ผู้เขียน หัวข้อ: ผมรู้สึกว่ารถที่ใช้น้ำมันเพียวๆ มาถึงทางตันแล้วนะครับ (มีพูดถึง e-power)  (อ่าน 8666 ครั้ง)

ออฟไลน์ Dark Overlord

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,803
  • Hail to the darkside
EV, Hybrid, e-Power
พวกนี่พ่วงกำลังแรงบิดมหาศาลที่มากับพลังไฟฟ้ามาด้วย ซึ่งรถใช้น้ำมันธรรมดาๆ ให้ไม่ได้
ส่วนอัตราสิ้นเปลืองก็นำโด่ง อย่ามองแค่ในตารางที่ทางเว็บลงไว้ เพราะใช้งานจริงๆ ระบบพวกนี้
มันค่อนข้างจะยืดหยุ่นมากและทำให้อัตราสิ้นเปลืองดีในทุกสถานการณ์ ต่างจากน้ำมันที่มีข้อจำกัด
เรื่องความยืดหยุ่นมากกว่า เนื่องจากใช้พลังงานจากน้ำมันอย่างเดียว ก็มีมุขไม่กี่มุขที่จะทำยังไงให้
ประหยัดน้ำมันด้วย แรงด้วย

อีกอย่างรถที่ใช้น้ำมันเพียวๆ ก็มีลูกเล่นไม่เยอะแบบพวกที่มากับไฟฟ้า
อาจจะมีพยายามเพิ่มลูกเล่นเช่น idling stop แต่ก็สู้ของพวกรถใช้พลังงานไฟฟ้าไม่ได้
น่าจะมีคนที่เบื่อการขับรถแบบใช้น้ำมันอย่างเดียวเดิมๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดโลก
แต่อุปสรรคอย่างเดียวก็คงจะเป็นราคาแบตที่แพง แล้วเปลี่ยนทีราคาเหมือนยกเครื่องใหม่
ถ้าราคาแบตถูกลงคงทำให้คนกลัวที่จะใช้น้อยลงมากๆ

ผมอยากให้ e-power มันมามากๆ การได้กำลังแรงบิดเต็มๆ มาใช้จากมอเตอร์
แบบรถไฟฟ้าโดยมีเครื่องยนต์ปั่นไฟให้ มันเหมือนทางลัดไปสู่กำลังของรถ EV โดยที่
ยังไม่ต้องเป็น EV ทำให้ทั้งขับสนุกและประหยัด และหวังว่าน่าจะถูกกว่าระบบ hybrid

EV, e-power, Hybrid พวกนี้มันก็เหมือนของเล่นใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยได้ใช้มาก่อน
แล้วมันก็ใช้งานดีจริงๆ ซะด้วย ยกเว้นค่าแบตและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ปัจจุบันรถเริ่มดู
น่าเบื่อขึ้นเรื่อยๆ มีแต่ design ที่พยายามปฎิวัติขึ้นมาแบบ Civic, Mazda 3 กับ option
เสริมต่างๆ แต่ยังไงๆ เนื้อแท้ก็ยังคงเป็นรถแบบเดิมๆ ที่วนเวียนคุยกันเรื่อง อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลือง
เบาะสบายมั้ย ที่วางแขนพอดีมั้ย วิทยุเพราะมั้ย ช่วงล่างหนึบมั้ย เด้งมั้ย ความรู้สึกพวงมาลัยเป็นยังไง
ซึ่งหลายแบรนด์มีประสบการณ์ผ่านมา 100 กว่าปีแล้ว น่าจะหาสูตรที่ลงตัวได้สักที (แต่ก็ไม่จบสักที)

Skyactiv สำหรับผมมันก็ยังเป็นรถที่ใช้น้ำมันปกติอยู่ดีที่มีความน่าเบื่อ แต่เรื่อง design ทำให้ตื่นตาตื่นใจ
พอสมควร และถ้า Solio ของ Suzuki มา ก็น่าจะทำให้ตื่นเต้นไปกับ segment ใหม่ (Kei car) สำหรับ
เมืองไทย แต่ก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าถ้าหาก Nissan นำ e-power เข้ามา โดยที่เรายังไม่ต้องกังวลเรื่อง
facility แบบที่รถ EV จะมาได้ต้องมี facility พร้อมก่อน ผมไม่แปลกใจเลยที่ e-power ช่วยพา Note
ขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งได้หน้าตาเฉย เพราะมันเหมือนการ input สิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่แล้ว (การไปเติมน้ำมันที่ปั้ม)
แต่เปลี่ยนเอา output ให้กลายเป็นรถพลังไฟฟ้า เท่ากับว่าเราได้ของเล่นใหม่ที่น่าตื่นเต้นโดยไม่ต้องกังวล
กับการถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงจากพฤติกรรมเดิมๆ (ต้องไปหาที่ชาร์จ, ต้องเสียบปลั๊ก, ต้องรอชาร์จทีนานๆ)

เพราะ Nissan ทำ Leaf ถึงทำให้มีนวัตกรรมแบบ e-power ได้ และน่าจะดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Hybrid
ที่หลายๆ ค่ายนำไปใช้เลย มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ ในขณะที่ Hybrid ในบ้านเรายังจำกัดอยู่ในรถแพงๆ
อยู่ X-Trail hybrid ต่ำสุด 1.3 ล้าน รอดู CH-R hybrid ว่าจะราคาจะเริ่มต้นเท่าไหร่ แต่ถ้า e-power มาใน
Note ที่ราคาประมาณไม่เกินระดับ B car ทั่วไปก็จะเยี่ยมมาก เท่าที่สังเกตุราคา Note e-power จะราคาเด้ง
ขึ้นมาจากรุ่น 1.2 ปกติ (เพิ่งเห็นที่ญี่ปุ่นก็ใช้เครื่องอืดๆ แบบบ้านเรา แปลว่าเป็นนโยบายสากลปกติเลยนี่หว่า)
ประมาณ 30 % ปัจจุบัน Note ท็อปราคาอยู่ที่ 640,000 ถ้าบวก 30 % ก็จะอยู่ที่ 832,000 บาท (เห็นเลข 8 รู้สึกแพงมาก)
ในขณะที่ Mazda 2 diesel รุ่นท๊อป 789,000 ราคาต่างกันอยู่ 40,000 บาทได้

ก็ต้องรอดูต่อไป หวังว่าถ้า Note e-power มาได้ และราคาไม่เกิน 789,000 ของ Mazda 2
ก็จะดีมากเลยทีเดียว ซึ่งราคามันก็จะไปแปะกับ C segment แล้วนี่แหล่ะ แต่ยังดีที่ Note ยังเป็น
รถที่ขับดี แถมข้างในยังกว้างมาก เลยยังพอน่าซื้ออยู่บ้าง แต่สมรรถนะในแบบ EV น่าจะทำให้ความน่าเบื่อ
ในรถใช้น้ำมันทั่วไปในระดับ B segment หายไปได้อย่างดีเลยทีเดียว
 
Note Nismo นิสสันไทยอย่าคิดมาก จัดมาเลยพร้อม e-power ถ้าสองอย่างมาอยู่ในรุ่นเดียวกัน
ราคา 8 แสน ค่อยดูไม่เสียดายเงิน (เหมือน Mazda 2 ท๊อปที่คนยอมควักเพื่อไฟหน้าล้วนๆ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 14, 2017, 00:18:39 โดย Dark Overlord »

ออฟไลน์ ~BK นะแจ๊ะะะะะ~

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 283
สำหรับประเทศเราขอมองในมุมมนุษย์เงินเดือนนะครับ
 ตราบใดที่น้ำมันยังไม่แพงเว่อร์เหมือนในบางปีที่ผ่านมา ยังไงๆผมก็ยังขับรถน้ำมันล้วนอยู่(อย่างมากก็ติดngv) เพราะระบบมันดูเข้าใจง่าย ซ่อมง่าย อู่เยอะ ขอแค่มีรถขับไปถึงที่หมายก็พอ ส่วนรถที่มีพวกระบบhybrid ถ้ายังไม่แพร่หลายจนมีอู่นอกที่ซ่อมเป็นเยอะๆ/อะไหล่ถูก หรือรัฐช่วยลดภาษีจนราคารถมันถูกลงเยอะๆ ผมก็ไม่อยากซื้อหรอกครับ เพราะราคารถhybridมันดันแพงกว่ารุ่นใช้น้ำมันล้วน แถมส่วนต่างอัตราสิ้นเปลืองเมื่อเทียบกับรถที่ใช้น้ำมันล้วน กว่าจะขับจนคืนทุนได้นี่อีกหลายปีเลยแหละ ถูกผิดขออภัย
ปล. ผมเป็นพวกขับแบบteenเบามากๆ ไม่ขับเร็วถ้าไม่จำเป็น พอดีอยู่สระบุรีการจราจรไม่ติดขัด ขับชิวๆ เลยไม่ค่อยได้ใช้แรงบิดสูงสุดซ๊ากกกกที ::)
~~

ออฟไลน์ r0u0g0e0k

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 826
คนชั้นทั่วไป ที่ไม่ได้ มีรถหลายคัน ไว้สลับใช้     

ต้องใช้รถวิ่งงาน  ใช้ส่งของ ใช้ประจำวัน

ยังไงก็ยังเลือก  PURE ENGINE   นะผมว่า มันอึดมันทน มัีนซ่อมง่ายกว่า

ออฟไลน์ Banana

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 24
รอวันที่ประเทศเราจะเหมาะสมกับรถไฟฟ้าเพียวๆอยู่เหมือนกันครับ
ที่ฮ่องกงผมเห็น คนขับ tesla model s เต็มไปหมด รู้สึกอิจฉาบ้านเค้าจริงๆ

ออฟไลน์ GOBBS

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,035
อยู่ที่แบตเตอรี่ครับ จะรุ่งหรือจะร่วง
น้ำมันเพียว น่าจะไม่ตาย อย่างน้อยๆ คนที่ใช้รถสมบุสมบัน ลุยป่าลุยสวน จะแบกแบตไปลุยมันซ่อมเองในป่าไม่ไหว
.....
และประเทศเกษตร E100 อาจจะเป็นทางออกด้วยซ้ำไป
ถ้าพัฒนาเครื่องสันดาปดีๆ 20โลลิตรE100 ใน Cseg ได้ ประกอบกับพัฒนาภาคขนส่งดีๆ รถบรรทุกหายไปเข้าระบบรางหมด
ผมว่าเราอาจจะลดการนำเข้าน้ำมันได้กว่าครึ่งเลยนะครับ
.....2006 honda jazz idsi
.....2015 mazda2 skyD
..ใช้รถเท่าที่จำเป็นกันเถอะครับ...รถมันติด

ออฟไลน์ Nerdys

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 701
กำลังเครื่องดี แรงบิดดี
แต่ยังมีจุดด้อยตรงที่ไม่ consistency ไม่สม่ำเสมอ กำลังเครื่องยนต์ฝากไว้กับระดับไฟในแบตเตอรี่
ถ้าต้องเหยียบคันเร่งต่อเนื่องนานๆ เช่นตอนขึ้นเขา หรือต้องขยี้คันเร่งเร่งแซงบ่อยๆ ตามถนน 2 เลน ชาร์ทไฟเข้าไม่ทัน กำลังเครื่องก็ตกลง
เหมาะสำหรับขับในเมือง หรือต่างจังหวัดถนน 4 เลน หรือ autobahn ใช้ความเร็วคงที่ cruising ยาวๆ
ต่างจากรถใช้น้ำมัน จะเหลือ 1 ลิตร หรือเต็มถัง ก็ให้กำลังเท่ากัน

ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,485
อยู่ที่แบตเตอรี่ครับ จะรุ่งหรือจะร่วง
น้ำมันเพียว น่าจะไม่ตาย อย่างน้อยๆ คนที่ใช้รถสมบุสมบัน ลุยป่าลุยสวน จะแบกแบตไปลุยมันซ่อมเองในป่าไม่ไหว
.....
และประเทศเกษตร E100 อาจจะเป็นทางออกด้วยซ้ำไป
ถ้าพัฒนาเครื่องสันดาปดีๆ 20โลลิตรE100 ใน Cseg ได้ ประกอบกับพัฒนาภาคขนส่งดีๆ รถบรรทุกหายไปเข้าระบบรางหมด
ผมว่าเราอาจจะลดการนำเข้าน้ำมันได้กว่าครึ่งเลยนะครับ
+1

ออฟไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,700
เดี๋ยวนะ เขียนมาซะยืดยาว... 
e-power นี่ก็เป็นไฮบริดชนิดนึง ซึ่ง input ของมันก็คือน้ำมัน
แล้วการเอาเครื่องยนต์มาต่อกับมอเตอร์แบบตรง ๆ ก่อนไปลงล้อ
แบบนี้ก็คือ Hybrid แบบ Series ชนิดดั้งเดิมมานานแล้ว
แบบหัวรถจักร รฟท บ้านเรานี่แหละ แต่เปลี่ยนชื่อใหม่ซะจำไม่ได้เลย

จะว่าไปมันก็มีข้อดีอยู่ ถ้าไม่งั้น รฟท บ้านเราคงไม่เลือกหัวรถจักรแบบ e-power
มาใช้งานแบบ heavy duty ลากตู้บรรทุก ตู้โดยสารขบวนยาว ๆ แบบนั้นหรอก

แต่ถ้าจะบอกว่ารถที่ใช้น้ำมันเพียว ๆ มาถึงทางตันแล้ว ก็คงต้องมองว่า
e-power มันก็ input น้ำมันเพียว ๆ นะ  ไม่ได้ input ไฟฟ้าด้วย
แล้วมันจะตันได้ไง การพัฒนาเครื่องยนต์ให้ใช้น้ำมันได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพดีขึ้น
ก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่แม้ว่าเราจะเอาเครื่องยนต์นั้นไปปั่นไฟก็ตาม (อย่างที่มาสด้าคิด)

ยิ่งไปกว่านั้น ในสังคมที่ยังกลัวระบบ Hybrid อยู่ ก็ย่อมกลัว e-power เหมือนเดิม
เว้นเสียแต่ว่าตอนซื้อก็มึน ๆ กับคำว่า e-power ลืมคิดไปว่ามันคือ hybrid   ;D ;D

ออฟไลน์ xman2029

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,348
    • อีเมล์
อนาคตของรถไฟฟ้าจะมาแทนที่รถน้ำมันแน่นอน ไม่แน่ว่าในอนาคตจะเป็นรถไฟฟ้าเป็นหลัก น้ำมันเป็นรองเหมือน hybrid ปัจจุบันที่น้ำมันเป็นหลักแบตเป็นลองแทน หรือจะเอาน้ำมันไว้ปั่นไฟกรณีไฟในแบตเตอรี่หมดก็เป็นไปได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ที่ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ว่าจะทำออกมาได้ดีแค่ไหน ถ้าแบตยังเป็นแบบปัจจุบันที่เสื่อมไว(3-4ปีเริ่มเสื่อม)และชาจนานแบบนี้ก็เกิดยาก แต่ปัจจุบันมันงานงานวิจัยเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบใหม่ออกมาเยอะแล้วแต่ยังไม่เห็นผลิตแบบเป็นรูปธรรมสักงาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 14, 2017, 07:41:58 โดย xman2029 »

ออฟไลน์ รักเธอเสมอ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,222
ผมว่าอีก 30 ปีก็ยังเห็นรถเติมน้ำมันวิ่งเกลื่อนประเทศไทยอยู่นะ สัดส่วนอาจลดลงบ้างแต่คงไม่ถึงกับสูญพันธ์ุแน่นอน

ออฟไลน์ ps000000

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,769
ในไทยผมว่าต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

ออฟไลน์ Sit: )

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,474
    • อีเมล์
ตลาดโลกคนรอใช้ของใหม่ๆ
แต่บ้านเราที่เป็นไป มันเกิดจากนโยบายว่ารถแะไรได้ผลดีเรื่องถาษี รถคันนั้นถึงตั้งราคาขายได้

อย่าไปเดาเลยครับว่าบ้านเราจะเป็นไง
อะไรก็เกิดขึ้นไ้ด้

ออฟไลน์ lay

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,268
ผมว่า จขกท. เขาก็ให้แง่คิดได้ดีนะครับ  ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ frosty

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 91
บริษัทกลุ่มพลังงาน เป็นส่วนสำคัญที่ไม่ผลักดันให้เกิดธุระกิจรองรับรถจำพวกไฟฟ้า
เพราะโครงสร้างเดิมของระบบ ยังไม่คืนทุน เลยอยากจะใช้ไอ่สิ่งที่ลงทุนไปแล้วให้เกิดกำไรเยอะสุด

ผู้หลิตก็เหมือนกัน ลงทุนวิจัยพัฒนารถน้ำมันมานานแล้ว โรงงานก็ขึ้นไลน์มารอปลิตรถน้ำมันมาแล้ว อะไหล่ ชิ้นส่วนก้ ฟอร์แคสสั่งซื้อล่วงหน้ามาแล้ว อยู่ดีๆ จะมาล้มไลน์ผลิตรถน้ำมัน มาเป็นรถไฟฟ้าหมดคงไม่ไหว

 อีกอย่างราคารถไฟฟ้าคันนึง ยังแพงอยู่เพราะ เป็น next tech ยังไงก็ยังขาย inno ได้ ให้คุ้มค่าวิจัยเสียก่อน อีกนานกว่า tech ตัวนี้จะกลายเป็น standard และราคาต่ำจนใครๆ ก้สามารถหยิบมาทำตลาดได้

ลองนึกถึง prius สิ ผมว่าเป็นรถที่ดีนะ ผมได้มีโอกาสใช้งานอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่รถตัวเอง ประหยัดน้ำมันแบบเห็นเงินเลย แต่ทำไมไม่ได้รับความนิยม เพราะดีไซน์ หรือเพราะศูนย์บริการ

ออฟไลน์ ยิ้มละไม

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 989
ความสำคัญ ตอนนี้ อยู่ที่ แบตครับ เรื่องแบต ถ้ามันดีสุดๆ ชาทร์ 5 นาที วิ่งได้ 2000 กม. อยู่ได้ 3 เดือน น้ำมันคงจะไม่มีความหมาย คนกระทบคือ ธุรกิจน้ำมัน เบื้องหลังเจ้าของธุรกิจน้ำมันคือใคร มันเป็นการเมืองระดับโลก เทคโนโลยีนี้ถึงเกิดช้า ต้องรอาัก 20-30 ปี ถึงจะมาทดแทนได้ 50% มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เยอะ เจ้าของธุรกิจยานยนต์ก็ไม่ค่อยจะส่งเสริมมากนัก

ออฟไลน์ Dr.Jones

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 424


กระทู้น่าสนใจครับ

ขอแจมถามเพื่อนๆพี่ๆ สายงานช่างแท้ๆ ว่า
ทำไมรถยนต์นั่งที่เราๆใช้ ถึงไม่ใช้ระบบ Diesel-Electric แบบหัวรถจักรรถไฟล่ะครับ
(หมายความว่า เอาดีเซลไปปั่นไฟเลี้ยงมอเตอร์หมุนล้อ โดยไม่มีกำลังจากดีเซลลงระบบขับเคลื่อนโดยตรงเลย)
ทั้งๆที่มันน่าจะทำได้มานานแล้ว

ป ลิง ข้าพเจ้าเป็นคอรถไฟฮะ มั่นใจว่ามีสมาชิกหลายๆท่านไม่เคยขึ้น รฟท แน่นอน (BTS MRT TGV ชิงกันเซน ไม่นับนะ)
ไม่สนับสนุนรถญี่ปุ่นเจ้าตลาดและรถเยอรมันมวยรอง
--ทุกรุ่น,ทุกคัน,ทุกโปรโมชั่น,ทุกกรณี--

ออฟไลน์ bahamu

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 685
อย่าลืมค่าแอร์dcด้วย แพงกว่าแอร์เครื่องขับเกินสองเท่า
คอมแอร์เบิกห้างลูกละแปดหมื่น ตู้ กรอง วาล์ว รังผึ้ง ยกหมดเกินแสน
ถ้าซื้อของเก่า หรือหนี ทั้งชุดห้าหมื่นไม่จบ นี่รถขายเกินสิบปี ราคาแอร์ยังไม่ลง
อัลพาร์ดไฮบริด แอร์แพงที่สุด พริอุสถูกมาหน่อยแต่แพงว่าคัมรี่น้ำมัน

คิดซะว่าใช้แอร์ลูกศร รถสามห่วง อะไหล่เด็นโซ่เท่านั้น ไม่มีเทียบ
และต้องตั้งระบบที่กล่องด้วย อินเวอร์เตอร์ ถ่าน จะได้จำว่าเปลี่ยนใหม่แล้ว
คอมแอร์ลูกสูบสิบว่าลูก ซ่อมไม่ได้เปลี่ยนอย่างเดียว แค่หัวคลัชยังแปลงไม่ได้
รถใส่ถ่าน ไฮโดรเจน ไม่ต่างกันdcหมด ใครรักษ์โลกเชิญตามสบาย
รวมค่าถ่าน อินเวอร์เตอร์ ปั้มabs มอเตอร์ เกียร์ กล่อง เซ็นเซอร์ เบาะๆห้าแสนเอง
ถ้ามีของเก่า ของบิ้วถูกๆ หลักหมื่น เปลี่ยนแล้วใช้ได้ห้าปี มือสองพอไปได้

ขนาดแท็กซี่พริอุสยังเลิก เข้าศูนย์ทีเดี๋ยวหมื่น เดี๋ยวแสน ร้อนจัดแบบบ้านเรา
อะไรๆก็ไม่ทนแบบเมืองหนาว น้ำท่วมบ่อย เบรคโทรม ปั้มabsพังเร็ว
ลุยน้ำได้ กับลุยแบบไทยๆ ต่างกันมาก อุณหภูมิความชื้น
ต่างกันประเก็นคนละสภาพอากาศ ไหนจะชื้นจัดอีก ที่อื่นร้อนจัดแต่แห้งจัด

แล้วมอเตอร์ระบายความร้อยด้วยน้ำ หม้อน้ำ ถ้าติดเป็นแผงเดียวกับน้ำมันเกียร์
เตรียมเกียร์พังตอนหม้อน้ำรั่วได้เลย กว่าจะกล้าออกมาแปลงข้างนอก
ต้องเก่งเรื่องสายไฟสีส้ม ไม่งั้นไฟดูดตาย เกินพันโวลท์ นั่งทับกันทุกวัน
แต่ไม่เห็นเส้น พอตอนซ่อม ตอนรื้อต้องระวังไฟค้าง ที่ตัวเก็บประจุ
ค่าแรงตอนรื้อภายในแพงเพราะแบบนี้ ต้องวัดทุกครั้งหลายจุด ใส่ถุงมือยางกันเหนียวด้วย

หนูกัดสายอีกคงไล่สนุก แค่นี้ก็หากันต่อกันยากแล้ว มีไฟแรงสูงแถมอีก
กล่องควบคุมสารพัดระบบ เพราะอีกหน่อยก็ขับเอง ไม่ใช่คนสั่ง
ดีที่พวงมาลัยยังเป็นแร็ค ถ้าเป็นคันโยกคงไม่กล้าซื้อ แค่ต้องพึ่งแต่ปั้มabsก็น่ากลัวแล้ว
ขนาดสามแฉกยังต้องใส่หม้อลมเบรค เพราะคนซื้อกลัว เบรคมือไฟฟ้าดริฟไม่ได้
ช่วยหยุดฉุกเฉินลำบาก ห้ามเสียสถานเดียว

อีกหน่อยรถไฟฟ้าเร่งเอง จะหยุดรถยังไง
ห้ามกดปิด เพราะพวงมาลัยล็อค
เข้าเกียร์ n ปล่อนไหล หรือ b ถ้าลงเขาอยู่
เลียเบรคจนหยุด
แสดงว่า อีกหน่อยอะไรขึ้นไฟเตือน เปลี่ยนอย่างเดียว จะได้ปลอดภัย
เพราะไม่มีระบบกลไก ไฟฟ้าคุมหมด ใหม่ก็ดี เก่าๆจะเหลืออะไร
หวังว่าสิบปีข้างหน้า จะมีชุดซ่อม อะไหล่เทียบราคาเบาๆ
จะได้เอารถน้ำมันมาแปลงใส่ถ่าน เห้อแค่แร็คไฟฟ้ายังไม่มีชุดซ่อมเลย

ระบบดับๆติดๆ ใส่มาเพื่อลดไอเสียให้เป็นยูโร5 จะได้เสียภาษีต่ำ
เอาเข้าจริงปิดดีกว่าเปิด ไดสตาร์ท ยางแท่นเครื่องไปไว
มีกี่วันที่จะปิดแอร์ หรือเปิดฮีทเตอร์ขับรถ


ระบบหัวรถจักรดีเซล คล้ายระบบเรือดำน้ำดีเซล เป็นไฮบริดรุ่นแรกๆ
เพราะเงียบ โซน่าตรวจจับยาก แต่ใช้ได้ไม่กี่ชม. แถมไส้ถ่านมีทองคำขาวผสม
สมัยสงครามเย็น ถ่านเก่าจากแม่ไก่c130 ถอดขายได้เป็นแสน

ระบบดีเซลปั่นไฟให้แรงบิดดีในรอบต่ำ เป็นเครื่องดีเซลสองจังหวะไอเสียมาก
แบตใช้แบบเก็บไฟในระดับนึง ไม่ได้วิ่งด้วยแบตได้ทางยาวๆ
ฝรั่งเศสมีหัวรถจักรไฮโดรเจน เริ่มใช้แทนดีเซล เพราะค่อยๆปล่อยพลังงานอย่างช้าๆ
มีใช้ในเรือบ้างแล้ว แม้จะไม่เน้นใส่เก๋ง แต่ไม่ได้เลิกพัฒนา นำไปทดแทนดีเซลสองจังหวะก่อน
ต่อให้ให้เตาปฏิกรณ์ก็แค่ต้มน้ำ เอาไอน้ำปั่นไฟเข้าแบต ไม่ต่างกัน

ดีเซลสองจังหวะตอนนี้ยังทดสอบไม่ผ่าน ไม่งั้นเปิดตัวแล้ว ทำดีต้นทุนสูง รถแพงขายยาก
ระบบนี้อาจใช้ในรถบรรทุก เพื่อให้วิ่งในเขตเมืองได้
ช่วยเพิ่มแรงฉุดในทางชัน แต่ระบบต้องทนมากแบบถุงลมรถทัวร์ ไม่งั้นขาดทุน
ขนของไม่กี่ล้าน ค่าซ่อมทีละแสน ไหนจะต้องมีกล้องดูคนขับอีก ว่าขับดีเปล่า

รถทัวร์น่าจะมีด้วยเพราะช่วยให้ตกเหวยากขึ้นเยอะ แต่ถ้าขึ้นค่าตั๋วจะไหวอีกเปล่า
แค่คันชักคันส่งใช้จนหัก ตอนกร้าวเชื่อมเอา ไม่ยักทำสองอัน ซ่อมแบบขอไปทีก็เยอะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 14, 2017, 22:43:27 โดย bahamu »

ออฟไลน์ Jacob

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,803
หัวรถจักรไทยใช้ e-power กันมานานหลายปี มีเปลี่ยนแบตกันยังครับ แต่ค่าแบตอาจจะถูกกว่าชุดคลัทช์ ชุดเกียร์นะ เพราะรถแรงบิดมหาศาลขนาดนั้นคงสึกหรอเร็วแน่ๆ
หัวรถจักที่เป็นดีเซลราง ใช้เครื่องยนต์อย่างเดดียวก็มี น่าจะลองเทียบค่าบำรุงรักษาว่าแบบไหนถูกกว่า
(ส่วน prius no comment บางทีเจอช่างบางคนยัดค่านู่นค่านี่ก็มี แต่อย่าไปกลัวรถไฟฟ้าเพียงเพราะมีประสบการณ์ไม่ดีกับพริอุสมาก่อน เพราะรถไฟฟ้าหรือ hybrid ของค่ายอื่นที่ดีๆก็ยังมี เผลอๆเทคโนโลยีไปไกลกว่าโตโยต้าด้วย อย่างโตยังใช้ NiMH ส่วยค่ายอื่นใช้ li-ion กัน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 14, 2017, 10:01:49 โดย Jacob »

ออฟไลน์ Norwood2

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 23
e-Power มันก็ดี น่าสนใจ ถ้ามาใส่ใน Note ส่วนตัวเชื่อว่าสัดส่วนยอดขายจะมากกว่าแบบเบนซิล 1.2 ลิตร
แต่ให้ดีกว่านี้ถ้านิสสันพัฒนาติดตั้ง On-board charger มาด้วย คือเสียบปลั๊กชาร์ตไฟฟ้าที่บ้านได้
มีให้เลือกขับขี่ 2 โหมดคือ e-power กับ EV ใครอาศัยอยู่คอนโด ก็ใช้ e-power เป็นหลัก
ส่วนใครอาศัยอยู่บ้าน ก็เสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ แต่ต้องมี Range วิ่งได้ระยะซัก 80-90 กม.  กำลังดี
ใช้ในชิวิตประจำวัน ไป-กลับที่ทำงาน ก็เสียบปลั๊กทุกคืน อีกวันก็วิ่งได้ตลอดวัน
สุดสัปดาห์จะวิ่งไปตจว. ก็พึ่งพาโหมด e-Power แวะเติมน้ำมันข้างทางได้

คอนเซ็ปคล้าย BMW i3 ที่ใช้แบตฯเก็บไฟฟ้าไว้ขับล้อ และมีเครื่องยนต์ขนาดเล็กเป็นแค่ Range extender
อีกรุ่นคือ Chevrolet Volt ที่ใช้แต่ไฟฟ้าขับที่ล้อ มีระยะวิ่ง (Range) 85 กม. (53 ไมล์) ด้วยไฟฟ้า 100%
เสริมด้วยเครื่องยนต์ปั่นไฟฟ้า โดยถ้าชาร์จแบตฯมาเต็มและมีน้ำมันเต็มเครื่องปั่นไฟ มันวิ่งได้ไกลมากกว่า 600 กม.
http://www.chevrolet.com/volt-electric-car
ด้วยรถจำพวกนี้ ทำให้เราจะมีโอกาสได้ใช้รถยนต์ EV โดยไม่ต้องรอทางภาครัฐ-เอกชน จะพัฒนาเครือข่ายสถานีชาร์จ

ในเรื่องที่คนส่วนใหญ่กลัวแบตฯเสื่อม ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจให้ลองพิจารณา
รถยนต์ Tesla ที่วิ่งกันมาตั้งแต่ 2012 ถึงปัจจุบันก็ 5 ปีละ มีการเก็บสถิติการเสื่อมของแบตฯ
พบว่า มันเสื่อมประมาณ 10-15% หลังจากใช้งานมา 200,000 ไมล์ (3.2 แสน กม.)
เช่น ตอนซื้อใหม่ๆชาร์จเต็มวิ่งได้ 400 กม. ปัจจุบันชาร์จเต็มมันวิ่งได้แค่ 340 กม.
นี่คือแบตฯในรุ่นแรกๆของ Tesla ที่ผลิตโดยพานาโซนิค
ปัจจุบัน เค้าพัฒนาให้มันยิ่งเสื่อมสภาพช้าลงไปอีก ยิ่งใน Model 3 จะใช้แบตฯเทคโนโลยีที่สูงขึ้นไปอีก
ส่วนตัวแล้ว ใช้รถมา 5 คัน ยังไม่เคยมีคันใหนวิ่งถึง 1.5 แสนกม. ผมเปลี่ยนรถซ่ะก่อนทุกที
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงราคาแบตฯที่ลดลง >60% ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา และจะยิ่งถูกลงไปอย่างรวดเร็วเรื่อยๆทุกปี

โปรดอย่าเอาแบตฯของ Camry/Prius มาเทียบเลยครับ มันคนละชนิดและเทคโนโลยี
พวกนี้มันเสื่อมอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่ปี แถมราคาก็แพงอยู่อย่างงั้นไม่เปลี่ยน

ออฟไลน์ Jacob

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,803
จริงครับ อย่าเพิ่งไปยึดติดว่า hybrid ของโตดีที่สุด แล้วถ้าโตมีปัญหาแบบนี้ แสดงว่าไฮบริดอื่นก็คงเป็น..

อย่างเรื่องความเร็ว ไฮบริดโตถ้าแบตเหลือน้อย ต้องใช้เครื่องยนต์อย่างเดียว ความเร็วจะตก ต่างกับ hybrid ของ chev ที่สามารถรักษาความเร็วให้คงที่เหมือนเดิม แถมความประหยัด ระยะทางก็กินขาด prius

แล้ว chev ตอนนี้มี chevrolet bolt (ไม่ใช่ volt) เป็นรถ EV ที่วิ่งได้ 238 miles (แล้วโตมี ev ไรมาสู้ได้บ้าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 14, 2017, 10:27:38 โดย Jacob »

ออฟไลน์ e:smart Hybrid

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,697
ส่วนตัวผมอยากได้ mild hybrid แบบ suzuki มากกว่าครับ

เพราะระบบไม่ยุ่งยาก

แต่มันมีข้อจำกัด คือ ใช้กับรถเล็กเท่านั้น


ออฟไลน์ CJ.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,945
คหสต.ผมชอบทางใดทางหนึ่งไปเลยครับ ปัจจุบันนี้ชอบเครื่องยนต์ล้วนๆ ไม่ค่อยสนใจอัตราสิ้นเปลืองเท่าไหร่ครับ

ในอนาคตถ้าจะใช้รถพลังงานทางเลือกก็ยินดี แต่ไม่เอาครึ่งบกครึ่งน้ำ Hybrid หรือ plug-in อะไรแบบนี้ ผมสนใจไฟฟ้าล้วนๆแบบ Tesla ไปเลยมากกว่า
2005 Jaguar XJ Super V8
2005 Mercedes-Benz C230 Kom. Sports Coupe
2011 Aston Martin DBS
2013 Jaguar XJL 5.0 V8 Portfolio
2017 Lexus RX200t Premium
2019 Honda CR-V 2.4S
2019 Bentley Continental GT W12
2021 Lexus IS300h Luxury
2021 Mercedes-Benz GLE 350de 4MATIC Exclusive
2021 Porsche 911 Carrera S

ออฟไลน์ MUK

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,999
ผมว่าพลังงานทางเลือก คงมีให้เห็นมากขึ้น ไฟฟ้าจากแบต อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดี อาจจะมีอะไรให้ดีกว่านี้ก็ได้นะครับ
ถ้าพูดถึงรถ ไม่ว่าจะไฟฟ้า หรือ น้ำมัน ก็คงต้องพูดเรื่องการขับขี่ เรื่อง ความประหยัด เหมือนเดิมครับ สิ่งที่ผมว่า ค่าใช้จ่าย
มันจะมากขึ้นนอกจากแบตและพวกอุปกรณ์ต่อพ่วงแล้ว การชาร์จไฟ ที่ชาร์จกันทั้งประเทศ เราจะหาไฟฟ้าจากที่ไหนมาชาร์จกันครับ
ผมอยากให้ประเทศไทยเราสนับสนุนการพัฒนาการใช้พลังงานจากแสดงอาทิตย์แล้วเอามาใช้กับรถยนต์ได้คงจะดีมากๆครับ
ถึงทุกวันนี้จะมีแต่ผมว่า ยังไม่จริงจัง ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ประเทศไทย ผลิตขายให้ต่างประเทศไปเลย ไม่ต้องรอของยี่ห้ออะไรทั้งนั้น :)

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Fool cell and ICE are on their way to the grave. Some arrogant carmaker still refuses to admit that; however.

For ICE, DAT dirty diesel will go first then gasoline.

That said, We should lament the end of V8, V6, slant six, Boxer gasoline engine rumble before embracing the new overlord; BEV.

   

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,456
ถ้าในบ้านเรา อีก 20 ปี เป็นอย่างน้อย ยังไงต้องมีรถน้ำมันล้วนๆ แต่รถแบบไฟฟ้า คงโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะ ไฟฟ้าล้วน หรือ ลูกผสม

ส่วนตัวผมสนใจแบบ ขับไฟฟ้าล้วน แต่ใช้น้ำมันช่วยปั่นไฟได้ด้วย เมื่อจำเป็น

ออฟไลน์ CarameLon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,393
ถ้าจะเอาเรื่องเครื่องยนตร์เพียวๆเมื่อไหร่จะหายหน้าไปจากสังคมอีกกี่ปี
คิดว่าคงไม่มีทางครับ อีกสามชั่วอายุคนก็ยังนิยมกันอยู่
ทีนี้ถ้าจะเอาเรื่องเครื่องยนตร์ไฟฟ้าเพียวๆจะเข้ามาตลาดไทยเต็มตัวอีกกี่ปี
คิดว่าถ้าราคาอะไหล่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้ายังแพงอยู่ คนไทยก็ขยาดอยู่ดี
รวมถึงการกระจายแท่นชาร์ตไฟฟ้าไปทั่วประเทศ ยังเป็นไปได้ยากมาก
จริงๆชอบรถเทสล่ามาก แต่ปัจจัยในประเทศไม่เอื้อให้ใช้รถแบบนี้ได้
และราคารถไฟฟ้า แพงเสียจนคนธรรมดาลำบากถ้าจะสอยมาใช้ครับ
TOYOTA WISH SPORT 2.0>>>CRV-2.4L 4WD GEN3>>>TOYOTA Camry 2.4 2010>>>BMW 520 ตาเหยี่ยว>>>BMW X3 2011 >>>BMW 520D 2010 >>>BMW 525D ก่อน LCI >>>BMW 116i M-sport >>>BMW X1 2.0 S-drive 2016 >>>Mercedes GLA200 >>>Mercedes C Class C350e >>> BMW330e+BMWS1000R

ออฟไลน์ GoatGoat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 895
อย่าลืมค่าแอร์dcด้วย แพงกว่าแพงแอร์เครื่องขับเกินสองเท่า
คอมแอร์เบิกห้างลูกละแปดหมื่น ตู้ กรอง วาล์ว รังผึ้ง ยกหมดเกินแสน
ถ้าซื้อของเก่า หรือหนี ทั้งชุดห้าหมื่นไม่จบ นี้รถขายเกินสิบปี ราคาแอร์ยังไม่ลง
อัลพาร์ดไฮบริด แอร์แพงที่สุด พริอุสถูกมาหน่อยแต่แพงว่าคัมรี่น้ำมัน

คิดซะว่าใช้แอร์ลูกศร รถสามห่วง อะไหล่เด็นโซ่เท่านั้น ไม่มีเทียบ
และต้องตั้งระบบที่กล่องด้วย อินเวอร์เตอร์ ถ่าน จะได้จำว่าเปลี่ยนใหม่แล้ว
คอมแอร์ลูกสูบสิบว่าลูก ซ่อมไม่ได้เปลี่ยนอย่างเดียว แค่หัวคลัชยังแปลงไม่ได้
รถใส่ถ่าน ไฮโดรเจน ไม่ต่างกันdcหมด ใครรักษ์โลกเชิญตามสบาย
รวมค่าถ่าน อินเวอร์เตอร์ ปั้มabs มอเตอร์ เกียร์ กล่อง เซ็นเซอร์ เบาะๆห้าแสนเอง
ถ้ามีของเก่า ของบิ้วถูกๆ หลักหมื่น เปลี่ยนแล้วใช้ได้ห้าปี มือสองพอไปได้

ขนาดแท็กซี่พริอุสยังเลิก เข้าศูนย์ทีเดี๋ยวหมื่น เดี๋ยวแสน ร้อนจัดแบบบ้านเรา
อะไรๆก็ไม่ทนแบบเมืองหนาว น้ำท่วมบ่อย เบรคโทรม ปั้มabsพังเร็ว
ลุยน้ำได้ ลุยแบบไทยๆ ต่างกันมาก อุณหภูมิความชื้น
ต่างกันประเก็นคนละสภาพอากาศ ไหนจะชื้นจัดอีก ที่อื่นร้อนจัดแต่แห้งจัด

แล้วมอเตอร์ระบายความร้อยด้วยน้ำ หม้อน้ำ ถ้าติดเป็นแผงเดียวกับน้ำมันเกียร์
เตรียมเกียร์พังตอนหม้อน้ำรั่วได้เลย กว่าจะกล้าออกมาแปลงข้างนอก
ต้องเก่งเรื่องสายไฟสีส้ม ไม่งั้นไฟดูดตาย เกินพันโวลท์ นั่งทับกันทุกวัน
แต่ไม่เห็นเส้น พอตอนซ่อม ตอนรื้อต้องระวังไฟค้าง ที่ตัวเก็บประจุ
ค่าแรงตอนรื้อภายในแพงเพราะแบบนี้ ต้องวัดทุกครั้งหลายจุด กันเหนียวใส่ถุงมือยางด้วย

หนูกัดสายอีกคงไล่สนุก แค่นี้ก็หากันต่อกันยากแล้ว มีไฟแรงสูงแถมอีก
กล่องควบคุมสารพัดระบบ เพราะอีกหน่อยก็ขับเอง ไม่ใช่คนสั่ง
ดีที่พวงมาลัยยังเป็นแร็ค ถ้าเป็นคันโยกคงไม่กล้าซื้อ แค่ต้องพึ่งแต่ปั้มabsก็น่ากลัวแล้ว
ขนาดสามห่วงยังต้องใส่หม้อลมเบรค เพราะคนซื้อกลัว เบรคมือไฟฟ้าดริฟไม่ได้
ช่วยหยุดฉุกเฉินลำบาก ห้ามเสียสถานเดียว

อีกหน่อยรถไฟฟ้าเร่งเอง จะหยุดรถยังไง
ห้ามกดปิด เพราะพวงมาลัยล็อค
เข้าเกียร์ n ปล่อนไหล หรือ b ถ้าลงเขาอยู่
เลียเบรคจนหยุด
แสดงว่า อีกหน่อยอะไรขึ้นไฟเตือน เปลี่ยนอย่างเดียว จะได้ปลอดภัย
เพราะไม่มีระบบกลไก ไฟฟ้าคุมหมด ใหม่ก็ดี เก่าๆจะเหลืออะไร
หวังว่าสิบปีข้างหน้า จะมีชุดซ่อม อะไหล่เทียบราคาเบาๆ
จะได้เอารถน้ำมันมาแปลงใส่ถ่าน เห้อแค่แร็คไฟฟ้ายังไม่มีชุดเลย

ระบบดับๆติดๆ ใส่มาเพื่อลดไอเสียให้เป็นยูโร5 จะได้เสียภาษีต่ำ
เอาเข้าจริงปิดดีกว่าเปิด ไดสตาร์ท ยางแท่นเครื่องไปไว
มีกี่วันที่จะปิดแอร์ หรือเปิดฮีทเตอร์ขับรถ


ระบบหัวรถจักรดีเซล คล้ายระบบเรือดำน้ำดีเซล เป็นไฮบริดรุ่นแรกๆ
เพราะเงียบ ตรวจโซน่าจับยาก แต่ใช้ได้ไม่กี่ชม. แถมไส้แบตมีทองคำขาวผสม
สมัยสงครามเย็น แบตจากแม่ไก่c130 ถอดขายได้เป็นแสน

ระบบดีเซลปั่นไฟให้แรงบิดดีในรอบต่ำ เป็นเครื่องดีเซลสองจังหวะไอเสียมาก
แบตใช้แบบเก็บไฟในระดับนึง ไม่ได้วิ่งด้วยแบตได้ทางยาวๆ
เป้าหมายคือให้ไฮโดรเจน แทนดีเซล เพราะค่อยๆปล่อยพลังงานอย่างช้าๆ
ต่อให้ให้เตาปฏิกรณ์ก็แค่ต้มน้ำ เอาไอน้ำปั่นไฟเข้าแบต ไม่ต่างกัน

ดีเซลสองจังหวะตอนนี้ยังทดสอบไม่ผ่าน ไม่งั้นออกเปิดตัวแล้ว ทำดีต้นทุนสูง รถแพงขายยาก
ระบบนี้อาจใช้ในรถบรรทุก เพื่อให้วิ่งในเขตเมืองได้
ช่วยเพิ่มแรงฉุดในทางชัน แต่ระบบต้องทนมากแบบถุงลมรถทัวร์ ไม่งั้นขาดทุน
ขนของไม่กี่ล้าน ค่าซ่อมทีละแสน ไหนจะต้องมีกล้องดูคนขับอีก ว่าขับดีเปล่า

รถทัวร์น่าจะมีด้วยเพราะช่วยให้ตกเหวยากขึ้นเยอะ แต่ถ้าขึ้นค่าตั๋วจะไหวอีกเปล่า
แต่คันชักคันส่งใช้จนหัก ตอนกร้าวเชื่อมเอา ไม่ยักทำสองอัน ซ่อมแบบขอไปทีก็เยอะ

อันนี้จริง ผมเห็นบิลค่าซ่อมรถพวกนี้ พวกอุปกรณ์พ่วงนี่ตัวแพงเลย นี่ยังไม่รวมเบื่อแล้วขายมือสองราคาร่วงอีก
ไม่ได้บอกเทคโนโลยีไม่ดีนะครับ ใครชอบ รับค่าซ่อมได้ รักษ์โลก เอาเลยครับ
ผมแค่ยังชอบเครื่องน้ำมัน เสียงลากรอบ เบิ้ลรอบ Step การไล่เกียร์อยู่แค่นั้นเอง

ออฟไลน์ G.K

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 478
  • Respect Others' Opinions.
ผมว่ารถน้ำมันยังไม่น่าจะถึงทางตันนะครับ  น่าจะยังคงพัฒนาต่อไป แต่พัฒนาการก็อาจจะช้าลงเรื่อยๆ แต่ก็คงอีกหลายปี

ระบบไฮบริดหรือไฟฟ้าน่าจะมีพัฒนาการที่ดีในตลาดและประเทศที่มีราคาน้ำมันแพงและรายได้ประชากรไม่สูง แต่ถ้าเป็นประเทศที่มีราคาน้ำมันต่ำ เช่นมาเลเชีย พวกไฮบริดจะเกิดยาก  อย่างประเทศไทยคนซื้อรถดูที่ความประหยัดเป็นตัวตั้ง  แต่คนมาเลเชียเค้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ เค้าจึงให้ความสนใจในเรื่องคุณภาพส่วนอื่นมากกว่า

ระบบ E-Power ผมว่าน่าสนใจกว่าไฮบริดทั่วไป  ความซับซ้อนน้อยกว่า แบ่งหน้าที่การทำงานอย่างชัดเจน ระบบต่างๆก็คล้ายเครื่องยนต์เดิม ต่างกันแค่ระบบส่งกำลัง  เป็นอีกระบบที่น่าจะแจ้งเกิดได้ในประเทศไทย

ออฟไลน์ dusitmon123

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 642
    • อีเมล์
ส่วนตัวผมว่ามันจะมาเร็วกว่าที่เราคิดกันมาก

เพราะเทคโนโลยีมันไปไว ไวจนไม่ว่ารัฐจะยื้ออย่างไร มันก็ยื้อไม่ไหวครับ

อีกไม่นานราคาแบตจะถูกลงๆ ประสิทธิภาพจะดีสวนทางขึ้นเรื่อยๆ หลายๆคนตั้งแง่ว่าจุกจิก ซ่อมไม่ได้ บลาๆๆๆ พอเอาเข้าจริงๆไฟฟ้ามันดูแลง่ายกว่าระบบสันดาบเยอะ

ระบบมันซับซ้อนน้อยกว่า และถ้าออกแบบดีๆ สายไฟสักเส้นยังไม่มี ไม่ต้องกลัวว่าหนุจะมากัด หรือถึงขั้นลุยน้ำท่วมได้สบายๆ (เหมือนมือถือ อุปกรณ์ทุกอย่างจะเป็น Socket เสียบเข้ากันหมด)

20ปีก่อน AT&T ก็คิดว่ามือถือไม่มีทางมาแทนระบบสายได้แน่นอน เพราะเสถียรภาพต่ำกว่า ไม่คุ้มการลงทุน บลาๆๆๆ

ปัจจุบัน ระบบสายแทบจะไม่เหลือความสำคัญอีกต่อไปแล้ว เน็ต 4G Unlimit ไม่ลดความเร็ว ราคาไม่กี่บาทต่อเดือน

เราคงต้องยอมรับ ปรับตัวครับ ตัวผมเองก็คิดว่าถ้าลากใช้ได้ ก็จะลากใช้คันเก่าไปจนรถไฟฟ้ามันแพร่หลายแล้วย้ายไป EV แทนเลย เพราะไม่เห็นอนาคตของรถแบบเก่าว่าจะสู้กับไฟฟ้าได้ยังไงเลย

Nonlamer

  • บุคคลทั่วไป
ผมคิดว่ายังเหลือ downsizing ให้เล่นครับ คิดว่าไฮบริดยังไงก็ต้องมาก่อนถึงผมจะไม่ชอบเลยก็เถอะ  แต่ผมเองอยากจะให้เปลี่ยนไปเป็นไฟฟ้าล้วนๆให้ไวๆ ไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็นยานพาหนะทุกแบบเลย