Headlight Magazine : community
General => Relax & Photoshop Room => ข้อความที่เริ่มโดย: pop ที่ กรกฎาคม 27, 2013, 22:48:19
-
OVERVIEW
หลังจากอ่านแต่รีวิวเพื่อนๆมานาน ก็ถึงเวลาที่ผมจะหาเรื่องมาเรียบเรียงเป็นผลงานรีวิว มาให้เพื่อนๆได้อ่านกันบ้างแล้วหละครับ
จริงๆเป็นบทความนี้น่าจะเรียกว่าผลงานพรีวิวเสียมากกว่า เพราะว่าเนื้อหามีแต่ผิวๆ ไม่ได้เจาะลึกอะไร แต่ขอจ่าหัวว่ารีวิวให้เหมือนชาวบ้านเขา เวลาเขียนบล็อคพาเที่ยวก็แล้วกันครับ
ความจริง ในบอร์ดเราก็มีกระทู้พาชมรถที่เกาหลีมาแล้วหลายกระทู้
และคุณ 470127 ก็เคยนำมาให้พวกเราได้ดูกันแล้วเมื่อปีก่อน ในกระทู้ "ไปเที่ยวเกาหลีใต้มาช่วงปีใหม่ เลยเก็บรูปรถในเกาหลีมาฝาก"
ต้องขอขอบคุณด้วยครับ ตามลิ้งค์นี้เลย
http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,18514.0.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,18514.0.html)
แต่ไหนๆผมก็มีเรื่องจะมาเล่าแล้ว ก็ขอสานต่อ เป็นแบบหนังรีเม็ค ธีมเดิม แต่เปลี่ยนผู้กำกับแล้วกันนะครับ
-
ขอภาพ preview ก่อนนะครับ :)
-
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนา56 หรือเมื่อสี่เดือนก่อน
คิดดูแล้วกันครับ ว่าผมดองงานได้นานขนาดไหน!
และแม้แต่ในเวลานี้ ตอนจบของเรื่อง ก็ยังเขียนไม่เสร็จ
แต่อย่างไรก็ต้องเล่าแล้วครับ ไม่งั้นเรื่องราวจะบูดโบราณไปเสียก่อน
-
เริ่มเรื่องด้วย ผบทบ. อยากไปเที่ยว เที่ยวที่ไหนก็ได้ ขอให้หนาวเป็นพอ! เป็นคำสั่งปัจจุบันทันด่วนเมื่อมีนาคมนี้เอง
และเป็นคำสั่งที่ปฎิเสธไม่ได้ เพราะผมติดหนี้คุณเธอตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่ทั้งช่วยเลี้ยงลูก ทำงานตรากตรำมาตลอดปี เป็นโจทย์ข้อที่หนึ่ง
ข้อสอง งบประมาณจำกัด! ลำพังเงินเดือนสถาปนิกแก่(อาวุโส) +โบนัสน้อยนิด คงจะพาคุณเธอและคุณลูกไม่ไหนได้ไม่ไกล
แล้วไอ้ที่ที่มันไม่ไกลแล้วยังหนาวอยู่ก็จำกัดวงแคบลงมาเรื่อยๆ แค่โจทย์สองข้อก็แทบจะนับประเทศได้แล้ว คงเหลือแต่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสซี่ ก็เท่านั้น
แล้วไหงหวยมาออกที่แดจังกึมหละครับ!!
-
เหตุผลง่ายๆ ประเทศจีน ยังไม่รู้จะไปดูอะไร เมื่อปีที่แล้วไปฮ่องกงก็ไม่ประทับใจผบ.เท่าไร ส่วนญี่ปุ่น งบก็คงจะบานปลาย ออสเตเลีย มี4วัน ก็คงจะเที่ยวกันไม่ทั่ว คงไม่คุ้มค่าตั่วสักเท่าไร
ส่วน เกาหลี หละ นอกจากไม่เคยไปมาก่อน บินก็ไม่นาน เช็คพยากรณ์แล้วอากาศก็ยัง5-12องศา หนาวได้ใจผบ.แน่นอน
ใครคิดจะไปเกาหลีก็คงเคยถูกป่วนกระแสมาก่อนว่าแป๊กแน่นอน ไอ้เพื่อนเราที่เคยไปมาก็ยังบอกเซ็ง กี่ทัวร์กี่ทิปก็ไม่เคยเห็นใครบอกสนุก อาหารก็ไม่อร่อย พี่ชายผมก็เป็นเจ้าของทัวร์ไปเกาหลีทุกเดือน เคยซื้อขนมมาให้กิน เรายังกระเดือกไม่ลง
-
แต่เดี๋ยวก่อน! รู้มาอย่างนี้แล้วทำไมยังจะไปอีก!!
ก็เพราะว่าไม่ได้มีแต่คนบ่นกันขมเสียอย่างเดียวนะ เช็คดูในเน็ต ถามหา "รีวิวเกาหลี เที่ยวเอง"
ใครหลายๆคนที่เคยไปเที่ยวเอง ไม่จ้างทัวร์ ไม่ชอบตามกระแส ไม่อยากตื่น6 กิน7 ล้อหมุน8 ไปไหนมาไหนกันเป็นฝูง
ก็จะพบว่าคนเที่ยวเองต่างปลื้มกันไม่ใช่น้อย ไม่ใช่แต่เฉพาะคนตามรอยละคร ตามหาดาราด้วยนะจะบอกให้ !!
แปลว่าจริงๆแล้ว เกาหลีต้องมีดี แบบว่า เราต้องค้นหา
-
และที่ประเทศนี้ ใครๆก็บอกว่ามีแต่รถเกาหลี แล้วมันจะมีรถแปลกๆ น่าสนใจหรือ??
ไม่ลองไปดูก็ไม่รู้
-
ทำรีวิวมาถูกจังหวะมาก ต.ค. นี้โรงเรียนผมพาไปเที่ยวเกาหลีพอดีเล้ยย
ต้องเล็งรถที่ต้องดูให้ได้ไว้ก่อน ;D ;D ;D
-
เอาหละตัดสินใจแล้วก็ลุยกันเลย
ก่อนเดินทาง มีเวลาแค่ไม่ถึงเดือน ต้องรีบเตรียมตัว หาข้อมูล ซื้อหนังสือเที่ยวเกาหลีซักเล่ม+แลกเงินวอน+เตรียมpassport+ขอวีซ่า
อ้าว งานเข้าแล้ว! passportเหลืออายุแค่2เดือน แล้วเดี๋ยวนี้กรมศุลท่านไม่ยอมให้ต่ออายุแล้วด้วย
ต้องทำใหม่ จ่ายสิบร้อยสถานเดียว มีวีซ่าอะไรค้างไว้ ก็ไปเริ่มใหม่กันหมด
ไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมเคยได้วีซ่าอเมริกา10ปี ต่อเล่มแล้วต่อเล่มอีก หนาเตอะ รูปหน้าพาสปอตเด็กอายุ10กว่าขวบใช้กันจนโตเลยครับ
-
วันที่เราออกเดินทาง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีปฎิมากรรม ปูนปั้นรูปเหล่าเทวดา ยักษ์ และพยานาค ตั้งแสดงอยู่อย่างเป็นที่น่าสนใจต่อคนไทยและฝรั่งมากมาย
-
กลับมาตื่นเต้นกับเอกสารที่ต้องเตรียมกันก่อน
passport เพิ่งจะมาทำ แล้วจะขอวีซ่าทันไหมเนี้ย!!!
แฟนบอก เชยจริงๆ คนไทยไปเกาหลีไม่ต้องขอวีซ่านะ!
เค้าบอกว่าเพราะประเทศไทยเคยมีบุญคุณส่งทหารหาญไปช่วยสู้รบ พะบู๊ในสงครามเกาหลี เขาจึงตอบแทนมิตรภาพอันดีระหว่างเราสองประเทศ
คนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าใดๆ แค่ไปถึงที่สนามบิน ผ่านด่านตรวจคนเข้าประเทศ ตม. ให้ได้ก็พอ!
ฟังดูเหมือนง่าย แต่เฮ้ย! แล้วตม.มันจะเชื่อไหมเนี่ยว่าเรามาเที่ยว ไม่ใช่เลฟฟูลจี!
แล้วถ้ามันไม่เชื่อ ไม่ต้องบินกลับประเทศกันเดี๋ยวนั้นเลยหรือ มันจะรอดไหมเนี่ย!
ลองอ่านกระทู้ก็มีคนไทยหลายคนอยู่ที่ถูกส่งกลับไม่ได้เข้าเมือง แม้ว่าไปกับกลุ่มทัวร์ก็ยังมีโดน!
แฟนบอกเอาชัวร์ ให้เตรียมไปให้หมด หนังสือรับรองการทำงาน หลักฐานการเงิน บัตรประชาชนไทย เอกสารอะไรก็ได้ที่มันจะระบุว่าเราหนะจะกลับบ้านกลับประเทศ ไม่อยู่นาน!
นั่นก็เวอร์เกินไป
จริงๆแล้วไม่ได้ยากอะไรนักหรอกครับ เอาแค่เราแต่งตัวดี ดูภูมิฐาน ไม่ไประม้ายคล้ายคลึงกับแรงงานข้ามชาติ ไม่ได้ดูเหมือนว่า เดินทางวันเวย์ทิป ตั้งท่าจะไปแต้แล้ตอยู่บ้านเขานานจนเกินสมควร ก็น่าจะผ่านฉลุยแล้วครับ
-
DAY ONE
สวนสนุก Lotte World, ถนนศิลปะย่านอินซาดง, เดินเล่นคลองซองเกซอน, ช็อปย่านแฟชั่นทงแดมุน
-
ผบ. บอกว่า ไปเที่ยวครั้งนี้ ให้ใส่หน้ากากไว้ตลอดเวลา เพราะไม่อยากให้โจทย์เก่าที่เกาหลีจำได้!!
เราจึงต้องปฎิบัติตามแต่โดยดี
:)
-
เริ่มออกเดินทาง เครื่องออก5ทุ่ม ถึงสนามบินเกาหลีเวลาบ้านเขา6โมง
แผนการของเราก็คือ นอนบนเครื่อง ถึงแล้วเที่ยวเลย เอาให้คุ้ม !
ชีวิตจริง คือ ตื่นเต้นกันหมดแม่ลูก นั่งดูการ์ตูน ดูหนังกันตลอดไฟท์ 4.5ชั่วโมง
อาหารค่ำ(เรียกว่ารอบดึกดีกว่าเพราะตีสามเข้าไปแล้ว)เสิร์ฟช้า เพราะเครื่องตกหลุมอากาศมาตลอดทาง เล่นเอาตื่นเต้นไม่ใช่น้อย
ไม่ใช่ว่าเครื่องเขย่าแรงนะครับ แต่ก่อนเดินทางแค่อาทิตย์เดียว เราดันได้ดูหนังเรื่อง "FLIGHT" ที่นำแสดงโดยดารารุ่นใหญ่ อย่าง เดนเซล วอชิงตัน
ที่เล่นเป็นกัปตันขี้เหล้าได้สมบทบาท ทำเอานึกถึงเหตุการณ์ในหนังอยู่ไม่น้อยทีเดียว จนย้อนไปนึงถึงเรื่อง "CAST AWAY"ด้วย ไปกันใหญ่!
ขาไปเครื่องบินแค่สี่ชั่วโมงครึ่ง กว่าเจ้าตัวเล็กจะยอมเริ่มนอนก็เครื่องเกือบลงแล้ว เสร็จกัน!! สงสัยต้องอุ้มกันทั้งวัน
-
ถึงสนามบินแล้ว ตาสว่างกันหมด สัมผัสอากาศหนาวยามเช้าแบบเต็มๆ ไม่มีใครออกอาการง่วงนอนสักคน
ผมลงเครื่องไปพร้อมกับทัวร์ชาวไทยอีกกลุ่มหนึ่ง ได้ยินหัวหน้าทัวร์ยังบอกกับลูกทัวร์ว่า
"ถ้าตม.เขาสงสัย แล้วเรียกใครเข้าไปคุยในห้องเล็กก็ไม่ต้องตกใจนะครับ ไม่มีอะไรน่ากลัว ผ่านกันได้อยู่แล้วคนไทย! "
เอาเข้าไป! :)
-
สนามบินอินซ็อน กว้างขว้าง และถูกออกแบบตกแต่งอย่างสวยงาม ได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยว และสายการบินหลายแห่งทั่วโลกว่าเป็นสนามบิน5ดาว
และในปี2552 ก็ได้รับการโหวตให้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลก
ถึงด่านตม.ก็คิวยาวมากตามภาษาเครื่องบินใหญ่landing แต่ก็ตรวจกันผ่านฉลุย เรามีเจ้าตัวเล็กไปด้วยเป็นครอบครัว เจ้าหน้าที่จึงอำนวยความสะดวกให้
โดยเรียกให้เราไปตรวจpassport ที่เคาน์เตอร์นาฬิกาcitizen สำหรับคนเกาหลี ซึ่งมีคนน้อยกว่าเคาน์เตอร์ช่องต่างชาติ
เรียกได้ว่า มาถึงก็ประทับใจในบริการของคนที่นี่เลย (เดี๋ยวขากลับก็มีอีกนะครับ แล้วถึงตอนนั้นจะเล่าให้ฟัง)
-
ส่วนการเดินทางจากอินซ็อนเข้าเมืองไม่ยากเท่าไร รถเมล์ก็ได้ รถไฟก็ดี ค่อนข้างสะดวกมาก
ขณะรอรถเมล์ ผบ. สัมผัสอากาศหนาวสมใจอยาก จนกลายสภาพเป็นแม่แม้ว! และลูกหมี
ลูกหมีพยายามจะเป่าไอออกจากปาก ดังรูป
-
หลังจากเก็บกระเป๋าที่โรงแรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ไปลุยที่แรกตามแผนกันเลย
LOTTEWORLD สวนสนุกในร่มชื่อดังของโซล
-
ขณะที่มาถึงเจ้าตัวเล็กก็พับไปแล้ว ขนาดมาสวนสนุกเสียงดังเย้ายวน ยังไม่กระดิกเลยครับ
ส่วนตัวพ่อ ขอยาชูกำลัง และประเดิมมื้อแรกก่อนครับ
เครื่องดื่มชูกำลัง ผสมวิตามินC รสชาติใช้ได้
-
ตามด้วย
ข้าวกล่องหน้าหมูทอด+กิมจิ ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ใต้ห้าง lotte ราคา 7000วอน
อร่อยใช้ได้เลย โดยเฉพาะกินกับไชเท้าดอง สีเหลืองอร่ามขนาดใหญ่ ทั้งกรอบและหวานอมเค็ม (ถ้วยข้าวบังแฮะ)
-
เวลาไปเที่ยวที่ต่างประเทศ ผมมักจะไปเดินสำรวจร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์มาเก็ตเสมอ เพื่อดูว่าคนที่นั้นกินอะไร
ใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าได้เจอสินค้าแปลกๆก็ทำให้เราได้ทดลองกิน ทดลองใช้ไปด้วย
แต่ถ้าเป็นการไปเที่ยวกับกลุ่มใหญ่ๆ หรือทัวร์หละก็ หมดสิทธิ์!
-
สวนสนุก LOTTE WORLD นี้มีเครื่องเล่นพอสมควร มีตั้งแต่แบบอนุบาลเล่นกัน ยันเด็กมหาลัยยังกรีดแตก
บัตรค่าเข้าชมมีสองแบบ คือบัตรค่าเข้าชมอย่างเดียว กับบัตรpassport คือบัตรที่รวมทั้งค่าเข้าและค่าเครื่องเล่น
คือเล่นได้ทุกอย่างกี่รอบก็ได้ ซึ่งทั้งสองบัตรก็มีทั้งราคาเด็ก และผู้ใหญ่
-
แม่ ลูกสนุกกันใหญ่
-
วันที่มาเที่ยวสวนสนุกนี้เป็นวันศุกร์ ซึ่งเราคิดว่าคนจะไม่เยอะไม่ต้องต่อคิวเครื่องเล่นกันนาน
ก็เป็นไปตามคาด คนน้อยจริง แต่ปรากฏว่า เจอกลุ่มเด็กอนุบาลที่โรงเรียนพามาทัศนศึกษา สองกลุ่มใหญ่!!
กว่าคุณแม่ คุณลูกจะได้เล่นแต่ละเครื่อง ก็ต้องรอต่อคิวกันไป
-
ส่วนของเล่นของเด็กโตจะอยู่ในส่วนที่เป็น OUTDOOR ของสวนสนุก คือต้องเดินข้ามสะพานออกไปด้านนอกซึ่งถูกสร้างเป็นเหมือนเกาะกลางน้ำ
มีเครื่องเล่นหลายอย่าง เช่น ล่องแก่ง(สูงมาก) ไวกิ้ง และ gravity drop ที่เรียกเสียงกรีดได้อย่างต่อเนื่อง (ไม่ทันได้ถ่ายมาให้ดูครับ มัวแต่เข็นรถ)
-
สวนสนุกนี้จริงๆมีอะไรให้เล่นเยอะพอสมควร ผู้ใหญ่ก็สนุกได้ไม่แพ้เด็กๆ
ถ้าไปกันเอง(โนลูก) ผมก็คงเล่นมันทุกอย่าง อยู่ในนี้ไปทั้งวันแล้วครับ
-
เสร็จจากสวนสนุกเราก็มาเดินดูเมือง ดูรถกันหน่อย
เรานั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Jamsil กลับมาลงที่ Jongno 3-ga หรือสถานีจองโน3 ใกล้กับโรงแรมที่เราพัก
แล้วจึงเดินต่อมาที่ถนน Insadong-gil street (ถนนอินซาดง-กิล) ซึ่งเป็นย่านที่ขายของที่ระลึก ของแนวอาร์ตต่างๆ
โดยเป็นถนนเล็กๆเหมือนถนนคนเดิน รถยนต์ไม่พลุกพล่านและมีร้านค้าตลอดสองข้างทาง
ยามเย็นบรรยากาศที่นี่น่าเดินเล่นมากๆ อากาศเย็นสบาย+ค่อนข้างหนาว อุณหภูมิประมาณ 10องศา
-
ขออนุญาติแทรกยกมือถามนิดนึงครับ
ผมสนใจอยากเที่ยวเมืองนอกแบบ ไปเอง ดูครับ ที่ผ่านมาผมไปกับครอบครัวไปกับทัวหมด เกาหลีก็เคยไปแล้วยังจำความประทับใจได้แค่ เนื่อย่าง อร่อย 1 มื้่อ แค่นั้นจริงๆ!
ผมไปสมัยที่ เกาหลียังไม่มี K pop แต่มีแดจังกึมแล้ว
คำถามครับ
- อยากถามเรื่องการสื่อสารครับ Eng ยังใช้ได้ในกลุ่มใหญ่มั๊ยครับ
- ค่าใช้จ่ายเรื่องการ Book โรงแรม ระดับธรรมดาพอซุกหัวได้ไม่น่าเกียจ และค่าอาหาร ประมาณไหนครับ
- คนไทยในสายตาคนเกาหลีเป็น กระปุกหมูเดินได้มั๊ยครับ (เคยไปจีนแล้ว...... :'()
ขอบคุณที่เอาเรื่องเล่าและประสปการณ์มาฝากนะครับผมอ่านทุกคอมเมนท์เลย แต่ขอถามแทรกไว้ก่อน กลัว ชม. เน็ตหมดครับ
-
ตอนอยู่เมืองไทยก่อนเก็บกระเป๋า แฟนผมก็อ่านกระทู้เที่ยวเกาหลีในเน็ต ไปฟังคนเม้นท์-เมาส์ตามกระทู้ต่างๆ
ก็เห็นขาเที่ยวที่ดูเหมื่อนว่าเป็นเซียนเกาหลีท่านหนึ่งบอกว่า ที่เกาหลีฤดูนี้ ถ้าใส่โอเวอร์โค้ตไปละก้อ บ้านนอกหลงกรุงเลย!
คุณเธอเลยไม่เอาโค้ดzaraตัวเก่งไป ปรากฏว่าหนาวจับสั่น ใส่เสื่อกันสี่ชั้นเลย คนที่นี้ก็ยังใส่ jumper หรือโค้ตหนาๆกันทั้งนั้น
แฟนขอบ่นตัวเองที่ดันไปกลัวเชยเชื่อไอ้เจ้าแม่แฟชั่นในเน็ต!! สภาพตอนนี้คุณเธอและคุณลูกเลยออกมาเป็นแบบ mix and match
สีตีกันจนยุ่งดูไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าหนาวละว้า
ข้อคิด จัดกระเป๋าไปเที่ยวขอให้ดูพยากรณ์อากาศของที่ๆจะไป และความสามารถของการทนต่ออุณหภูมิของตนเองเป็นหลัก ไม่ต้องไปฟังใครแนะนำนะครับ
-
ขออนุญาติแทรกยกมือถามนิดนึงครับ
ผมสนใจอยากเที่ยวเมืองนอกแบบ ไปเอง ดูครับ ที่ผ่านมาผมไปกับครอบครัวไปกับทัวหมด เกาหลีก็เคยไปแล้วยังจำความประทับใจได้แค่ เนื่อย่าง อร่อย 1 มื้่อ แค่นั้นจริงๆ!
ผมไปสมัยที่ เกาหลียังไม่มี K pop แต่มีแดจังกึมแล้ว
คำถามครับ
- อยากถามเรื่องการสื่อสารครับ Eng ยังใช้ได้ในกลุ่มใหญ่มั๊ยครับ
- ค่าใช้จ่ายเรื่องการ Book โรงแรม ระดับธรรมดาพอซุกหัวได้ไม่น่าเกียจ และค่าอาหาร ประมาณไหนครับ
- คนไทยในสายตาคนเกาหลีเป็น กระปุกหมูเดินได้มั๊ยครับ (เคยไปจีนแล้ว...... :'()
ขอบคุณที่เอาเรื่องเล่าและประสปการณ์มาฝากนะครับผมอ่านทุกคอมเมนท์เลย แต่ขอถามแทรกไว้ก่อน กลัว ชม. เน็ตหมดครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
ผมเองเมื่อก่อนก็เป็นเหมือนคุณ Leilight คือไปเที่ยวที่ไร ไปกันทั้งบ้าน!! หรือไม่ก็ไปกับทัวร์
แต่ประเทศเดียวกัน เมืองเดียวกัน เที่ยวสนุกไม่เหมือนกันเลยครับ ระหว่างไปเอง กับไปเป็นกลุ่ม!!
ตอบก่อนนะครับ
- อยากถามเรื่องการสื่อสารครับ Eng ยังใช้ได้ในกลุ่มใหญ่มั๊ยครับ
ที่โซลนี่ภาษาอังกฤษพอใช้ได้เลยครับ คุยกันรู้เรื่อง ป้ายบอกทางพร้อม ดีกว่าโตเกียว และโอซาก้าที่ผมไปเมือหลายปีก่อนครับ แต่ยังไม่ลื่นเท่าสิงค์โปร์
- ค่าใช้จ่ายเรื่องการ Book โรงแรม ระดับธรรมดาพอซุกหัวได้ไม่น่าเกียจ และค่าอาหาร ประมาณไหนครับ
โรงแรม ประมาณ 1800-3500บาทต่อคืน ก็พอใช้ได้แล้วครับ ราคาจะแล้วแต่ทำเลและเกรด ซึ่งผมแนะนำว่าถ้าไปเที่ยวไม่กี่วัน
เอาสะดวกเดินทางดีที่สุดครับ (ใกล้รถไฟ+ที่กินที่เที่ยว)
ราคาอาหาร มื้อละ 8000-10000วอน (สองถึงสามร้อยกว่าบาท) ก็พอได้ครับ ถ้ากินเหลาก็คูณ2-3ครับผม
- คนไทยในสายตาคนเกาหลีเป็น กระปุกหมูเดินได้มั๊ยครับ (เคยไปจีนแล้ว...... :'()
ผมไม่เจอพวกประหลาดๆนะครับ ทริปนี้เจอแต่คนดีๆ ร้านค้า แม่ค้านิสัยดีครับ (เคยไปMelbourne เจอเหยียดผิวด้วย แต่สิบปีแล้วครับ)
อ้อ แต่ผมเจอลุงเกาหลีคนหนึ่งที่สถานีรถไฟ ในขณะที่ผมกำลังโชว์โง่ ติ๊กบัตรแล้วออกไม่ได้ ลุงแก้มาเปิดประตูให้ออก แล้วชวนเราคุยอยู่เกือบสิบนาที(ภาษาอังกฤษด้วยนะ)
ปรากฎ มารู้ตอนจบ แกอยากจะขอเงินเรา เพราะดูท่าแล้วน่าจะเป็น homeless มาขี้นรถไฟฟรี!!
:) :)
-
เราเปลี่ยนบรรยากาศมาดูรถกันดีกว่า
การดูรถในkorea tripครั้งนี้ ผมตั้งใจไว้ว่าจะถ่ายรูปแต่รถแปลกๆที่ไม่ค่อยพบเห็นได้ในบ้านเรามาให้ดูกัน
เพราะฉะนั้น อะไรที่บ้านเรามี อันนี้จะไม่ถ่ายไป เว้นแต่เจอรถเทพจริงๆค่อยว่ากัน
-
เริ่มเลย
เหยื่อของเราคันแรก teana J31 (เมืองไทยก็มี! ไหนบอกจะไม่ถ่าย ดันเอามาคันแรกเลย!!)
-
ไม่ใช่แล้ว! มันคือ SAMSUNG ไม่ใช่ Nissan!
SM7 by SAMSUNG MOTOR (SMI) หรือปัจจุบันเป็น Renault Samsung Motors (RSM)
แล้วทำไมหน้าตาเหมือน teana บ้านเราหละเนี่ย
ความมีอยู่ว่า มิสเตอร์ ลี นายใหญ่ samsung group อยากทำรถยนต์กะเขาบ้าง เพราะธุรกิจการผลิตรถยนต์นั้นถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่
รวมเอาหลายๆธุรกิจมากประกอบเขาด้วยกัน ซึ่งจะทำให้samsungนั้นสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและพันธมิตรหลากหลายกลุ่ม
ซึ่งจะยิ่งมายกระดับโปรดักส์ในเครือได้ในระยะยาว ไอเดียท่านบรรเจิดจริงๆ
แต่ชีวิตจริง นายใหญ่เริ่มโดยการจะไปเทค KIA ก่อนแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาจึงตั้งบริษัทขึ้นมาเสียเองโดยได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคจาก Nissan
และเป็นจุดเริ่มต้นให้ต่อมา Renault ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Nissan ตอนวิกฤตเศรษฐกิจ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในบริษัท แล้วเปลี่ยนเอาชื่อ Renault นำหน้าด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้จากที่นี้นะครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Renault_Samsung_Motors (http://en.wikipedia.org/wiki/Renault_Samsung_Motors)
-
ตามด้วย SM3 ซึ่งก็คือ Renault Me'gane3 ซึ่งใช้ Renault/Nissan C platform แต่เป็นเวอร์ชั่นซีดานนั้นเอง
-
ถัดมาก็เป็น รถเจ้าพ่อ Hyundai Equus
-
รถรุ่นนี้เป็น Flagship ของ Hyundai เป็นรถรุ่นสูงที่สุดของแบรนด์ที่ถูกกำหนดมาให้เทียบชั้นกับ
Mercedes-Benz S-Class และ BMW 7 Series ในตลาดเกาหลีกันเลยทีเดียว layout ขับเคลื่อนล้อหลัง ติดตั้งขุมพลัง 3.8 และ4.6ลิตร
เวอร์ชั่นลิมูซีนก็มีกันให้เห็นครับ
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/3d/20100801_hyundai_equus_limousine_1.jpg)
ขออนุญาตแนบรูปจาก wikipedia
-
จอดข้าง S-Klass w221
equus ก็ทำให้ผู้มาเยือนจากแดนเยอรมันก็ดูหมองเล็กน้อย (สีรถนะครับ แต่เฮ้ย! คันนี้มัน V12เลยนะเฟ้ย)
-
ต่อมาเป็นคิวของ KIA Motor กันบ้าง
KIA K5 หรือชื่อเก่า Optima พบเห็นได้บ่อยที่สุดในบรรดาKIAในเมืองโซล คู่แข่ง Sonataครับ
-
รุ่นนี้มีนวัตกรรมของkiaยุคใหม่ คือ ติดตั้ง Kia UVO หรือ in-car infotainment ที่พัฒนาโดยไมโครซอฟท์ คล้ายๆ Ford Sync
และมีรุ่น Hybrid ออกมาในปี 2011 โดยใช้ขุมพลังเดียวกับ Sonata Hybrid (ก็เจ้าของเดียวกันนีหน่า)
และรุ่นนี้ก็เป็นยอดนิยมของแท็กซี่ เหมือน sonata เช่นกัน
-
หันไปดูนาฬิกาอีกที ตกกะใจ :o
เดี๋ยวไว้ผมมาต่อ DAYONE ภาค2 นะครับ
ขณะนี้ขอ ราตรีสวัสดิ์ ครับ
-
ขอบคุณครับ ผมเคยไปตอนมีนาคมปีที่แล้วเหมือนกัน ตอนนั้นผมไปกับทัวร์นะ เหมาไปกับญาติๆ เพราะถ้าไปเองอยากหัดไปประเทศที่เค้าใช้ภาษาอังกฤษ
ถ้าเริ่มเชี่ยวแล้วค่อยลองประเทศอื่นๆที่เค้าไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เลยได้เหมาทัวร์ไปแต่ก็สนุกดี กิน ช้อป ถ่ายรูป แค่นั้นเลย
ข้อเสียคือเวลานอนน้อยไปหน่อย ตื่น 6 โมงเช้า เข้าที่พัก3-4ทุ่มทุกวัน ละก็โดนบังคับไปดูร้านค้าเยอะไปนิด ตามกฎการท่องเที่ยวมั้ง
แต่รวมๆก็อยากไปอีก อากาศเดือน มีค. หนาวสะใจมากๆ
ละก็ผมได้ถ่ายรูปรถมา สะดุดกับคันนี้ครับ ;D
-
แวะมาบอกว่า ต่อนะครับ มันส์ดีๆๆๆ อ่านอยู่ๆๆ
-
แวะมาบอกว่า ต่อนะครับ มันส์ดีๆๆๆ อ่านอยู่ๆๆ
แหมๆๆ พ่อบ้านติดตามเสียด้วย(ตีสองยังอ่านอยู่อีก!! ผมคอพับไปนานแล้ว!)
ก็ต้องต่อแน่นอนอยู่แล้วครับ
ขอบคุณที่เป็นกำลังใจครับผม
เดี๋ยวคืนนี้มาต่อกัน ตอนนี้ขอทำงานก่อน เดี๋ยวbossดุ
:)
-
ไปมาเมื่อ2ปีก่อน เท่าที่ได้รู้แล้วสัมผัสกับที่นั้นจะรู้ได้เลยว่าคนที่นั้นรักชาติมากและไม่ค่อยชอบประเทศญี่ปุ่นสักเท่าไร เพราะญี่ปุ่นเคยมาบุกยึดเป็นอาณานิคม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันไปไม่ไช่น้อย (อันนี้ไกด์ที่นั้นเล่าให้ฟัง) เรื่องรถเท่าที่เห็นรถที่เป็นแบรนด์ญี่ปุ่นแท้ๆแทบจะไม่เห็นเลยครับ เห็นโตโยต้าอยู่คันเดียวเป็นคัมรี่ acv30 (ประเทศไทยเจอทุกวันเพราะอยู่ในบ้านก็มีคันนึง 555) ฮอนด้า2-3คันเป็นรุ่นที่ไม่มีขายในไทย แต่ถ้าเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นกลายพันธุ์เช่น เลกซัส,อินฟินิตี้ อันนี้เห็นพอสมควรน่ะครับ แต่ก็ยังถือว่าน้อยถ้าเทียบกับแบรนด์ยุโรปที่นั้น แต่แปลกก็ตรงที่ไม่ชอบญี่ปุ่น แต่ทำไมเอารถญี่ปุ่นมาทำเป็นแบรนด์ของตัวเองซะเลย ที่เห็นเยอะๆเลยก็ซัมซุงที่เอานิสสันเทียน่ากับซันนีนีโอมาทำเป็นรถของตัวเองซะงั้น ฮุนไดเก่าๆหน่อยก็มีรถบรรทุกที่ดูยังไงๆก็เป็นมิตซูแคนเตอร์,ฟูโซ่ที่เอามาเปลี่ยนแค่โลโก้เท่านั้นเอง ส่วนของอย่างอื่นที่เกาหลีไม่โดดเด่น,ไม่ถนัดทำเช่นกล้องถ่ายรูปนี้ เหมือนเขาจะยอมรับและใช้แบรนด์ญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ซัมซุงจะทำกล้องก็พอได้แค่กล้องคอมแพค ถ้าเป็นdslrหละก็หนีไม่พ้นแคนอน,นิคอนเหมือนบ้านเรานี่แหละครับ
-
มาต่อตอนที่ค้างจากเมื่อวันก่อนกันเลยนะครับผม ขออภัยที่ให้รอ :)
เรายังอยู่ในถนนศิลปะย่านอินซาดงกันนะครับ
ตอนนี้ต้องขอหยุดชมรถมาชมเมืองกันบ้าง
เพราะแฟนเริ่มบ่นและ มาเที่ยวแทนที่จะถ่ายรูปคน ดันไปถ่ายรถสะงั้น
(เออ แล้วเราหยุดถ่ายรถแต่ดันไปถ่ายแต่บ้าน คุณเธอยิ่งงอนไปใหญ่)
บริเวณแถวนี้มีอาคาร และหน้าร้านที่ออกแบบตกแต่งได้สวยแปลกตา แต่ละร้านก็พยายามสร้างเอกลักษณ์ให้กับตนเองเพื่อให้ผู้ที่ผ่านไปมาจดจำได้
-
ร้านเสื้อผ้าที่สร้างจัดหวะของช่องเปิด และtextureของผิวอาคารได้อย่างน่าสนใจ
-
"ความขัดแย้ง แต่ก็อยู่รวมกันได้" ร้านค้า3ร้านนี้ ขายของต่างกัน ก็พยายามที่จะสร้างคาแลคเตอร์ของร้านตนเอง
แม้ว่าจะอยู่ใต้ชายคาของอาคารเก่าขนาดเล็กหลังเดียวกัน
-
ร้านนี้ขายพัด หลากลวดลายงดงามทีเดียว สังเกตด้านล่าง มีของที่ระลึกขนาดจิ๋วด้วยนะ
-
ร้านขายเครื่องเขียน มีพู่กันมากมายหลายแบบ หลายขนาดให้เลือกสรร- มีบางร้านพู่กันเยอะกว่านี้2เท่า!
และมีอยู่หลายร้านที่เดียว
ทำให้ผมแอบคิดได้ว่า คนที่นี่ ทำอะไร ก็ทำจริง ทำมันให้ดีไปเลย แม้ขายแค่เครื่องเขียน ก็จะทำให้สุด!
-
ร้าน Starbucks Coffee ใน อินซาดง
สมกับเป็นร้านในย่านศิลปะ
แม้จะเป็น แบรนด์inter แต่ก็แต่งหน้าทาปาก สวมชุดฮันบก ก็ดูเป็นชาวเกาหลีได้เหมือนกันนะ
-
:)
-
;)
-
เนื่องจากบริเวณนี้เป็นย่านการค้าที่สำคัญแหล่งหนึ่งในโซล จึงเชื่อได้ว่าราคาที่ดินหรือค่าเช่าที่ก็คงต้องแพง
ดังนั้นอาคารพาณิชย์แต่ละหลังที่เราพบเห็น ส่วนใหญ่ก็สร้างกันเต็มพื้นที่ โดยเป็นอาคารรูปแบบกล่อง3ชั้น 5ชั้นบ้างเหมือนๆตึกแถวทั่วไป
ซึ่งมีโครงสร้างเป็นเสาและคานแบบกล่องสี่เหลี่ยมเพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยในอาคารมากที่สุดและประหยัดค่าก่อสร้าง
ดังนั้นการที่จะออกแบบอาคารที่มีโครงสร้างเหมือนๆกันให้ดูแตกต่างกันมากๆและโดยที่ยังคงให้มีพื้นที่ใช้สอยอย่างเต็นที่นั้น
ก็จึงต้องออกแบบ skin หรือเปลือกมาห่อหุ้มอาคารใหม่ เพื่อกลบภาพลักษณ์ความเป็นตึกแถวสี่ห้าชั้นทรงเหลี่ยมๆ ให้หายไป
และพยายามทำลายภาพการแบ่งอาคารที่เป็นชั้นๆให้หายไป แล้วกลายสภาพเป็นกล่องที่มีผิว และจังหวะของเส้นสายที่ดูแปลกตาน่าสนใจแทน
-
;D
-
เสาไฟ และป้ายบอกทางในอินซาดงครับ :)
-
และแล้วเราก็มาถึง ตึก Ssamzie-gil (ตึกซัมจี-กิล) ไฮไลท์ของย่านนี้
หลังจากที่ผมพาไปอ้อม ออกทะเลเสียนาน :D
-
ภายในตึกซัมจี-กิลนี้มีทั้งแกลลอรี่แสดงงานศิลปะ ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านค้า เครื่องเขียน และสินค้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความกุ๊กกิ๊กน่ารัก มีดีไซน์
ในวันที่ไปนี้เป็นวันศุกร์ ยามเย็นบรรยากาศก็คึกคักที่เดียวครับ
เข้าไปข้างในกันเลยดีกว่า
-
ที่เห็นน้องสองคน กอดคอกันหน้าบันไดนั้น คือโพสท่าถ่ายรูป ส่งเมล์กันนะครับ :)
-
อาคารซัมจี-กิล นี้ออกแบบไว้เก๋ไก๋มาก หลังจากเดินขึ้นบันไดชุดนี้ไปแล้ว การเดินจากชั้น2ไปถึงชั้นสี่
ไม่ต้องใช้บันไดอีกเลย เพราะตัวอาคารถูกออกแบบให้เดินลาดเอียงไล่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ วนขี้นไปที่ละชั้นโดยไม่ต้องใช้บันได
-
ผมคิดว่าน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานของ Frank Lloyd Wright "Guggenheim Museum" ที่ New York
(http://media.guggenheim.org/content/New_York/about_us/about_us_frank_lloyd_wright.jpg)
(http://www.architecture-student.com/wp-content/uploads/2009/12/FrankLloydWright-GuggenheimMuseum1.jpg)
ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ออกแบบคล้ายก้นหอย ผู้เข้าชมนั้นใช้การเดินวนขึ้นไปเรื่อยจากชั้นล่างสู่ชั้นบนโดยมีการจัดแสดงให้ชมตลอดทาง
เป็นผลงานการออกแบบอาคารพิพิธภัณฑ์ที่ผสมฟังก์ชั่นได้อย่างแยบยล
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.guggenheim.org/new-york/about/frank-lloyd-wright-building (http://www.guggenheim.org/new-york/about/frank-lloyd-wright-building)
ที่บ้านเราก็มีอาคารพิพิธภัณฑ์คล้ายกันแบบที่นี้ที่ "หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร"
แยกปทุมวัน ตรงข้ามห้างมาบุญครอง และสยามดิสคัฟเวอรี่
http://www.bacc.or.th/ (http://www.bacc.or.th/)
ขอบคุณรูปจากเว็ปดังกล่าว และ www.architecture-student.com (http://www.architecture-student.com) ครับ
-
ว่าแล้วก็ขอพูดถึงการมาเที่ยวกับรถเข็นลูกหน่อยเถอะ
จริงๆแล้วถนนหนทาง และฟุตบาทที่โซลนี้ดีมากนะครับ ไม่แพ้โตเกียว
รถเข็นเด็ก กระเป๋าลากไปได้ทุกที่ครับ ยกเว้น!
รถไฟฟ้าใต้ดิน!
สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่นี้ลึกมาก(ก็เหมือนบ้านเราแหละครับ) ลึกเท่ากับตึก3ชั้นสูงๆเป็นมาตราฐาน
บางสถานีเป็นจุดตัดของรถไฟสองหรือสามสาย เช่นสถานนีที่ๆติดกับโรงแรมผมอยู่ เรียกว่าสถานี Jongno GA3 มี3สายมาตัดกัน
แต่ละชานชลาก็ถัดกันไปทีละชั้น รวมกันก็เป็น5ชั้นพอดี
ที่สถานีใหญ่ๆก็มักจะมีลิฟท์ แต่ก็ไม่ใช่หาได้ง่ายๆหรืออยู่ใกล้นะครับ ทั้งสถานีมีตัวเดียว และบางที่ต้องเดินอ้อมเป็นกิโล กว่าจะได้ขึ้นลิฟท์
ส่วนสถานีเล็กๆ ไม่ต้องหาครับ!
บันไดเลื่อนส่วนใหญ่ก็ใช่ไม่ได้นะครับ เพราะเขาจะมีป้ายติดไว้ข้างตีนราวบันไดว่าไม่ให้รถเข็นเด็กขึ้น เท่านั้นไม่พอ
มีแท่นสเตนเลสขวางบันไดทางขึ้นไว้ด้วย! ซึ่งก็ถูกต้องแล้วครับ เพื่อความปลอดภัย เพราะบันไดเลื่อนตามสถานีรถไฟฟ้าเช่นนี้
มีผู้โดยสารเยอะมาก ถ้าใครเกิดอุตริเข็นรถขึ้นไปแล้วประคองตัวเองหรือรถเข็นไม่อยู่ ตกบันได ก็ได้เกิดโศกนาตกรรมหมู่แน่นอน
ส่วนลิฟท์ที่สถานีรถไฟฟ้านั้นปิดช้าาาาาา........... เรียกได้ว่าช้าาาามากกครับ
เข้าใจว่าลิฟท์เขามีวัตถุประสงค์หลักคือเอาไว้ให้คนชราหรือคนนั่งรถเข็นรถลากเอาไว้ใช้บริการ เขาจึงออกแบบให้ประตูลิฟท์ปิดช้ามากกกกๆ
ช้าขนาดไหน ผมกดปุ่มปิดไปแล้ว ยืนนิ่งๆก็แล้ว หายใจยาวๆก็แล้ว หันไปมองแฟนก็แล้ว บ่นแล้ว รวมเกือบครึ่งนาที กว่าประตูมันจะยอมปิด!
นี้ถ้าเป็น Ripley ตอนกดลิฟท์หนีเอเลี่ยนในภาคสอง สงสัยถูกกินเกลี้ยงลิฟท์
ขอภาพของ Sigourney Weaver ที่ไม่ค่อยได้เห็นกันหน่อยจาก alien ภาค1 ปี1979
(http://billcainonline.com/wp-content/uploads/2010/10/ellen-ripley-aliens-2.jpg)
หลายๆคนอาจไม่คุ้น แต่คอหนัง SI-FI รู้จักเธอกันแน่นอนจาก alien และ Ghostbusters เรื่องหลังๆก็มี
the villege ของ เอ็ม ไนท์ ,avatar
และ ภาคเสียงใน Wall-E ด้วยนะ ภาคเป็นใครไปหาฟังเองครับ
และเธอมาในตอนจบแบบหักมุมแป๊ก ในเรื่อง the cabin in the woods >:(
ขอบคุณภาพหาชมยากจาก billcainonline.com ครับ
-
แล้วไว้มาต่ออีกทีนะครับ ต้องไปทำงานแว้ว.. ;)
-
อ้าว งานเข้าแล้ว! passportเหลืออายุแค่2เดือน แล้วเดี๋ยวนี้กรมศุลท่านไม่ยอมให้ต่ออายุแล้วด้วย
ต้องทำใหม่ จ่ายสิบร้อยสถานเดียว มีวีซ่าอะไรค้างไว้ ก็ไปเริ่มใหม่กันหมด
ไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมเคยได้วีซ่าอเมริกา10ปี ต่อเล่มแล้วต่อเล่มอีก หนาเตอะ รูปหน้าพาสปอตเด็กอายุ10กว่าขวบใช้กันจนโตเลยครับ
ถ้า passport เล่มเก่ามี visa ที่ยังไม่หมดอายุ สามารถให้กงสุลรับรองใน passport เล่มใหม่
เพื่อใช้ visa ในเล่มเก่าได้ โดยใช้คู่กันทั้งสองเล่ม
-
ขอบคุณมากครับรออ่านต่อ ;D ;D ;D
อยากไปเกาหลีเหมือนกันมีแผนจะไปแล้วแต่มีเจ้าตัวเล็กซะก่อนกำหนดคลอดช่วงที่จะไปพอดีเลยแป๊กซะก่อน
-
ชอบมากเลยครับ มารอติดตามอ่านต่อ ;D
-
ขอบคุณมากครับรออ่านต่อ ;D ;D ;D
อยากไปเกาหลีเหมือนกันมีแผนจะไปแล้วแต่มีเจ้าตัวเล็กซะก่อนกำหนดคลอดช่วงที่จะไปพอดีเลยแป๊กซะก่อน
ยินดีด้วยครับคุณพ่อ น้องกี่ขวบแล้วครับผม
ปี่ก่อนผมไปฮองกง คนโตอุ้มไป คนเล็กอยู่ในท้อง(1เดือน)
ปีนี้ตอนที่ผมไปโซลนั้น ก็พาไปแต่คนโต คนเล็ก5เดือน อยู่บ้านกับอากง อาม่าครับ
;D
-
ชอบมากเลยครับ มารอติดตามอ่านต่อ ;D
ขอบคุณที่ติดตามครับ กลับมาต่อแล้วครับผม ;)
-
กลับมาดูซัมจี-กิลกันต่อครับ
-
ในตึกนี้มีร้านรวงมากมาย สินค้าส่วนใหญ่ก็ต้องมีดีไซน์ และร้านต่างๆก็ตกแต่งกันสวยงาม
เรียกว่า ของไม่เก๋ ไม่แนว ไม่โดน อยู่ไม่ได้นะครับ
-
แม้แต่ลายละเอียดเล็กๆ เช่นฝาปิดรางระบายน้ำ ก็ยังอุตส่าห์ตั้งใจออกแบบ ระบายสีลงไป
-
บันไดลงชั้นใต้ดิน บันไดขึ้นชั้นบน หรือตามทางเดินต่างๆ จะมีกราฟฟิกอาร์ตให้พิสมัยตลอดทาง
-
ผนังด้านไหน เสาต้นใดมีที่ว่าง ก็จะถูกจัดด้วย เมจิกเพนท์ เป็นการตกแต่งด้วยกราฟิตี้เข้าไป อาร์ตกันไปทั้งตึก
-
ในโครงการนี้ มีร้านขนมอุนจิ ทำจากแป้งอบใส่ถั่วแดง เหมือนขนมปลานั้นแหละครับ แต่เขาทำเป็นรูปอุนจิให้มีเอกลักษณ์
ไหนๆมาแล้ว ก็ขอโดนสักหน่อยแล้วกัน
รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ แต่โปรดระวัง!
มันร้อนมาก!!! ลิ้นพองเลยครับผม
-
ออกจากตึก ซัมจี-กิล
ขากลับนั้นผมเดินผ่านร้านขายขนมแป้งทอด ที่ขามาเราเดินผ่านมาเฉยๆ เพราะเห็นคนต่อคิวกันยาวมาก
ปรากฏว่า ขากลับคิวยังยาวเท่าเดิม
แค่เห็นคนต่อแถวก็อยากแล้วครับ ฝรั่งหัวทองยังไปต่อคิวซื้อแป้งทอดกับเขาเลย แปลว่าต้องมีดี!!
ว่าแล้วผมก็ไปต่อแถวกับเขาด้วย โดนมาหนึ่งชิ้น 1000วอน
เป็นแป้งทอดฉุ่มน้ำมัน ทีเด็ดอยู่ที่ใส้ เป็นถั่วเหลืองบดผสมน้ำตาล
แต่ด้วยความร้อนที่ทอด ทำให้ใส้น้ำตาลนั้นเยิ้มจนขนมช็อกโกแลตใส้คาราเมลยังอาย
ร้อนๆ อร่อยๆ ถูกใจคนชอบความหวานแหลมครับ
-
เรากำลังมุ่งหน้าไปคลองชองเกชอน ระหว่างทางเดินผ่านสวน TAPGOL PARK
เป็นสวนสาธารณะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวัดของพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15
ซุ้มประตูนั้นถูกบำรุงรักษา และอนุรักษ์ไว้ได้เป็นอย่างดี
-
เดินมาอีกหน่อยก็เจอคอฟฟี่ช๊อปร้านนี้ ที่ตั้งอยูบนชั้นสองของตึกแถว เปิดหน้าต่างรับวิว รับลมได้อย่างน่านั่ง
-
ถัดไปทางขวาก็มี...
ซุ้มไม้โบราณนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่แตกต่างอย่างมากจากสภาพแวคล้อมข้างเคียงที่เป็นตึกแถวสมัยใหม่กันหมด
แต่มันก็ตั้งอยู่อย่างน่าสนใจ และไม่แปลกแยกนะ
สังเกตกระเบื้องหลังคานั้น คล้ายๆเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ? ;)
-
:)
-
หิวแล้วก็ต้องเติมพลังยามเย็น (เมื่อกี้เราก็กินขนมมาตลอดทางนิหน่า ทำไมหิวเร็วอย่างนี้!)
เขาว่ามาเกาหลีต้องชิมอาหารซุ้มหรือ อาหารรถเข็น ซึ่งมีขายอยู่ทั่วไปตามท้องถนน จะทุกมุมเลยก็ว่าได้
และอาหารก็จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ขนมแป้งใส่ถั่วแดง โดนัททอด แป้งทอดกับไข่
แป้งเหนียวต้มกับซอส บาร์บีคิว ไส้กรอกทอด ฯลฯ โอ๊ยเยอะจนเลือกไม่ถูก
-
รูปร้านสามรูปนี้ ผมถ่ายตอนขากลับเวลากว่าสามทุ่มครึ่งแล้ว ร้านเหล่านี้เปิดขายกันตั้งแต่เย็นๆ
พอค่ำร้านไหนขายดีก็จะปิดไปก่อน ส่วนบางร้านท่าทางก็จะเปิดกันถึงโต้รุ่ง
อากาศช่วงนี้ ทั้งหนาว ทั้งฝนปอยๆ (เรียกว่า บรรยากาศ เศร้า เหงา รัก ก็น่าจะได้นะ)
แต่ละร้านจึงต้องมีคลุมโปง อย่างที่เห็น
-
ว่าแล้วก็ขอโดน บาร์บีคิว และไก่ทอดแบบนักเก็ตกันหน่อย สนนราคา2000+3000วอน ตามลำดับ
บาร์บีคิวนั้น ซอสเผ็ดไม่แพ้ซอสพริกศรีราชาบ้านเรา ปิ้งมาร้อนๆรสจัดจ้าน จึงหมดด้วยเวลาอันสั่นมากๆ
ส่วนไก่ทอดนั้นใช่ย่อยเช่นกัน กรอบนอกนุ่มใน ขนาดพอดีคำ ราดด้วยซอสไก่ทอดรสชาติเปรี้ยวอมหวาน
หมดอีกอย่างรวดเร็ว
อร่อยขนาดไหน บอกได้แต่ว่า คืนที่เดียวกันนี้ แฟนติดใจ เลยเดินลงจากโรงแรมไปซื้อตาลุงที่ขายบาร์บีคิวและไก่ทอดมากินกันอีกรอบ
แม้ว่าเมื่อมื้อค่ำเราที่ผ่านมาเราได้เขมือบหมูย่างและสันคอหมูเกาหลีไปสองชุดแล้วก็ตาม!!
และคืนที่สอง เราก็ยังแวะจะผ่านมากินไก่ทอดนักเก็ตอีก ปรากฎว่าลุงแกขายดี ปิดร้านไปก่อนใครเพื่อน!!
-
การมาเที่ยวต่างเมืองแบบนี้ ไอ้ผมก็มักจะถือคติว่ามาแล้วทั้งที ต้องกินไม่ซ้ำ ลองชิมมันหลายๆอย่าง
ว่าแล้วเราก็จึงเดินไปโดนขนมปังทอดไข่ กลิ่นหอมน่ากิน ไปหนึ่งชิ้น ให้เจ้าตัวเล็กกิน + เราก็ชิมไปด้วย
ปรากฏว่าอร่อยไม่ธรรมดา แป้งนุ่มหวาน ไข่ที่ทอดพร้อมกับแป้งสุกกำลังดีแบบไข่ต้มยางมะตูม
จึงต้องเดินกลับไปซื้ออีกหนึ่ง!
สรุปว่าเย็นวันนั้นกินแต่ของทานเล่นกันทั้งบ้าน!!
-
เติมพลังกันเสร็จแล้ว ก็เที่ยวต่อ..
ยามเย็นพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า :)
-
หนังสือนำเที่ยวเกาหลี บอกว่าคลองชองเกชอน (Cheong gye cheon) น่าเดินเล่นชมบรรยากาศยามค่ำคืนมาก
ส่วนจุดหมายของเรา คือย่านช็อปปิ้ง Dongdaemun แหล่งแฟชั่นเสื้อผ้าชื่อดังของเกาหลี
ซึ่งจากแถวที่เราอยู่คือ Jongno tower แล้วดูเหมือนว่าเราจะเดินตามคลองต่อกันเนื่องกันไปถึงได้ ไม่ไกลนัก
อีกทั้งยังมีร้านรวง ห้างขายเสื้อผ้าตามระหว่างทางให้เดินช็อปด้วย (ขอย้ำว่า จากหนังสือ ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้)
ตามรูปในหนังสือเป็นแบบนี้
(ภาพจาก freestylekorea.com)
-
วันที่ไปเดิน เจอแบบนี้
เหงาหงอยเชียว!
สงสัยต้องหัวค่ำอีกหน่อย พอเปิดไฟแล้วคงคึกคักน่าเดินขึ้นหละนะ ไอ้เราก็ตั้งความหวังกันไป
-
เดินสภาพแบบนี้เหมือน BACKPACKER กันไป3พ่อแม่ลูก เป็นชั่วโมง ก็ไม่ถึงเสียที ภายหลังจึงรู้ว่ามันไกลกันเกือบ4กิโล!
-
เปิดไฟแล้ว แต่ก็ดูหงอยๆเช่นเดิม ไม่ได้มีอะไรพิเศษอย่างที่หนังสือมันบิวท์เลย
เอ... หนังสือมันปี55 หรือว่าเรามาช้าไปปีหนึ่ง ไอ้คลองนี้มันเลยเสื่อมความขลังมั้ง (คิดไปนู้น ;D)
-
ส่วนไอ้ห้างขายเสื้อผ้าสองข้างทางที่เราตั้งใจจะมาเดินซื้อของกัน ตามที่หนังสือบอกว่าย่านนี้ปิดสี่ทุ่ม
บางร้านเปิดโต้รุ่งกันเลย ทำไมมันปิดไฟปิดประตูกันเงียบเชียวยังไม่สองทุ่ม
ยิ่งเดินยิ่งเซ็ง+หนาวอีกต่างหาก ฝนก็ดูท่าจะตกแล้ว!
และไอ้ที่ดูเหมือนเดินต่อเนื่องกันได้ ไม่ไกลมากจากบนแผนที่ เอาเข้าจริง เดินเป็นชั่วโมงจนมืดแล้ว ยังไม่ถึงที่หมายเสียที
ประกอบกับไอ้คลองที่ตั้งใจมาดู และห้างร้านสองข้างทาง ที่จะมาช็อป สภาพเป็นดังที่เห็น ก็ยิ่งทำให้การเดินครั้งนี้ เป็นที่น่าเซ็งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับหนังสือทัวร์นี่ก็เป็นประสบการณ์อีกเช่นกัน ขอบอกว่าอย่าไปพึ่งหนังสือมันมาก เราต้องช่วยตัวเองด้วย
คือ ไม่ใช่ว่าข้อมูลในหนังสือนั้นจะถูกต้อง บอกละเอียดทุกอย่าง แผนที่หรือทิศทางที่หนังสือบอก เราต้องใช่เซ้นท์ด้วย
หลายต่อหลายจุดหนังสือก็ไม่ได้บอกละเอียด ตอนนั่งอ่านที่บ้าน เราก็คิดว่าง่าย หรือเดินใกล้ๆก็ถึง เอาเข้าจริงไกลเป็นโล!
แถมหาไม่ใช่จะเจอง่ายๆเหมือนจุดบนแผนที่ เราก็ต้องพยายามดูหลายๆอย่างประกอบกันเวลาไปสถานที่จริงๆ
และพยายามถามเข้าไว้ครับ อย่าไปอาย!
-
ระหว่างทางที่เรากำลังเดินไปอย่างเซ็งจิต หนาวก็หนาว... และแล้วก็เจอนี่
Hyundai Genesis coupe ใส่แม็กซ์ Volk racing สีดำขอบแดง
จอดหนาวอยู่ริมถนนที่มีขยะกระจัดกระจายบนบาทวิถี อย่างหงอยๆ ดูไม่มีราศีเท่าไร
Genesis ทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็น coupe หรือ sedan ล้วนแต่ขับหลัง เครื่องแรงอย่างน้อยสองร้อยม้าขึ้นไปทั้งสิ้น
-
และแล้วในที่สุด
เราเดินหนาวต่อไปจนถึงจุดหมาย ย่านDongdaemun ในที่สุด
ข้อสรุปคือ คลองชองเกชอนยาวรวม6กิโลเมตร จุดน่าสนใจอยู่ที่บริเวณ Cheonggye Plaza อยู่ด้านตะวันตกซึ่งเป็นต้นทางของคลอง
มีน้ำพุ และเขื่อนน้ำตก ห้างร้าน ซึ่งบริเวณนั้นเรียกว่าชองเกพลาซ่า (เราไม่ได้ไปครับ เพราะเริ่มต้นเดินจากกลางๆไปทางท้ายคลอง หนังสือไม่ผิด!!)
;D ;D ;D
-
แล้วไว้มาต่อ วันหน้านะครับ
ราตรีสวัสดิ์
:)
-
รอชมต่อนะครับ
ไปทัวร์กะบริษัทฯ มาถือว่าสนุกดีครับ
-
นึกถึงตอนที่ตัวเอง ไปทัวร์กับ Hyundai
ทำไมไม่ยักเจออะไรน่าดูแบบนี้บ้างเลยนะ.....
-
ขอบคุณคร้าบบบ รอชมอย่างใจจดใจจ่อครับ
-
รอชมต่อนะครับ
ไปทัวร์กะบริษัทฯ มาถือว่าสนุกดีครับ
ขอบคุณที่รอชมครับผม
เอ...
ดูจากชื่อ จำนวนดาว และจำนวนกระทู้
คุณ MYPOP ครับ
เราเป็นพี่น้องกันหรือปล่าวครับ ;D
-
นึกถึงตอนที่ตัวเอง ไปทัวร์กับ Hyundai
ทำไมไม่ยักเจออะไรน่าดูแบบนี้บ้างเลยนะ.....
ก็ผมไปแบบแบกเป้
แต่เฮียไปแบบ VIP
มันจะเจอแบบเดียวกัน เดี๋ยวผู้จัดเขาก็ถูกบ่นว่า แกะ (cheap) นะสิครับ!!
:D
PS: ระหว่างเขียนไป ผมก็อ่าน First Imp CX5 ไปด้วย... เยี่ยมไปเลย ขอบคุณครับ
-
ขอบคุณคร้าบบบ รอชมอย่างใจจดใจจ่อครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ :)
มาต่อกันเลยดีกว่านะครับ ผมไปเที่ยว4วัน นี่เขียนถึงตอนนี้ยังไม่จบวันแรกเสียที!! :D
-
ตลาดทงแดมุน
ที่เรียกว่าเป็นตลาดเพราะบริเวณนี้เป็นแหล่งขายเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น รองเท้า กระเป๋า ซื้อมีทั้งร้านค้าริมถนนมากมาย
และตึกที่เป็นห้างใหญ่ ขายแต่สินค้าแฟชั่นอีกหลายตึกเลยที่เดียว
ตีก doota ในภาพ ข้างในเป็นห้างสรรพสินค้า 9ชั้น ตกแต่งภายในอย่างสวยงาม
เน้นขายของแฟชั่น มีดีไซน์ และเป็นแบรนด์ local คือเปิดโอกาสให้ young brand มาแสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่
แต่ละร้านที่มาขายที่นี่ สินค้าก็มีคุณภาพดี และมีดีไซน์ที่ไม่ซ้ำ หลายๆร้านก็มีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น
สินค้าที่นี้ไม่ได้เน้นถูกแบบ Platinum บ้านเรานะครับ เขาเน้นการออกแบบมากกว่า
ตรงข้ามกันเป็นห้างชื่อ maxiyle ภายนอกสวยงามเช่นกัน แต่ร้านค้าและเสื่อผ้าข้างใน ประตูน้ำดีๆนี่เอง
PS: แฟนบอก ยังต้องขอใส่หน้ากากอยู่นะครับ ยังกลัวว่าจะเจอโจทย์ที่เกาหลีเก่าอยู่
-
กระเป๋าแดงๆที่เห็น ผบ. ถือในภาพนั้น กระเป๋าเงินนะครับ ผมถูกสั่งห้ามแตะ จนกว่าจะถึงวันที่4!!
ความจริงก็คือว่า
เพราะว่าเขาสงสารที่ผมต้องแบกทั้งเป้ แบกทั้งรถเข็นลูก! ส่วนกระเป๋าแดงนั้น ก็ยังหนักอยู่ เดี๋ยววันที่4 มันเบาแล้วผมค่อยช่วยเขาหิ้วต่อครับ
เขาเป็นห่วงผมจริงๆ 8)
-
หลังจากการเดินทางและวินโดว์ช็อปปิ้งอย่างเมามัน
เราก็เหน็ดเหนื่อยกันเต็มที่ และพร้อมสำหรับมื้อค่ำ
วันนี้ขอลอง "คาลบิ" หรือ ปิ้งย่างสไตล์เกาหลีกันหน่อย
ซึ่งร้านอาหารสไตล์ปิ้งย่างเกาหลีนั้น หาได้ทั่วไปดังเช่น ร้านรถเข็น
ตรงข้ามโรงแรมที่เราพัก ก็ยังมีตั้ง3-4ร้าน
ส่วนเหตุผลที่เลือกร้านนี้ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ร้านเขากว้าง และสว่างดี มีสองคูหา ส่วนอีก3ร้านสภาพตรงกันข้าม
-
ชุดปิ้งย่างที่นี้ขายกันเป็นเซ็ต แต่ต้องสั่ง2เซ็ตขึ้นไปเขาจึงจะเปิดเตาให้
เราก็เลย จัด คอหมู และ สามชั้น มาอย่างละเซ็ต
เซ็ตละ 6000วอน ราคาย่อมเยามากๆ
ร้านนี้บริการเราดีมากๆเลย พี่คนที่มาเสริฟ นอกจากจะจัดการเรียงหมูและผักให้เราบนเตาแล้ว
พี่เขายังแวะเวียนกลับมาที่โต๊ะ คอยกลับเนื้อหมูไปมาไม่ให้ไหม้
แล้วเมื่อสุกแล้ว แก่ก็ยังกลับมาจัดการหั่นหมู เป็นชิ้นเล็กๆพอดีให้เรากินอีกต่างหาก
นี้ถ้าผมอ้าปาก พี่เขาคงป้อนให้ แถมเอามือจับคาง ขยับปากผมเคี้ยวไปมา ให้ผมเอร็ดอร่อยแบบไม่ต้องออกแรงแน่นอน :D
ว่าแต่ผมหันไปดูโต๊ะข้างๆ เขาก็ไม่ได้บริการกันขนาดนี้นี่หน่า
สงสัยพี่เขารู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว ก็เลยอยากช่วยให้เราได้รับประทานอาหารของเขาอย่างอร่อยไม่บกพร่องเป็นแน่แท้
อย่างนี้ขอเรียกว่า "บริการทุกระดับประทับใจจริงๆ"
-
การสื่อสารกับคนที่นี้ สำหรับเราแล้วไม่มีปัญหาเช่นใดเลย ชาวเกาหลีทุกคนที่เราเจอก็พยายามฟังภาษาอังกฤษของเราอย่างตั้งใจ
และพยายามที่จะช่วยเหลือ บริการกันเต็มที่
ตัวอย่างเช่น วันที่สองของทริป ผมไปถามทางกลุ่มน้องๆนักศีกษาชาวเกาหลี น้องๆเขาก็พยายามที่จะหาทางอธิบายเราให้เข้าใจทิศทาง
ด้วยภาษาอังกฤษปนเกาหลี ปนภาษาใบ้ก็ตาม
และแม้เราเดินแยกจากน้องๆเขาไปแล้ว เขานึกขึ้นได้ว่าบอกเราผิด ก็ยังอุตสาวิ่งกลับมาบอกผม ว่าจะขอเดินไปส่งให้ถึงที่!!
เรื่องของการสื่อสารและภาษาในการไปท่องเที่ยวนั้น ผมคิดว่า หลักใหญ่ใจความมันอยู่ที่ว่า
ผู้ที่เราไปสนทนาด้วยมากกว่า ว่าพยายามจะเข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารหรือไม่ ถ้าทั้งผู้สื่อและผู้ฟังพยายามเข้าใจกัน
ต่อให้ไม่รู้ภาษาเดียวกันก็ยังไปกันได้ครับ
จากประสบการณ์ไปเที่ยวต่างแดนของผม ถ้าจะมีปัญหาเรื่องภาษาก็มักจะเป็นเพราะไอ้ฝรั่งที่เราดันไปคุยด้วยมันไม่ได้อยากจะช่วย
ก็ทำเป็นฟังเราไม่รู้เรื่องซะงั้น หรือไม่ก็ อย่างเลวๆหน่อยก็เป็นพวกเหยียดผิว โลกทัศน์แคบ นิสัยทราม ประเภทนั้นกันไปเลย
-
กลับมาที่อาหารบนโต๊ะกันต่อ
ปรกติ ผมและแฟนไม่ดื่มเหล้า แต่เมื่อมาถึงที่แล้ว ก็ต้องขอลอง โซจูเครื่องดื่มคู่อาหารปิ้งย่างให้ครบรสเสียหน่อย
โซจู (Soju) นี้คือเหล้าที่หมักจากข้าว ถ้าให้เทียบ ก็เหมือน สาเกของญี่ปุ่น หรือ วอดก้าของรัสเซียดีๆนี่เอง
ใสบริสุทธิ แต่มีระดับแอลกอฮอล์ถึงกว่า 20%
ขวดละ 3000วอน (ทำไมมันถูกจัง มิน่า ดื่มกันแพร่หลายเหลือเกิน)
ด้วยราคาที่ไม่แพง ทำให้ผมคิดไปว่ามันคงเบาๆ ดื่มกันได้ลื่นคอ ก็เลยกลึ้บไปอย่างนุ่มๆ
ที่ไหนได้ แรงกว่า สาเกญี่ปุ่น! ประมาณพี่น้อง วอลก้า Smirnoff ได้เลย
-
กว่าเราจะจัดการโซจูจนหมดขวดได้ (แฟนช่วยไป1เป็ก) ผมแทบคลานกลับโรงแรม
แต่ขอบอกว่า ร้านที่เรากินนั้น ดื่มโซจูกันหน้าแดงทุกโต๊ะ
คนเกาหลีดื่มกิน แล้วเมากันเต็มที่(เหมือนคนญี่ปุ่นเลย) แม้แต่ผู้หญิงก็หน้าแดง ตาปรือกันเนียนๆ
และก็คงเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์เสียด้วย
และแล้ว เราก็จบวันแรกอย่างเหน็ดเหนื่อย และเต็มอิ่ม.....
-
DAY TWO
เดินชมเมือง กินเที่ยว ช็อปย่านฮงแด, เยี่ยมร้าน coffee price, มหาลัย Hongik , ซื้อของฝากย่านค้าขายนัมแดมุน
เริ่มต้นเราก็ออกเดินทางตามแผน ไปยัง นั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานีมหาวิทยาลัยฮงอิก กันเลย
ระหว่างออกเดินทางก็เติมพลังกันนิดหน่อย
-
ร้านรถเข็นขายไส้กรอก
ไส้กรอกพันเบคอน หน้าตาดูธรรมดา ราคาก็แพง ไม้ละ 2000วอน
แต่ถ้ามันทำให้คุณนึกถึงรถเข็นขายไส้กรอกทอด ศรีไทย ราคาไม้ละ 15บาทของบ้านเราแต่ดันขายแพงไป4เท่า
แล้วทำให้คุณไม่อยากกินหละก็ คุณก็จะคิดผิดถนัดเช่นเดียวกับผม!
เพราะว่าไส้กรอกของเขานี้คุณภาพเฉกเช่นเดียวกับไส้กรอกเยอรมันในร้านอาหารฝรั่งบ้านเรา
แฟนและลูกช่วยกันกินอย่างเอร็ดอร่อย ปล่อยให้ผมได้แทะแต่ปลายไม้ในตอนจบ!!
-
เรานั่งรถไฟสายสีเขียว ไปลงสถานีมหาลัยฯ จุดหมายแรกของเราคือ ร้าน Coffee Price!
ร้านกาแฟจากละครดังของเกาหลี "คอฟฟี่ปริ๊นซึ รักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟ"
ที่สนุกโดนใจคนไทยจนต้องเอามา Re-make ใหม่แบบไทย ที่น่ารักเหมือนต้นฉบับเปี๊ยบๆ
เมื่อลงจากสถานี เราก็ขอไปเริ่มมื้อเช้ากันก่อนที่ "ร้านอิแทโชพอทิควี" หรือร้านตามหนังสือแนะนำ
ร้านนี้รายการอาหารมีแค่ 4-5อย่างเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็คล้ายๆกัน คือ น้ำแกง+เส้น หรือ หม้อร้อน
เมนูของเราคือ พัดวุ้นเส้นเกาหลี+กระดูกหมูในหม้อร้อน หรือเรียกว่า "บุลโกกิ"
มาในหม้อไฟขนาดใหญ่ ประกอบด้วยวุ้นเส้นผักกับงาและผัก และกระดูกหมูติดเนื้อชิ้นใหญ่มาก
ราคา 15000วอน จานเดียวแพงกว่าคาลบิเมื่อวานทั้งมื้อ แต่กินสองคนเกือบไม่หมด
แต่ถ้าทานเผ็ดได้ ร้านนี้ผมขอแนะนำให้สั่งอีกเมนู ซึ่งคล้ายๆกัน แต่มาในซุปแกงแบบรสแซ่บ เห็นสั่งกันหลายโต๊ะเหลือเกิน!!
ไอ้เราไม่ได้สั่งเพราะกลัวคุณลูกกินไม่ได้ ปรากฎ คุณหนูไม่กินเลยสะงั้น (รู้อย่างนี้สั่งเผ็ดๆไปตั้งแต่แรกแว้ว)
-
การรับประทานอาหารเกาหลีแบบนี้ ผมรู้สึกว่า ต้องใช้กล้ามเนื้อมือและนิ้วเป็นพิเศษ
เนื่องจากอาหารแต่ละอย่างนั้น ล้วนที้ใหญ่ หนัก และเหนียวทั้งนั้น
กว่าจะคีบขึ้นมานี้ก็เรียกว่า อย่างกับฝึกวรยุทธ์มือกันแบบเส้าหลินเลยทีเดียว
กว่าจะกินหมดมื้อนี้เรียกได้ว่า มือหงิก!
ส่วนหนูเพียร ก็มือหงิกเหมื่อนกัน
แต่หงิกๆๆ กับการระบายสีสมุดภาพ โบโรโร่ ที่ได้มาจากบนเครื่อง Korea Air
-
การที่มีอะไรให้เพียรทำไปด้วยระหว่างกินอาหารนั้น ช่วยให้เขามีสมาธิกับสิ่งๆนั้น
และทำให้เราป้อนอาหารให้เขารับประทานได้ง่าย และมากขึ้น ซึ่งสมุดภาพโบโรโร่นั้น ช่วยผมที่เกาหลีได้มากจริงๆ
หนูเพียรเป็นเด็กที่ไม่ชอบกินอาหารเป็นอย่างมาก เป็นตั้งแต่เกิด คือกินน้อย และคายอาหารเองได้ถ้าไม่อยากกิน!!!
น้ำหนักตัวเมื่อเทียบตามเกณฑ์แล้วจัดว่าเป็นเด็กขาดสารอาหารระดับสอง และเบากว่าเด็กรุ่นเดียวกันถึง2กิโล แม้ส่วนสูงยังพอได้ก็ตาม
เราทดลองกันทุกวิธีแล้ว ไม่ว่าจะฝึกวินัย ให้มีกฎเกณฑ์ในห้องอาหาร มีการให้กำลังใจหลายรูปแบบ มีรางวัลและคำชมเชย
หรือแม้กระทั่ง ไม่กินตามเวลาก็เก็บโต๊ะแล้วให้อด ฯลฯ
จนปรากฏว่าวิธีหลังเกือบทำให้เขาเป็นโรคกระเพาะ คือมีอาการปวดท้องอยู่หลายครั้ง
จนคุณหมอให้ต้องให้เราพยายามให้เขาได้กินให้เป็นเวลา กินให้บ่อยเข้าไว้ให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
-
จบมื้ออย่างอิ่มหน่ำกันถ้วนหน้า
หมู วุ้นเส้น ผัก มัน แครอท ล้วนกลายเป็นอดีตอันหอมหวาน!!
;D
เรารีบเดินมุ่งหน้าไปร้าน coffee prince กันเลย
-
ระหว่างทาง ผมก็ขอพาชมเมือง ชมรถไปด้วยเลยแล้วกันนะครับ
ขอย้อนเวลากลับไปเมื่อเช้าตอนเดินหิวๆออกมาจากโรงแรม เราก็พบกับคันนี้
-
Hyundai Sonata Hybrid
ด้านหน้า พยายามจะสร้างความแตกต่างจากตัวธรรมดาโดยตัดกระจังหน้ามีเส้นสาย fluid design ออกไป
ให้เหลือเพียงช่องดักลมทรงหกเหลี่ยม ทรงเดียวกับรถฮุนไดรุ่นใหม่ๆ
ส่วนล้อ alloy นั้นก็ดีไซน์คล้ายๆกับรถไฮปริดยี่ห้ออื่นๆคือ ล้อแบบลดอากาศหมุนวน เพิ่มประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์
สังเกตที่ล้อหน้ามีอุปกรณ์เหมือนที่ล็อกล้อกันขโมยติดอยู่ด้วย
ส่วนด้านท้ายไม่เน้นโชว์ท่อไอเสีย ตามภาษารถไฮบริด
-
ต่อมาเป็น Hyundai Grandeur
แม้ด้านหน้าจะดูคล้าย Sonata แต่เมื่อดูใกล้ๆให้เห็นมิติของรถได้ชัด ก็สามารถบอกได้ว่าตัวถังนั้นใหญ่และแกรนด์กว่า
แม้จะเป็นตัวรถที่ตำแหน่งทางการตลาดสูงกว่า sonata แต่ก็ยังเป็น platform ขับหน้าเช่นกัน
-
ส่วนด้านท้ายก็ออกแบบให้ดูภูมิฐานและหรูหรามาก
น้องๆ GS300
-
อีกมุมหนี่งของ Grandeur ที่ผมถ่ายได้ที่ฮงแด
โคมไฟหน้า ทั้งใหญ่ ทั้งยาว จนสาวๆต้องเสียว (โดนทุบ)
-
:) :) :) ไม่คิดเลยว่าจะเจอกระทู้แบบนี้ ขนาดไปมาสองครั้งแล้ว ยังอ่านเพลินเลย ตามสไตล์วิศวกรนะครับ เก๋ดีไปอีกแบบ เจ้าของกระทู้เป็นคนที่ละเอียดมากเลยนะครับ เก็บรายละเอียดได้มากกกกกกกกกกก จริงเลย
แสดงว่าขอแข็งไม่เบาเลยน่ะ(อืม ผมว่าวิศวกรน่าจะดื่มเก่งทุกคนนา) เล่นโซจูคนเดียวหมดขวด ผมเคยจิบไปครึ่งเดียวตอนอุณหภูมิติดลบคู่กะไก่ตุ๋นโสม ยอมรับว่าปอด ...พอสมควรผมว่ามันแรงมากอะ บ๊ายบายเลย สู้ไม่ไหวอยู่ไทยดื่มเบียร,เหล้าได้ ไปนั่นเห็นเขาดื่มกันทุกคนอดไม่ไหว เดี๋ยวเสียฟอร์มชายชาติทหารอย่างเรา สู้ไม่ไหวครับ แรงเกิ๊น
อ่านเพลินเลยขอบคุณครับ
-
:) :) :) ไม่คิดเลยว่าจะเจอกระทู้แบบนี้ ขนาดไปมาสองครั้งแล้ว ยังอ่านเพลินเลย ตามสไตล์วิศวกรนะครับ เก๋ดีไปอีกแบบ เจ้าของกระทู้เป็นคนที่ละเอียดมากเลยนะครับ เก็บรายละเอียดได้มากกกกกกกกกกก จริงเลย
แสดงว่าขอแข็งไม่เบาเลยน่ะ(อืม ผมว่าวิศวกรน่าจะดื่มเก่งทุกคนนา) เล่นโซจูคนเดียวหมดขวด ผมเคยจิบไปครึ่งเดียวตอนอุณหภูมิติดลบคู่กะไก่ตุ๋นโสม ยอมรับว่าปอด ...พอสมควรผมว่ามันแรงมากอะ บ๊ายบายเลย สู้ไม่ไหวอยู่ไทยดื่มเบียร,เหล้าได้ ไปนั่นเห็นเขาดื่มกันทุกคนอดไม่ไหว เดี๋ยวเสียฟอร์มชายชาติทหารอย่างเรา สู้ไม่ไหวครับ แรงเกิ๊น
อ่านเพลินเลยขอบคุณครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับผม
ผมก็พาดู พาชมไปเรื่อยๆ ตามภาษานักออกแบบ สถาปนึกครับ
แต่โซจู คืนนั้นนี้ ผมแทบคลานจริงๆนะครับ ขวดเดียวจอดเลย ;D
ดีว่าผมกินน้ำตาล กินอาหารเข้าไปเยอะ เลยเมาไม่ปิ้นครับ
แต่ความจริงผมเป็นคนไม่ดื่มนะครับ ถามภรรยาผมได้ :D
-
Hyundai Grandeur
รถรุ่นนี้วางเครื่องตั้งแต่ Theta II สี่สูบความจุ 2.4ลิตร จนถึง Lambda V6ขนาด 3.3ลิตร ส่งกำลังผ่านเกียร6สปีด
ขับเคลื่อนล้อหน้า คู่แข่งในตลาดที่เราพอจะคุ้นกันก็จะมี LEXUS ES300, Nissan Maxima (cefiro)เป็นต้น
Hyundai Grandeur นั้นมีประวัติมายาวนานตั้งแต่ปี 1986 วางตลาดมาแล้วรวมรุ่นปัจจุบันนี้ ก็มีถึง5 generations ด้วยกัน
ถือเป็นรุ่นสำคัญอีกรุ่นหนึ่งของ Hyundai เขาหละ ตำแหน่งการตลาดของรถรุ่นนี้ คือรถยนต์ขับหน้ารุ่นสูงสุด
อยู่สูงกว่า Sonata ที่ขับหน้าเหมือนกัน และต่ำกว่า The Genesis sedan ที่เป็น Platformขับหลัง
ซึ่งทั้งสามรุ่นข้างต้น ตำแหน่งก็ยังต่ำกว่า Equusที่เราเห็นกันไปเมื่อวานอยู่ดี!!
-
กรี๊ดดด . .. . ยังกะอ่านหนังสือท่องเที่ยวเลยครับ ชอบมาก
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ คนสีแดงนี่แจ่มจริงๆ เล้ยยยย
-
รุ่นนี้เป็น Grandeur generation3 ระหว่างปี 1998-2005 พบเห็นเป็นtaxiกันอย่างแพร่หลายในโชล ;)
-
กรี๊ดดด . .. . ยังกะอ่านหนังสือท่องเที่ยวเลยครับ ชอบมาก
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ คนสีแดงนี่แจ่มจริงๆ เล้ยยยย
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
เอ... แต่ว่า ไอ้คนสีแดงที่ว่านี้ มันคนไหนกันหรอครับ ผมย้อนไปไม่เห็นเลยสาวสวยที่ไหนเลย
หรือว่าคุณ prepense หมายถึงคนที่ยืนบังรถพี่ดอม ที่บัง86 ในกระทู้ก่อนหน้านี้ครับ
http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,31824.90.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,31824.90.html)
:) ;) :D
-
กลับมาชมรถต่อนะครับ
ส่วนคันนี้ บ้านเราก็มี แต่เขาแต่งเรียบๆได้ดูดีทีเดียว มีแอบน่ารักด้วย เลยถ่ายมาให้ดูกันสักหน่อย
-
และ ระหว่างที่เดินอยู่ที่ย่านฮงแดเราก็มาเจอคันนี้เขาให้
-
Hyundai Santa Fe
ชื่อนี้อาจจะคุ้นหูพวกเรากันดี จากที่รุ่นแรกของSanta Fe รถsuv รุ่นใหญ่ของ Hyundai
ที่ถูกนำเข้ามาขายในเมื่องไทยเมื่อช่วงประมาณสิบปีก่อน ด้วยสนนราคา 1.5ล้านบาท
ส่วนรุ่นที่เราเห็นกันนี้เป็น generationที่3แล้ว ถูกวางตลาดเมื่อปี 2012นี้เอง
มีทั้งรุ่น sport และรุ่น Long Wheel Base ซึ่งมีฐานล้อยาวขึ้นอีก10ซม. และมี 7ที่นั่ง
-
และ ระหว่างที่เดินอยู่ที่ย่านฮงแดเราก็มาเจอคันนี้เขาให้
คันนี้ล่ะที่รอคอยครับ มาสักทีเหอะๆ :o Santa Fe จ้า
-
และส่งท้ายด้วย Hyundai Genesis ครับ
เรามักได้ยินคนเขาพูดกันว่า เมื่อก่อน ญี่ปุ่นชอบลอกไอ้กัน ต่อมา เกาหลีก็ตามรอยญึ่ปุ่น แล้วจีนก็ก๊อปมันหมดนั้นแหละ
ดูรถเกาหลีรุ่นนี้สิครับ ไฟท้ายลอก accord G9 มาชัดๆ แถมลอกมาล่วงหน้า ก่อน accord ออกขายตั้ง5ปี
เทพขิงๆ
-
และ ระหว่างที่เดินอยู่ที่ย่านฮงแดเราก็มาเจอคันนี้เขาให้
คันนี้ล่ะที่รอคอยครับ มาสักทีเหอะๆ :o Santa Fe จ้า
คุณ boycatbay เป็นแฟนฮุนไดหรือครับ
ผมก็ขับ H-1 เมื่อกันครับ ดีไจมีเพื่อนH-1ด้วย
ส่วน Santa Fe รุ่นนี้ กงยู พระเอก coffee prince ก็ขับในละครเรื่อง BIG
รถรุ่นนี้เท่ไม่เบานะครับ
-
คราวนี้ข้ามมาดู Ssangyong Korando Sports CX7 กันหน่อย
-
นี้เป็นรถรุ่นล่าสุดที่จะมาแทนที่ Actyon Sport ที่ยังมีวางขายในบ้านเรา
หน้าตาดูดี และลงตัวกว่ารุ่นเดิมเยอะ ไม่เหลือคราบความเป็นรถกระบะแบบ3กล่องเท่าไรแล้ว
-
ขณะนี้เวลา เที่ยงคืนครึ่ง, สมาชิกเว็ปน่าจะหลับกันหมดแล้วกระมัง
ผมขอไปนอนด้วยคนนะครับ...
แล้วจะมาเล่าเรื่อง พาชมรถ ต่อในวันหลังนะครับผม
Nighty Night.. :)
-
และ ระหว่างที่เดินอยู่ที่ย่านฮงแดเราก็มาเจอคันนี้เขาให้
คันนี้ล่ะที่รอคอยครับ มาสักทีเหอะๆ :o Santa Fe จ้า
คุณ boycatbay เป็นแฟนฮุนไดหรือครับ
ผมก็ขับ H-1 เมื่อกันครับ ดีไจมีเพื่อนH-1ด้วย
ส่วน Santa Fe รุ่นนี้ กงยู พระเอก coffee prince ก็ขับในละครเรื่อง BIG
รถรุ่นนี้เท่ไม่เบานะครับ
ครับผม คุณPOP พอดีพ่อผมพึ่งซื้อมาเมื่อต้นปีครับ เนื่องจาก Fortuner คันเก่าถูกใช้อย่างหนักหน่วงมาเจ็ดปีแล้วครับ
แล้วพ่อมีกระซิบว่าถ้าติดมหาลัยจะให้รถคันหนึ่งที่เขาดูให้เป็น Hyundai Tucson ครับ ;D
ผมอยู่ในคลับ H-1 ด้วยครับ ใช้ชื่อ ปฏิภาณ ครับ
-
ขอบคุณครับ ชอบรถแพนด้าครับ น่ารักมาก ^_^
-
นึกถึงตอนที่ตัวเอง ไปทัวร์กับ Hyundai
ทำไมไม่ยักเจออะไรน่าดูแบบนี้บ้างเลยนะ.....
ก็ผมไปแบบแบกเป้
แต่เฮียไปแบบ VIP
มันจะเจอแบบเดียวกัน เดี๋ยวผู้จัดเขาก็ถูกบ่นว่า แกะ (cheap) นะสิครับ!!
:D
PS: ระหว่างเขียนไป ผมก็อ่าน First Imp CX5 ไปด้วย... เยี่ยมไปเลย ขอบคุณครับ
โอใช่เลยครับอ่าน CX-5 แล้วได้อารมณ์แบบนี้เลย
-
คันต่อไป บ้านเราก็มี แต่หาดูได้ยากครับ
เป็นรถที่ผมชอบการออกแบบของมัน ซึ่งลงตัวทีเดียว และก็อ่านรีวิวของคุณ YF-19 ถึงสองรอบ ด้วยครับรู้สึกประทับใจ
http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,3731.0.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,3731.0.html)
Hyundai coupe หรือ tiburon GK
-
ตามด้วยรถcoupeคู่แข่งที่มีความสดใหม่กว่ามากอย่าง Forte Koup (coupe) จาก KIA
-
สำหรับ kia forte นั้น มีถึง 3ตัวถังด้วยกันคือ 2ประตู coupe (Koup), 4ประตู sedan, และ 5ประตู hatchback
โดยใช้แพลตฟอร์มของ hyundai Elantra (HD) รุ่นก่อนรุ่นปัจจุบัน
ตัวถัง coupe นั้นดูสวยลงตัวมาก เพราะถูกถอดรูปมาจากรถต้นแบบ Kia Koup Concept ในปี 2008ได้อย่าง
ชนิดที่เรียกได้ว่า แทบไม่เปลี่ยนเลย
-
ต่อมาเป็นรถแปลกที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ
Buick Alpheon หรือ LaCrosse ในตลาดโลก
(แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะGM ประกอบรถรุ่นนี้ในเกาหลีใต้ด้วย)
-
เราจะเปลี่ยนบรรยากาศมาดู Harley Davidson สวยๆ เอาใจขาบิดกันบ้างนะครับ
-
Harley 5คันนี้มาจอดอวดโฉมเรียงกันอย่างมีการนัดหมาย่ล่วงหน้าแน่นอน แต่ผมไม่ทราบได้ว่านัดอะไรกันนะครับ
ขอกดรูปหน่อยแล้วกัน
ดำ เหลือง ขาว ดำ ดำ ;D
-
:) เป็นเหตุการณ์บังเอิญ ทั้ง5รูป 5คันที่ถ่ายมา มีsonata ทุกรูปครับ
-
คันสุดท้ายขอแถมหน่อย ฮาเล่ย์ Superleggera Limited 555
-
จริงแล้วคือ มอเตอร์ไซด์ จากบริษัท Daelim motor บริษัทผลิตมอเตอร์ไซด์ สกูตเตอร์ และATVของเกาหลี
ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง ทำตลาดในยุโรปด้วย
และแม้แต่รูปคันนี้ ที่เป็นมอเตอร์ไซด์คันที่6 ก็ยังมี SONATA อยู่ในรูป เป็น Co-incident จริงๆ
-
ระหว่างทางที่ยังเดินไม่ถึงร้าน Coffee Prince เสียที ผมก็ขอเก็บบรรยากาศร้านรวงข้างทางมาให้ชมกันเรื่อยๆ
ถือเป็นการค่าเวลา+ส่งเสริมไอเดียสำหรับการออกแบบร้าน SMEs ไปแล้วกันนะครับ
ร้านกาแฟสไตล์น่ารัก
ดูหน้าตาสีเหลือง ตัดกับร้านสีฟ้าสิครับ :)
-
สองร้านนี้อยู่ติดกัน สีสันหน้าร้านสวยสด และเข้ากันได้ดีกับสินค้าของแต่ละร้าน เรียกได้ว่าหน้าร้านนั้นส่งเสริมสินค้าได้ดีที่เดียว
-
ซึ่งการออกแบบนั้น อารมณ์ตรงกันข้ามกับร้านทำผมร้านนี้ ที่ใช้สีสนิมเหล็กทำให้ร้านดูโดดเด้ง
แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกคันหัวไปด้วยเลย :D
-
ร้านคาเฟ่ สไตล์โมเดิร์น ใช้สีสันและgraphic สร้างคาแร็คเตอร์อย่างน่าสนใจ
-
ถัดมาร้านนี้น่าสนใจเชียว ข้างบนเป็นร้านไวน์ แต่ข้างล่างเป็นรองเท้า คนละร้านกันนะครับ
วิธีการจัดวางสินค้าง่ายๆ แต่สร้างความน่าสนใจได้เป็นอย่างดี โดยใช้ความหลักความต่าง (Contrast)
ด้วยสีแดงและเหลืองสดของเก้าอี้ และตัววัสดุของสินค้าที่ทำจากหนัง
ซึ่งแตกต่างจากพื้นหลังที่เป็นพื้นกรวดสีจืดๆและผนังสีดำ
จึงทำให้ display แบบง่ายๆนี้โดดเด่น รองเท้าเตะลูกกะตาลูกค้ากันเลยละครับ
-
แถวๆนี้ยังมีร้าน(กึ่ง)ใต้ดินอีกนะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถนนถมสูงขึ้น แบบบ้านเราหรือปล่าว
แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ร้านสินค้าผิดกม.แน่นอน ผมลองไปเรียบๆเคียงๆดูแล้ว
:D
-
ส่วนร้านค้าที่เป็นตึกเป็นหลังๆ รูปแบบอาคารน่าสนใจก็พอมีให้เห็นบ้าง
-
ผมมีเกมส์ช่างสังเกตให้เพื่อนๆ ลองค้นหากันดูครับ
สองภาพข้างล่างนี้ ตึกที่เห็นในภาพทั้งสอง มีการตกแต่งอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน
ซึ่งไม่ค่อยจะพบเห็นในการตกแต่งร้านที่บ้านเราสักเท่าไรครับ คือมีบ้าง แต่ก็น้อย!
ลองท้ายดูนะครับ ใครตอบได้มีรางวัลครับ ;)
เดียวคืนนี้มาเฉยครับผม ;)
-
จนในที่สุด เราก็เดินมาถึงร้าน
"ร้านคอฟฟี่ ปริ๊นซึ"
coffee prince!!
-
แต่ปรากฏว่า ปิดปรับปรุง ซะงั้น
แต่ดูจากสภาพ ก็ทรุดโทรมไปเยอะเลย และบรรยากาศต่างๆก็ผิดกับที่จินตนาการไว้เยอะพอสมควร
ก็คงได้แต่ต้องจำภาพสวยๆและเรื่องราวที่สนุกสนานจาก DVD แทนก็แล้วกัน
ลาก่อน "ร้านคอฟฟี่ ปริ๊นซึ" เจ้าชายกาแฟ...
-
อ่านเพลินเลย :)
-
อ่านเพลินเลย :)
ขอบคุณที่ติดตามครับ ;D
-
DAY TWO 2 ฮงอิก+นัมแดมุน
เรายังอยู่กันในวันที่สองนะครับ
หลังจากเดินทะลุซอย ร้าน Coffee Prince มาแล้ว ก็เป็นถนนใหญ่ที่นำเรามาสู่หน้ามหาวิทยาลัยฮงอิก....
อากาศวันนี้ แดดร่ม ลมตกทั้งวัน สงสัยว่าจะมีฝนตกพรำๆ ???
Hyundai Genersis คันนั้น ล้อสวยดีนะครับ
-
ผมรู้สึกประทับใจที่ Hyundai กล้าทำ แบรนด์ยกระดับอย่าง Genersis
และยังกล้าทำ รถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องแรงออกมาในตลาดเพื่อแข่งขันกับ
แบรนด์จากญี่ปุ่น และยุโรป เมื่อ5ปีที่แล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ใช่ รถสปอร์ตที่มี handling ดีมากๆ
แต่ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในตลาดโลกครับ
รูปนี้เป็นตัว minorchange ซึ่งตัวรถนั้นถูกทำให้ดูสดขึ้นเยอะนะ (DNA เดียวกันกับ Veloster)
(http://static.cargurus.com/images/site/2012/09/14/15/58/2013_hyundai_genesis_coupe_3_8_r-spec-pic-7042870999707214792.jpeg)
ขอบคุณภาพจาก cargurus ครับ :)
-
ย่านนี้มีร้านค้า และร้านอาหารมากมาย และขึ้นชื่อว่า ราคาไม่แพง (ก่อนมา ผบ.อ่านมากเยอะแล้วว่าจริง!)
และเยื้องๆประตูมหาวิทยาลัยก็มี Free Market ที่มีร้านค้าและรถเข็นขายเสื้อผ้า
สินค้าแฟชั่น ขนม อาหารตลอดสองข้างทาง
-
มีร้าน GAP ขนาดใหญ่มาก
แต่ขนาดเหมาทั้งตึกก็ยังมีที่ไม่พอวางขายสินค้า เลยต้องเอาเสื้อมาใส่กระบะขายกันหน้าตึกอีกด้วย ::)
-
และย่านนี้ก็มีร้านรวง หน้าตาเก๋ไก๋ ออกแบบสวยๆ อยู่พอสมควร
-
ร้านกาแฟ coffeesmith
ดีไซน์แนวนี้ นักออกแบบสไตล์ bare material ชอบครับ
-
LAPALETTE
ร้านนี้แฟนบอกต้องโดน เราเลยปล่อยเขากับหนูเพียรเข้าไปตามใจปรารถนา
ไอ้เราไม่รู้จะดูอะไร ก็เลยขอรออยู่นอกร้านดีกว่า
-
เพื่อนๆ เห็นอะไรผิดปกติในรูปหน้าร้าน LAPALETTE ไหมครับ
ถ้ายังไม่เห็น
ลองดูรูปนี้อีกทีครับ
......
...
.
-
โปรดสังเกตเจ้าเหมียวน้อย นั่งจ๋องอยู่หน้าร้าน
เหมือนรอใครสักคน หรือว่าอยากเข้าไปหลบหนาวข้างในก็ไม่รู้นะ
:D :D
-
เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไร
ผบทบ. สุดท้ายก็เดินคอตกออกมามือปล่าว บอกว่าไม่มีของถูกใจ ดูใกล้ๆแล้วสวยไม่จริงซะงั้น!
Ultraman เซ็ง!!
-
ตื่นเช้าจังเลยครับ
ปล.ยังไม่ได้เฉลย รูป2 รูปนั้นเลยอ่ะ ผมทายเป็น ต้นไม้หน้าร้านดีกว่า เหมือนกันทั้งคู่ อิอิอิ
-
รูป2รูปนั้นผมขอตอบว่ากระจกมุมโค้งครับ
-
เราเดินต่อไปเรื่อยๆก็เจอป้ายบอกว่าเป็นบ้าน4อะไรซักอย่าง ชี้ขึ้นไปข้างบน
บ้านหลังสำคัญอย่างไร คืออะไรผมก็ไม่รู้ เห็นแต่ป้ายบอกให้ขึ้นไปดู
ไอ้เรามันเชื่อคนง่ายเสียด้วย ป้ายบอกให้ไปดู เราก็ไป! :D
-
ตื่นเช้าจังเลยครับ
ปล.ยังไม่ได้เฉลย รูป2 รูปนั้นเลยอ่ะ ผมทายเป็น ต้นไม้หน้าร้านดีกว่า เหมือนกันทั้งคู่ อิอิอิ
อรุณสวัสดิ์ครับ
ขอบคุณ คุณ decptt ที่ยังติดตามอยู่นะครับ ;D
-
ผมมีเกมส์ช่างสังเกตให้เพื่อนๆ ลองค้นหากันดูครับ
สองภาพข้างล่างนี้ ตึกที่เห็นในภาพทั้งสอง มีการตกแต่งอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน
ซึ่งไม่ค่อยจะพบเห็นในการตกแต่งร้านที่บ้านเราสักเท่าไรครับ คือมีบ้าง แต่ก็น้อย!
ลองท้ายดูนะครับ ใครตอบได้มีรางวัลครับ ;)
เดียวคืนนี้มาเฉยครับผม ;)
คุณ GIN ตอบถูกต้องแล้วครับผม!!
ในสองรูปนั้น เราจะเห็นตึก3ตึก มีกระจกหน้าต่างโค้งทั้ง3ตึกเลยครับ
และตั้งแต่ที่ผมมาถึงโซลได้สองวัน
ก็เห็นหลายตึก ใช้กระจกโค้งกันอย่างแพร่หลายมากกว่าบ้านเรานัก
คงเป็นเพราะว่าราคาในบ้านเรายังคงสูงอยู่มากนั้นเองครับ :)
-
อ๋อ เกือบลืมรางวัลของคุณ GIN
ผู้ตอบถูกจะได้รับของที่ระลึกจาก โซล ที่ผมเก็บมาฝากครับ
อย่างลืมโทรไปนะ
"จุ๊บ จุ๊บ"
-
ระหว่างเดินอยู่ ผมมองข้ามถนนไป ก็เห็นร้านนี้
หน้าร้านมีตัวการ์ตูนรูปร่างประหลาด ไม่น่าเป็นที่นิยม ก็เลยไม่พาเจ้าตัวเล็กไปดูให้เสียเวลา
-
และ SHe ก็ยังเอ็นจอยกับสมุดภาพโบโรโร่อยู่มาก ;)
แม้ว่ากำลังอยู่ในยานภาหนะ ที่เคลื่อนที่อยู่ ก็บ่หยั่น
หนูเพียรเป็นเด็กที่ไม่เมารถ เมาเรือ เมาเครื่อง หรืออาการเจ็บหูเลย!!
คงเป็นเพราะพวกเราฝึกเข้าตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะกินข้าว อ่านหนังสือ ดูทีวี
ในรถ บนเรือ เธอจัดได้หมดครับ
แต่ถ้าไม่มีอะไรทำนี่สิ โวยวาย งองแง กันงานเข้าเลยครับ :D
-
ส่วนคุณแม่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
ถ้ามาช็อปปิ้งนั้น จะเดินทนเอามากกกกกกกๆๆ
สรุป HAPPY กันทุกคน :D
-
เดินไปสักพัก พวกเราก็เริ่มหิวแล้วครับ
ก็เลย ต้องเริ่มหาอะไรรองท้องซักหน่อย
เราเดินผ่านมาหลายร้าน ก็สะดุดตาอยู่ร้านหนึ่งเลยถ่ายรูปมาฝาก
ร้าน DONI Burger ดูเชิญชวน น่ากินทีเดียว
แต่ว่า
ไม่ได้แอ้มเราหลอกครับ อาหารซ้ำๆ บ้านเมืองเราก็มี ดูไม่แปลก เหมือนไปไม่ถึง ท่าทางไม่โดน เราไม่กิน!!
รอไปก่อนนะ DUDe
-
แล้วเราก็เดินกันมาเรื่อยๆ จนมาหยุดเข้าที่ร้านนี้
SCHNEEBALLEN ขายคุ๊กกี้ต้นตำหรับ จากRothenburg, Deutschland
หรือเมืองโรเทนบวร์ก เยอรมัน
-
ดูๆแล้วมันก็ไม่น่าจะเหมือนต้นตำหรับเท่าไรนะ เหมือนขนมแฟชั่นซะมากกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม เข้ามาแล้ว เราก็ต้องโดนกันสักหน่อย!!
ยิ่งมีส่วนประกอบเป็นช็อคโกแลตแล้ว สำหรับครอบครัวเราแล้ว ไม่ลองไม่ได้เลยครับ
ปริมาณคนรอซื้อ!!
-
ระหว่างรอคิวกินขนม ก็ชมบรรยากาศในร้าน ไปพลางๆก่อน
มี soft serve ให้บริการตัวเองด้วย แต่งร้านซะ น่ารักเชียว
แต่หนาวขนาดนี้ ไม่มีใครกินครับ!
-
อย่าเพิ่งงงนะครับ มีเขียง กับฆ้อน ทำไมไม่มีมีดหละ
-
คุ๊กกี่กลมๆที่เห็นจะบรรจุมาแบบนี้มาเป็นถุงแบบนี้
ก่อนกินก็ต้องเอาค้อนทุบมันให้เสียรูปทรงกลมเสียก่อน จะได้บริโภคง่าย
-
มีวิธีการกิน อธิบายไว้เรียบร้อย ถูกต้องตามหลัก อย.
(ในวิธีการกิน ข้อสอง มันยังบอกว่า "ฆ้อนแยกขายนะจ๊ะ" เอาเข้าไป! :o )
-
อยากเห็นคุ๊กกี้ ก่อนทุบครับ ^_^ มันใหญ่ขนาดต้องทุบเลยหรือไง 555+
-
อยากเห็นคุ๊กกี้ ก่อนทุบครับ ^_^ มันใหญ่ขนาดต้องทุบเลยหรือไง 555+
มันก็ไม่ใหญ่มากหลอกครับ ประมาณกำปั้นเท่านั้นเอง ถุงหนึ่งใส่ได้1ลูก
แต่ราคาใหญ่มากกก 3500วอน หรือร้อยบาท!
ผมโดนไปสองลูกครับ ;D
-
ทุบแล้วออกมาเป็นแบบนี้นะครับ
-
ชิมสิ..ชิมสิ.... อืม..
เห็นรูปนี้แล้ว เพื่อนๆอาจคิดไปว่ารสชาติของมัน หมาเห่า! แน่ๆ
-
แต่กินกันหมดเกลี้ยงทั้งสองลูก ช็อกโกแล็ตหนึ่ง สตอเบอรรี่หนึ่ง
หมดอย่างรวดเร็วเช่นเดิม
รสชาตินั้น ก็ไม่ต่างจากครองแครงชุปช็อคโกแลตเกรดB+
:)
-
หลังจากจัดการไอ้ลูกบอลเคลือบน้ำตาลกันเสร็จ
เราก็กลับไปชมเมืองกันต่อ
วันนี้เป็นวันเสาร์
บริเวณ Free Market และสนามเด็กเล่นตรงข้ามมหาวิทยาลัยฯนั้นคนแน่นขนาดไหนก็ชมกันเอานะครับ
(มองดูไกลๆในรูป จะเห็นว่าคนแน่นเป็นปลากระป๋องโรซ่าเลยครับ :D)
-
เจอกราฟฟิตี้อีกแล้ว เมืองนี้มันอั้นกันหรือไงนะ ตรงไหนปล่อยพี่แกก็จัดเต็มเลย
-
เดินไปมาในสวนนี้ก็จะเห็นว่ามีของแปลกๆ สินค้าแฮนด์เมค วางขายแบกะดินอยู่ทั่วไป
แต่ที่ป๊อปที่สุด เห็นว่าจะเป็น นี้!!
เจ้าหนุ่มนั่งรับวาดภาพเหมือนคนนี้
ป๊อปขนาดที่ว่า คนต่อคิวกันยาวเป็นเกือบห้าสิบคน!!! เป็นอย่างน้อยๆ
และถ้าผมจำไม่ผิดก็สนนราคาอยู่ที่รูปละ 1000วอน
โดยวาดเป็นรูปลายเส้นเรียบง่าย ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ต่อ1รูป
-
เมื่อวาดเสร็จแล้ว เขาจะสแตมป์ลายเซ็นต์
และถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยนะ
-
ว่าแล้วก็เดิน วินโดสว์ช็อปกันต่อ
ร้านไหน หน้าร้านเก๋ๆ ผมก็จะเอารูปมาให้ดูกัน
-
โตโตโร่ มาตะลุยโคเลีย
:)
-
ข้างทาง มีป้าท่านหนึ่งขายขนมแป้งเหมือนแพนเค้กชิ้นเล็ก เขียนเป็นรูปการ์ตูนอย่างตั้งใจ
พ่อค้า แม่ค้าที่นี้ใจดีด้วย ระหว่างที่เราเดินๆกันอยู่ มีคุณลุงพ่อค้ารถเข็นขายขนมข้าวพอง
อยู่ๆก็เอาขนมมายัดมือหนูเพียรให้ชิมกันฟรีๆไปเลย เราก็ขอบคุณกันใหญ่
-
แม้อากาศจะหนาว ท้องฟ้าขมุกขมัว แต่ผู้คนยังเดินกันเต็มถนน
(โปรดสังเกต ผบ ยังเสียสละหิ้วกระเป๋าแดง ซึ่งยังหนักอยู่!!)
-
555+ ครองแครงเกรด B+
นึกภาพออกเลยครับ ^_^
-
แสดงว่าที่บ้าน น่าจะชอบช็อกโกแล็ตกันมากขนาดยอมต่อแถวซื้อกันเลยทีเดียว อิอิ
-
แสดงว่าที่บ้าน น่าจะชอบช็อกโกแล็ตกันมากขนาดยอมต่อแถวซื้อกันเลยทีเดียว อิอิ
ช่วงไหนผมกินถี่ๆหน่อย ทั้งแบบอัดแท่ง, คุ๊กกี้, หรือไอศกรีม ฯลฯ ต่อๆกัน
กรึดเลือดแล้วจะออกมาเป็นช็อกโกแลตเลยครับ ;D
-
เล่าต่อเลยนะครับ :)
ก่อนที่เราจะเดินทางไปย่านอื่นกันต่อ ก็ขอเชิญมาชมรถกันอีกรอบ
เริ่มด้วย Kia K7 หรือ Cadenza ในตลาดโลก
เป็นรถขนาด Full size sedan ขับเคลื่อนล้อหน้า เทียบได้กับ Grandeur ของ Hyundai
-
สำหรับ K7 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ 2012แล้ว กระจังหน้าจะเป็นทรงแบบนี้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในการออกแบบของเกียยุคใหม่
ที่เรียกว่า Tiger Nose ออกแบบโดยหัวหน้าทีมออกแบบชาวเยอรมันนาม Peter Schreyer
ซึ่งเคยฝากผลงานคลาสสิก audi TTรุ่นแรกเอาไว้
คันนี้ตัวจริง สวยและลงตัวมากครับ สวยไม่แพ้รถยุโรปเลย และoverhang หน้าแม้จะยาวไปนิดแต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกียจ
(เปรียบแล้วออกจะเหมือนกับ audi A5 โฉมปัจจุบัน ที่overhangหน้า แม้จะยาวแต่ก็ยังดูโอเคกว่ารุ่นอื่นๆ)
-
ต่อมาเป็น Kia Ray : The Korea Tall Boy Car (กระจังหน้ามาแนวเดียวกันกับรุ่นพี่เลยนะครับ)
-
สังเกตดีๆ ประตูหลังสองข้าง ไม่เหมือนกันนะครับ
:)
-
Ray เป็นรถที่น่าสนใจมากเพราะมีจำหน่ายเฉพาะในเกาหลี ซึ่งรองรับแหล่งกำเนิดพลังงานถึง 3เทคโนโลยี่
คือ หนึ่ง Ray EV เป็นรถไฟฟ้า plug-in รุ่นแรกของKiaซึ่งผลิตจำนวนจำกัด และ
สองเป็นเครื่องยนต์เบนซิน1ลิตร และ
สาม เป็นเครื่องยนต์ Bi-fuel คือเติมได้ทั้งน้ำมันและก๊าซ LPG
ไม่ผิดหลอกคร้บ LPG ไม่ใช่ NGVครับ รถยนต์ที่เกาหลีก็นิยมติดก๊าซหุ้งต้มเช่นกัน
-
ต่อมาเป็น Kia Mohave หรือ Borrego สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ
เป็น SUV รุ่นใหญ่ 7ที่นั่ง ที่ใช้โครงสร้างแบบ Body on frame ซึ่งปัจจุบันKiaเลิกจำหน่ายรถรุ่นนี้ไปแล้ว
คงเหลือไว้แต่ Sorento ที่Kia motor ประเทศไทย เพิ่งนำรุ่นใหม่เข้ามาเปิดตัวไม่นานมานี้เอง
-
และคันสุดท้ายของช่วงนี้
ขอปิดท้ายด้วย Daewoo Matiz หรือ Chevrolet Spark
จากหนัง Transformers 2 : Revenge of the fallen นั่นเอง
-
คันขาว ผมถ่ายที่เมียงดง ซึ่งเป็นที่ที่เราไปเดินเล่นกันในวันที่3ครับ
มีรถแปลกๆอีกเพียบ รอติดตามชมนะครับ
-
แถม สกูตเตอร์1คัน
ก่อนจะไปต่อ ช่วงชมเมือง ชวนชิมครับ
-
ขอแถมอีกคัน สุดท้ายจริงๆแล้ว
Lincoin MKX !! ก่อน facelift มาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร!!
-
ด้วยรูปทรงของท่าน ยี่ห้อที่พะอยู่ ประกอบกับสีที่ดำทะมึน ทำให้รถคันนี้ดูแข็งแกร่ง บึกบึน
เหมือนเป็นรถมาเฟีย สไตล์อเมริกันดีแท้
ถ้ารถคันนี้จะมีสิ่งใดที่เชื่อมโยงกับรถยนต์ที่เราคุ้นเคย ก็คงมีแต่เพียงโครงสร้างของมัน คือ CD3 platform
ที่ถูกใช้รวมกับ Ford Edge และ Mazda CX-9ที่มีจำหน่ายในบ้านเรา
ผมสังเกตเห็นที่ประตูบานหน้าของรถคันนี้มี แถบปุ่มเล็กๆอยู่5ปุ่ม อย่างกับปุ่มรหัสเปิดประตู safe อย่างนั้นหละครับ
ใครรู้ช่วยบอกด้วยครับ ::)
-
เก็บตก ภาพรถ รวมๆ ที่ผมถ่ายวันนี้ครับ ไม่มีคำบรรยายนะ ชมแต่ภาพอย่างเดียวครับ
:) :)
-
:)
-
;)
-
:D
-
;D
-
ขอจบด้วย Hyundai ท้าย accord กันอีกครั้ง
และคันสุดท้ายครับ กับ hyundai veloster ที่
"เมืองไทยก็มี กรีดดดดๆๆ"
;D
-
เดี๋ยววันพรุ่งนี้ เราเดินเล่นแถวอีแทวอน จะมีรถแหล่มๆมาให้ชมกันอีกเพียบ ขารถอดใจก่อนนะครับ
;)
-
หลังจากที่เราเดินเล่นที่ ฮงแดจนทั่วแล้ว เราก็นั่นรถไฟใต้ดินกลับเข้า CBD ย่านใจกลางเมือง
เพื่อไปเดินเล่น และซื้อของฝากที่ตลาดนัมแดมุน
จริงๆตามแผนของเราจะต้องแวะ ย่านอีแด ก่อน แต่ปรากฏว่าสี่โมงเย็นแล้วยังอยู่ที่ฮงแดอยู่เลย
และก็ฟ้าครึ้มเชียว ผบ.จึงต้องเปลี่ยนแผนเข้าเมืองเลยดีกว่า
ฟ้าครึม ยามเย็น ที่ประตู Sungnyemun
ในรูปติดรถ Ford taurus สวยแกร่ง แบบอเมริกัน เดี๋ยวเรามีรูปใกล้ๆให้ดูกันด้วย
-
ตลาดนัมแดมุน (Numdaemun Market)
แม้จะเย็นแล้วผู้คนก็ยังคึกคัก ตลาดนี้เหมือนตลาดขายส่ง ที่มีสินค้าทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า
จนไปถึงอาหารแห้ง อาหารยอดนิยมสำหรับเป็นของฝาก เช่น จำพวกสาหร่ายทะเล กิมจิ เห็ด โสม ฯลฯ
เสื้อผ้า กระเป๋า ติดยี่ห้อ Hi-street แต่ราคาแค่ 1ใน5 ของshop
แต่ก็ยังแพงเมื่อเทียบกับซื้อที่เมเจอร์ฯ รัชโยธิน หรือประตูน้ำ
ที่ตลาดนี้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกรดธรรมดา ราคาก็ไม่ได้ถูกมากมาย อย่างสาหร่ายทะเลแพ็คใหญ่ๆ
ก็ราคาเท่ากับซื้อในบ้านเราตอนลดราคา แต่มีให้เลือกมากรสชาติกว่า และบางร้านก็มีให้ชิมด้วย
-
ระหว่างชมตลาด เราก็พบร้านซาลาเปาและแป้งนึ่ง สีบานเย็นร้านนี้เข้า!
ร้านเป็นเพียงห้องเล็กผนังกระจกให้เรามองเห็นผ่านในห้องครัวว่ากำลังปั้นใส้และนึ่งซาลาเปากันอย่างขะมักเขม้น
ส่วนหน้าร้านก็มีเพียงคุณป้าท่านนี้กำลังบรรจงแยกซาลาเปาร้อนๆใส่ถุง ชุดละ6ลูก
บรรจุใส่ในกล่องโฟมเก็บความร้อนไว้รอขาย
-
เราใช้เวลาสังเกตอยู่พักหนึ่ง ประมาณ2นาที ก็พบว่าร้านคุณป้านี้ขายดีไม่ใช่เล่น
แม้ว่าจะมีที่นั่งเพียงสองโต๊ะหน้าร้าน แต่ก็มีคนแวะเวียนมาซื้อกลับบ้านตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นซาลาเปา หรือแป้งหวานนึ่ง
ว่าแล้วโต๊ะว่าง ผมก็ไปเข้าไปซื้อซาลาเปา1ชุด พร้อมหย่อนก้นนั่งพักหม่ำในทันนี้
-
แล้วก็อร่อยตามคาด!
ซาลาเปาแป้งบางเกือบจะเป็นเกี๊ยว ใส่หมูสับ+วุ่นเส้น+ผัก แต่บางลูกเป็นหมูแดง
จิ้มซอสเปี้ยวคล้ายๆจิกโฉว (ผมแอบมองโต๊ะข้างๆเขาจิ้มกัน เลยเอาบ้าง)
หมดอย่างรวดเร็วอีกตามเคย
:D :D
-
กินเสร็จยังไม่ทันหายเหนื่อย(กินก็เหนื่อยนะ 6ลูกแน่ะ)
ผมก็ต้องกรีฑามาราธอน รายการอุ้มวิ่งวิบาก 1x400ม. ชายเดียว ไม่มีผลัด ไม่มีผสม
(เพราะผบ. ยังต้องถือกระเป๋าแดงอยู่ ซึ่งหนักกว่ามาก!!)
เพื่อพาหนูเพียรไปห้องน้ำอย่างเร่งด่วน
ถ้าเป็นตลาดจตุจักร ผมก็คงตาเหลือก แต่ตลาด.... ป้ายห้องน้ำสาธารณะบอกทางชัดเจน
ห้องน้ำอยู่ไม่ไกล ไม่มีคิว และสะอาดกว่าที่คิด
-
โฉมหน้าต้นตำหรับ ผู้คิดกรีฑามาราธอน เกมส์ดังกล่าว
ยิ้มร่า หลังจบเกมส์...
ในขณะที่ผม แทบจะคลาน :D
-
อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เนื่องจากเข้าเวลาผลบค่ำแล้ว อีกทั้งด้วยฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย
บรรดาร้านค้าในตลาดก็เริ่มทยอยปิดกันแล้ว
เราจึงต้องหลบฉากมาเข้าใต้ตึก หลบฝน หลบหนาวกันเสียก่อน
-
หลังจากเข้ามาใต้ตึก เราก็เดินวินโดส์ช็อปปิ้งกันพักหนึ่ง
แต่พอเดินเยอะๆเข้า ระดับช็อกโกแล็ตในเลือดก็ต่ำลง จนต้องหา(เรื่อง)มาเติมตามภาพ
กินไอศกรีมกันแบบ ไม่กลัวหนาวด้วย!
กินจนเสร็จ จะทิ้งซองอยู่แล้ว ยังอุตสาถ่ายรูปเก็บไว้อีก
;D
-
ส่วนตัวเล็กบอกว่า ต้องแบบช็อกโกแล็ตโคนเท่านั้น เป็นแท่งแบบ ป่าป๊า น้อยไป ไม่สะใจ!
กินเสร็จ ระดับช็อกโกแลตในเลือดเข้าสู่สภาวะปรกติ
พวกเราก็คึกคักกันต่อ :D
-
และหลังจากช็อปปิ้งกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาดินเนอร์ ซึ่งเราไม่ได้หาร้าน หรือเลือกกันไว้ก่อน
เพราะคิดว่าจะต้องกินอาหารแบบที่คนเกาหลีเขาทานกัน ร้านไหนคนเยอะ เมนูมีรูป ก็ลุยเลย
ก็ไปเจอร้านอาหารเกาหลีร้านนี้เข้าให้ระหว่างทางกลับโรงแรม บรรยากาศคล้ายๆผับ
มีคนในร้านพอสมควร ตัวอย่างอาหารดูน่ากิน
-
แล้วเราก็สั่งอาหารตามรูปที่อยากกิน ได้นี้จานนี้มา
เป็นจานร้อนซีฟู๊ด ผัดกับแป้งและซอส ราดหน้าด้วยชีสเยิ้ม หรือ"ต๊อกโปกี อบชีส"
จานนี้รสจัดจ้าน เผ็ด มัน อร่อย หอย ปลา ปลาหมึก ฯลฯ ว่ายกันเต็มจาน กินกันเกือบไม่หมด
-
จานที่สอง(แต่มาก่อน) เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะรู้สึกผิดจากอาหารตามใจปากที่สั่งในจานแรก
เป็นกิมจิรสจัด ต้องบอกว่าจัดมากๆ เผ็ดจนลิ้นชา เสริฟคู่กับเต้าหู้เกาหลี นุ่มจืด เข้ากันดี
ความอร่อยพอใช้ แต่ด้วยความเผ็ดนี้สิ กินกันได้แค่ครึ่งจานก็ต้องยอมแพ้
-
นี้เป็นความผิดพลาดในการสั่งอาหารจริงๆ มาเที่ยวทั้งที ต้องเอาอร่อยสุดเข้าว่า ต้องไม่กลัวสุขภาพ!
กินไปก่อน ผ่อนที่หลัง กลับไปบ้านค่อยวิ่งเอา! ;D
-
อิ่มท้องกันแล้วเราก็กลับโรงแรม จบวันอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เต็มอิ่ม ทั้งเที่ยวและกิน
-
ระหว่างเดินกลับแวะกิน ไก่กรอบเจ้าเมื่อวานอีกรอบ (ไหนว่าอิ่มแล้วไง!!)
-
วันนี้ หนูเพียรได้ลูกสมุนมาเพิ่ม ตามภาพ
โปโรโร่ เป็นสมุนมือขวา ฉายา ตาแว่นมหาประลัย
โตโตโร่ เป็นสมุนมือซ้าย ฉายา จอมเขมือบ (เพราะเป็นกระเป๋าจุๆ)
:D
-
และเสบียงที่ได้มาจากตลาดนัมแดมุน และเซเว่น
สตอเบอรรี่ ลูกโต ที่หวานกรอบ เหมือนสตอเบอรรี่จากญี่ปุ่น ซึ่งถ้าใครได้ชิมก็จะรู้ว่า
ด้วยรสชาติที่หวานกว่า ไม่เปรี้ยว และเนื้อแน่นกรอบ ทำให้ราคาขายในซุปเปอร์มาเก็ตบ้านเรา
จึงขายได้แพงกว่า สตอเบอรรี่ไทย ถึงสอง-สามเท่า
-
นม น้ำแร่ ขนมเพรสเซส และไอศกรีม (อิ่มอย่างไรหว่า??)
-
และเมนูที่หลายคนแนะนำให้ไปลอง
นมกล้วย! ราคาขวดละ1000-1200วอน
ผมลองแล้วไม่ถูกปาก แต่ผ.บ.ชอบ และนี้ก็เป็นขวดที่สองแล้ว!!
(วันแรก มาถึงสนามบิน ท่านก็จัดนมกล้วย+ข้าวห่อไปแล้วหนึ่งชุด)
-
ข้าวปั้นหน้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแซลม่อนมายอเนส, แซลม่อนเผ็ด หรือทูน่า ก้อนละ 1500วอน
ราคาไม่ต่างจากเมืองไทยเลย
รสชาติก็ดี ใช้เป็นสเบียงในยามเช้า และป้อนเพียรเวลาเร่งรีบได้ (ก้อนที่เห็นนี้เป็นก้อนที่4ของทริปแล้ว!!)
-
และชีสแท่น เอาไว้เติมพลังเพียร มื้อของว่าง ระหว่างวัน!!
-
และกาแฟเย็นสำเร็จรูป แพ็คเกจน่าดื่ม เลยจัดมาลองทั้ง3รสเลย อร่อยใช้ได้ครับ
-
แล้วก็จบไปอีกวัน เที่ยว ช็อป ดูรถ กิน อิสระตามใจ
ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบ ได้สัมผัสชิวิตของชาวเมืองโซลทั้งย่านวัยรุ่น และตลาดแบบคุณป้า
ครอก.. ฟ.ฟ..ฟี้
-
หน้าน้องตอนทานเต้าหู้ ให้ความรู้สึกดีมากเลย 555+
ชีสแท่งใช้ดูดเอาเลยเหรอครับ หรือว่ามันคล้ายๆครีม หรือหลอดยาสีฟันที่บีบแล้วออกมา
-
DAY THREE
ชมวิว Seoul Tower, เดินเล่นถนนอีแทวอน, ช๊อปปิ้งย่านเมียงดง, CO-EX mall ย่านคังนัม, ไปดูย่านคลินิกศัลยกรรมความงาม อัพกูจอง
เมื่อคืนเราอยู่กันดึกมาก เดินเยอะสุดๆ กลับถึงโรงแรมก็นอนแช่น้ำ หัวถึงหมอนกว่าจะได้หลับกันก็เที่ยงคืนกว่า ผบ จึงออกคำสั่งไว้ตั้งแต่ก่อนหลับว่า ห้ามออกเดินทางก่อนลูกตื่นโดยเด็ดขาด ห้ามalert ห้ามaction แต่เช้าทั้งสิ้น ตื่นกันสายๆ สบายๆสไตล์วันอาทิตย์เท่านั้น!
ไอ้เรามันประเภทได้มาเที่ยวทั้งทีแล้ว ก็อยากต้องเที่ยวให้สุดเสียด้วย เลยออกอาการเซ็งจิต นอยๆแต่เช้า เพราะตื่นมาแล้วก็อยากจะออกไปลุยให้คุ้มค่าเวลา แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังนอนอย่างเมามันอยู่เลย
พอไม่มีอะไรทำ อาบน้ำแต่งตัวก็เสร็จแล้ว กระเป๋าก็จัดพร้อม เสบียงก็รองท้องเรียบร้อย ก็ยังไม่รู้จะทำอะไรอีก ก็เลยเปิดทีวีดูกันไป
ดูสิว่าคนเกาหลีเขาดูอะไรกันบ้าง
เปิดไปก็เจอะช่องรายการทีวีช่วงเช้าที่มีรายการต่างๆที่ออกจะละหม่ายคล้ายคลึงบ้านเรา เพียงแต่เยอะช่องกว่าหน่อย ก็คือ
มีสอง-สามช่องเป็นข่าวสารบ้านเมืองทั่วไป
มีสองช่องเป็นรายการหนังดังวันหยุด ตามสไตล์ก็คือ เอาหนังฮอล์ลีวูล เก่าออกโรง2ปี มาเวียนฉายกัน
แล้วก็มีช่องหนึ่งเป็นการ์ตูนเด็ก
แล้วสุดท้าย ที่ขาดไม่ได้ ก็คือ ช่องพระเจ้าจอร์จ มันยอดมากๆ!! ขายสินค้าออนไลน์ ช่วงเวลาที่ผมดูอยู่ มีแม่บ้านฝรั่งที่สวยอย่างกับนางแบบ
กำลังขายชุดมีดทำครัวทีคมมากขนาดหันแผ่นกระดาษที่ถือด้วยมือเดียวได้อย่างง่ายดาย แถมยังเลื่อยแผ่นสังกะสี กระดูกวัว ได้ชิลๆ
ไม่ต้องใช้เวลามากนัก (ดูแล้วนึกถึงตาลุง John Kramer ใน SAWเลย กลึ๋ย!)
เท่าที่ผมดูโฆษณาไปนี้ได้ประมาณ3นาที ก็เริ่มเกิดความเชื่อว่า มีดชุดนี้มันเทพจริงๆ คือตัดได้ทุกอย่าง เลื่อยก็ได้ ประกอบร่างเป็นกรรไกรได้อีก
และทุกชิ้นในชุดก็ดูมีอานุภาพสุดยอดกันทุกเล่ม คมขิงๆ ชนิดที่กระบี่เทียน กระบีเหลยยังอาย แต่ไม่วายแถมที่ลับมีดให้ด้วยนะ
ผมถึงกับหันไปบอก ผบ. ว่า "หนึ่งชุดมีห้าเล่ม เราซื้อกระบี่ เอ๋ยมีดทำครัวชุดนี้กลับบ้านดีไหมจ๊ะ" พร้อมชวนให้คุณเธอนั่งดูสรรพคุณ
โดยที่ผมโน้มน้าวให้เห็นถึงความมีประโยชน์ของมัน โดยประเมินความคุ้มค่า อรรถประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และมูลค่าเหมาะสมของอาวุธทำครัวชุดนี้ขนานใหญ่
ไม่อยากจะเชื่อ แต่ว่าช่องแบบนี้มีจริง มีกันทุกประเทศ ต้นตำหรับของรายการพวกนี้ก็มาจากทีวีไอ้กันเขาหละครับ
มอมเมาแม่บ้าน เด็กเล็กดูกันได้ทั้งวัน
(ตอนผมวัยรุ่น 10ปีที่แล้วก็มีฉายกันแพร่หลายแล้วครับ)
แต่เอ.. ผมกดช่องทีวีวนไปวนมา กลับไม่เจอรายการเล่าข่าวแบบช่องน้อยสีบ้านเราเลยนะ สงสัยคนเกาหลีคงไม่ชอบ >:(
-
จนแล้วจนเล่า ผมดูทีวี เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนครบทุกช่อง วนได้ประมาณ3รอบ จนไม่รู้จะดูอะไร ก็เลยเปลี่ยนมาดูรีโมททีวีแทน
สังเกตดีๆ รีโมทนี้มันไม่ธรรมดานะครับ รีโมทอันเดียวมีทั้งปุ่มควบคุม ทีวี ไฟแสงสว่าง อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ วิทยุ
ดีวีดี กันเลยนะเนี่ย 5 in1 ของแท้
เทพไม่น้อยหน้า Universal remote ของอดัม แซนเดอร์ ใน the click เลย! ;D
-
ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ฆ่าเวลาผมได้ไปประมาณครึ่งชั่วโมง หนูเพียรก็ตื่นพอดี
ผมก็เลยหลุดรอดออกมาจากการถูกทีวีสะกดจิตไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากเจ้าตัวเล็กอาบน้ำแต่งตัวกันพร้อมแล้ว เราก็ออกเดินทางไปตามแผนกันเลย
10โมงเช้า อากาศวันนี้ในโซลยังคงหนาวเย็นเช่นเคย แต่วันนี้พยากรณ์อากาศบอกไม่น่าจะมีฝนนะ
แค่ออกมาจากโรงแรมก็ปะทะลมหนาว บรือ...
เกือบตั้งตัวกันไม่ทัน แม่ลูกก็จัดแจงห่มคลุม กันความหนาวกันขนานใหญ่
-
ระหว่างเดินออกจากโรงแรมมาได้ไม่ไกลนัด ผมเห็นวัตถุแปลกๆเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความเร็ว
ก็เลยรีบชักกล้องออกมากดภาพไว้ได้
Dude นี้มาเล่นสเก็ตบอร์ดกลางถนนแต่เช้าวันอาทิตย์เชียว!!
-
เช้านี้เราจะไปโซลทาวเวอร์ ที่อยู่บนยอดเขาในสวนนัมซานกัน ซึ่งนี่เป็นเพียงไม่กี่สถานที่ในทริปของเรา ที่ไม่สามารถไปได้ด้วยรถไฟใต้ดิน!!
อ่าว มึนเลย! อยู่กรุงเทพ เมืองสยาม ไอ้เรายังขึ้นรถเมล์ผิดสาย ลงรถตู้ผิดป้าย
ปีก่อนไปฮ่องกง ก็ยังไม่วายรอรถ airport bus ผิดฝั่งถนน
แล้วนี้ โซล จะรอดไหมนี่!!!
ก็เพราะอยู่เช่นนี้ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองไทย เราก็จึงเตรียมตัวทำการบ้าน หาข้อมูลวิธีเดินทางไปสวนนัมซาน หอคอยโซลกันมาแล้ว
ซึ่งแต่ละสายข่าว(รีวิว)ก็บอกไม่เหมือนกัน คือบ้างก็ว่า ขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน สายสีฟ้า สถานี Myeongdong แล้ว ก็ไปต่อ cable car,
หรือ รถเมล์ หรือไม่ก็เดินขึ้นก็ได้...
แม่ลูกเดินขึ้นบันได พ่อแบกเป้ รถเข็น ถือกล้องถ่ายรูป คลานตามขึ้นไป
-
ตามแผนเราก็อยากจะไปขึ้นเคเบิ้ลคาร์กันนั้นแหละครับ จะได้ชมวิว ได้บรรยากาศไปด้วย
แต่พออยู่ที่จุดเกิดเหตุแล้ว หาไม่เจอนี้สิว่าจะไปขึ้นเคเบิ้ลคาร์กันอย่างไร
-
ระหว่างที่รอท่านแม่หาหนทางขึ้นเขา
อากาศหนาวๆ อาจทำให้ใครบางคนเหงา(ง่วง)ได้
-
สุดท้ายเราก็เลยต้องเลือกนั่งรถเมล์ไป
โดยการอาศัยว่า คอยสังเกตุจากป้ายบนตัวรถเมล์เอา แล้วก็ขึ้นไปถามคนขับรถเมล์ให้ชัวร์ว่าเราขึ้นถูกป้าย
กำลังจะไปโซนทาวเวอร์นะ ไม่ใช่ไปคนละทาง
(ปรกติรถเมล์ก็มีขาไป ขากลับ ถ้าเป็นนอกบ้านเข้ากรุงอย่างเรา ไม่รู้ถนน ไม่รู้ทิศทาง ก็ต้องถามเพื่อระวังไม่ให้ขึ้นรถผิดทิศหละครับ)
แล้วก็ได้ขึ้นรถเมล์กัน
หนูเพียรได้โหนรถเมล์สมใจอยาก
การที่มาเทียวโซลครั้งนี้ ก็เป็นการได้ขึ้นรถเมล์ครั้งแรกของเธอเลยหละ
-
ระหว่างทางที่เราโหนกันอยู่บนรถเมล์นั้น ไม่ได้เป็นเส้นทางชิวๆนะครับ แต่เป็นเหมือนการนั่งรถขึ้นเขาตลอดเส้นทาง
คดเคี้ยววนไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ไม่แพ้นั่งรถขึ้นดอยสุเทพ เลยแม้แต่น้อย
และพลขับก็ขับได้เร็วอย่างชำนาญเช่นกัน (ก็พี่เขาขับทุกวัน วันละหลายๆรอบจะไม่ให้ชำนาญก็แปลกแล้ว
สงสัยฝีมือการขับขึ้นเข้านั้น น่าจะน้องๆ ทาคาฮาชิ เคสุเกะแห่งทีม อากางิRedSun )
แต่สองข้างทางก็วิวงดงามเช่นกัน วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าค่อนข้างปลอดโปร่ง จึงทำให้เราเห็นวิวเมืองโซลได้อย่างชัดเจน
(เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูครับ เพราะผมเอาแต่โหนรถเมล์)
แล้วก็หวนคิดไปถึงเส้นทางเดินขึ้นเขานัมซาน ผ่านสวนพฤกษศาสตร์ และมีสถานที่ให้แวะชมวิวหลายจุด
ซึ่งคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน และในช่วงที่อากาศหนาวแบบนี้+รถเข็นและเจ้าต้องน้อยมาด้วย เราก็คงต้องขอบายครับ
:)
-
และแล้วรถบัสก็พาเรามาถึงโซลทาวเวอร์!!
จุดนี้เป็นที่จอดรถบัสนะครับ ซึ่งยังต้องเดินขึ้นไปอีก
-
รถบัสคันนี้ มีกราฟฟิกรูปโซลทาวน์เวอร์ปลากรอบสวยดี เลยขอถ่ายเก็บเอาไว้หน่อยนะครับ
-
ที่นี้ก็คนเยอะตามภาษาสถานที่ท่องเที่ยวในวันหยุด อากาศเย็นสบาย แสงแดดกำลังดี เหมาะกับการออกมาเดินชมวิวมากๆ
-
ระหว่างทางเดินขึ้นยอดเขา หลังจากที่ถ่ายรูปนี้เสร็จ
ผบ ก็เข็นรถเข็น+หนูเพียร ขึ้นไปตามทางลาด เริ่มต้นอย่างเพลิดเพลินเจริญใจกับวิวสวยๆ อากาศเย็นสบาย
เข็นไปได้ประมาณ 10เมตร ก็หันกลับมาบอกกันสั้นๆ ดื้อๆ ว่า "พ่อจัดการต่อสิ" >:(
-
และแล้ว บททดสอบความอึดก็เริ่มอีกครั้ง
"เข็นรถ(เข็นเด็ก)ขึ้นภูเขา!!"
ดูเหมือนไม่น่าจะยาก
หนทางก็เหมือนจะไม่ไกล
เหตุการณ์จริง ในใจผมพูดว่า "ทำไมทางมันชันขนาดนี้ฟระ!!"
"ทำไมไม่ถึงยอดซะที่ฟระเนี่ย!!"
กว่าจะเข็นพ้นทางลาด เล่นเอาหอบแดดเลยครับ!!
-
ขึ้นมาถึงแล้วก็ขอถ่ายรูปหมูกันหน่อย
(กว่าจะมาถ่ายรูปนี้ได้ก็ ไอ้เราต้องขอพักหอบเหนื่อยไป5นาที)
รูปนี้มีสมาชิกทัวร์ครบสามคนครับ ได้รับความอนุเคราะห์จากชาวเกาหลีใจดี้ดีท่านหนึ่ง
เดินเข้ามาอาสาที่จะถ่ายรูปให้พวกเราเลยโดยผมไม่แม้แต่จะเอยปากขอ
ขอยืนยันอีกครั้งแล้วกันนะครับ ว่าชาวโซลใจดี เป็นมิตรกันทุกคน(ที่เราเจอนะ)เลยครับ ;)
-
อากาศบนเขานัมซานวันนี้เย็นพอควรเลยครับ สาวๆก็เลยได้สัมผัสลมหนาวกันสมใจ
-
บนหอคอยโซลทาวเวอร์ นั้นนอกจากขึ้นมาชมวิวกรุงโซล แบบ360อาศากันแล้ว ยังมี attractions ที่น่าชมหลักๆสามอย่างคือ
1. มีการแสดงการพลัดเปลี่ยนยาม ของทหารรักษาการณ์บนป้อม...(คล้ายๆกันกับของบ้านเรานะแหละ)
2. ชมพิพิธภัณฑ์หมีน้อย Teddy Bear
3. ที่คล้องกุญแจคู่รัก ตามรอยซี่รีย์เกาหลี :)
-
นี้ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์นะครับ แต่เป็นร้านของที่ระลึก TEDDY BEAR ล้วนๆ
สงสัยจัง ทำไหมสมัยนี้ คนเห่อหมีกันจัง บ้านเราก็ต้องหลินปิง หละ
-
สาวๆออกมาจากร้านพร้อมได้ของติดไม้ติดมือกันครบเลยครับ :D
-
เรามาดูด้านคล้องกุญแจกันบ้างดีกว่า
ต้นไม้สองต้นนี้เต็มไปด้วยกุญแจแบบที่เรียกได้ว่า แน่นสุดๆกันไปเลย
-
ถ้าสังเกตกันดีๆ จะเห็นว่ากุญแจยี่ห้อสามห่วงก็มีใช้กันแพร่หลายถึงที่เกาหลีด้วยนะครับ
-
ข้าวปั้นนี่กินได้ไม่เบื่อจริงๆ นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นก้อนที่เท่าไรตั้งแต่มาถึงโซลแล้ว
-
อีกด้านหนึ่งก็ขอทดลองขนมท้องถิ่นหน่อย ขนมนี้เราเห็นเขาขายกันตั้งแต่ที่ lotte worldแล้ว
เป็นแป้งอบแท่งยาวมาก เกือบครึ่งเมตร ดูแล้วก็ไม่น่ากินเท่าไร
แต่แล้ว มันก็เหมือนกับคนเห็นโฆษณาสินค้านั้นแหละครับ แรกๆอาจดูไม่เข้าท่า แต่พอเห็นบ่อยๆเข้า
มันก็ทำให้เรารู้สึกอยากลองจนได้
แล้วก็เป็นไปตามคาด!!
รสชาติเหมือนขนมไข่แข็งๆ โรยน้ำตาล ผมลองกินแล้ว หมาเห่าฮ่ง!
แต่ไม่รู้ว่าเพียรกินเข้าไปได้อย่างไร กินไปกินมาหมดแท่ง (หรือมันอร่อยสำหรับเด็ก หมาไม่แด๊_ สำหรับเรา) :-\
-
ขอเก็บภาพน่าสนใจมาฝากกันหน่อยนะครับ
นี้เป็นแผ่นพื้นหินตัดเป็นรูปแผนที่กรุงกลางเมืองโซล ตั้งอยู่บนลานชมวิว
เพื่อช่วยให้เรารู้ว่าเวลามองลงไปรอบๆเขาในทิศไหนแล้ว จะเห็นย่านใดของเมืองข้างล่าง
-
รูปป้ายห้องน้ำบนเขานัมซาน กราฟฟิกน้องหมีน่ารัก เขาเข้าใจคิดดีนะ
-
หลังจากลงมาจาก โซลทาวเวอร์ด้วยรถเมล์เช่นเดิมแล้ว เราก็ลงซัพเวย์ หาขบวนรถไปที่จะไปจุดหมายที่สอง
ถนนช็อปปิ้ง "อีแทวอน" ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของภูเขานัมซาน
ที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็นตลาดนานาชาติ เนื่องมาจากในอดีตนั้น ทหารอเมริกันได้มาตั้งค่ายรักษาการณ์ Yongsan Garrison
ถนนอิเทวอนซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงจึงได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นตลาด และบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานทูตหลายประเทศ
รวมทั้งสถานฑูตไทยก็อยู่ในย่านยงซานด้วย
เขาว่าที่ตลาดนี้ยังพอที่จะหาของแบรนด์เนมก็อปได้บ้าง
และก็ตามสไตล์ย่านฝรั่ง ก็จะมีร้านอาหารไทย แขก เปอร์เซีย เม็กซิกัน ฯลฯ มีผับ บาร์ ให้นั่งดูแสงสียามค่ำคืนได้ ;D
-
ตู้ขายยาอัตโนมัติ!!
-
และแล้วเราก็มาถึงสถานี Noksapyeong เพื่อเดินอีก 100 เมตรไปหัวถนนถนนอีแทวอน
จากที่นี้มองออกไปเห็น soul tower ด้วยนะ
-
ทางเข้าย่านช็อปปิ้งนี้จะมีซุ้มประตูโค้ง Welcome to Itaewon ต้อนรับอยู่ด้านหน้าถนน
แสดงว่าเราจะเข้าเขตอิแววอนแล้วนะ
ระหว่างทางเดิน ผมเห็นตึกร้าน Holly coffee ร้านกาแฟมีชื่อของเกาหลี บนตึกทรงแปลกๆ
ดูพยายามจะโมเดิร์น เลยถ่ายรูปมาเป็นที่ระลึก :D
-
เนื่องจากว่า ตั้งแต่สายๆที่เราออกจากโรงแรมกันมาแล้ว ก็ยังไม่ได้รับประทานอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอัน
และด้วยความที่มาถึงอิเทเวอนแล้วด้วยก็อยากจะเดินเที่ยวกันเลย จึงต้องรีบหาอาหารจานด่วนมาประทับชีวิต
อย่างรวดเร็วไปก่อน
เลยเลี้ยวเข้าร้านอาหารร้านแรกที่เจอ KFC พอดี
เข้าไปถึงหน้า counter ผมก็จัดชุดมาตรฐาน Singer Berger มาอย่างเรียบร้อยรวดเร็ว
และแล้วความพลาดก็มาเยือนอีกแล้ว! หากินง่ายๆที่ไร พลาดทุกที!!
(ดูไอ้หนุ่มโต๊ะข้างๆมันก้มหน้าก้มตากับ burger มันสิ โดนเข้าเหมือนกัน!!)
-
ชุด Zinger เบอร์เกอร์ Package สีสันสวยสดมาก แต่แกะออกมาแล้ว น่าตาเซ็งเป็ดอย่าบอกใคร
ไก่ทอดนี้นิ่มย้วย ผักกาดแก้วเงี้ยเป็นก้อนเชียว!!
-
เนื่องจาก Burger จาก KFC กระเดื้อกไม่ลง ทำลายอัตรส ในการท่องเที่ยวอย่างมาก!
เราจึงต้องรีบไปหารสชาติอูมามิ เอามาล้างปากเสียก่อนจะไปต่อ
ถัดไปไม่ไกล มีร้านขายคุ๊กกี้ที่มีคนเกาหลี ฝรั่งต่อคิวกันพอสมควร สภาพคล้ายกันกับร้านแป้งทอดวันแรกเลย
แปลความได้สถานเดียวว่า อร่อยชัวร์!!
ว่าแล้วก็ต้องเข้าไปโดนร้านนี้กันซักหน่อย เราจัด Double Chocolate Cookie มาหนึ่งหน่วย
คุกกี้ชิ้นเดียว ขนาดเท่าฝ่ามือ เป็นแบบคุกกี๊แป้งช็อกโกแลตเนื้อนิ่ม ส่วนช๊อกโกแลตชิปที่อยู่ในคุ๊กกี้
นั้นก็เยิ้มและหอมมาก รสชาตินั้นอร่อย แน่น เข้มจนบรรยายไม่ถูก แต่ขอบอกว่าชิ้นเดียวไม่พอครับ!
แต่ราคาชิ้นหนึ่งนั้นเกือบเท่า ชุดแฮมเบอร์เกอร์KFC เมื่อซักครู่เลย
เรียกได้ว่า ทั้ง KFC และ Ben's Cookiesนั้น ปริมาณนั้นสวนทางกับความอร่อยจริงๆ
-
อินในอารมณ์(เหม่อ)อีกแล้ว ลูกเรา
-
ย่านนี้เราจะได้พบเห็นชาวต่างชาติได้มากกว่าย่านอื่นๆในโซล ส่วนสินค้าแฟชั่นจะเป็น Street brand
และ Hi-street ส่วนของที่ระลึกก็เป็นสินค้าเกรดกลางๆ ราคาไม่สูง แต่ก็ไม่ได้ของแนวแบบที่อินซาดง
หรือย่านฮงอิก และก็ไม่แฟชั่นประตูน้ำแบบทงแดมุน
เราเปลี่ยนบรรยากาศมาชมรถกันบ้างดีกว่า ;D
ตั้งแต่เข้ามาที่ถนน อีแทวอนนี้ ผมเห็นรถสวยๆหลายคันทีเดียว
เหมือนว่าถนนเส้นนี้เป็นที่ที่คนมีสตางค์เขา เอาของมาโชว์กัน
ทำไมผมถึงบอกเช่นนั้น ก็ตั้งแต่เดินเข้าถนนนี้มา ผมเห็นทั้งเฟอร์รารี่ F430 spyder, มาเซราติ grand turismo,
jaguar xf และ xj, Benz และ BMW, รถอเมริกันหรูๆหลายคัน ถ่ายทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ก็พอเก็บภาพมาได้บ้างนะ
-
เริ่มกันที่รถไอ้กัน ที่ไม่มีโอกาสได้เห็น ก่อนแล้วกัน
GMC ACADIA เป็นรถแบบ Full size crossover ขนาดใหญ่เท่าบ้าน ยาว5เมตรกว่า กว้างกว่า2เมตร ที่นั่งสานตอน
โอเวอร์แฮงค์หน้ายาว เพราะวางเครื่องขับหน้า และแบบขับสี่ก็มีให้เลือกสรร
วางตลาดในอเมริกาและขายดีขิงๆ ตั้งแต่ปี 2007 ถึงปัจจุบันก็มีโฉม Minor change แล้ว
-
ถัดมาเป็น compact crossover ชื่อคุ้นหูคนไทย KIA Sportage แต่รุ่นที่เห็นนี้ เป็น Third Gen แล้วครับ
เพิ่งวางตลาดในปี 2010 และรูปโฉมและเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวนี้ ก็ได้ถ่ายทอดมายังรุ่นพี่ KIA Sorento 2013
ที่เกีย ยนตรกิจ นำเข้ามาลุยตลาดในไทยกันอีกรอบ
-
คันนี้หน้าตาคุ้นเคย เพราะมีจัดจำหน่ายในบ้านเรา แม้ว่าจะไม่ได้เห็นกับบ่อยนั้น แต่ก็เหลียวหลังทุกครั้งที่มันแล่นผ่าน
กับ Jaguar XF
ต้องขอบคุณการนำทีมออกแบบของ Ian Callum จึงทำให้เราได้เห็น จากัวร์ ที่หลุดออกมาจากกรอบเดิมๆจนสวยเท่ห์ได้ขนาดนี้
-
ส่วนคันนี้ก็มีขายในบ้านเรา แต่หายากกว่า XF ขึ้นไปอีก และก็ต้องหันกันคอเคล็ดทุกครั้ง
กับ Gran Turismo, Maserati
-
แต่คันนี้สุดกว่า Dodge Charger 2006 muscle car ขนานแท้ โด่งดังมาจาก The Fast FIVE รถตำรวจสุดแรงส์
ที่ลากตู้เซฟไปได้เร็วกว่านรก!! (อยากเห็นหน้าเจ้าของรถจริงๆ จะล่ำแบบพี่ดอมไหมเนี่ย!!)
-
เก่ากันหน่อย แต่ก็ยังเป็นไอคอนได้อยู่ กับ Chrysler PT Cruiser !!
โมเดลเดียวลากขายมาได้ยาวนานกว่า10ปี ยังไม่เคยเปลี่ยน โดยรุ่นนี้เปิดตัวตั้งแต่ 2000 และเคยถูกนำเข้ามาขายพักหนึ่งในไทย
โดย DaimlerChrysler Thailand แต่ขายได้ไม่มากนัก ด้วยค่าตัวที่เป็นรถนำเข้า แต่ด้วยดีไซน์แบบ Retro ก็เรียกเสียงฮือฮาในยุคนั้นได้ไม่แพ้ Rover Mini
อ่านเพิ่มได้จากที่นี่นะครับ
http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=1403:chrysler-pt-cruiser-9-&catid=47:worlds-news&Itemid=160 (http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=1403:chrysler-pt-cruiser-9-&catid=47:worlds-news&Itemid=160)
-
BMW 135i (ซีรีส์หนึ่ง 135i หาง่ายนะครับ เห็น2คันแล้ว แต่120i นี้สิ หายากยังไม่เจอเลย ตรงข้ามกับบ้านเรา!)
-
TOYOTA Sienna รถแม่บ้านลูกดก ขนานแท้ ด้วย สโรแกน "Mommy Like"
http://www.toyota.com/sienna/# (http://www.toyota.com/sienna/#)!/Welcome
ออกแบบสำหรับตลาดในอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ ยังหาดูได้ที่นี่ อิแทวอน!!
-
Audi S4
-
Series5 GT
-
SRX สวยเฉียบตามแบบของ Cadillac ยุคใหม่
-
Infiniti G37 แต่คันที่สองนี้ไม่ใช่ coupeนะ แต่เป็น Convertible!
รุ่นนี้นับญาติได้เป็นผู้พี่ของ Nissan 370Z
-
EQUUS Limousine
-
Volk swagen Phaeton
รถ Flagship ของค่าย รุ่นนี้ก็ลากได้10กว่าปีเช่นกัน
-
Veloster ล้อและสติกเกอร์พร้อม
-
ตามด้วย Genesis Coupe ศิษย์ผู้พี่ สีแสบสันต์!!
-
ส่วนคันสุดท้ายนี้ ทายกันหน่อยครับว่ารถรุ่นอะไรเอ่ย??
-
และผมขอปิดท้ายช่วงนี้กันด้วย มอเตอร์ไซด์ สวยๆ จากสามสัญชาติกันครับ
-
ป้า! เป็นคันสุดท้ายครับ
-
สรุปไปอิเทวอน พวกเราเกือบจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย ขนาดแฟนแวะชมร้านเครื่องหนัง รองเท้า ร้านกระเป๋าหลายร้าน ก็ยังไม่ถูกใจ
จนจะกลับอยู่แล้ว(เกือบรอด) แวะเข้าร้านสุดท้าย คุณเธอก็ได้กระเป๋าสะพายหนังแท้สีดำ made and designed in Korea
ดูสวย เรียบหรู ในราคาไม่แพง มาหนึ่งใบ
คิดว่าจะรอดแล้วเรา สุดท้ายแล้วก็ไม่รอดจนได้ :D
-
นั่นคือโฉมหน้าของกระเป๋าใบที่ว่า (ผบ เรานี่ เบอร์ห้าซะไม่มีหงะ)
แล้วเราก็ขึ้นรถไฟใต้ดิน เดินทางเข้าเมียงดง เพื่อหาเรื่องทำให้กระเป๋าแดงเบาลงอีก และท้องหนักกันต่อ
แล้วสัปดาห์หน้า ผมจะมาเขียนต่อนะครับ ;)