เอารีวิวอาหารไปอ่านก่อนเลยแล้วกัน
อาหารในค่ำคืนนั้น เป็นการร่วมมือกัน ของ Mercedes-Benz กับทาง
กลุ่มโรงแรม Four Season ที่จัดยอด Chef ระดับ Michelin Star ขั้นเทพ
จากโรงแรมในเครือ 4 แห่ง ทั่วโลก มาคิดสูตรอาหาร ให้แขกเหรื่อได้รับ
ลิ้มรสรับประทานกัน ภายใต้แนวคิด "Four Seasons Around the World"
ส่วนฝีมือการปรุง ที่แท้จริงคือ Executive Chef Thomas Bellec และลูกทีม
ของเขา นี่อ่านเอาจาก รายการ Menu ที่หยิบติดมือกลับมาบ้านเลยนะ!
สรุปคือ Chef ทั้ง 4 คิดสูตร และส่งให้ Chef Bellec มาปรุงนั่นเอง
ไล่จากบน ลงล่างสุด เรียงตามลำดับการเสริ์ฟ
เริ่มจาก Lobster Salad หรือสลัดกุ้งล็อบสเตอร์ ฝีมือจาก Chef ประจำ
โรงแรม Four Season Toronto นั่นแหละ ชื่อ Daniel Boulud เดิมที
เป็นชาว ฝรั่งเศส แต่ย้ายไปทำงานที่ New York ตั้งแต่ปี 1982 และ
ที่นั่น เค้าเรียกมันว่าบ้าน จนกระทั่งได้รางวัล Michelin Star ระดับ
3 ดาว ปัจจุบันนี้ Chef Boulud นั้น เปิดร้าน Cafe Boulud ชั้น 2
ของโรงแรม ซึ่งผมเองได้ลิ้มรส Benedict Eggs ฝีมือเขา ในมื้อเช้า
ของวันเดียวกันไปแล้ว ดังนั้น จึงการันตีในฝีมือได้เลย ว่า จานนี้
ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ได้ลิ้มลอง
กุ้งไม่ได้มาโผล่ทั้งตัว แต่โผล่มาแค่เนื้อบางส่วน เห็นจากรูปแล้ว
อย่าคิดว่าน้อยนะครับ ปริมาณ ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว เพราะผักนั้น
เขาหั่นออกมาให้เห็นเต็มๆ Chef บอกว่า ต้องการจะสะท้อนให้เห็น
ถึงความมีชีวิตชีวา และความมีอิทธิพลในระดับสากลของ Toronto
เนื้อกุ้งหวานกำลังดี ผักสด ก็สดจริง อร่อยใช้ได้เลย
จานถัดไป เป็นสูตรของ Chef Chan Yan Tak จาก ภัตตาคารจีนชื่อ
Lung King Heen โรงแรม Four Seasons Hong Kong เขาเกิดและ
เติบโตที่ฮ่องกง เมื่อได้เข้ามาทำงานในครัว ก็เริ่มหลงรักในอาชีพนี้
อย่างจริงจัง เขาเป็น Chef ชาวจีน คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับ
รางวัล Michelin Star ระดับ 3 ดาว เมื่อปี 2008
อาหารจากฝีมือของเขาในมื้อนี้คือ Stream Sea Bass with Black bean
Sauce หรือ ปลากระพง ในซอสเต้าเจี้ยว เป็นอีกจานที่ผมกินหมด และ
มีรสชาติในแบบที่คุ้นเคย เนื้อปลา สด และไม่คาว เขามีวิธีปรุงจนกลิ่น
หอมนิดๆกำลังดี ไม่ร้อน ไม่เย็นจนเกินไป แต่ว่า มีเห็ดและหญ้าฝรั่น
แซมให้มีรสฉีกไปนิดๆ จานนี้ ผมถือว่า โอเค ได้อยู่
Main Course ในคืนนั้น เป็นฝีมือจาก Eric Briffard จากโรงแรม
Four Seasons Hotel George V Paris ซึ่งได้ Michelin Star 2 ดาว
จากประวัติที่แนบมาพร้อม Press Kkit ของ S-Class เล่าว่า ในอดีต
เขาทำอาหาร ในสไตล์ Very French มากๆ จนกระทั้ง ไปเที่ยว
Tokyo เขาถึงกับช็อก และเปลี่ยนความคิดเดิมที่มีมาโดยสิ้นเขิง
เมื่อกลับมา อาหารฝรั่งเศสของเขา จึงคล้ายกับอาหารญี่ปุ่นมากขึ้น
คือ เบา เหมือนจะน้อย แต่อิ่มแปร้ ได้รสชาติ มีความเป็น Feminine
มากขึ้น และดีต่อสุขภาพ มากยิ่งกว่าอาหารฝรั่งเศสแบบที่เคยเป็นมา
สเต็ก Main Course นั้น ทั้งน้ำราด และตัวเนื้อที่ใช้ บางจานที่เจอ
มันไม่ได้สุกเท่ากับจานที่ผมกิน คนไทยด้วยกันบางคน จะรู้สึกว่า
ไม่ถูกปาก ไม่คุ้นรส พอแหวกเนื้อดู ..โอ้ มันดิบไปหน่อยนี่หว่า
นี่มันจะ Rare แล้ว มันไม่ใช่ Medium-rare อย่างที่ควรเป็น ฝรั่ง
บางคนที่ชอบเนื้อแบบ Rare อาจจะชอบ แต่ถ้าคนไทย จะรู้สึก
ว่ามีกลิ่นสาบเนื้อวัว เหมือนที่เราพบได้ตามร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น
ในบ้านเราเลย แม้จะมาแบบเจือจาง แต่บางคน จะรับไม่ค่อยได้
ส่วนจานของผม ไม่มีปัญหา ทุกอย่างมันออกมาดี Perfect ในแบบ
ที่ผมคิดว่า Chef เขาอยากให้คาดหวัง
แต่ถ้ามองเรื่องรสชาติแล้ว ผมว่าธรรมดาไป อีกทั้ง Cherry Chutney
ออกจะมีรสในแบบที่ ติดเปรี้ยวปะแล่มๆ นิดนึง พอมาปนกับเนื้อวัว
รสมันเลยแปลกออกไป ถ้าคนชอบกินไวน์ อาจจะมีความสุข แต่ถ้า
คนที่ไม่ดื่มไวน์ หรือแอลกอฮอลล์อย่างผม ถือว่า ไม่ค่อยดอเค
ดังนั้น จานนี้ ผมถือว่าเชฟ Bellec น่าจะมีปัญหากับทีมงานของเขา
เพราะรสที่ออกมา มันทำให้ผมนึกได้ว่า กินข้าวขาหมูตรอกซุง ในวัน
ที่อาม่าเจ้าของสูตร ยังมีชีวิตอยู่ หรือข้าวขาหมูบางรัก เซนต์หลุยส์
หรือ ดีขึ้นมาหน่อยคือ บะหมี่เนื้อตุ๋น บนเครื่องบิน Cathey Pacific
ยังจะอร่อยกว่าเลย...
แรงไปไหม? ไม่แรงหรอก ผมไม่สนใจนะ เพราะผมคิดแบบนี้จริงๆ
แต่ถ้าถามว่า มันเป็นไปตามที่ Chef Erric เขาตั้งใจไว้หรือไม่ ผม
เชื่อว่า ขาดแค่เรื่องของ ลูกทีม ในการจัดการกับเนื้อ ซึ่งทำให้เนื้อ
Tenderloid ที่ดีกลับกลายเป็นเนื้อวัวแบบห่วยๆ ถ้าแก้จุดนี้ได้
ผมว่า จบข่าว
ส่วนของหวาน เป็นสูตรจาก Chef Kevin Hickey แห่ง ห้องอาหาร
Allium An American Restaurant & Bar โรงแรม Four Seasons
Chicago ซึ่งเท่าที่ดูจากรูปร่างแล้ว น่าจะเป็นคนชอบกินและชอบ
ท่องเที่ยวไปทั่วโลก
เขากล่าวว่า "การเดินทางท่องเที่ยวเป็นสิ่งจำเป็นในอาชีพ Chefs
คุณอาจจะอ่าน ตำราทำอาหารได้อย่างที่ต้องการ แต่คุณต้องไปเห็น
เขาทำอาหารเมนูที่คุณอ่านอยู่นั้นจริงๆด้วยตาของคุณเอง ถ้าคุณจะ
ทำ Gnocchi ที่ดีที่สุด ให้เดินทางไปที่ Bologna แต่ถ้าคุณต้องการ
ลิ้มรส "ต้มข่าไก่" ให้กินที่อุณหภูมิเสร์ฟ 120 องศาฟาเรนไฮต์
ริมถนนในกรุงเทพมหานคร ตอนบ่าย 3 โมง"
เฮ้ยยยย ประโยคหลังนี่แหละ โดนใจชะมัด!!!
เขาเกิดทางตอนใต้ของเมือง Chicago ขณะที่แม่ของเขากำลัง
พยายามทำงานทางการเมืองในรัฐ เขาย้ายมาทางตอนเหนือ
ของ Chicago และเริ่มงานกับร้านอาหารของลุงเขา หลังจบ
การศึกษา เขาก็ทำงานที่ Four Season Hotel ใน LA และ
Bevery Hill โดยไม่หันหลังกลับไปหาสิ่งอื่นใดอีก
ของหวานที่เขาคิดสูตร มาเป็นบุฟเฟต์หลากหลาย แต่ผมลอง
ชิมอยู่ อย่างเดียว คือ สิ่งที่คุณได้เห็นในรูป บอกเลยว่า เนื้อเค้ก
เนียน ละมุน อร่อยดีจริง แต่ กรอบสี่เหลี่ยมที่เห็น มันมีรสของ
เหล้ารัมผสมอยู่ โดยส่วนตัว ผมไม่ชอบเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยต้องจำใจปล่อยกรอบสี่เหลี่ยมให้มันหักๆ
ไว้ตามเดิมอย่างนั้น