cost of buying ของประเทศตะวันตกเค้าถูกก่าก็จืง แต่ cost of owning ของเค้าแพงกว่าเราเยอะครับ
อย่าลืมเรื่องรายได้ต่อหัวของประชากรด้วยน่ะครับ ที่เค้าสูงกว่าเรามากหลายเท่าตัว....
แล้วต่อให้สมมติ สมมติน่ะครับว่าเค้ามีรายได้ต่อหัวน้อยเท่าบ้านเรา แต่ด้วยส่วนต่างของราคารถ
ผมลองคำนวนดูเล่นๆ เค้าก็่จายถูกกว่าเราอยู่ดีครับ ในการที่จะครอบครอง+บำรุงรักษา+ภาษีต่อปี ฯลฯ
แล้วในความเป็นจริง อย่างที่ผมบอก รายได้ต่อหัวเค้าสูงกว่าเราเยอะ ก็ยิ่งถูกไปกันใหญ่...
ถ้าชีวิตคุณไม่ต้องจ่ายอะไรเลยนอกจากเรื่องรถก็ถูกกว่าแน่นอนครับ แต่อย่าลืม factor in พวก living cost ของเค้า ซึ่งมันสูงกว่าเรามากๆ จริงๆ
ประกัน ภาษี ค่าน้ำค่าไฟ กินอยู่ ค่าเช่า ค่าบ้าน... สิ่งเหล่านี้ทำให้แทบไม่มี disposable income เหลือ เพื่อใช้กับ luxury goods เช่นรถยนต์
ก็จริงครับ แต่ของที่บ้านเค้าก็ไม่ได้แพงกว่าเราทุกอย่าง (แต่ถูกครับ ส่วนมากเค้าแพงกว่าอยู่แล้ว)
บางอย่างใกล้เคียงกัน หรือ ถูก แพง ต่างกันเล็กน้อย อย่างเช่น น้ำมัน , ไข่ไก่ , เนื้อ , นม , พิซซ่า
เปรียบเทียบกับรายได้ ค่าแรงขั้นต่ำของ สหรัฐวันละ 2000 บาท ส่วนค่าแรงไทยวันละ 310 บาท (ข้อมูลปี 2017)
ถ้าพูดถึงตรงนี้จะยาวครับ รายละเอียดมันยิบย้อยที่ต้องพูดถึง งั้นขอตอบแบบให้เห็นภาพง่ายๆแบบชาวบ้านเลยดีกว่าครับ
ว่าถ้าเราเอาเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ของเรา ไปเทียบกับของต่างประเทศที่ค่าครองชีพเค้าสูงกว่า
เช่นเอา กรุงเทพฯ ของเราไปเทียบกับ New york , London , Berlin , Paris
คิดว่า กทม เราที่ค่าครองชีพถูกกว่ามาก จะมี Super car หรือ Luxury car วิ่งเยอะกว่า 4 เมืองดังกล่าวมั๊ยครับ?
อันนี้ผมไม่ทราบน่ะครับ เพราะไม่เคยไป 4 เมืองดั่งกล่าว เคยแต่ดูในยูทูป ดูในทีวี แต่เอาที่ใกล้ตัวดีกว่า
คือ ใน กทม ของเรา ผมรู้สึกว่าผมถูกหวยบ่อยกว่าเจอ Ferrari วิ่งครับ