ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวครับ ส่วนที่เกี่ยวคือ รถประเภทนี้สามารถปรับแคมไอดี ไอเสียให้สัมพันธ์กับ อ็อกเทนเชื้อเพลิงได้ ทำให้ค่าการเผาใหม้พอดี..แต่ อี 85 ค่าอ็อกเทนต่ำกว่า 95 แทนที่จะปรับไฟแก่ก็เป็นปรับไฟให้อ่อน lpg ปรับไฟให้แก่กว่า 95 ซึ่งอยู่ที่แคมคุณปรับไฟได้ถึงหรือไม่....หากถึงก็สุดยอด ....ส่วนบ่าวาล์ว อยู่ที่การออกแบบ ของแต่ละยี่ห้อครับ (คิดต่อเอาเอง)
ลองเช็คข้อมูลใหม่ดูครับ E85=Ron 105 ,E100=RON115 ส่วนLPG=RON100-105 จากการใช้งานจริง E85 สามารถAdvance องศาไฟได้มากกว่าLPG ส่วนหนึ่ง
อาจมาจากE85 มันเย็นกว่าLPG ครับ LPG ถ้าตั้งAdvance ไฟแก่ๆมากๆมีโอกาสน๊อคได้เหมือนกัน(E85 ถ้าไปตั้งให้มันRetardมากๆคุณก็จะไม่ได้ประโยชน์
ผลพลอยได้ของการใช้เชื้อเพลิงที่มีการต้านการชิงจุดมากขึ้นเลยครับ) จุดที่เป็นจุดอ่อนของน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลคือ
มันAttractความชื้น รถยนต์ที่มีถังน้ำมันเป็นโลหะ(น่าจะรุ่นหลาย10ปีที่แล้ว) หากแช่น้ำมันเชื้อเพลิงประเภทนี้นานๆ จะมีโอกาสเกิดสนิมได้ครับ แต่รถปัจจุบัน
ถังน้ำมันเป็นพลาสติก หมดแล้วครับเพราะฉะนั้นปัญหานี้ก็จบไป ในบราซิลใช้น้ำมันที่มีเอทานอลมา30ปีแล้วครับ
ขอบคุณครับที่ให้ความรู้ แต่ที่ผมจะอธิบาย ไม่ใช่โต้เถียง แแต่อยากให้มองอีกมุมหนึ่ง...
1. สิ่งที่คุณอธิบายมา ถูกต้องเกือบหมด ยกเว้นค่า อี 85 กับ แก๊ส สลับกัน ค่าวิ่งคือ อี 85 ครับ
2. เหตุผลที่ผมบอกว่า อี 85 อ๊อกเทนต่ำกว่า ก็ไม่ใช่เรื่องของข้างบนแต่เป็นเรื่องที่ต้องตอบ(ในทางปฏิบัติ ไม่ใช่ทฤษฎี) ดังนี้
- ทำไม ค่าอ๊อกเทนไม่นิ่ง...
- คุณสมบัติของแอลกอฮอล์ที่ไม่ต้องการคืออะไร
- ทำไมเมื่อเติมน้ำมันตัวนี้ไว้ในถังนานๆ ...ไม่เติมเพิ่ม แล้วเวลาสตาร์ท จึงลากยาว และเหมือนกับวิ่งอืดลงกว่าเดิม
ฯลฯ...
เหตุผลหลาย ๆ อย่างทำให้ค่าอ๊อกเทน มันแปรเปลี่ยนไป มีอยู่สาเหตุเดียว คือ ไอน้ำในอากาศ..
หาก คุณยิ่งเก็บไว้นานเท่าไร อ๊อกเทนจะยิ่งต่ำลง ๆ เนื่องจากน้ำที่ถูกดูดเข้าไปอยู่ในตัวมันเองทำให้ค่าแปรเปลี่ยนไปเป็นเลวลง แต่หากเมื่อไรวันสองวัน เติม คุณจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้ แต่หากคุณเติมททีหนึ่งข้ามสัปดาห์ ต้นสัปดาห์ กับปลายสัปดาห์ มันจะแสดงความแตกต่างให้คุณเห็น
แล้วทำไม อี 85 จึงมีค่าอ๊อเทนแปรผัน? คำตอบก็คือ แอลกอฮอล์ที่กลั่นออกมา บริสุทธิ์ก็จริงอยู่ แต่การสต็อค ทำให้มีการสะสมไอน้ำบ้าง จึงทำให้ค่าไม่คงที่
แล้วคุณไม่คิดหรือว่าเมื่อถึงผู้ใช้ จะเหลืออ็อกเทนเท่าไร?
หากคุณอธิบายเรื่องนี้ให้ผมเข้าใจได้ผมยอมรับครับ
เหตุผลตามข้างบนนี้ทำให้ ผมเชื่อว่า น้ำมันที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ที่น่าใช้ที่สุด ค่าอ๊อกเทนสูงที่สุด มีค่าแปรผันน้อยที่สุด คือ อี 20 เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับ 95 และเก็บไว้ได้นานกว่า ครับ
-น้ำมันเชื้อเพลิง 95 หรือE10 ก็มีส่วนผสมของน้ำและดูดน้ำได้เช่นกัน
-E85 จะต้องAdvance /Retard ทำไมจึงต้องAdvance ไม่ใช่Retard คำตอบมันมาจากอ๊อกเทนในตัวมันเอง
-เรื่องสตาร์ทลากยาว ผมไม่เคยเจอครับ เพื่อนๆกันก็ไม่มีใครเคยเจอครับ การที่มันลากยาวไม่ได้มีผลมาจาก
น้ำมันE85 มีอ๊อกเทนที่ต่ำกว่า การจุดสตาร์ทเครื่องยนต์ จุดที่สำคัญคือ E85 ต้องการปริมาณน้ำมาณมากขึ้น
Cranking Volumetric Efficiency จึงจำเป็นต้องมีมากขึ้น เป็นเรื่องปกติ สมมติ Crank VE ของE10 คือ 100
Crank VE ของ E85ควรจะมี120-130 เป็นเรื่องปกติ
-จุดที่สังเกตง่ายๆ หากคุณเชื่อว่า E85 มีค่าอ๊อกเทน ไม่นิ่ง ตรงนี้ผมเห็นด้วย แต่จุดที่ผมไม่เห็นด้วยคือยังไงก็ตาม
ค่าอ๊อกเทนของE85 ก็ยังสูงกว่า Gasohol95 ว่ายังไงมันต้องสูงกว่า
เพราะถ้ามันมีอ๊อกเทนน้อยกว่า ผมคงไม่ใช้มันเพราะbenefits ที่ผมต้องการจากน้ำมันE85 คือ
ความเย็นและค่าอ๊อกเทนของมัน และป่านนี้เครื่องยนต์ผมพังไปนานโขแล้วครับ
-ตารางองศาไฟของจริงๆของน้ำมันเชื้อเพลิงE85 VS Gasohol95 ถ้าคุณเคยจูนรถเองคุณจะทราบทันทีว่า
E85 สามารถAdvance องศาไฟมากขึ้นจนถึงจุดที่Gasohol ไม่มีทางทำได้ครับ ภาษาชาวบ้านคือตั้งไฟแก่
มากๆใช้E85 ไม่น๊อค แต่ใช้E10 น๊อคสนั่น แค่นี้ก็พอระบุได้ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไหนมีค่าอ๊อกเทนที่สูงกว่ากัน
ตรงนี้ผมจะออกตัวไว้แบบนี้คือผมassume ว่าปัจจัยเรื่องambience temp,etc ต่างๆอยู่ในค่าเดียวกันนะครับ
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่ามีตัวแปรอื่นส่งผลให้น๊อคง่าย-อีก