะ 100 ทั้ง 100
ไม่มีใครอยากให้ลูกลำบากทั้งนั้น
และเรื่องพวกนี้อยู่ที่การเลี้ยงดู
ปลูกฝังทัศนคติ และวิธีคิดครับ
แถวบ้านผมลูกคนมีตัง เรียนนานาชาติ
ค่าเทอมเป็นแสน แต่เวลาเจอหน้าผม
ท้้งที่ไม่ได้สนิทหรือคุ้นเคยอะไรกัน
น้องเค้ายกมือไหว้ตลอด
มารยาทดีมากๆ ทั้งที่น้องเค้าเองยังพูดไทยไม่ชัดเลย
เพื่อนอีกคนผู้หญิงบ้านมีตัง แต่พ่อมันไม่ให้ขับรถ เพราะเป็นห่วง
ก็ไม่เห็นมันจะง้องแง้งงอแงอะไร นั่งรถตู้รถเมล์ไปเรียนประจำ
จนทำงานจะ 30 ละ มันยังนั่งรถตู้รถเมล์อยู่เลย :D
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: McBoyz ที่ สิงหาคม 24, 2013, 11:48:48
ผมก็คนนึงที่ทางบ้านไม่ได้มีฐานะดีอะไร
ต้องทำงานเก็บเงินเอง กว่าจะออกรถเองได้ก็เรียนจบทำงานจนอายุ 27 ตอนนี้ก็มีรถมี ปีหนึ่งพอดี
เห็นเพื่อนมาหลายคน หลายแบบ ก็ไม่ได้อิจฉาอะไร คนเราต้นทุนไม่เท่ากัน
พ่อแม่ล้วนอยากให้ลูกสุขสบายกันทุกคนแหละครับ ถ้าทำได้
ผมไม่ได้อิจฉาเพื่อนคนอื่น เพราะรู้ว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ เราไม่มี เราก็หาเองของเราได้
คนอื่นเค้ามีเยอะใช้เยอะ เราก็ไม่มีสิทธิไปว่าเค้าฟุ่มเฟือยหรอกครับ เงินทองเค้า เค้าคงหาได้เยอะเลยใช้เยอะ
ถ้าเค้าไม่มีแล้วใช้เยอะสิแปลก จะเอาจากไหนมาใช้
เราคนธรรมดา หาได้ 100 ใช้ 50 คนรวยเค้าหาได้ 10000 ใช้ 5000 ก็ไม่แปลกครับ ยังไงก็ยังเหลือเก็บ

เหมือนเราขับ eco car ขับ รถญี่ปุ่น จะไปอิจฉาคนขับ benz bmw ไปเพื่ออะไร
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Eddy5659 ที่ สิงหาคม 24, 2013, 11:49:48
อยากให้เป็นกระทู้ปักหมุดจัง 5555+. ล้อเบ่นนะครับ

ผมเป็นพ่อลูกแฝดมาปีครึ่งแล้วครับ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมก็คิดเหมือน จขกท นะ
มีช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้มีน้องนิสิตหลายคนที่มาสร้างกระแสและพูดคุยถึงรถราคาแพง ผมเองก็อยากจะพูดแบบ จขกท นี่แหละ
สมัยเด็กๆ ผมเคยขอพ่อซื้อจักรยานใหม่ พ่อบอกว่า ถ้าภายในวันนี้หาเงินเองโดยไม่ต้องขอใคร ใข้ความรู้ความสามารถที่มี ได้ 20 บาท พ่อจะซื้อให้
จนถึงวันนี้ที่พ่อผมให้เงินมาก้อนนึงเอาไว้ดูแลลูกๆและเคยจะถอย f10 แต่ก็หยุด เพราะเสียดายตังค์ รายรับตอนนี้ิที่เราหามาได้ประมาณเดือนละ 100k
จะซื้อจะจ่ายอะไรยังต้องคอยระมัดระวัง จะถอยรถ SUV ซักคัน ทั้งๆที่ซื้อสดก็ได้หลายคัน แต่เราก็ต้องการรถที่คุ้มราคา และไม่แพงจนเกินไป
อยากถอย ml250 cdi, xc60 หรือ x5 แต่ก็แค่ไปดู ไปลองเช็คราคา สุดท้ายก็ไม่เอาเสียดายเงิน กว่าจะหาได้แต่ละบาทใช่เรื่องง่าย

ผมมีคนรู้จักที่รวยและใช้รถราคาแพงแต่มีทั้งนิสัยดีและนิสัยไม่น่ารัก
คนที่นิสัยดี พ่อแม่ซื้อรถราคาแพงให้ตอนเอ็นติด เขาก็รักและดูแลรถเป็นอย่างดี และตั้งใจเรียนหนังสือเพราะเขาอยากจะหาเงินเอง อยากจะขับรถสปอร์ตแต่ต้องจ่ายเอง จบแล้วก็ทำงานกับที่บ้าน และเก็บเงินเดือนที่ได้รับมาซื้อรถในฝัน เมื่อไหร่ที่เขาผ่านมาทางบางแสนก็จะมีของติดมือมาเยี่ยม มีตั้งแต่มะม่วงจากสวนหลังบ้าน จนถึงหูฉลามตากแห้งจากฮ่องกง แต่เขาใช้จ่ายอย่างสมเหตุสมผลมาครับ ครอบครัวเขาอบรมมาดี และไม่เคยดูถูกคนที่จนกว่าอย่างผม หรือรังเกียจรถผมเลย

อีกคนเป็นลูกเจ้าของโรงสี รวยไม่เท่าคนแรกหรอก แต่เบ่งมาก พ่อซื้อ BMW ให้ ขับไปสามเดือนเบื่อไปทำช่วงล่างและชุดแต่งหลายแสน
ขับไม่ถึงปี อยากได้คันใหม่ พ่อมันประเคนรถยุโรปให้อีกคัน ใช้เงินดุมากเลยคนนี้ แต่ที่คบกัได้เพราะเล่นดนตรีด้วยกัน ไม่รู้เกิดข้อผิดพลาดอะไร
เหมือนโรงสีมีปัญหา รถพ่อแบะรถมันหายไปทีละคัน สุดท้ายเหลือเบนซ์อีคลาสคันเดียว ตอนนี้คนคนั้นเป็นพนักงานธนาคารขับเทียน่าตัวที่แล้ว
เวลาเจอกันม้นยังโวว่าเทียน่าภายในไกล้เคียงรถสมันก่อนที่มันใช้ บลาๆๆๆ ยังติดนิสัยขี้โอ่อีกนะมรึง 555+

ดังนั้นผมว่าประเด็นนี้มันขึ้นกับทัศนคติของแต่ละคน การเลี้ยงดูของครอบครัว และการคบเพื่อน
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: J!MMY ที่ สิงหาคม 24, 2013, 12:35:24
ทุกท่านเขียนกันมายาวมากๆ
จนผมได้เห็นอีกหลายๆด้านของหลายๆท่าน

ผมคิดว่า อยากจะบอกเพียงแค่.....สั้นๆ


"อย่าสอนลูกให้มองคน ที่ความรวย (รวมถึงการพูดถึงคนอื่นว่า ดูคนนั้นสิ เขารวยจังเลย แบบนี้ ห้ามเด็ดขาดครับ แย่มากๆ)
แต่จงสอนลูก ให้มองคน ที่"จิตใจดี นิสัยดี Attitude ที่ดี
ควรคบเขา แต่ห้ามไปเบียดเบียนใครเขา"

แค่นั้นครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: unconsent ที่ สิงหาคม 24, 2013, 12:40:46
พ่อแม่ซ์้อรถแพงๆให้ลูกใช้นี่คือ ฟุ้งเฟ้อเหรอครับ?

ถ้ามีเงินสักร้อยล้าน ซื้อเบ้นให้ลูกตั้งแต่มหาลัย เพื่อความปลอดภัยของลูกนี่คือฟุ้งเฟ้อหรือเปล่า?? หรือต้องให้ลูกโหนรถเมล์เผื่อเจอเด็กช่างตีกัน หรือต้องให้ขึ้นรถไฟฟ้าเบียดๆ หรือต้องให้นั่งแท็กซี่ วินมอไซ?

หรือต้องให้ใช้รถญี่ปุ่นไปก่อน ทั้งๆที่เงินที่เสียเพิ่มไปไม่ได้มีผลกับเงินที่มีอยู่? แต่ได้ความปลอดภัย ได้อะไรหลายๆอย่างเพิ่ม

ต่างคนต่างวาระครับ สำหรับผมพ่อแม่เลี้ยงมาค่อนข้างสบาย แต่มั่นใจว่าวันไหนลำบากก็อยู่ได้ครับ อยากได้อะไรก็ได้จริง แต่ต้องรู้ค่าของสิ่งที่ได้มามากกว่า
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Bier ที่ สิงหาคม 24, 2013, 12:43:48
ทำอย่างไรก็ได้ แต่อย่าให้ผู้อื่นเดือดร้อน  ;)
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Monn ที่ สิงหาคม 24, 2013, 12:52:48
ผมเองก็เป็นพ่อคนนะ ตอนนี้ลูก 6 ขวบกว่าละ ผมคิดว่าเป็นปกติที่ จขกท จะกังวล ผมกังวลมา 7 ปีกว่าละ ตั้งแต่แฟนท้อง โลกเปลี่ยนไปทุกวัน ยุคนี้ ลูกใครเล่น ipad ไม่เป็น จะแปลกละ นี่คือโลกหมุนไปเรื่อยๆ ครับ เราต้องปรับสภาพ คุมให้เขาอยู่ในกรอบ แต่กรอบเราต้องรู้ว่าอะไรคือเหมาะ ไม่เหมาะ ผมใีลูกคนเดียว ยอมรับ สปอล์ยนิดหน่อย ด้วยความรู้สึกว่า เราก็หาเงิน ทำงานเพื่อเขาส่วนหนึ่ง อะไรที่ให้ได้จะให้ เท่าที่เห็นสมควร

ท้าวความนิดหน่อย ผมกับแฟน เราสร้างตัวมาเอง ด้วยตัวเองทั้งคู่ จาก 0 เพราะไม่เคยเอาเงินจากทางบ้านมาตั้งตัวเลย เพราะที่บ้านก็ไม่ได้รวย และพ่อผมเสียก่อนผมจบ เหลือแม่คนเดียว เพียงแค่เขาดูแลตัวเอง โดยไม่พึ่งเราผมก็สบายใจแล้วตอนนั่น หาเองดีกว่า สินสอด เงิน รถ บ้าน เราทั้งคู่ชาวยกันหามา ผมเริ่มจากเงินเดือน 9000 จนตอนนี้ขึ้นมาหลัก 2xx,xxx แฟนเริ่มทำงานหมื่นกลางๆ จนตอนนี้หาเงินได้ กว่า 2xx,xxx  ต่อเดือน ดังนั้น เราเลยไม่ลำบากตอนนี้ แต่ก็ไม่ใช่จะรวยมาก บังเอิญทัศนคติ ของผมกับฟนเหมือนกันคือ เรามีเราใช้ เก็บนิดหน่อย แต่ไม่เหนียวกับตัวเองและครอบครัว เพราะเราเชื่อว่า เงินหาใหม่ได้เสมอ หากเราขยัน ผมเห็นตัวอย่างพ่อ คิดจะเกษียรแล้วค่อยเที่ยว แล้สท่านก็เสียก่อนเกษียรปีเดียว แผนต่างๆ ไม่ได้ทำเลย ทำแต่งาน

กลับเข่าเรื่องลูก ด้วยเหตุผลนี้ หากลูกต้องการอะไรที่ไม่ลำบากมาก ผมก็จะให้ ของเล่นดีๆ 3-4000 ผมก็ซื้อ แต่ ลูกอมบาทเดียว ผมก็ไม่ให้เพราะมันไม่มีประโยชน์ ipad มีให้เล่น แต่เล่นตามเวลา เมื่อทำการบ้านนเสร็จ ซ้อมเปียโนเสร็จ ไม่ใช่เล่นอย่างเดียว อ้อ ของผมจะให้ ต่อเม่อสะสมดาวครับตามกำหนด โดยประมาณ ผมตีให้ดาวละ 200 บาท หากได้ 5 ดาวก็ซื้อของให้ 1000 บาท ประมาณนี้ ดาวมาจากการทำความดีเช่น เชื่อฟัง ช่วยทำงานบ้าน หรืออาบน้ำเอง กินข้าวเอง ทำการบ้านเอง ซ้อมเปียโนเอง โดยไม่ต้องบังคับ แบบนี้ก็ฝึกให้เขาเข้าใจว่าของไม่ได้ได้มาง่ายๆ ต้องไขว่คว้า แล้วผมก็สอนให้เขาดูราคาของ ดูเงินที่เขาเก็บได้ ตอนนี้บวกลบเลขๆด้แล้ว ก็จะคอยสอน ได้เงินวันละ 20 บาท เก็บ 10 บาท เพราะอาหารกับน้ำ โรงเรียนมีให้อยู่แล้ว หากอดใจ ไม่ซื้อขนม ก็จะเก็บได้ 10-20 บาทก็วัน 1 อาทิตย์เป็นเท่าไหร่ หากจะซื้อของราคานี้ต้องเก็บกี่วัน พอไปดูของเล่นก็สอนดูป้ายราคา เขาก็พูดเองเสมอ อูย แพงจัง แต่ก็อ้อนจนเสร็จไปหลายชิ้นละ 555

ส่วนโรงเรียน ผมไม่ให้เข้าโรงเรียนที่ต้องจ่ายแป๊ะเจี๊ยะเยอะๆ ผมว่าไร้สาระ การจบจากโรงเรียนที่ต้องเส้นตั้งแต่เข้า ผมกลัวเด็กจะเสีย อันนี้ คหสต การเรียนโรงเรียนแพงๆ ดังๆ ไม่ได้การันตี ลูกจะสำเร็จและเป็นคนดี ผมและบ้านแฟน ทุกคนก็เรียนโรงเรียนโนเนม ทุกวันนี้ก็ดีออก แต่ขอให้ได้ภาษาอังกฤษ ก็แค่นั้นเอง

อย่าฝืนกระแสครับ อย่างตอนนี้ ipad smart phone มาแรง เราสวนกระแส ไม่ให้ลูกใช้ ถามว่าดีไหม จริงๆ ดีกว่า แต่เราต้องใช้ชีวิตกับสังคม เราหลีกได้เหรอครับ เพื่อนๆ มี เขาไม่มี เดี๋ยวก็เป็นปัญหา เราสู้สอนให้เขาอยู่ร่วมกับสังคมในกรอบที่เราพอใจก็พอแล้วครับ

เรื่องรถ มีไรก็ใช้ไปลูก 555 แต่หากตอนนั้นมีปัญญา ผมก็ซื้อรถยุโรปให้นะ เพราะเราก็ต้องยอมรับ มันดีกว่า ปลอดภัยกว่าจริงๆ

ทุกอย่างเป็นความเห็นส่วนตัวครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: DoNg ที่ สิงหาคม 24, 2013, 12:57:56
ผมอ่าน ก็รู้สึกดีนะครับ
กับบางคนที่มีเงิน แต่ก็ยังมีความคิดอ่านที่ดี

ผมก็ไม่ใช่ว่าคนรวยมากมาย แต่ก็ถือว่าดีในระดับ
เดียวกับคนที่หาเงินด้วยตัวเอง และในอายุเท่าๆ กัน

ผมขับรถมีราคาสูงครับ และปราถนามีรถดีๆ ครับ ไม่เถียง
ตอนนี้มีรถแพง และคันต่อไปต้องแพงและดีกว่า
แต่ทั้งหมด จากเงินของผมนะ เป็นความภูมิใจของลูกผู้ชาย

แต่อ่านข้อความของบางท่าน ผมไม่ติอะไรมาก
แต่ให้คุณจำคำพูดของตัวเองไว้

ในซักวันนึงที่คุณได้เป็นพ่อคน คุณจะมีความรู้สึกนี้มาเองโดยอัติโนมัติ

"พ่อแม่ไม่ได้คุ้มหัวจนวันตาย"
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: ZEANTON. ที่ สิงหาคม 24, 2013, 13:19:35
ตอบในฐานะเด็กอายุ 18 ปี

ทุกอย่าง เริ่มที่การปลูกฝังและทัศนคติของคนครับ

เป็นธรรมชาติของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ส่วนใหญ่ ก็อยากให้ลูกคนตนเองสบายทั้งนั้น

ผมก็ไม่คิดที่จะขอท่านซื้อหลอกครับ แต่ว่าท่านได้กล่าวออกมาเองว่า

ถ้าเรียนมหาลัยเมื่อไหร่เขาจะซื้อให้จะได้ไปเรียนสบาย ฝนตกแดดออกจะได้ไม่ลำบาก
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: archian ที่ สิงหาคม 24, 2013, 14:24:22
ผมก็เพิ่งเป็นพ่อคนเมื่อ 7 สิงหาที่ผ่านมานี้เอง 

ความตั้งใจในการเลี้ยงของผมคือ  ไม่บังคับให้ลูกเดินตามทางที่เราอยากให้เขาเดิน   แต่จะค่อยแนะนำและช่วยเหลือในเส้นทางที่ลูกเลือกเอง  ตามปัจจัยเท่าที่มีอย่างเต็มที่และถูกต้องตามลักษณะงานนั้นๆ ......

แต่ตอนนี้ต้องไปเช็ดอึลูกก่อน   อึวันละ 7 รอบ  กินทุก 3 ชั่วโมง  ตื่นเที่ยงคืน  ตีสาม  ตีห้า  ทั้งอึทั้งกินนมในเวลาเดียวกัน........... โอ้พระเจ้าาาาาาาาา  อิอิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ สิงหาคม 24, 2013, 15:00:44
พ่อแม่ซ์้อรถแพงๆให้ลูกใช้นี่คือ ฟุ้งเฟ้อเหรอครับ?

ถ้ามีเงินสักร้อยล้าน ซื้อเบ้นให้ลูกตั้งแต่มหาลัย เพื่อความปลอดภัยของลูกนี่คือฟุ้งเฟ้อหรือเปล่า?? หรือต้องให้ลูกโหนรถเมล์เผื่อเจอเด็กช่างตีกัน หรือต้องให้ขึ้นรถไฟฟ้าเบียดๆ หรือต้องให้นั่งแท็กซี่ วินมอไซ?

หรือต้องให้ใช้รถญี่ปุ่นไปก่อน ทั้งๆที่เงินที่เสียเพิ่มไปไม่ได้มีผลกับเงินที่มีอยู่? แต่ได้ความปลอดภัย ได้อะไรหลายๆอย่างเพิ่ม

ต่างคนต่างวาระครับ สำหรับผมพ่อแม่เลี้ยงมาค่อนข้างสบาย แต่มั่นใจว่าวันไหนลำบากก็อยู่ได้ครับ อยากได้อะไรก็ได้จริง แต่ต้องรู้ค่าของสิ่งที่ได้มามากกว่า


ผมว่าผมชอบแนวคิดนี้นะ ใช้เงินให้พอดีกับฐานะ อย่างที่บอกจะมี1ล้าน หรือ ร้อยล้าน ยังไงก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองไว้ก่อน

จะให้ไปซื้อมอเตอไซขับ โดนชนทีนี่50-50 รอดไม่รอดเลย หรือ ถ้าเงินมีบางทีซื้อรถคันใหญ่เพื่อความปลอดภัยที่มากกว่า ขับรถคันเล็ก

จะให้โหนรถเมล์ใครๆก็ขึ้นได้ครับ แต่มันเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ลองนึกภาพขึ้นรถเมล์แบบไม่มีแอร์ตอนกลางวันดู ลงจากรถมาทีเหงื่อโซกอย่างกับอาบน้ำ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Usavich ที่ สิงหาคม 24, 2013, 16:34:20
ผมถูกเลี้ยงดูมาแบบปล่อยๆ ครับ ครอบครัวมีฐานะปานกลาง ท่านบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำเลยเต็มที่ เป็นคนดีแล้วก็อย่าติดยาก็พอ

ช่วงมัธยมเงินค่าขนมผมจะได้เป็นเดือนๆ เหมือนเงินเดือนเลยครับ อยากได้อะไรเก็บเงินซื้อเอง พ่อแม่ Support แค่ที่เกี่ยวกับการศึกษา

ช่วงแรกมาเละเทะเลยครับ เพราะการที่ได้ค่าขนมเป็นเดือนๆ ช่วงค่าขนมออกจะได้เงินมาก้อนใหญ่ ทั้งเที่ยวทั้งซื้อของซะเงินทั้งเดือนหมดในอาทิตย์เดียว

ทีนี้ไม่มีเงินกินข้าวเที่ยงที่โรงเรียนครับ สุดท้ายต้องไปอ้อนขอเงินเพิ่ม เหมือนทำสัญญากู้เงินเลยครับ เดือนหน้าต้องหักเงินเดือนมาคืนกี่บาทๆ

ผมว่าผมโชคดีมากครับที่ถูกพ่อแม่สอนให้ควบคุมการใช้เงินด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ มันเหมือนสอนให้เราประเมินตัวเองอยู่ตลอดว่าอะไรเหมาะสมกับฐานะเรา

เพราะถ้าผมยังขอเงินพ่อแม่ซื้ออะไรได้เรื่อยๆ ผมก็คงไม่คิดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้อยากจะได้อะไรแต่ละที เก็บเงินค่าขนมไปซื้อเอาเอง

ถ้าใช้เงินเกินตัวก็จะไม่มีเงินซื้อข้าวเที่ยงกิน กลายเป็นเด็กเก็บเงินเก่งไปเลยครับ

ตอนเข้ามหาลัยค่อนข้างเดินทางลำบากครับ บ้านอยู่ในเมืองก็จริง แต่อยู่ในโซนที่รถไฟฟ้าก็ไม่มี รถเมล์ไม่ผ่าน จะไปมหาลัยต้องขึ้นสองแถวอีกสองต่อ

ตัดสินใจจะอยู่หอครับ แต่พ่อแม่ไม่อยากให้ไป ท่านคงเหงา เลยยื่นข้อเสนอให้รถยนต์ผมหนึ่งคัน แลกกับการไม่อยู่หอ ขับรถไปเช้าเย็นกลับ

อยากได้รถนะครับ เท่จะตาย แต่บ้านผมฐานะปานกลาง จะซื้อรถยนต์มาให้ผมแค่ไปเรียนก็ดูเกินตัวไป ค่าใช้จ่ายด้านอื่นก็เยอะมากแล้ว ก็ยื้อกันไปๆมาๆ

สุดท้ายท่านก็แอบไปถอยมาให้คันนึงครับ เหมือนยื่นคำขาดว่ารถอยู่นี่แล้วนะ ลืมเรื่องอยู่หอไปได้เลย

ปัจจุบันอยู่ปี 4 แล้วครับ ก้มหน้าก้มตาเรียนให้ดีที่สุด ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ตอนนี้เกรดรวมได้เกียรตินิยมอันดับ 1 แล้ว

ตั้งใจเก็บเงินค่าขนมมาซื้อรถคืนจากพ่อแม่ ตอนนี้เก็บได้เกือบครึ่งคันแล้วครับ

 ;D
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: wanarat7777 ที่ สิงหาคม 24, 2013, 17:08:44
ถ้าผมเป็นพ่อคนคงเสียใจมาก ที่พยายามส่งลูกให้ได้เรียนดีดี แต่แค่ไม่มี option เท่าคนอื่นเค้าเพราะมันทำเต็มที่แล้ว แล้วลูกก็มาว่าพ่อแม่ทำไมไม่สร้างมาให้เค้าก่อน คนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน ผมเกิดมาไม่รวย พยายามเต็มที่แล้วกับชีวิตไม่ได้ขึ้เกียจ แต่โอกาศและเส้นทางต่างกันกับครอบครัวคนอื่นเค้า ขอให้ลูกที่จะมาร่วมครอบครัวเดียวกัน เข้าใจว่า พ่อรักลูกนะ และพ่อพยายามแล้ว ที่มีไม่เท่าเพื่อนๆเค้า พ่อรู้ แต่เราร่วมกันสร้างได้นะลูกนะ อย่าเสียใจไปเลย ขอบคุณ Gen ME ME ME ME ที่ทำให้ผมเข้าใจว่าถ้าจะเกิดมามีลูกแบบนี้ อย่ามีดีกว่า ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: HIGHSEA ที่ สิงหาคม 24, 2013, 19:06:00
การจะเลี้ยงดูให้ลูกเป็นคนอย่างไร มันอยู่ที่พ่อและแม่ครับ กว่าจะใช้คำว่าพ่อและแม่ได้ก็คงต้องผ่านอะไรในชีวิตมามากมายกว่าจะถึงวันนี้ อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีที่เราได้รับได้รับตั้งแต่เด็ก เราก็ปลูกฝั่งต่อไป  อะไรที่ไม่ดีที่เคยพลาดมาเราก็นำมาเป็นบทเรียน เพราะเราอาบน้ำร้อนมาก่อน  การอบรมสั่งสอนแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป  แต่มีจุดหมายเดียวกันคือ อยากให้เขาเป็นคนดี  ลูกจะดีหรือไม่ดี มันต้องเริ่มจากพ่อและแม่เป็นอันดับเเรก ทุกช่วงวัยมีผลต่ออนาคตของเขาทั้งสิ้น มันอยู่ที่ความเข้าใจ ความรัก การดูแล และเอาใจใส่ อย่างถูกต้องนะครับ  อย่าว่าแต่เรื่องรถเลยครับ เรื่องความอยากได้ อยากมี ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าเด็กรึว่าผู้ใหญ่ เสียคนมามากต่อมากแล้วครับ ถ้าไม่รู้จักการยับยั้งช่างใจ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: jumpon77 ที่ สิงหาคม 24, 2013, 19:18:26
จริงๆผมอยู่ในครอบครัวทีไม่รวยมากนักแต่ถูกเลียงมาอิสระครับเปนของตัวเองครับแต่อย่างน้อยพ่อกับแม่ผมไม่ได้เลียงแบบสปอยครับมันอยู่ทีว่าการเลียงดูแบบไหนมากกว่าครับถ้าเค้าชีอรถผมขอแค่มอเตอร์ไชน์ครับรถเมีอไรก็ชีอก็ได้ครับทำงานเมี่อไรก็ไปชีอได้ครับจริงๆผมก็คบกับเพีอนๆทีรวยๆอยู่ครับแต่เพีอนผมก็เข้าใจครับก็คบกันอยู่ถึงทุกวันนี้ครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: GreenG ที่ สิงหาคม 24, 2013, 20:08:41
ช่วงนี้อย่างแต่งรถนะครับ ซื้อรถก็ให้คิดให้มาก กินไรก็เน้นให้อิ่มไม่ต้องหรู เอาเงินไปดูแลลูกดีกว่าครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: mangsarb ที่ สิงหาคม 24, 2013, 20:37:45
ขอฝากข้อคิดสั้นๆครับ
1) อย่าส่งลูกเรียนในสังคมที่เกินตัว
2) อยากให้เค้าเป็นยังไง ทำตัวให้เป็นตัวอย่างครับ
3) ให้เวลากับลูกมากๆครับ ไม่ใช่อยู่กับลูกแล้วต่างคนต่างเล่นโทรศัพท์
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Fly to dream ที่ สิงหาคม 24, 2013, 21:08:25
คนมีรถให้ลูกไม่ได้รวยทุกคน แต่ที่ให้มีรถเพราะเดินทางสาธารณะแล้วมันไม่ปลอดภัย และไม่สะดวกหรือไม่ก็มันพอๆกับค่าเดินทาง แล้วแบบนี้คงห้รถดีกว่า อีกอย่างไม่ต้องไปเจออะไรที่ไม่แน่นอนกับสิ่งแวดล้อมแบบปัจจุบัน ถ้าผมมีลูกคงให้เวลาปี 1 ในการเดินทางสาธารณะ ปี 2 ถึงจะค่อยให้รถ หรือถ้าเป็นลูกสาวคงให้ตั้งแต่ปี 1
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: me0708 ที่ สิงหาคม 24, 2013, 22:19:31
ขอแจมในทั้ง 2 สถานะเลย(ลูกคนพอมีอันจะกิน ปัจจุบันพ่อลูกหนึ่ง)

ถ้าย้อนไปตอนเรียนมหาลัยยอมรับเลยครับว่านั่งรถเมล์หรือสองแถวเข้ามหาลัยแล้วอาย ไม่มีรถขับไปกลัวเพื่อนไม่คบ
ที่บ้ายตอนนั้นมี 300e, e36 325i mt, Toyota starlet

พ่อบอกถ้าไม่นั่งรถเมล์ไปเรียนก็ให้เอาToyota ไป ตอนนั้นเม็งแตกเลยบอกพ่อถ้าไม่ให้เอาbmไปจะไม่เรียน(รถตัวเองคือ bm )
โดนเทศน์ไปชุดใหญ่ สุดท้ายจำใจเอาพี่ต้าไป แต่ตอนไปจอด...นู้นจอดไกลๆเดินมาไม่ให้ใครเห็น(อายรถ) จนเรียนได้สักระยะถึงรู้ว่าหลายๆคนก็นั่งสองแถวเข้ามาเรียน เรามันบ้าไปเอง

ยอมรับครับว่าสิ่งที่ได้มาง่ายๆมันไม่มีคุณค่าจริงๆ เสียค่าแต่งรถ แต่งเครื่องเสียงคิดเป็นเงินเกินครึ่งล้านไปไกลอยู่ ขอเงินแม่ให้แต่พ่อด่าเราก็อ้อนแม่ก็ได้มา
มันง่าย พอแต่งจนสมอยากก็ขายซื้อคันใหม่ เอาaccord ไฟท้านสองก้อนรถดีๆป้ายแดงๆใช้ไม่นานก็ไปลง H22ฝาแดง แปลงเป็นเกียร์mt แต่งเสร็จใช้ไป3เดือนขายอีกละ

นึกถึงตอนนั้นแล้วมันน่าตบกระโหลกตััวเองจริงๆ ใช้เงินแบบว่างี่เง่าสุดๆ

ตอนนี้เป็นพ่อคนสอนลูกอย่างที่พ่อด่าเราเป๊ะๆ ไม่คิดว่าที่พ่อด่าพ่อว่าเราเราต้องเอามาสอนลูกเราเอง

ตอนนั้นพ่อเราจะรู้สึกยังไงบ้างก็ไม่รู้ จริงๆลูกคนมีตังไม่ใช่พ่อแม่ได้สอนสั่งหรือไม่อบรม แต่เด็กมันไม่เอาไหนเอง

ลองคิดดูผมบอกแม่ว่าถ้าไม่ซื้อคันใหม่ให้จะออกจากโรงเรียนไม่เรียนแล้ว (ตอนปวช) เชื่อไม๊แม่ไม่ซื้อให้จริงๆ ผมก็ออกจากโรงเรียนจริงๆดรอปเรียนไป3 ปี
แต่ไม่ได้ไปไหนนะ แม่บอกไม่เรียนก็มาทำงาน ทำงานจนแม่ยอมออกรถให้แต่ต้องสอบเทียบเอาเพื่อใช้วุฒิเข้ามหาลัย(แม่ยอมเพราะเรากะไม่เรียนจริงๆ)

แต่เชื่อไม๊ 3 ปีที่ทำงานกับแม่ได้อะไรเยอะมากๆ มากจริงๆ

จนทุกวันนี้ทำงานของตัวเองเลี้ยงลูกแบบที่จะไม่ให้เค้าเป็นแบบที่เราเคยเป็นมา แต่จะๆด้ดังหวังไม๊อันนี้คนต้องแล้วแต่เวรกรรมละมั้ง :P

หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: CRO ที่ สิงหาคม 24, 2013, 22:53:02
ผมเองลูก 4 ขวบแล้วครับ ตอนแรกก็คิดแบบท่าน จขท. แหละครับคิดโน้นคิดนี้ไปเรื่อยและด้วยตัวเองเจอลูกแค่วัน ศ-อ. เพราะทำงานอยู่คนละจังหวัด ยิ่งคิดมากเข้าไปอีก แต่หลังๆก็เพลาๆไปเพราะทำใจได้เอาหลักศาสนาเข้าว่า ผมเองสอนลูกพยายามเอาหลักศาสนาพุทธเข้าไปแทรก ให้เห็นดี ชั่ว เป็นหลัก พยายามอธิบายและใช้เหตผลเยอะๆ ส่วนตัวเชื่อว่าเด็กแต่ละคนมีแนวของตัวเอง เห็นมาเยอะแล้วครับ บ้านดีการศึกษาดีความคิดดีทำงานดี เจอ ญ ไม่ดีคนเดียวพังเลย -_-'  ตอนนี้ก็เลยไม่คิดมากเราก็ทำหน้าที่ของเราพยายามสอนเขาให้ถึงที่สุด แต่สุดท้ายเป็นไงก็ค่อยว่ากัน ^^
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: f1rstgot ที่ สิงหาคม 25, 2013, 00:48:36
เรื่องแบบนี้พูดยากมากครับ ทุกคนก็คงมีเหตุมีผงแตกต่างกันออกไปครับ
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: beercs ที่ สิงหาคม 25, 2013, 01:18:47
ยอมรับว่าตกใจนิด ๆ เวลาพูดถึงเรื่องรถแพง  ๆ อย่าง BM benz  คนตั้งกระทู้  คนตอบ  อายุน้อย ๆ กันทั้งนั้น 
แต่มานึกอีกที  เพื่อนสนิทสมัยเรียนมันก็ขับ benz ตั้งแต่ปี 1 นี่หว่า   เราก็นั่งอยู่ประจำ 
 
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: heinkelt14 ที่ สิงหาคม 25, 2013, 14:06:06
จขกท มาแนวว่า พวกเด็กรวยๆพ่อแม่มีตังคุยเรื่องรถแพงๆ ซื้อรถแพงๆ โตไปมันต้องงอมืองอตีนทำไรไม่เป็นสักอย่างแน่เลย ประมานนี้ป่าวครับ

คิดว่าคนจนมันต้องประหยัดความคิดดีโหนรถเมล์ ทำงานเรียน โอ้ยย โตไปมีอนาคต ผมว่ามันก็ใช่ครับแต่ไม่ทั้งหมด

ผมทำโรงงานอุตสาหกรรมครับ ผมเห็นพนักงานหลายคนซึ่งไม่ค่อยมีตังมากนักก็สงสารครับใหม่ๆ แต่พออยู่นานๆก็รู้เองแหละครับว่าทำไม บางคนสมัยเรียนทำงานเรียน
โม้ยังงั้นยังงี้ ลำบาก ตอนมันมาทำงานสายบ้างมาบ้าง ไม่มาบ้าง เย็นสังสรรรค์ สิ้นเดือนเบิกล่วงหน้า เป็นงี้ไปเรื่อยๆแทบทุกเดือน หนักๆมีกู้นอกระบบ เค้าจะมาแทงมันหน้าโรงงาน

บอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกคนนะครับ คนที่อยู่ในเคสนี้ขยันไต่เต้าจนออกไปเป็นเถ้าแก่เอง ก็มีเยอะมากๆครับ ผมนับถือคนประเภทนี้มากๆ

จขกท โลกแคบไปหน่อยนะครับ

เป็นผมถ้ามีธุรกิจขนาดใหญ่ รายได้ปีละหลายร้อยล้าน มีลูกผมก็พร้อมจะซื้อ MB BMW ให้ลูกขับมากกว่าที่จะไป ยืนโหนรถเมล์ตอนเย็น เจอเด็กช่าง ประกบรถเมล์
(จากประสบการณ์ส่วนตัวครับ) และผมคงสอนให้เค้ารู้ค่าของเงินกว่าผมจะซื้อรถให้ ก็คงจะซื้อให้เมื่อวุฒิภาวะมากพอก่อนหน้านั้นมิงก็นั่งรถเมล์ไปเรียนก่อนละกันไม่ให้มัน เป็นพวกหยิบหย่ง แต่คงไมไ่ด้ซื้อให้เปล่าๆ สมัยพ่อผมซื้อรถให้ มีการทำสัญญากันครับ เรื่องการช่วยเหลือคนในครอบครัว หรือความประพฤติส่วนตัว

เรื่องการสั่งสอนลูก เราทำได้แค่สอนซึ่งควรทำเป็นปกติอยู่แล้วคนรวย คนจนเค้าก็น่าจะสอนลูกคล้ายกัน แต่สุดท้ายถึงสอนยังไง ถ้าในหัวมันต่อต้านมันก็มีอะไรมาขัดกับที่เราสอนได้เสมอ ของยังงี้มันอยู่ที่ว่า เค้าจะคิดเองได้เมื่อไหร่ อย่าให้มันสายเกินไป

หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: DoNg ที่ สิงหาคม 25, 2013, 15:16:15
ตอบคุณ heinkelt14 ถ้าคุณวิเคราะห์ว่าผมโลกแคบ
อ่ะ ผมจะอธิบายให้ฟังครับ

1. คือผมไม่ได้อิจฉาคนรวยครับ ผมไม่ได้เป็นคนมีปมด้อย
    คนรวยไม่มีอะไรให้อิจฉา ผมก็มีตังค์ครับ คุณคิดว่าผมตั้ง
    กระทู้แบบนี้ ผมจนเหรอ?? ปล่าวครับ ผมมี จะซื้อ BM
    ซื้อ  Benz แบบที่หลายๆ กระทู้มาตั้งกัน ผมก็ซื้อได้
    แต่ไม่เอา เพราะรำคาญกับความจุกจิก พร้อมกับศูนย์ห่วยแตก
    ปล. บ้านผมมีเบนซ์ครับ ผมรู้ ไม่ใช่องุ่นเปรี้ยว

2. ผมไม่ได้เป็นคนหลังเขา ที่มีลูกจะไม่อยากให้ลูกใช้ของดี
    ถ้าลูกเดินทางแล้วอันตราย ผมก็ซื้อให้นะ ไม่ใช่ไม่ห่วงลูก

3. คุณคิดว่าผมอายุเท่าไหร่ หน้าที่การงานอะไรครับ
    ผมไม่ใช่เด็ก และผมเป็นหัวหน้า ที่มีลูกน้องในสายงาน 40 คน
    และผู้รับเหมา, คนงานอีก 500 - 1000 กว่าคน แล้วแต่โปรเจ็ค
    ผมว่า ผมเจอคนหลากหลายนะ มากๆ ด้วย ไม่ได้นั่งเทียนอยู่หน้าคอม
    ไม่ใช่เป็นคนไม่รู้สี่รู้แปด

4. คุณเคยอ่านกระทู้หลายๆ กระทู้ในนี้รึปล่าว ที่ลูกงอแงอยากได้รถนั่นรถนี่
    ทั้งที่พ่อแม่ซื้อให้ ถ้าไม่ได้รถที่ต้องการก็จะพร้อมจะแตกหัก

5. ผมเห็นเด็กรวยๆ ในนี้ค่อนข้างฟุ่มเฟือยกันเยอะ คุณลองไปดู แค่ได้รถละมันจบกันมั๊ย
    แต่งเพิ่มอีกเป็นแสนๆ เงินพ่อมันทั้งนั้น แล้วที่ว่าจะทำงานชดใช้ให้ เมื่อเรียนจบ
    ผมเห็นว่ามีครับ แต่โคตรน้อย ส่วนใหญ่พอได้เมียละลืมหมด มันจะสำนึกกัน
    เมื่อมีเหตุร้ายๆ ให้ฉุกคิด ลองดูตอนมีความสุข ปากที่บอกว่าจะทำเพื่อพ่อแม่
    บางคน ผมว่าเอาจริงๆ มีซักกี่คน และไอ่คนประเภทนี้ ผมว่ามันไม่ตอบกระทู้นี้หรอก
    เพราะ มันกระดาก

7. ผมอยากได้ความคิดเห็นของคนที่อยู่ในสังคมที่พ่อ แม่สามารถ Support ได้เยอะ
    แล้วเค้าคิดเห็นเป็นอย่างไรกัน กับเรื่องแบบนี้ หรือคุณจะให้ไปถามลูกพวกคนที่ผมรู้จัก
    ที่มันรวยๆ ละถามว่า " พวกคุณมีพ่อรวย แล้ว คุณทำอะไรได้บ้าง " งั๊นเหรอ

8. ถ้าคุณมีลูก คุณต้องการให้ลูกคุณเป็นแบบไหน
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: seamonkey ที่ สิงหาคม 25, 2013, 16:26:05
คุณพ่อกับคุณแม่ท่านสอนผมไว้ว่า 'ของฟรีไม่มีในโลก อยากได้อะไรก็ต้องทำงานแลก"
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Nisika ที่ สิงหาคม 25, 2013, 17:50:24
ส่วนตัวผมก็มาจากฐานะยากจนทางบ้านก็ ขายนา ขายที่ ขายวัว-ควาย ส่งผมเรียนเพราะต้องการออกจากชีวิตชาวนา ที่ชีวิตแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ผมอยากเรียนเกษตรเพราะที่บ้านเป็นเกษตรกรอยากจะแก้ความจน จึงสอบเข้าเกษตร มข. เรียนจนจบปริญญาเอกในระหว่างเรียนก็หันมาเดินตามรอยแนวปราชญ์ ตามรอยพ่อของแผ่นดิน พบว่าเป็นทางออกแก้ปัญหาความยากจน จริงๆผมอยากจะค้าขายเพื่อหาเงินสักก้อนตั้งตัวเพราะทางทุนไม่มีสัญญาผูกพันใดๆ ที่สุดผมก็หันเหชีวิตตัดสินใจเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและทำค้าขายแนวพอเพียงซึ่งก็มีรายได้ราว 3-4 หมื่นต่อเดือนในปัจจุบันเพราะเป็นแรงงานคนแก่ที่บ้านทำแบบไม่หักโหม เป็นแหล่งเรียนรู้ด้วย ทั้งทำไว้ให้ชีวิตมีข้าว ปลา อาหาร สมบูรณ์ ที่ไม้ไว้ใช้สอย มีชีวิตร่มรื่น ผมเชื่อว่าเงินทองคือสื่อแลกเปลี่ยนไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง หากมีแต่เงินทรัพยากร ดิน น้ำ ป่าไม้ พังพินาศก็ไม่รู้ว่าเงินจะมีไว้ซื้ออะไร ประมาณว่าออกมาทำเองก็คงมีรายได้ราวๆ 8 หมื่น - 1 แสนต่อเดือนกับบรรยากาศชีวิตที่สงบ ร่มเย็น  ตอนนี้ทำงานกับชุมชน ใช้ความรู้ที่เป็นจริงแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกรรายย่อย ผมตั้งใจจะทำงานเพื่อแก้ปัญหาความยากจนครับ คิดว่าทำได้ เพราะชุดความรู้ แนวคิด แนวปฏบัติมีพร้อมที่จะทำงาน มีความพร้อมที่จะเป็นครูและอาจจะเป็นพ่อได้ด้วยครับ  :D
หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: poon japan ที่ สิงหาคม 26, 2013, 11:20:05
ต่างกรรมต่างวาระ  เรื่อง option ต่างๆ ในชีวิตเนี่ย

บางคนทางสายกลาง  กินบ้าง ใช้ฟุ่มเฟือยบาง  เก็บบ้าง  ดูเหมาะสม

บางคนชอบใช้ชีวิตปริ่มๆ คือใช้ดีที่สุด มากที่สุด เท่าที่จะหาได้  เพราะคิดว่าชีวิตต้องเต็มที่เพราะไม่รู้วันไหนต้องจากโลกนี้ไป กลัวใช้ชีวิตไม้คุ้ม
แต่พวกนี้หากเจอเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นมักตั้งรับไม่ไหวระเนระนาดกันไป

บางคนก็เก็บจนชีวิตไม่เป็นสุข  อะไรก็ฟุ่มเฟือยไปหมด  เช่นแม่ของเราเอง  แต่ก็พอเข้าใจชีวิตผู้หญิงที่ต้องเลี้ยงลูก 2 คน เพียงคนเดียว 
เพราะสามีเสียชีวิตตั้งแต่ลูกยังเด็ก  เราเป็นลูกตอนนี้ก็พยายามทำเต็มที่ให้แม่มีความสูขตามอัตภาพ

เราก็เจอมาทุกแบบแหละ  สรุป พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นยังไงก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีก่อนในเบื้องต้น  แต่สุดท้างจะได้อย่างที่หวังไหมก็อนาคตไม่มีใครรู้ได้  เป็นพ่อแม่ก็ได้แต่ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น  และเป็นหลักให้ลูกเมื่อเค้าต้องการที่พึ่ง  ทำได้แค่นี้จริงๆ  ใครได้ลูกดีก็เป็บุญ  ได้ลูกไม่ดีก็เป็นกรรม  แค่นั้น

แต่ถ้าพ่อแม่เป็นแบบอย่าง  หรือสนับสนุนให้ผิดทาง  ลูกจะดีก็คงยากหน่อย

แต่ที่แปลกใจที่ลูกมีความคิดพ่อโทษแม่ว่าไม่สร้างมาให้  หรือกู้ให้มาเรียนมหาลัยแพงๆ เป็นสิ่งผิด
ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าพ่อแม่ปรกติเนีย  เค้าพยามจนถึงที่สุดแล้วงที่จะทำครอบครัวให้ดีที่สุด  ให้ลูกมากที่สุด  ให้ลูกมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ  เพียงแต่ลูกไม่เคยรู้  หรือไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงพ่อแม่บ้าง  มองแต่ความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่
พ่อแม่กู้มาให้เรียนเพราะคาดหวังว่ามหาลัยแพงจะมีมาตรฐานดี  ลูกจะเก็บเกี่ยวความรู้ได้มากเพื่ออนาคตที่ดี  ที่ทำเนียเพื่อลูกนั่นแหละ  แต่จะรักดี  รักชั่วก็แล้วแต่ลูกจะเลือกเอง  อย่ามาโทษพ่อแม่อย่างเดียว  ได้โปรดหันมามองตัวเองซักหน่อย

หัวข้อ: Re: ในวันที่ผมเป็น "พ่อ"
เริ่มหัวข้อโดย: Slipknot` ที่ สิงหาคม 26, 2013, 15:38:25
ผมว่าควรอยู่กำลูกให้พอดีครับ

อย่ามากไปอย่าน้อยไป

คอยสอนเค้าอยู่ประจำ แต่อย่ามากเกินครับ

ส่วนสังคม ลองให้เค้าคบคนหหลายๆรูปแบบ ต่างฐานะกันไปครับ แล้วก็ช่วยแนะนำเค้า

สักวันเค้าจะรู้สึกได้เอง