แม้ประเทศไทยจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของอาเซียนมาเป็นเวลานาน แต่ในปีที่ผ่านมาตัวเลขของตลาดนั้นเติบโตแบบชัดเจน เป็นผลพวงมาจากโครงการสนับสนุนรถยนต์ประหยัดพลังงานหรืออีโคคาร์ ที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นที่จับตามองอย่างมาก จนเรียกได้ว่าเป็น "ไทยโมเดล" ที่หลายประเทศต้องนำไปใช้
นักวิเคราะห์ในบริษัทวิจัยยานยนต์ ภายใต้ชื่อ ฟรอสต์ แอนด์ ซุลลิแวน ในประเทศสิงโปร์ เปิดเผยว่า ตลาดอาเซียนจะมีความน่าสนใจมาก จากปัจจุบันที่ค่ายรถญี่ปุ่นมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดถึง 80%
จึงเป็นความท้าทายที่ผู้ผลิตจากต่างประเทศที่จะเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งในตลาด โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่กำลังได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วอาเซียน
ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี หนึ่งใน 3 บิ๊กทรีเมืองมะกัน ได้เปิดเผยว่า โรงงานฟอร์ดประเทศไทยนั้นมีความสามารถในการผลิตสูงกว่ายอดขายในประเทศถึง 8 เท่า ซึ่งการมียอดการผลิตที่สูงเกินกว่ายอดขายที่มากเช่นนี้นั้นไม่ได้เป็นปัญหาเหมือนวิกฤตโอเวอร์ซัพพลายในยุโรป แต่เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
โรงงานฟอร์ด ประเทศไทย เป็นผู้ผลิตรถยนต์ฟอร์ด โฟกัส และรถปิกอัพ เรนเจอร์ ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ผู้ผลิตรถยนต์หลักในไทย มีมาร์เก็ตแชร์
ในตลาด 4% โดยยอดขายหลักของตลาดยังเป็นรถปิกอัพที่มีมาร์เก็ตแชร์ราว 40% แต่ในอนาคตความต้องการของผู้บริโภคจะเน้นไปที่รถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรืออีโคคาร์ เนื่องจากมีราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่ารถปิกอัพ ซึ่งผู้ผลิตในไทยหลายรายก็หันมาเพิ่มไลน์การผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กด้วย
ซึ่งคาดว่ายอดขายของอีโคคาร์จะเพิ่มสัดส่วนจากปัจจุบันที่ 19% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 29% ภายในปี 2559 ด้วย
ฟอร์ดจึงมีความสนใจและความพร้อมในการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ประหยัดพลังงาน ที่รัฐบาลไทยให้การสนับสนุนอยู่ ซึ่งขนาดของเครื่องยนต์ที่เหมาะสมในการทำตลาดคือ 1.2 ลิตร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคย จำหน่ายแล้วทั้งในยุโรป อเมริกาใต้ และอินเดีย
หากฟอร์ดสามารถผลิตรถดังกล่าวได้ก็จะสามารถใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต เพื่อส่งออกไปจำหน่ายด้วยสิทธิประโยชน์ภาษี 0% ในอินโดนีเซียที่มีประชากรกว่า 250 ล้านคนได้ ซึ่งฟอร์ดเองก็ยืนยันแน่นอนว่าจะไม่มีการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในอินโดนีเซียแต่อย่างใด
บริษัท วิจัยไอเอชเอสและแอลเอ็มซี ออโตโมทีฟ กล่าวว่า ฟอร์ดจะวางแผนที่จะเข้าร่วมโครงการผลิตรถอีโคคาร์ ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาลไทยภายในปีนี้ หลังจากโครงการดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2550 มีค่ายรถเข้าร่วม 5 ค่าย คือ โตโยต้า นิสสัน มิตซูบิชิ ฮอนด้า และซูซูกิ ซึ่งประสบความสำเร็จไปในปีที่ผ่านมา
ภาครัฐกำหนดให้รถยนต์ที่ร่วมโครงการต้องมีอัตราสิ้นเปลืองที่ 20 กม.ต่อลิตร ผู้ผลิตจะต้องลงทุนอย่างน้อย 5,000 ล้านบาท ที่ผู้ผลิตจะได้รับสิทธิประโยชน์ในภาษีนิติบุคคลและอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรต่าง ๆ
ทั้งนี้บริษัทวิจัยยานยนต์หลายรายก็คาดการณ์ว่ารัฐบาลไทยน่าจะขยายโครงการอีโคคาร์ต่อไปในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการผลิต 3 ล้านคันภายในปี 2560 เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีการผลิตอยู่ที่ 2 ล้านคัน เนื่องจากโครงการอีโคคาร์นั้นได้สร้างผลประโยชน์ให้แก่ผู้ผลิตและภาครัฐอย่างมาก ทำให้ยอดผลิตรถยนต์ในไทยเติบโตอย่างชัดเจน และมีการลงทุนจากบรรดาผู้ผลิตและเพิ่มอัตราการจ้างงานในอุตสาหกรรมยานยนต์
ซึ่งทั้งฟอร์ดและผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นต่างเห็นว่าอาเซียนนั้นช่วยบรรเทาสภาพตลาดรถยนต์ในยุโรปที่ชะลอตัวได้ การขยายธุรกิจในประเทศไทยนั้น เป็นส่วนสำคัญของแผนการเติบโตแบบก้าวกระโดดในภูมิภาคอาเซียน โดยประเทศไทยนั้นเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของอาเซียน มียอดขายสูงที่สุดในเวลานี้ ที่สามารถขนส่งและจำหน่ายสินค้าระหว่างประเทศสมาชิกด้วยอัตราภาษี 0% แต่บริษัทวิจัย ไอเอชเอส ออโตโมทีฟ คาดการณ์ว่าภายในปี 2557 ประเทศอินโดนีเซียจะมียอดขายสูงสุดในภูมิภาคแทนที่ประเทศไทย
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1368090470&grpid=03&catid=08&subcatid=0800