ผู้เขียน หัวข้อ: ขอคำแนะนำหน่อยน่ะครับ "ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย พี่ๆค้นหาตัวเองและอาชีพได้อย่างไร"..  (อ่าน 17858 ครั้ง)

ออฟไลน์ osment

  • Internship
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 791
-------------------------------------------------------------------------------------------------

รบกวนขอคำแนะนำหน่อยน่ะครับ  "ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ค้นหาตัวเองและอาชีพที่ตัวเองอยากทำได้อย่างไร"  ครับ

-------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมประสบกับคำถามนี้มาตั้งแต่ ม.6 แล้วครับ

ตอนนี้ผมเรียนอยู่คณะวิศวกรรม ปี1 ครับ จับพัดจับพลูเข้ามาเรียนได้อย่างไรไม่รู้

ทั้งที่ผมเรียนคณิตและฟิสิกส์ไม่เก่งเลย (ม.ปลายได้เกรด 2-2.5 มาตลอด 3 ปี)

รอบสอบตรงก็เดาโลดเลยครับ แต่ก็ดันติดมา  ที่บ้านก็เฮกันใหญ่ครับ  ได้เป็นหน้าเป็นตา+อยากให้ผมเรียนวิศวะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ตอนนั้นผมก็ยังงงๆกับตัวเองครับ
(อยากเป็นโน้นเป็นนี้ อยากหลายอย่าง หาความชัดเจนในตัวเองไม่ได้ ดูอาชีพนี้ก็ชอบ พอไปดูอีกอาชีพก็ชอบอีก)

กอปรกับพ่อแม่ท่านอยากให้เรียน + ใครหลายๆคนบอกว่าอาชีพนี้เงินดี มั่นคง จบมามีงานแน่นอน แล้วก็ยกตัวอย่างคนโน้นคนนี้ที่ทำงานวิศวะมาให้ฟัง

ผมก็เลย"เลยตามเลย"ครับ ไหนๆก็ได้มาแล้ว  เรียนก็เรียนว่ะ

พอได้เข้ามาเรียนแล้ว ผมพบว่ามันไม่ใช่แนวทางของผมเลย 

ผมทุกข์ใจทุกครั้งที่เข้าเรียนฟิสิกส์ ฟังบรรยายอันหน้าเบื่อหน่ายของอาจารย์ เรียนไม่มีความสนุกเลย เครียดมากครับ  (ตรงกันข้ามกับคณิต แต่ผมยังเรียนไม่ได้อยู่ดี)

ว่างก็อ่านหนังสือบ้าง ทำโจทย์บ้าง แต่ผมยอมรับตรงๆเลยครับ ผมทำได้ไม่นานครับ จับต้นชนปลายไม่ถูก เห็นแล้วประสาทกิน ทำเอาท้อ ไม่อยากเรียน

แต่ทุกครั้งที่เป็นภาษาอังกฤษ สังคม ผมก็จะทำได้ดีมาตลอดครับ (ม.ปลายได้เกรดที่ดีๆตลอดครับ คะแนนก็สูงที่สุดในห้อง  Gat อังกฤษ ก็ได้เยอะครับ สอบไปแลกเปลี่ยนก็ติดทุกครั้งครับ)

ผมเครียดมากครับ นอนไม่หลับมาหลายคืนแล้วครับ  เครียดจริงๆ

ตอนนี้คิดว่าผมจะทนเรียนต่อไป หรือ จะซิ่วไปคณะอื่นดี

ถ้าผมซิ่วไปเรียนคณะอื่นที่เป็นด้านภาษา จบมาแล้วจะทำงานอะไร  มั่นคงแค่ไหน เงินดีมั้ย

ในขณะนี้ ผมยังค้นหาตัวเองไม่ได้เลยครับ ยังไม่มีทิศทางที่แน่นอน ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร ทำงานอะไร

สับสนวุ่ยวายกับชีวิตเหลือเกินครับ

-------------------------------------------------------------------------------------------------

รบกวนขอคำแนะนำด้วยน่ะครับ 

ถ้าไม่รบกวนมากไป ผมอยากทราบด้วยครับ ว่าพี่ๆจบอะไรมา ตอนเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ทำงานอะไรอยู่  มีความสุขกับงานที่ทำมากน้อยแค่ไหน

ขอขอบคุณมากๆน่ะครับ ที่ให้พื้นที่ให้ผมได้ระบายความเครียดความอัดอั้นนี้ออกไปบ้าง

-------------------------------------------------------------------------------------------------


ออฟไลน์ nicsjerry

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 497
    • อีเมล์
ผมอยู่ หอการค้าปี 3    ที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์  เลยต้องเจริญรอยตามเพื่อความสานต่อ ของครอบครัว    >.<"

ออฟไลน์ Nut_K

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,226
ของผมตอนแรกอยากเข้าคณะบริหารมากๆ เพราะที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัวอยู่

 ตอนสอบกลางเลยเลือกคณะบริหารไปซะ 2 ที่

สดท้ายเกิดติดขึึ้นมา พอไปเรียนสักพัก พบว่ามันไม่ใช่แนวเลยลาออกมาเข้าที่คณะมนุษยศาสตร์ ม.กรุงเทพแทน

ตอนนี้ปี 3 ละครับ

ปล.เรียนศิลป์-ภาษามาแต่กระแดะเข้าคณะที่ต้องเรียนเลขเยอะที่สุด

ออฟไลน์ kman007

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 134
    • อีเมล์
คงต้องย้อนไปในช่วง 20 ปีที่แล้ววิศวกรในภาคอุตสาหกรรมเป็นที่ต้องการมากผมก็เลยเลือกมาทางนี้ครับแล้วก็ซื้อสมุดหางานมาดูก็เห็นว่าที่รับสมัครกันบ่อยๆก็พวก วิศวกร ช่างเทคนิด บัญชี ก็เลยมุ่งหน้ามาทางนี้เลย.........แต่ทุกวันนี้วิศกรล้นตลาดมากในภาคอุตสาหกรรม ฮิ ฮิ ไม่ได้บ่นนะแค่เล่าให้ฟังแล้วก็ตอนเรียนแล้วมาใครถามว่าเรียนอะไรก็จะรู้สึกว่าเทห์มากเมื่อตอบออกไปว่า...วิศวไฟฟ้าครับ


ปล. ผมเรียนๆโดดๆนะให้ผมนั่งทั้งวันและทุกวันก็ไม่ไหวครับ(ไม่แนะนำให้ทำตามครับ)
ปัจจุบันก็เป็นหัวหน้าวิศวกรในบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 20, 2010, 07:42:10 โดย kman007 »

ออฟไลน์ 470127

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 324
  • BMW e34 Y1993 & Captiva c140 Y2013
ขอให้คำแนะนำจากผมวัยรุ่นอายุ 30 กว่าๆๆ 555
ถ้าน้องบอกว่า ไม่ชอบที่จะเรียน ก็เปลี่ยนเถอะครับ มันทุกข์เปล่าๆ ที่ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ แล้วพาลจะทำให้ผลการเรียนไม่ดีด้วย แต่...
แต่ถ้ากลัวพ่อแม่จะเสียใจที่เราจะไม่เรียน ก็ลองดูครับ ลองเรียนดู พยายามให้สุดๆๆ ไปเลย เริ่มแรกอาจจะไม่ชอบ ไม่ถนัด หากเพียรพยายามจริงๆ ก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกันครับ ผมเชื่อสิ่งนี้มาตลอด
สำหรับผม ก็เรียนในสิ่งที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่ามาตลอด ป ตรี เรียน บริหารการตลาด ป โท เรียน บริหารคอมฯ จบมาทำงานในสิ่งที่ไม่ได้เรียนมาโดยตรงเลยครับ เป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่เรียนนำมาใช้โดยทางอ้อม ก็คือ แนวกระบวนความคิด ความรับผิดชอบในหน้าที่ และการทำงานเป็นทีม ครับ
สุดท้าย ชีวิตของน้อง น้องเลือกเองได้ครับ ว่าจะเดินไปทางไหน พร้อมจะลุยต่อกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือถอยสักก้าว เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เพื่อเดินตรงลุยไปข้างหน้าต่อ ใจเย็นๆ ครับ (ปรึกษาพ่อแม่ก็จะได้คำแนะนำที่ดีพอสมควรนะสำหรับกรณีตัวผมเอง) ยังไงก็ขอให้น้องโชคดีครับ
ปล ชีวิตของคนแต่ละคนมีทางเดินของตัวเองครับ ไม่มีรูปแบบใดที่ดีที่สุด แต่จะมีรูปแบบที่เหมาะสมแต่ละคน สำหรับผมนะ คนที่พยายามปรับตัวเองให้อยู่ให้ได้กับทุกสถานการณ์จะประสบความสำเร็จ เพราะผมเห็นตัวอย่างนั้นจริงๆ แล้วครับ ซึ่งผมเองก็ยังต้องเรียนรู้ชีวิตอีกเยอะครับเพื่อจะได้อยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข

ออฟไลน์ patzahut

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,091
ของพี่เรียน ไฟฟ้ามา พึ่งทำงานได้ 2 เดือนคับ  พึ่งเริ่มงานยังไม่มีอะไรมาก

งานหาไม่ยากนะคับ ถ้าไม่เลือก มี แน่นอน  ถ้าเลือกก็รออีกนิด

ตัวพี่เองเป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือ แต่ชอบคำนวณ+สนใจเรื่องเทคโนโลยี สอบแต่ละครั้ง ไม่อ่านเกิน 3 วันคับ แล้วก็เน้น อ่านวันนี้ สอบพรุ่งนี้ ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง
แต่ถ้ามันมากจริงๆ วันเดียวไม่ทันหรอก เอาแค่ครึ่งเดียวไปสอบก็บ่อย

ปัญหาของน้องคือ 
1.ถ้าเรียนต่อไป ต้องจบนะ  ถ้าเรียนแล้วรวม 4 ปี คิดว่าไม่ถึง 2 แน่ๆ  อันนี้ต้องคิด    แต่ถ้าเข้าได้ พี่ว่าน่าจะไหลไปได้อยู่นะ 2.5 น่าจะพอไหว
2.ทุกคณะ ปี1 เค้าก็เรียน ฟิสิก เคมี เลขเหมือนกันนะ หมอก็ต้องเรียนฟิสิก ถ้าเปลี่ยนคณะก็เจอฟิสิกอีกเหมือนเดิม

คือ เนื้อหาของ ปี 2 3 4 ถือว่ายากกว่าปี 1 นะ เพราะเราไม่มีพื้นฐาน  +  มันจะใช้เลข ที่เจาะเข้าไปอีกระดับนึงจาก ม.ปลาย (อย่าพึ่งกลัวนะ เค้าจบกันมาเยอะแยะ แนวข้อสอบ มันก็เหมือนเดิมแหละ เข้าใจตรงนั้นก็ทำได้ละ   อ่อ ข่าวดีคือ แนวโน้มส่วนใหญ่ เนื้อหา ปี 2 3 4 มันจะน้อยกว่าปี 1 นะ สอนเป็นเรื่องๆ แต่ก็ยากกว่า   "น้อยแต่ยาก บางวิชาเท่านั้นนะ")
พี่แนะนำว่า น้องควรมีกลุ่มเพื่อน ช่วยกันเรียน ชวนกันไปอ่านล่วงหน้าอย่างน้อย 2 อาทิตย์ น่าจะทำให้น้องพออ่านทันและทำข้อสอบได้  ตั้งใจฟังในห้องเรียน ช่วยได้บ้าง อย่านอนดึก

แล้วก็ เทอม 1 ยังไม่สอบปลายภาค ยังไม่รู้เกรดเลย    ถ้าไม่มั่นใจ ก็ลง สอบ ent ไว้ เผื่อเปลี่ยนแปงในอนาคต  แต่ถ้าไม่นับสายแพทย์  พี่ว่าวิศวะน่าจะมีโอกาศไปไกลกว่าสายศิลป์ได้นะ  ยิ่งภาษาดี เค้ารับหมด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 19, 2010, 08:32:52 โดย patzahut »

ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,047
ตัวผมเองก็ยังหาไม่เจอเหมือนกันครับ หาอยู่เลย
ถ้าสนใจสังคมและภาษา รัดสาด IR ดีไหมครับ

ออฟไลน์ patzahut

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,091
พี่ว่าเรียนที่ชอบ หาข้อมูลมากๆ ว่าอนาคตจบแล้วทำงานยังไง แบบไหน  มันก็มีเยอะนะที่ไม่ทำงานตามสายที่เรียน  แต่ตอนนี้เรายังเด็ก ยังพึ่งเริ่มต้น ให้คิดว่า จบแล้วเราต้องทำงานตามสายที่เรียนมาก่อนละกัน

ยังไงแล้วภาษาสำคัญสุดคับ

ออฟไลน์ Terng

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,759
พี่คล้ายๆน้องมาก...

พี่เป็นคนที่สนใจเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์มาก แต่ไม่เก่งเลขมากเท่าไหร่พอเอาตัวรอด (เรียนได้ 3 เป็นหลัก 2 ก็เยอะ เคยได้ 4 ครั้งเดียว ตอนมัธยม) ส่วนฟิสิกส์พี่ชอบเฉพาะภาคทฤษฎีที่ไม่ใช่คำนวน พอสอบออกมาเลยคะแนนไม่ดี(โดนภาคคำนวนถ่วง)

สุดท้ายไปเข้าค่ายลานเกียร์รุ่น 2 ที่วิดวะจุฬา แล้วก็บอกตัวเองว่า เอาวะ วิดวะก็ได้มั้ง เพราะที่บ้านก็เชียร์เหมือนน้องเนี่ยแหละ แต่เอาจริงๆพี่อยากเรียนบริหารฯ เพราะมันติดภาพนักธุรกิจหนุ่มใส่สูทขับรถหรูๆ มันดูเท่ชิบเป๋งเลยหวะ เคยบอกที่บ้านอยากเรียนบริหารฯของเอแบค แต่เค้าบอกถ้าอยากเรียนธุรกิจ จบม.6 ไม่ต้องเรียนต่อเลย มาทำที่บ้านเดี๋ยวก็เป็น (บ้านทำธุรกิจอยู่หลายตัว) พี่ฟังแล้วก็เซ็งห่านมากๆ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเรียนวิดวะเอง ทะลึ่งเอ็นท์ติดวิดวะลาดกระบังด้วย (คะแนนอังกฤษ กับพื้นฐานวิศวะดี เลยเข้าได้ อย่าพูดถึงเลขกับฟิสิกส์นะ - -")

พอพี่เข้ามาเริ่มเรียนจริงๆจังๆ ก็พบว่ามันไม่ใช่แนวทางตัวเองเลยหวะ แต่รู้ว่าที่บ้านดีใจมากๆที่เข้าที่นี่ได้ พี่ก็ต้องพยายามเรียน แต่เมื่อความถนัดเรามันไม่ใช่ ความสามารถมันไม่ถึง เมื่อสอบออกมาตัดเกรด มันต่างกันเยอะ พี่เกาะมีนได้ก็บุญแล้วตอนนั้น สอบเทอมแรกผ่านไปเก็บเกรดมันทุกตัว A-F มีหมดเป็นคอลเลคชั่นเลย แต่เกรดเฉลี่ยได้ 1.98 สะงั้น ติดโปรมันตั้งแต่เทอมแรก ตอนนั้นเครียดจนผมร่วงเยอะมากๆ เพราะตอนอ่านหนังสือสอบ พี่บอกได้เลยว่า มันวัดธาตุแท้ของคนได้จริงๆ เจอหลายเรื่องมาก จนตอนนั้นเริ่มกลับมามองที่เคยอยากเรียนคือบริหารแล้ว

สุดท้ายมันรู้ว่าไปไม่รอด สุดทาง แต่บอกที่บ้านเค้าก็เสียดายโอกาสตรงนี้ หาว่าพี่ยังไม่ตั้งใจดีพอ มัวแต่เล่นเกมป่าว ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่แบบนั้นเลย สุดท้ายพี่เซ็งมากเลยเรียนแบบหมดอาลัยตายอยาก แล้วสุดท้ายเป็นไง?

รีไทร์ตอนซัมเมอร์แรก

ตอนนั้นก็ช็อกไปเหมือนกัน ที่บ้านเสียใจกันมาก แล้วมาคุยกับพี่ว่าจะส่งไปอเมริกา แต่พี่ไม่ไป อยู่ดีๆเพิ่งไทร์มา อีกสองอาทิตย์มาจะให้ไปเลย บ้าหรือเปล่า พี่บอกพี่อยากไปดูที่เอแบคมากกว่า ไม่อยากไปไกลบ้าน

สุดท้ายพี่ไปเอแบค พอเจออะไรที่มันใช่ปั๊บ งานนี้เหมือนได้ยาดี เรียนเกรดพุ่งทะลุเป้าไปไกล ตอนแรกพ่อแม่เค้าคิดว่าเป็นเพราะเอแบคมันเลยง่ายหรือเปล่า แต่ของอย่างนี้ใครไม่เรียนเองอย่าพูดว่าเอแบคปล่อยเกรด มีแต่จะพยายามให้ตกเพื่อเอาเงินไปสร้างตึก เหอๆ Eng IV เพื่อนพี่บางคนโดนไป 5-6 รอบแล้ว จะครึ่งแสนอยู่แล้ว

ที่บอกนี่ไม่ใช่จะโอ้อวดว่าพี่เรียนดี แต่อยากยกตัวอย่างให้ดูว่า พอพี่มาเรียนอะไรที่ชอบจริงๆ มันใช่ มันมีความสุข มันจะทำได้ดี สุดท้ายพี่ประสพความสำเร็จในสาขาที่เรียนมาก (บริหารการตลาด) ลงแข่งให้มหาลัยเอารางวัลกลับบ้านมา

ชีวิตมาพลิกผันอีกทีตอนเรียนจบ เพราะทำงานไม่ตรงสายเลย คือพี่มาได้งานเป็น Project Manager ของ research agency แทน แม้มันจะไม่ใช่ marketing แต่มันก็ยังเป็น management อยู่ ซึ่งมันก็สนุกสนานท้าทายมากๆ ทำงานเต็มที่ทุกวันเพราะไม่คิดว่าเป็นงาน ก็ได้รับโปรโมตๆ (แอบคิดเล่นๆว่า เงินเดือนตอนนี้ ถ้าให้เราเรียนดันทุรังจบวิดวะที่ไม่ชอบออกมาจริงๆ อีกนานแค่ไหนกว่าจะได้เงินเดือนเท่ากัน จะก้าวหน้าได้เท่ากับตอนนี้)

=============

บางครั้งนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความสุขของเรากับสิ่งที่ทำตรงนี้มากกว่า ทำอะไรก็ได้ที่เราไม่อึดอัดใจ ถ้าเรียนวิดวะแล้วมันหนักใจ ก็ซิ่วใหม่ไปเรียนอะไรที่เราชอบ"จริงๆ" แต่หากว่ามันไม่ใช่อันที่เราชอบ แต่เรารู้สึกว่ามันโอเค (เหมือนงานที่พี่ทำ ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้อึดอัดใจหรือรังเกียจอะไร เพราะมันก็ท้าทายดีกับสิ่งที่เราไม่เคยเรียน ไม่เคยทำมาก่อน) พี่ว่าคราวนี้อยู่ที่เราจะบริหารจัดการตัวเองอย่างไรให้ทำมันได้อย่างราบรื่นมีความสุขมากกว่านะ

ทุกอย่างอยู่ที่มุมมองครับ เอาใจช่วยนะน้อง
=====================
รถที่ใช้เป็นประจำ
2013 Toyota Camry Extremo 2.0
2015 Ford Ranger T6 XLT Open Cab 2.2 MT
2018 Toyota CHR HV Mid
=====================

ออฟไลน์ jjorasa

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 12
ขอให้คำแนะนำจากผมวัยรุ่นอายุ 30 กว่าๆๆ 555
ถ้าน้องบอกว่า ไม่ชอบที่จะเรียน ก็เปลี่ยนเถอะครับ มันทุกข์เปล่าๆ ที่ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ แล้วพาลจะทำให้ผลการเรียนไม่ดีด้วย แต่...
แต่ถ้ากลัวพ่อแม่จะเสียใจที่เราจะไม่เรียน ก็ลองดูครับ ลองเรียนดู พยายามให้สุดๆๆ ไปเลย เริ่มแรกอาจจะไม่ชอบ ไม่ถนัด หากเพียรพยายามจริงๆ ก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกันครับ ผมเชื่อสิ่งนี้มาตลอด
สำหรับผม ก็เรียนในสิ่งที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่ามาตลอด ป ตรี เรียน บริหารการตลาด ป โท เรียน บริหารคอมฯ จบมาทำงานในสิ่งที่ไม่ได้เรียนมาโดยตรงเลยครับ เป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่เรียนนำมาใช้โดยทางอ้อม ก็คือ แนวกระบวนความคิด ความรับผิดชอบในหน้าที่ และการทำงานเป็นทีม ครับ
สุดท้าย ชีวิตของน้อง น้องเลือกเองได้ครับ ว่าจะเดินไปทางไหน พร้อมจะลุยต่อกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือถอยสักก้าว เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เพื่อเดินตรงลุยไปข้างหน้าต่อ ใจเย็นๆ ครับ (ปรึกษาพ่อแม่ก็จะได้คำแนะนำที่ดีพอสมควรนะสำหรับกรณีตัวผมเอง) ยังไงก็ขอให้น้องโชคดีครับ
ปล ชีวิตของคนแต่ละคนมีทางเดินของตัวเองครับ ไม่มีรูปแบบใดที่ดีที่สุด แต่จะมีรูปแบบที่เหมาะสมแต่ละคน สำหรับผมนะ คนที่พยายามปรับตัวเองให้อยู่ให้ได้กับทุกสถานการณ์จะประสบความสำเร็จ เพราะผมเห็นตัวอย่างนั้นจริงๆ แล้วครับ ซึ่งผมเองก็ยังต้องเรียนรู้ชีวิตอีกเยอะครับเพื่อจะได้อยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข


ความเห็นข้างบนนี้ดีจังค่ะ...
คล้ายกับว่าคนเราต้องปรับตัวเองให้เข้ากับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (^__^)

cแต่อย่างไรก้อเห็นด้วยมากกว่าถ้าจะปรึกษาปัญหานี้กับพ่อแม่ อย่างน้อยๆท่านจะได้เข้าใจเรา ไม่หวังในสายที่ท่านอยากเรียนหรือท่านอยากให้เราเป็น...

แต่ต้องคิดก่อนว่า ถ้าอดทนเรียน จบมาอย่างน้อยๆกถ้าไม่เปลี่ยนงานไปทำอย่างอื่นก้อต้องอยู่กับอาชีพนั้นไปอีกนาน...




เห็นบอกว่าเรียนได้ดีทางวิชาที่เกี่ยวกับภาษาและสังคม ถ้าน้องท่องจำได้ดี ชอบแนวออกางวิทยาศาสตร์และศิลปะ

อาชีพทางสายสุขภาพก้อจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งได้ไหมจ๊ะ







ออฟไลน์ Satanic za'

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,072
ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับตัวเราครับ

ถ้าถามว่าผมอยากเป็นอะไร ตั้งแต่เด็กๆผมรู้สึกว่าผมเนื่ย อยากเป็นสถาปนิค เห็นเค้าออกแบบบ้านสวยๆ design อะไรเก๋ๆ ได้ใส่ชุดเซอร์ๆมีกระดาษเขียนแบบแล้วมันเท่ห์จริงๆ

พอขึ้นมาอยู่ซัก ม 4 ก็รู้สึกอยากเป็นทนายความขึ้นมา สืบเนื่องมาจากพ่อเพื่อน(จำได้ว่าเคยเล่าไปในกระทู้นึงแล้ว ที่ตำรวจมามีเรื่องด้วย แล้วจะเอาไปขึ้นศาล เค้าเลยขอดูบัตร ปชช เลยเอาบัตรข้าราชการ C11 เป็นอัยการหลวง ถ้าจำไม่ผิดนะ ตำรวจนี่แทบยกมือไหว้) ก็เลยตั้งใจจะสอบเข้านิติศาสตร์ให้ได้

แต่อยู่ๆ คะแนนเอนทรานซ์มันไม่เป็นใจ 555 ก็เลยเข้าได้แค่วิศวกรรม แต่พอเข้าไปเรียน ก็รู้สึกว่านี่แหละใช่เลย คิดถึงพ่อขึ้นมาทันที พ่อผมคงอยากให้ผมเป็นวิศวกร แต่เค้าไม่ได้พูด พ่อผมจบแค่ ป 4 เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ เนื่องจากต้องออกมาทำงานส่งให้น้องเรียน แต่พ่อผมกับลุงผมเป็นคนเก่งมากๆ สร้างวิทยุฟังเองกับลุงตั้งแต่อายุประมาณ10 ต้นๆ (ไม่ใช่วิทยุกระจอกๆนะ กำลังขับลำโพงดอกใหญ่ๆได้สบายๆ)  
เครื่องจักรที่โรงงานพ่อกับลุงก็สร้างเอง รถทั้งคัน พ่อผมไม่เคยเข้าอู่ เปลี่ยนโชค เปลี่ยนอะไหล่ ทำเองหมด (ยกเว้นพวกซ่อมเครื่องยนต์นะ ไม่เก่งขนาดนั้น แต่เท่าที่รู้มา รถผมใช้มา 33 ปี ก็ยังไม่เคยเสียเลย) modify เองไปเยอะมาก พ่อผมเก่งจริงๆ(กระทู้สรรเสริญพ่อ 55)

จนมาตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเลือกไม่ผิด เหมาะกับวิศวกรที่สุดแล้ว ตอนนี้ทำงานมา 2 ปี แล้ว เกี่ยวกับชิ้นส่วนรถยนต์ ได้อะไรมาเยอะเหมือนกันจากที่บริษัท

ความหวังต่อไปของผมคือ นำความรู้ที่ได้จากโรงงานไปทำธุรกิจส่วนตัว และบริหารโรงงานที่บ้านต่อครับ

เล่ามาตั้งนาน อยากบอกน้องว่า ถ้ามีโอกาส ก็ลองเรียนดูก็ได้นะ เงินเดือนก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ของพี่ทำมา 2 ปี เงินเดือนเกือบ 5 หมื่นแล้ว ผมว่ามันก็เยอะระดับหนึ่งแล้วนะ สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานมา 2 ปี start ที่ 21000 แต่ถ้าเราจะเป็นวิศวกร เราต้องเป็นวิศวกรที่เก่ง เพราะตอนนี้ในตลาด วิศวกรเยอะมาก ล้นตลาดกันเลยทีเดียว

แต่ถ้าตัดสินใจว่าไม่อยากเรียนจริงๆ ก็อยากให้น้องค้นหาตัวเองให้เจอโดยเร็วแล้วกันครับผม จะได้เลือกเรียนในสิ่งที่เราชอบนะ

ขออวยพรครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 19, 2010, 09:02:07 โดย gdhsatanic »

ออฟไลน์ lastDezember Pae

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,148
  • Keep working by Johnie worker
ฝากข้อคิดไว้อย่างครับ

คนบางคนเรียน ถึง ปี 3 ละ เพิ่งค้นจะพบตัวเองก็มี บางคน ปี 4 ก็มีครับ อย่าไปกลัวครับว่าเราจะเรียนได้หรือไม่ มันอยู่ที่ความตั้งใจครับ

อีกอย่างควรเลือกสายที่เรียนแล้วมันมีผลต่องานในอนาคตได้ยิ่งดี ของพี่ตอนแรกจะไปเรียนเอกดนตรีซะด้วยซ้ำ

แต่พอมาคิดทบทวนในระยะยาว พี่เลยเลือกเรียนสาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวครับ เอกวิชา ธุรกิจการบิน เพราะอะไรนั้นหรือ

งานสายนี้ไปได้หมดครับ โรงแรม ไกด์ สายการบิน ทำทัวร์ สายงานการบริการต่างๆ อีกอย่างงานพวกนี้จะทำให้เรารู้จักคนกว้างมากขึ้น

มีเครือข่ายมากขึ้น เวลาเราไปติดต่องานราชการ หรือที่เกี่ยวกับองค์กรมันจะง่ายมากๆๆ ตอนนี้น้องอาจจะยังไม่คิดอะไร แต่พอน้องจบทำงานแล้วจะเห็นสิ่งที่พี่กล่าวไปครับ

ประเทศไทยเราเป็นเมืองท่องเที่ยวครับ งานสายที่เกี่ยวกับ การท่องเที่ยว โรงแรม เพียบครับ ยังไง๊ ยังไงก็ไม่ตกงาน

ถ้าน้องชอบด้านภาษาเป็นทุนเดินอยู่แล้ว เรียนไม่ยากครับ ฝึกภาษาให้เก่งๆ ครับ รับรองจบมามีงานชัวร์

ขับรถเร็วไม่ได้เรียกว่าเก่ง ขับรถเก่งไม่จำเป็นต้องขับเร็ว

ออฟไลน์ phatkung

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 227
ผมก็เป็นอีกคนที่จบวิศวะมาครับและเริ่มงานได้ 3 เดือนแล้ว แต่มีความเห็นต่างกับท่าน  patzahut ครับ

ผมคิดว่าการที่บางคนถูกบังคับให้เรียนมาทางด้านนี้โดยไม่เคยมีความสนใจมาก่อนเลยและมีพื้นฐานทางด้านช่างน้อยจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีครับ

เพราะการที่เราเป็นวิศวกรและมีพื้นฐานทางด้านช่างต่ำเวลาทำงาน จะเกิดการลองภูมิจากช่างเทคนิคต่างๆได้ ซึ่งคนไหนที่โดนมาก็จะเสียความมั่นใจในการทำงาน

และความมั่นใจที่ได้รับจากลูกน้องเราก็จะต่ำลงไปด้วยครับ นอกจากนั้นการเรียนเลข และฟิสิกส์ก็เป็นพื้นฐานสำคัญ และผมคิดว่าสำคัญที่สุดของวิศวกรทุกคน

เพื่อที่เราจะได้มีวิธีการคิดและแก้ปัญหาที่เป็นระบบ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าน้อง osment ควรเริ่มคิดว่าอาจจะซิ่วไปเรียนสาขาที่ชอบและถนัดมากกว่าที่จะฝืนต่อไป

เพราะการที่เราเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบเราจะเรียนโดยที่ไม่มีความสุขและเรียนไม่ได้ดี และสายภาษาก็ไม่ได้หางานยากอย่างและไปได้ไม่ไกลอย่างที่หลายคนคิดหรอกครับ

มีเพื่อนผมหลายคนจบมาจากสายมนุษยศาสตร์เงินเดือนมากกว่าผมซึ่งทำงานเป็นวิศวกรอีก ดังนั้นควรคิดให้มากๆ เลยครับ เพราะนี่คืออนาคตของเราเอง

เราต้องกำหนดมันด้วยตัวเองไม่ใช่ให้พ่อแม่มาบังคับเราและจะทำเราท้อใจ และถอดใจ ในช่วงท้ายของการเรียนวิศวะมากกว่า

ออฟไลน์ traveller

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 266
เป็นคำถามที่ดีและยากที่จะตอบมากที่สุด คำถามหนึ่งในโลกเลยนะครับ
ค้นหาตัวเอง
ค้นหาอาชีพที่เข้ากับตัวเอง
คนหลายพันล้านคนในโลกปัจจุบันนี้ หาคำตอบนี้ไม่ได้ครับ
ส่วนใหญ่ เรียนตามระบบ เดินตามค่านิยมใกล้ตัว

วิศวกรไทย ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำอาชีพวิศวครับ
น้อยคนที่เรียนแบบจริงจัง
แทบจะไม่มีคนไหนทำแบบฝึกหัดท้ายบท Text Book จบทั้งเล่ม ทุกวิชา
อ้อ หรือว่า สมัยนี้แทบจะไม่ได้เรียน Text Book กันแล้ว
ดังนั้น พอจบปริญญา ได้ใบ กว ก็เป็นวิศวกรกระดาษกันเกือบทั้งประเทศ
ที่ได้ไปเรียนเมืองนอก ก็ กล้อมๆแกล้มๆ ขยันทำรายงาน ก็จบกันได้คะแนนดี ในมหาวิทยาลัยพื้นๆของฝรั่ง
แต่ เรียนที่ MIT หรือที่ มหาวิทยาลัยโตเกียว แล้วล่ะก็
วิศวกรไทยที่จบโทหรือเอกที่นั่นได้ น้อยยิ่งกว่าน้อยครับ
จะว่าไป คุณชาติศิริ นายใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ก็จบ โทวิศวเคมี MIT เชียวนะครับ
ใครคิดจะไป มั่ว โครงการ ปิโตรเคมี กับ ธนาคารกรุงเทพ โดยคิดจะพาวิศวฝรั่งไปมั่วนิ่ม
รับรองว่า ถูกคุณชาติศิริ ซักถาม จนมุม แน่นอนครับ

ที่เขียนมายืดยาวถึงตอนนี้ ก็เพื่อจะสรุปประเด็นให้ได้ว่า
ต้องเชื่อฟังคำสอนของผู้ใหญ่ที่ดีและเก่งครับ
ฟังแล้วคิดไตร่ตรองโดยไม่มีอคติ แล้ว ค่อยตัดสินใจว่า จะทำตามทางที่ท่านบอกหรือไม่
คุณชาติศิริ เป็นลูกมหาเศรษฐีเจ้าของธนาคารกรุงเทพ
แต่ คุณชาติศิริ เลือกเรียนวิศวเคมี และ เรียนได้ดีสุดยอดจบ MIT มหาวิทยาลัยอันดับ1 ด้านวิศวกรรมศาตร์โดยรวม
ใครแนะนำคุณชาติศิริ
อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้ ลูกเจ้าของธนาคาร ไม่เรียนด้านการเงิน แต่ไปเรียนวิศวเคมี
เราคงหาคำตอบเรื่องนี้ไม่ได้
แต่ วันนี้ วันที่ คุณชาติศิริ คุมธนาคารกรุงเทพ เป็นวันที่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเจริญสุดขีดในไทยและในโลก
แม้ ธนาคารกรุงเทพจะเปลี่ยนสัดส่วนหุ้นต่างจากเดิม
แต่ การที่ได้ วิศวเคมี MIT คุมธนาคารที่ปล่อยกู้เงินส่วนใหญ่ให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมี นับว่า ถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน อย่างที่สุดครับ

คนส่วนใหญ่ มีปัญญาเริ่มต้นไม่ต่างกัน
แต่ เส้นทางเดินชีวิต ที่วกวน ไม่ถูกทาง คือตัวกำหนดว่า ใครจะใช้ชีวิตบนโลกนี้ได้อย่างทุกข์น้อย มีสุขมากกว่ากันครับ
คนที่ไม่ชอบวิชาทางวิศวกรรมศาสตร์ แต่จำต้องเรียนวิศว เพราะสังคมรอบตัวนั้น มีหลายคนครับที่ทำเช่นนี้
และ ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ในวิชาชีพวิศวกรแน่นอน ถ้าอยู่ในประเทศที่ใช้วิศวกรทำงานจริงๆ
แต่ ประเทศไทย แทบจะไม่ได้ใช้วิชาวิศวกรรมทำงานสักเท่าไร
ดังนั้น จบวิศว มีใบ กว และ ที่สำคัญ เกาะสี เกาะพวก เกาะรุ่นพี่เพื่อนฝูงไว้ให้แน่น
รับรองว่า จะประสบความสำเร็จในอาชีพวิศวกรไทย แน่นอน ครับ
เป็น เรื่องจริงที่น่าเศร้า กับ สังคมวิชาชีพหลักอีกอาชีพหนึ่งของสังคมไทย
ซึ่ง ก็ไม่ต่างจากอาชีพอื่น รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ทหาร ตำรวจ และอื่นๆ
พวกพ้อง สำคัญกว่า ความเก่งความดีความซื่อสัตย์ครับ

ถ้า คิดอยู่เมืองไทย เรียนไปเถอะครับ อะไรก็ได้ จบมาแล้ว เป็นคนหัวอ่อน เข้าพวกพ้องได้ดี ไม่สนเรืองถูกผิดกินแรงเอาเปรียบไม่ยุติธรรมใดใดทั้งสิ้น รับรองว่า จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแน่นอนครับ
จึงไม่จำเป็นต้องค้นหาตัวเองอะไรให้ยุ่งยาก แค่ ปรับนิสัย ให้ หัวอ่อนรักพวกพ้องไม่สนถูกผิด เท่านั้นเองครับ

แต่ ถ้าคิดจะไปอยู่เมืองนอก เช่นอเมริกา
ก็ต้องเก่งจริงครับ
แน่นอนว่า การใช้เส้นใช้สียังมีอยู่ แดน เควล ยังเป็นรองประธานาธิบดีได้ ทั้งที่ไม่มีความสามารถอะไร
แต่เนื่องจากตระกูลเป็นใหญ่ในพรรครีพับบริกัน จึงดัน เควล ให้ได้ตำแหน่งรอง
แต่ก็เป็น รอง ตัวตลก ที่ สังคมอเมริกัน ชอบล้อเลียนเสียดสีกันที่สุด
ครูประจำชั้นที่เคยสอน เควล ยังออกมาให้สัมภาษณ์ทีวีว่า มองตาลูกศิษย์คนนี้แล้ว เหมือนมอง สวนสาธารณะอันว่างเปล่า คือ ไม่มีแววแห่งปัญญาอะไรเลย
นี่ถ้าเป็นเมืองไทยนะ ครูเก่า คงจะชมท่านว่า เก่งสุดยอด ไปแล้วนะครับ
ดังนั้น ถ้าอยู่ อเมริกา แล้วใช้เส้น รับรองว่า ได้เป็น ตัวตลกในสังคมแน่ครับ

ตัวอย่างเช่น
อเมริกา เลือกผุ้บัญชาการกองทัพไปรบในยุโรปสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยปัญญาไร้เส้นจริงๆ
มีนายพลเก่งๆ ผ่านการรบมากมาย หลายคน แต่ กลับไม่ได้รับเลือก
คนที่ได้รับเลือก คือ นายพลไอเซนฮาวน์ นายทหารที่ไม่เคยออกรบ วันวันได้แน่ เขียนหนังสือ
แต่ เป็นคนเยือกเย็น ใจเย็น ยิ้มเสมอ แต่ มีความลึกซึ้ง เห็นใจเพื่อนมนุษย์ ทั้งฝ่ายเดียวกันและศัตรู
สงครามล้างผลาญภาคพื้นดิน จึงไม่เกิดขึ้น ในยุโรป ด้านที่ อเมริกัน นำทัพ
หลังสงคราม เยอรมันฝ่ายแพ้ ก็ ยอมรับในคำสั่งของไอซ์ เป็นอย่างดี
ไอซ์ มีพื้นเดิม มากจากเยอรมัน ครับ
อเมริกา เลือก นายพลเชื้อสายเยอรมันคุมทหารอเมริกันไปรบกับเยอรมัน
จบสงคราม อเมริกากับเยอรมัน ก็เป็นมิตรกันได้ยาวนาน
นี่คือ วิสัยทัศน์ของ ชนชั้นปกครองของอเมริกา ครับ
ถ้า ไม่เลือก ไอซ์ แต่ไปเลือก แม็กอาเธอร์ แพตตัน
รับรองว่ายุโรปนองเลือด และ อเมริกันจะไม่ได้ใจคนเยอรมันแบบทุกวันนี้แน่นอนครับ

วิศวกรญี่ปุ่น ไม่ต้องเก่งภาษาต่างประเทศอะไรทั้งสิ้น แค่ อ่านตำราวิศวต่างประเทศออกก็พอเพียงแล้ว
ที่จริงตำราวิศวกรต่างประเทศที่จำเป็น ก็ถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นครบถ้วน
ดังนั้น เราจึงชินตา ที่จะเห็น วิศวกรใหญ่ญี่ปุ่นเดินคู่กับล่าม เมื่อไปทำงานต่างประเทศครับ

วิศวกรไทย หลายคนเป็นวิศวกรเซลล์ จำเป็นต้องพาฝรั่งไปหาลุกค้าหน่วยราชการรัฐวิสาหกิจไทย
ดังนั้น วิศวกรไทย จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษได้ดีครับ
ทำหน้าที่ คล้ายๆ ล่ามเลยนะ
และนี่คือ งานที่ทำเงินดีมาก งานหนึ่ง ของ วิศวกรไทย เลยนะครับ
น่าชื่นชม หรือ น่าเศร้าใจ คิดกันเองนะครับ

 

ออฟไลน์ gundam126

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 722
    • อีเมล์
ผมจบสถาปัตย์มาครับ...ทำงานมาได้4ปีแล้ว...แบบที่โดนทางบ้านบังคับให้เรียนทั้งๆที่สอบติดบริหารของมช. จะบอกว่าถ้าเรียนแล้วต้องเรียนให้จบ ถ้าไม่คิดที่จะจบย้ายคณะดีกว่าครับ เสียเวลาเปล่าๆ เพราะถ้าคุณเรียนแล้วถ้าเกิดจบมาคุณต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่ายังจะอยากทำงานในสาขาที่จบมาหรือไม่ ถ้าทำแล้วมันฝืนใจหรือไม่ หรือว่าจะจบแบบขอไปทีซึ่งหากจบมาก็เป็นการยากที่จะเป็นบุคลากรดีๆขององค์กรและอย่าลืมว่าทั่วประเทศก็มีคนจบมาเยอะเช่นกันและก็ต้องแข่งกันเองในการหางานและทำงาน งานหาไม่ยากถ้าเราขยันและไม่เลือกงาน แต่....ในความคิดของผมนะสิ่งที่เรียนมาจากมหาวิทยาลัย ใช้จริงๆแค่ประมาณ20% ส่วนอีก80%คือสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจากงานและโลกภายนอก มหาวิทยาลัยคือการสอนพื้นฐานของอาชีพ ซึ่งในปัจจุบันผมก็ทำงานเป็นสถาปนิกที่บอกได้เลยว่าไม่มีความสุขเท่าไรนักเพราะผมไม่ได้มีความชอบตั้งแต่แรก...จนตอนนี้ผมก็เริ่มเรียนบริหารเพื่อที่จะเบี่ยงเบนไปทำอาชีพอื่นที่ชอบแทน

ออฟไลน์ patzahut

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,091
พี่ๆ ทุกคน แค่ช่วยบอกถึง ข้อดีข้อเสีย ของแต่ละทางที่น้องจะเดิน ส่วนน้องจะเลือก จะชอบทางไหน อันนี้น้องต้องตัดสินใจเองนะคับ

มีพี่ๆ ใน webboard มาให้กำลังใจน้องมากนะคับ   อย่าลืมปรึกษาพ่อ แม่  ด้วย    อนาคตของน้อง น้องต้องเป็นคนเลือกเองนะคับ

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
ผมขอบอกให้ฟังจากอีกทางนึงละกันนะครับ

ตอน ม.6 ผมยังไม่รู้เลยครับว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมเรียนแบบโยนหินไปข้างหน้า..ไม่ถามทางด้วย
ตอน ม.3 ผมถูกบังคับโดยกลไกการศึกษาแล้วว่า โตขึ้นอยากทำงานอะไร เพราะการเลือกของคนไทยมันปิดตายตรงนี้ ถ้าผมอยากเป็นวิศวกรหรือหมอ ผมต้องเรียนสายวิทย์ ถ้าเรียนสายศิลป์แล้วจะมาทะลึ่งเข้าคณะวิศวะไม่ได้

ตอนนั้นโง่เลขและโง่วิทย์ ก็เลยเลือกเรียนสายศิลป์ไป แต่ใจยังชอบเรื่องทางวิศวะอยู่

ไปเรียนนอกปีนึง กลับมา ก็เข้ามหาลัย เลือกเรียนศิลปศาสตร์บริหารธุรกิจ ณ จุดนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะไปทำงานหาเลี้ยงอะไรกิน ใจอยากจับอาชีพเกี่ยวกับรถ แต่ไม่รู้จะไปเริ่มตรงไหน ผมเลยเรียนๆไป แล้วก็ดูว่าจากวิชาที่เรียนแต่ละแขนง ผมมีแนวโน้มจะชอบวิชาไหนมากที่สุด ในระหว่างนั้นผมก็ไม่ทิ้งเรื่องรถ แต่เก็บมันไว้เป็นความชอบส่วนตัว

เรียนจบ..มาย้อนดูเกรด ..อะไรที่เป็น Management ผมมักได้ C, อะไรที่เป็นบัญชีหรือการเงินผมมักได้ D ไม่ก็ F, ส่วนวิชาที่ได้ A,B มักเป็นเรื่องสังคม ความรู้ทั่วไป หรืองานออกแบบ

ฟังดูแล้วน่าจะรู้ตัวเองว่าไปทางไหนได้ แต่ปรากฏจบมา..ก็เจือกมาทำงานธนาคารด้วยความที่พ่อเห็นเดินแกว่งไม่มีงานเลยบังคับเราไปทำงานธนาคารโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวเราก่อน

ทุกวันนี้ก็ยังทำงานธนาคารอยู่ และทำในแขนง IT หน่อยๆด้วยทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ทำมาได้
เพราะโลกนี้สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ การเก็บความรู้ ก็คือ การยินยอมเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาในหัว

สำหรับคนแบบผม หนทางลำบาก แต่ก็มีชีวิตรอดดีเป็นปกติสุข ไม่ต้องเป็นภาระพ่อแม่ พ่อแม่ตัดเงินช่วยเหลือแล้วยังสามารถเลี้ยงตัวเองได้

คุณลองดูตาจอร์จ จูนเนอร์รถซึ่งตอนนี้เริ่มดังในตามคลับต่างๆและมีงานจูนรถแข่งอย่างต่อเนื่อง

คนคนนี้เรียนคอมพิวเตอร์ตอนอยู่มหาลัย จบมาทำงาน Esso รับเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท พอทำไปสักพักเบื่อ อยากรถ เลยออกมาทำเกี่ยวกับรถ เริ่มจากรับติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า แล้วก็มาศึกษาการเดินสายไฟรถทั้งคัน ท้ายสุดก็มาลงตัวที่การจูนกล่อง ทุกวันนี้จอร์จไปไกลกว่าผมมาก นอกจากรับผิดชอบตัวเองแล้ว ยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกๆอย่างในบ้านและมีเงินเก็บมากกว่าผมหลายเท่า

หรืออย่างรุ่นน้องผม เรียนบริหารธุรกิจเหมือนกัน ทุกวันนี้เป็นนักบินอยู่การบินลาว


ใจความสำคัญคือ อย่าเพิ่งไปเครียดว่าวันนี้เราเรียนอะไร แต่เครียดให้มากว่าความชอบของคุณจริงๆแล้วมันคืออะไร เพราะท้ายสุด คุณก็จะมาหาทางที่คุณชอบด้วยใจจริงอยู่ดี

- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

ออฟไลน์ mongolias

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,366
ที่นี่เด็กวิดวะเยอะดีแฮะ

สำหรับ จขกท เลือกในสิ่งที่ชอบครับ เพราะชีวิตเป็นของน้องเองครับ
ถ้าไม่มีความสุขที่จะได้เรียนแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนตัวเองครับ
ตอนเด็กพี่อยากเรียนวิดวะ เครื่องกลมาก เพราะสมัยเด็กได้ยินว่าเงินเดือนดี งานเยอะ แล้วก็ชอบรถ
แต่ชีวิตจริง พอหาข้อมูลดีๆแล้ว เอ่อ เครื่องกลมันก็ยังไม่ใช่ สมัยนั้นวิดวะยานยนต์ก็ไม่มี + ตอนนั้นฟองสบู่แตกพอดีอีก เรื่องงานหาง่ายก็เป็นอันจบ สุดท้ายก็เลือกสอบวิดวะอยู่ดี ก็มันพุ่งเป้ามาแต่เด็กแล้วนี่
สรุปได้เรียนทางคอมฯซะงั้น เรียนก็กะท่อนกะแท่น จบมาได้ก็บุญแล้ว 5555

ตอนนี้พี่ก็ทำงานสายที่จบมานี่แหละครับ
แต่ก็ยังดีที่ได้มาอยู่ในส่วนที่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ (ไม่ได้ทำงานบริษัทรถเอาใกล้เคียงกันก็ได้วะ 555)

แต่ถ้าถามว่ามุมมองตอนนี้ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเลือกเรียนอะไร ผมกลับมองไปทางบริหารแฮะ ผมว่ามันไปได้ไกลกว่าสาย วิดวะ มากเลย
ทุกวันนี้ก็ยังชั่งใจอยู่ว่า ถ้าจะเรียนโทฯคงเลือกทางบริหาร คงไม่ไปทาง วิดวะต่อแล้ว

ออฟไลน์ udis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,674
อาชีพนั้นใช้วิชาอะไร เราชอบทำอาชีพที่ต้องทำงานแบบนั้นไหม
สำหรับผมทุกวิชาที่เรียนไป ได้ใช้ในชีวิตการทำงานครับ
ถึงบางวิชาเราจะไม่เก่ง แต่ก็เรียนให้รู้ว่าเราจะเอามาใช้อย่างไร

ถึงจะเก่งวิชาอะไรแบบสุดๆ และถ้าเราไม่ชอบทำงานโดยใช้วิชานั้นเราก็ไม่มีความสุขครับ

ผมเรียนไม่เก่งนัก ทำงานได้แก้ปัญหาได้ มีอะไรให้คิดให้ทำตลอด ผมว่าสนุกดี แต่สำหรับคนไม่ชอบ
มันจะเป็นทุกข์เอาน่ะครับ

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,630
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
เรื่องนี้ ถ้าจะให้ตอบ คงจะยาวแน่ๆ

พี่เองยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย
เพราะทำงานมากไป

และขณะเดียวกัน ผมรู้แล้วว่า สิ่งที่ผมต้องการจะเรียนรู้นั้น หาอ่านเอาเองได้
โดยไม่ต้องให้ ระบบการศึกษาเมืองไทย มาเป็นเครื่องมือชี้วัดตัวผม
เขาเป็นใครมาจากไหน ถึงได้มีสิทธิ์มาชี้วัดศักยภาพของผมเนี่ย?

ระบบการศึกษาเมืองไทยไม่ได้สอนให้เด็กรู้จักตัวเอง หรือค้นพบตัวเอง เร็วเท่าที่ควร
อันที่จริงแล้ว น้องๆ ควรจะเริ่มถามคำถามนี้ กันตั้งแต่ ม. 3 แล้ว ไม่ใช่มาถามเอาตอนที่จะเอนทรานซ์ ช่วง ม.6

ตัวพี่เอง จะมองจากพื้นฐานว่า เราชอบอะไร ก่อนจะต่อยอดว่า อยากทำงานอะไร

พี่ รู้ตัวเองว่า ชอบรถ มาแต่เด็ก ความชอบรถ มันเลยทำให้ชอบดูโฆษณารถ
การชอบดูโฆษณารถ มันต่อยอดไปอีก 2 ทาง คือ ชอบและสนใจในด้านการวางแผนการตลาด และการประชาสัมพันธ์
กับ ด้านดนตรี (อย่าลืม โฆษณารถ ก็ต้องมีเพลงประกอบเพราะๆ)

ขณะเดียวกัน การได้เรียนรู้คอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ ป.4 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ คุณพ่อของพี่ มองการณ์ไกลมากๆ
เพราะสมัยปี 1989 การสอนคอมพิวเตอร์ กับเด็กที่ต่ำกว่าชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 คือเรื่องที่พบได้น้อยมากในไทย
ขนาดโรงเรยนสอนคอมพิวเตอร์ที่ไปเรียน (ตอนนี้เจ๊ง เป็นห้องแถวร้างๆไปแล้ว) ยังถามเลยว่า "จะไหวหรือคะ?"

ไหวไม่ไหว ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ละ

เข้าเรื่องกันต่อ

พอรู้ว่าเราชอบอะไร เราก็มาลองดูกันต่อว่า มันสามารถแตกแขนงไปยังงานด้านไหนยังไงได้บ้าง
ถ้าชอบรถ ก็จะทำงานได้หลายทาง อาชีพที่เกี่ยวกับรถมีมากมายเยอะแยะ แต่จะให้ไปทำอะไรละ?

เอาเบสิกๆ กันเลย เด็กล้างรถ? เด็กป้ม หรือช่างตามศูนย์บริการ พี่ก็ไม่ได้เรียนมาทางสายช่าง ไม่รอดแน่ๆ
วิศวกร? ยากส์ เลขไม่เก่ง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้เรื่อง! สูตร สมการ อย่าหวังจะให้แก้นะ แก้ผ้าให้ดูยังง่ายกว่า!
พี่ถนัดเรื่องภาษา ไทย กับอังกฤษ โอเค สบายๆ งั้น แนวที่จะไป ก็คงจะเป็นแนว ด้านการวางแผนการตลาด ประชาสัมพันธ์
หรืองานเขียน การทำหนังสือ เป็นนักข่าว สื่อมวลชน ไปเลย (ตอนนั้นเว็บไซต์ยังไม่บูม)

ส่วนทางดนตรี เราก็มองไว้เป็นแนวทางเสริม หรืองานอดิเรก

เรื่องนี้ พี่รู้ตัวมาแล้วตั้งแต่ประมาณ ม.2 - ม.3 รู้ว่าตัวเองคงจะไม่เลือก ศิลป์ คำนวนแน่ๆ เลือกศิลป์ ภาษา
ยอมทนกับภาษาฝรั่งเศส ของเศษฝรั่ง ไปอีกสัก 3 ปี เกรด เอาแค่ 1 หรือ 2 พอรอดได้ก็บุญโขแล้ว

มหาวิทยาลัยของรัฐ? คิดถึงแต่ มศว. การแข่งขันไม่สูงนัก ใกล้บ้าน เดินทางง่าย แต่แน่นอน พี่เป็นรุ่นก่อนสุดท้าย
ที่จะเลิกใช้ระบบเอนทรานซ์แบบดั้งเดิม ซึ่งปัญหาน้อยมาก แต่กระนั้น ก็รู้ตัวอยู่แล้วจากการทำข้อสอบว่า ไม่ติดแหงๆ

โอเค นิเทศฯ ม.กรุงเทพ เลยแล้วกันวะ!
เรียนไปเรียนมา ค่าเทอมแพงใช้ได้ แถมทำงานไปด้วย เริ่มเข้าวงการแล้ว ตอน ปลายปี 1998 นั่นละ
เริ่มคิดได้ว่า ทำไมกรูต้องเสียตังค์ เทอมละ 3 หมื่น เพื่อแลกกับปริญญา 1 ใบ ขณะที่ กรูจ่าย 1,500 บาท ต่อเทอม
ก็ได้ปริญญามาแปะฝาบ้าน 1 ใบ เหมือนกัน?

สรุป ไปลง รามฯ ดีกว่าๆๆๆๆ

แล้วที่เหลือ ปล่อยให้โชคชะตา กับหัวสมอง พัดพาไป...


ไปๆมาๆ ก็เป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ทำงานที่บ้าน ไม่ต้องผจญรถติด ไม่ต้องเครียด
เคยทำงาน เขียน Script อะไรเล่นๆ 3 ชั่วโมง ได้มา 6,000 บาท อืมม ก็โอเคสำหรับ
เด็กเริ่มทำงาน เดือนนึง เคยหาได้สูงสุด 5x,xxx บาท ในเดือนนั้น ทั้งที่ยังไม่จบตรี

ปัจจุบันนี้ ก็ยังเรียนไม่จบ
รายได้จากค่าโฆษณา ก็พอจะเลี้ยงปากท้องตัวเอง และเป็น พ็อกเก็ตมันนี่
สำหรับน้องๆในทีม อีก 6 คน ได้แล้ว

----------------------------------------

ถ้าไม่คิดจะทำในวงการรถยนต์แล้ว อยากทำอะไร? ถ้าชีวิตมันตกอับกันขนาดนั้นจริงๆละก็
แฟรนไชส์ มอเตอร์ไซค์ ขายข้าวหน้าไก่ คือสิ่งที่อยากทำที่สุดของพี่ ในตอนนี้

ทำอาหาร คนเปิดกันเยอะ ก็จริง เจ๊งเยอะ ก็จริง แต่ถ้าเรามีอะไรที่เด่นและไม่เหมือนชาวบ้าน มันจะขายได้ และอยู่ได้ยาว

----------------------------------------

ทั้งหมดที่เขียนมา ก็เพื่อให้น้องๆ ได้ดูเป็นตัวอย่างว่า การคิดของพี่ ในวันนั้น มันนำพาชีวิตพี่มาอย่างไรถึงวันนี้

ชีวิตพี่ ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง ถ้าไม่ใช่คนที่รู้ว่า ตัวเองต้องการอะไรตั้งแต่เด็ก หรือรู้ว่า "เกิดมาเพื่อ สิ่งนี้" ตั้งแต่เด็ก

มันเป็นทางที่เดินอย่างยากลำบาก และ แทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า ใช้แต่ความเชื่อ เกือบจะล้วนๆ ในการเดินทาง

วันนี้ ก็ยังไม่อาจถือได้ว่าประสบความสำเร็จ...แต่ก็ใกล้มากๆแล้วละ

ที่สำคัญ ทางเส้นนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะเดินมาได้
ดังนั้น คนที่คิดจะมาทางนี้ ต้องมั่นใจ ในระดับนึง ว่า อยากจะมาทางสายนี้จริงๆ

เพราะ ถ้าพลาด โอกาสจะหันหลังกลับ คือ แทบไม่มีเลย

ขอให้โชคดี



ออฟไลน์ Whatman

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 225
ตอนนี้ยังเปลี่ยนทันถามใจตัวเองแล้วเดินไปหามันครับ จะได้ไม่ทรมาณเหมือนผม แต่ถ้าอยากเป็นเหมื่อนผม ผมมีทางออกให้ครับ

ผมจบตรีและโททางสายวิทยาศาสตร์(Biotech) ผมชอบเคมีมากแต่อย่าถามเกรดชีวะประมาณ C-D ผมพึ่งมาค้นพบตัวตนของผมตอนปริญญาตรีปี 2 ว่าผมชอบเรียนช่างกลสาขาช่างยนต์ แต่ถ้าตอนนั้นเปลี่ยนไปเรียนโดนสวดยับแน่ๆ แต่จวบจนทุกวันนี้ผมรู้ว่าผมเรียนหนังสือเพื่อพ่อแม่เท่านั้นเอง และผมจะเก็บสิ่งที่ผมชอบเป็นงานอดิเรกเพื่อให้สองอย่างนี้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขครับ  ออตอนนี้ผมศึกษาอยู่ที่แคนาดาเชื่อป่าวช่างประจำศูนย์รถยนต์ได้ค่าจ้างเริ่มต้นที่ 15$ ต่อชั่วโมง ในขณะเดียวกัน โปรแกรมที่ผมเรียน (QA,QC ยาในโรงงานอุตสาหกรรม) แค่ 11-12$ เท่านั้นเอง

 ;)

ออฟไลน์ Tonaka

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,706
น้องครับ  การเรียนวิศวะ มันไม่ใช่แค่สร้างหรือพัฒนาสิ่งไดสิ่งหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น และไม่ใช่ช่างเสมอไป

ในทางกลับกัน  วิศวะ สอนให้เราคิดเป็นระบบ  ทำให้รู้ว่าสิ่งใดคุ้มไม่คุ้ม ควรทำสิ่งใดก่อนดี ?

สำหรับ ป.ตรี แล้ว เลข ฟิสิกส์ ของปี 1 เป็นแค่การปูพื้นฐานให้แน่นครับ

ตอนนี้พี่อยู่ปี 4 เรียนไปเรียนมาเลขปี 1 จะลืมหมดแล้ววววว

        สำหรับพี่ตอนเด็กๆ คิดไว้ว่าจะอยากเป็นนักออกแบบรถยนต์  พออยู่ม.ปลาย คิดหนักอยู่ช่วงหนึ่งว่าจะเรียนวิศวะ หรือ สถาปัตย์ดี เพราะพื้นฐานชอบวาดรูปรถ กอปรกับแต่ละรูปที่ชอบวาดนั้นมักเป็นรูปที่คิดขึ้นมาเอง
        เอาล่ะ พอถึงเวลาเอาเข้าจริงๆ ต้องเลือกเส้นทางตัวเองทำไง?  พี่ก็ไล่คิดว่าเลยว่าการจะออกแบบรถยนต์จะต้องมีอะไรมั่ง?  ก็เลยมีแนวคิดว่าการทำงานแบบนี้มันอิงทางวิศวกรรมมากกว่า ทำไงดีหล่ะ ก็ลยมุ่งเป้ามาทางนี้ แม้ว่าตอนนั้นพี่เกลียดไฟฟ้ามากกกก  แม้ประทั้งข้อสอบความถนัดวิศวะพี่ติวแทบตายได้คะแนนไม่ถึง 20 (บางที่รับ 20+) ขณะเดียวกัน ความถนัดสถาปัตย์พี่เข้าไปนั่งสอบเล่นๆ ได้คะแนนมา 49.7 (เยอะกว่าเพื่อนสนิทเข้าไปเรียน สถาปัตย์ จุฬาฯ)   แต่ถึงกระนั้นยังหน้าด้านหน้าทนเข้าวิศวะจนได้  และไม่ได้ทุนด้วย เสียค่าเรียนเต็มเหนี่ยวเรียนอินเตอร์ฯ 

      พออยู่ ปี 1 งานก็เข้าเลยครับ เจอเพื่อนใหม่ที่จบโรงเรียนอันดับต้นๆของเมืองไทยบ้าง (เด็กทุน) เจอเด็กโรงเรียนอินเตอร์ฯบ้าง  ขณะที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัดโรงเรียนรัฐ  พี่ก็ยังบากบั่นอยู่หน้าด้านหน้าทนจนมาปรับตัวได้

     พอมาถึงวันนี้้ปี 4 ก็มีความคิดว่า ถ้าอยากทำวิศกร ที่เฉพาะด้านจริงๆ ป.ตรี นั้นยังไม่พอ  ตอนนี้กำลังหาที่เรียนต่อทาง วิศวกรรมยานยนต์อยู่
阿蘇山

keanetona

  • บุคคลทั่วไป
ผมชอบข้อความที่อ. traveller กล่าวไว้ว่า คนไทยเรียนตามกระแส

ตอนนี้ ผมอยากจะบอกให้กับคนที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรับทราบ ขอให้ดูตลาดแรงงานด้วยนะครับ ว่าเขาต้องการสายใด

พี่สาวเพื่อนทางเน็ทของผม จบวิทยาศาสตร์จากมหาลัยชื่อดัง แต่กลับหางานไม่ได้ สุดท้ายก็ไปทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานราชการ ที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้วุฒิป.ตรี

เสมียนฝ่ายบุคคลของบริษัทผมที่เพิ่งเข้าใหม่ จบชีวะทั่วไปจากมหาลัยแห่งหนึ่ง แต่หางานทำไม่ได้ และ จบที่ทำงานกับผม รับค่าแรงขั้นต่ำ ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่ได้ทนไหม

ส่วนเรื่องการทำงาน บริษัทบางบริษัทเลือกสีเลือกแต่คนจบมหาลัยเดียวกัน จนไม่มองว่าเด็กที่อื่น ก็เป็นคนที่มีความรู้ มีความสามารถ บางที อาจเหนือกว่ารุ่นน้องตัวเองเสียอีก

ส่วนถ้าจะให้ผมแนะนำ ผมว่าสาย Industrial Engineering น่าสนใจ ตลาดแรงงานสนใจ ผมเองก็อยากได้เหมือนกัน หรือ สาย IT ที่วางเน็ทเวิร์คได้ ดูแล server ได้ มีงานทำ เพื่อนผมทำงานอยู่สายIT เชี่ยวชาญในด้านวางระบบ และ เคยไปสอบหลักสูตรอะไรสักอย่างที่ฮ่องกง(ผมไม่เคยถามเขา) ตอนนี้เงินเดือนประมาณ90000

ออฟไลน์ CRO

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 843
เข้าใจว่า จขท. คงกลุ้มใจเรื่อง
1. กลัวว่าเรียนต่อไปจะไม่รอด เพราะไม่ได้ชอบ
2. ที่บ้านหวั๋งไว้ว่าอยากให้เรียนทางสายนี้กลัวที่บ้านจะผิดหวัง?
ผมเห็นหลายท่านบอกให้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ตัวผมเองสนับสนุนแนวทางนี้เพราะว่า

เราจบวิชาชีพอะไรก็ตามหากเราได้ทำงานที่ชอบและจริงจังกับมัน งานหรือผลงานที่ออกมาจะดีไปด้วย เมื่องานดีงานเด่นมีความสามารถ ก็สามารถสร้างรายได้ที่งดงามและมีชื่อเสียงได้ครับ  ถึงแม้ว่าบางครั้งบางท่านจะทำงานที่ไม่ตรงกับสายงานที่เรียนมาก็ตาม แต่การที่ได้เรียนอะไรที่ชอบและทำงานอะไรที่ใช้ ย่อมทำให้เจริญก้าวหน้ากว่าที่จะทำแบบ Try and Error กว่าจะรู้ว่าชอบและเหมาะกับอะไร บางครั้งอาจเสียเวลาไปหลายปี ซึ่ง จขท. โชคดีตรงที่ว่า รู้ว่าที่เรียนอยู่มันไม่ใช้

อันนี้ผมขอยกตัวอย่างน้องผมเองสอบติดโท จุฬา ด้านภาษาไทย ซึ่งมันไม่ชอบแต่แม่ก็บอกว่าลองเรียนไปดูก่อนสิ สุดท้ายเรียนไป 2 ปีก็ลาออกมาสอบเรียนโท ที่ มธ ด้านภาษาอังกฤต 2 ปีจบ ตอนนี้ก็ทำงานมีความสุขดี

อยากให้ จขท คิดว่า ถ้าจะเรียนต่อ ไหวไหม หากไหวจะต้องทำอย่างไรบ้างต่อไป เรื่องงานเอาไว้ค่อยคิด
ถ้าจะไม่เรียนต่อ ก็ต้องมองว่าตัวเองชอบอะไร มีคณะไหนที่ดูแล้วเราชอบน่าที่จะเรียนได้อย่างสบายใจ และ จะพูดกับที่บ้านให้เข้าใจว่าอย่างไร

ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอครับ ค่อยๆคิดและตรึกตรอง เมื่อ จขท. ผ่านมันไปได้ท่านก็จะแข็งแกร่งขึ้นครับ

ขอให้โชคดีครับ

Phongrapee

  • บุคคลทั่วไป
ชีวิตคน บางทีก็มีอะไรแปลก ผมเคยฝันและมีความตั้งใจตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ ว่าซักวันนึงผมจะต้องเป็นนักบิน บินเครื่องบินขับไล่ปกป้องน่านฟ้าไทยให้ได้ หรือหากไม่ได้เป็นนักบิน ก็เป็นทหารเหล่าทัพใดก็ได้ ผมเริ่มดำเนินตามความตั้งใจของตัวเองครับ สมัครเรียนรด. จบม.4 ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร อุตส่าห์ผ่านรอบแรก แต่ดันตกตรวจร่างกาย เนื่องจากฟันเก ม.5 ก็ไปสอบ แล้วก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน จนรู้สึกว่ามันสายเกินไปแล้ว และความฝันคงไม่มีวันเป็นจริง

จริงๆแล้วผมพบความจริงอีกว่า ตัวเองถนัดด้านกีฬาที่สุด พอเรียนม.6 จึงเริ่มมองหาคณะที่เกี่ยวกับกีฬา ตอนนั้นโลกยังแคบครับ มีแต่ครุศาสตร์ สาขาพลศึกษา นั่นคือเป็นครูพละนั่นเอง แต่สาบานได้ให้ตาเถอะ ครูเป็นอาชีพเดียวที่ผมไม่อยากเป็น ไม่เคยคิดจะเป็น ไม่เคยสนใจ หรือพูดง่ายๆว่าชีวิตนี้จะไม่มีทางข้องเกียวกับอาชีพครูอีก (ยกเว้นแต่งเมียกับคุณครู)

แต่ความพยามไม่เคยหยุดนิ่ง ผมพบสาขาวิชาอันนึง ซึ่งอ่านชื่อแล้วใช่เลย นี่แหละ...อนาคตของเรา นั่นคือ วิทยาศาสตร์การกีฬาครับ ผมเองก็ไม่เก่งฟิสิกส์ เคมี ชีวะเหมือนกัน แต่เมื่อต้องเจอ...มันก็ต้องเรียนให้ได้ แม้จะเป็นคณะของสถาบันราชภัฏ ซึ่งไม่ได้อยู่ในเส้นทางของนักเรียนโรงเรียนผมเลย ไม่ได้ดูถูกราชภัฏนะครับ เพราะราชภัฏทำให้ผมมีวันนี้ได้ และอย่างภาคภูมิใจด้วย แต่เป็นความคิดในวัยเด็กของนักเรียนโรงเรียนผม  คือจริงๆแล้วมันก็มีของม.รัฐอื่นๆด้วยครับ แต่มารู้ก็ไม่ทันเวลาเสียแล้ว ผมจึงน่าจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเรียนเก่าคนแรกที่เรียนราชภัฏ

แต่เส้นทางสู่อนาคตมันไม่ได้โดยด้วยกลีบกุหลาบ  ปี 2 ผมเริ่มมองหาอาีชีพหลังจากเรียนจบ ตอนนั้นก็เจอไม่กี่อย่าง ครูสอนว่ายน้ำ...เหอะ!! ไม่ชอบครู  ครูฝึกในฟิตเนส โถ่!! ตอนปี 1 เคยไปทำพาร์ทไทม์มาแล้ว น่าเบื่อสุดๆ หน่วยงานทางด้านกีฬา...ไม่เห็นมีเปิดสอบเลยฟะ

แต่....หลังจากเรียนจบมาแล้ว ด้วยความที่ไม่อยากรบกวนหรือเป็นภาระทางบ้านด้วยการตกงานอยู่บ้านเฉยๆ  จึงตัดสินใจหารายได้แก้ขัดด้วยการเป็นครูสอนว่ายน้ำ  รายได้ดีทีเดียวครับ แต่ไม่แน่นอน เพราะช่วงหน้าหนาวเด็กก็เรียนน้อย ตามสภาพอากาศ

ทำไปได้พอสมควร แม่ผมที่เป็นครู ได้บังคับขู่เข็นให้ไปเรียนวิชาชีพครูไว้ ประมาณ 1 ปี ถึงไม่อยากเป็นครู แต่ก็เป็นทางเลือกแล้วกันน่ะ พอเรียนจบ 2 ปีถัดมา ก็มีการเปิดสอบบรรจุครู  ก็ถูกบังคับให้ไปสอบอีก

จนสุดท้าย....สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  ตอนนี้ผมทำงานที่ผมไม่เคยคิดอยากจะทำ และตอนนี้..ผมรักอาชีพนี้มากที่สุด  นั่นก็คือ...ครูครับ

แต่จริงๆแล้วถ้าเป็นไปได้  การเรียนในสิ่งที่ตัวเองสนใจและถนัด  น่าจะดีกว่าในความคิดส่วนตัวผม  เพราะถ้าฝืนเรียนโดยหวังว่าซักวันนึงอาจจะชอบ  เราอาจจะเจอปัญหาต่างๆจนท้อแท้ไปก่อนก็เป็นได้  ถ้าเป็นผมผมก็คงคุยกับทางบ้านแหละครับ บอกถึงความถนัดและความต้องการของตัวเอง  โดยหวังว่าทางบ้านคงจะเข้าใจ

ออฟไลน์ TDCI

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 397
ผมเรียนรัฐศาสตร์นะ   ไม่เกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก เคยอยากเป็นช่าง

แต่ตอนนี้ดันเป็นหัวหน้าข่าวโต๊ะการเมือง นสพ.ฉบับหนึ่ง

ก็ยังให้ความสนใจเรื่องเครื่องยนต์กลไกทุกชนิด ทั้งรถยนต์ เครื่องบิน

แต่งูๆปลาๆนะ แค่หางอึ่งของคุณจิมมี่

ออฟไลน์ pond

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 70
อ่านหลายความคิดเห็น
1.ความคิดเห็นของพ่อและแม่  ที่อยากให้ลูกเป็น  ในสื่งที่ตัวเองเชื่อว่าดี และมีอนาคต  หรือสิ่งที่ตัวเอง พลาดและอยากจะเป็น  แต่กลับไปแก้ไขไม่ได้  เลยนำความฝังจำเหล่านั้น มาตกใส่ที่ลูก  โดนที่ไม่เคยถามเราสักคำว่า  อยากจะเป็น หรือ ทำ ในสื่งเหล่านั้นหรือป่าว  ......ยกตัวอย่างเช่น
    การบังคับ  หรือยัดเยียก  ให้ลูกอ่านหนังสือ หรือ ให้ต้องทำนั้น ทำนี้  แต่ตัวคุณเองได้แต่พูด  แต่ไม่ได้แสดงให้เด็กเห็นเลย  โดยการชอบเอง หรือสนใจในสิ่งที่คุณต้องการให้เป็น  เช่นการอ่านหนังสือ  คุณต้องหยิบหนังสือ ขึ้นมาอ่าน ให้ลูกเห็นเสียก่อน  เมื่อลูกเห็นเข้าบ่อยๆ เขาก็จะติดและเริ่มปฏิบัติตาม มันเป็นไปตามธรรมชาติ ของมันเอง จะอ่านอะไรก็ได้  แล้วเขาก็จะอ่านมากขึ้น  ไม่ว่าจะอ่านเล่น หรือเรียน และวิชา  คือการป้อนข้อมูลต้องรู้จักป้อน  ไม่ใช่ยัดเยียดคับ
2.เรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก และสนุกกับมันคับ  ถ้าเรียนไปไม่ใช่  หรือตามกระแส  ผลสุดท้าย  คนที่กลุ้มคือตัวเราเอง  ผมไม่เรียนตามเพื่อนฝูง หรือตามความนิยมคับ  การมีเพื่อนฝูงเป็นสิ่งที่ดี  ไว้ช่วยเหลือกัน  ในสังคม แต่ไม่ใช่ตามกันไป  โดยที่ไม่รู้ว่า จะเป็น หรือตายกัน  ทั้งฝูงคับ
    เมื่อเรามองย้อนกลับไป  มองทั้งพ่อและแม่คุณ (บางคน  แทบไม่ได้เรียนอะไร หรือจบอะไรมาเลยด้วยคับ)  เขากับดำเนินชีวิต ของเขาและธุระกิจ( ถ้ามี) ของเขาได้อย่างมีความสุขและปรกติคับ   ลองถามเขาสิคับ  ว่าเมื่อตอนเด็ก โดนบังคับ หรือ อยากเป็น  อยากที่ทำอยู่ทุกวันนี้หรือป่าว  ผมกล้าพูดได้เลย  ว่าไม่ได้ตั้งใจ ที่จะทำอาชีพ นี้ หรือฝันเอาไว้ว่าอยากเป็นนั้น หรือทำนี้ ผลสุดท้าย  ความฝันของพวกท่านก็คือตัวเรา     แล้วเรา ก็จะความฝันของเรา ซึ่งไม่ชอบมาใส่กับลูกเรา ในอนาคตต่อไปอีก
   การเป็นตัวของตัวเอง  หรือการค้นพบตัวเอง  ไม่ใช่เรื่องยากคับ  แต่มันยากตรงที่อธิบาย  ให้พ่อและแม่เข้าใจ  ในสิ่งที่ตัวเองชอบต่างหากและ ให้พวกเขา เปิดใจรับ ในสิ่งที่เราคิด หรือ เห็นแตกต่างจากพวกเขา    ผมมีเพื่อนรุ่นน้องอยู่คนหนึ่ง  มารู้จักกันที่อังกฤษ  จบวิศวะมา  พ่อแม่ดีใจมากคับ  ให้มาต่อโทที่นี้   จนจบป.ตรีอีกใบ   แต่สาขาที่เขาเลือกคือ  ตัดเย๊บเสื้อผ้า และออกแบบ   ซึ่งเขาไม่เคยบอกพ่อแม่เลย  จนวันรับปริญญาที่นี้  เขาถึงบอกกับพ่อแม่เขาคับ     เขาพูดว่า...  ผมเรียน วิศวะ ให้ป๋ากับม๋า จนจบ  เหมือนที่ป๋าและม๋า ตั้งใจและอยากให้ผมเป็น   แต่อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะทำและอยากจะเป็น  และนำมาเป็นอนาคตของผม ในการดำเนินชีวิตคับ  ผมเห็นสีหน้าทั้งคู่  ผมต้องเคารพ  เขาคงเสียใจ  แต่วันนี้ลูกชายกับดีใจมาก  กับสิ่งที่ตัวเองค้นพบ และมีความสุขกับมัน  คนเราเลือกในสิ่งที่มีความสุขและชอบเถอะคับ  เพราะมันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต   
    คนก็เปรียบเหมือน ร่างกายมนุษย์เรา  มีทั้งแขน ขา ตา จมูก และสิ่งต่างๆ ที่ประกอบกันให้เป็นคนคับ ก็เหมือนอาชีพต่างๆ ที่มีในสังคม  ถ้าตามกระแสหมด  ทุกอย่าง  มันก็เหมือนคนพิการ  ซึ่งขาดความหลากหลายของร่างกายไป (โทษที  ไปไกลไปหน่อย) 
    ซึ่งก็เหมือนตัวผม   อยากเป็น หมอตอนเด็กๆ  ผลสุดท้าย มาเป็นจ้าวของบริษัท taxi เล็กๆที่อังกฤษ  แต่ตอนนี้อายุมากขึ้น  กับอยากไปนั่งเล่นหุ้น หรือทำงานเกี่ยวกับท่องเที่ยว  ผมยังค้นพบตัวเองเลย ว่า ยังอยากจะทำ และอยากจะเป็นอะไรอีกหลายอย่างคับ แต่ผมทำในสื่งที่ผมชอบและสนุกกับมัน  อ้อ และสุดท้าย  ต้องรู้จักการให้ด้วยนะคับ  นั้นคือการให้โอกาสกับคนที่ด้อยกว่าเรา และช่วยเหลือสังคม  ไม่เอารัดเอาเปรียบเขา  ถ้าพวกน้องๆทำได้  ใจจะไม่ละโมบและเย็นขึ้นด้วยคับ   ......จากความเห็นหนี่งนะคับ

ออฟไลน์ maggie

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 723
    • อีเมล์
ขอเล่าประสบการณ์บ้างแล้วกันครับ ผมเองตอนอยู่ม.ปลายก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับว่าอยากเป็นอะไร รู้แต่ว่าชอบเรื่องที่เกี่ยวกับรถยนต์มากๆ อยากจับน้ำมัน ประแจ อะไรแบบนั้น แต่จะไปเรียนวิศวะก็คงไม่ได้เพราะเรียนศิลป์คำนวนมาและก็รู้อีกว่าเราเรียนอะไรที่เป็นคำนวนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว แต่ที่บ้านอยากให้เรียนเกี่ยวกับธุรกิจครับ แล้วก็เลือกให้เสร็จสรรพว่าABACดีที่สุดแล้วเพราะจะได้มาดูแลกิจการที่บ้านและสมัยนั้นไม่มีม.ไหนสอนเป็นอินเตอร์ ผมก็OK อยากให้เรียน กูเรียนก็ได้

ตัวผมก็ไปเรียนครับแต่ทุกวัน มันไม่มีความสุขเลย ทรมานกับชีวิตมากๆ ดูหน้าตาตัวเองในกระจกอย่างกับคนบ้า มันดูโทรมสุดๆ ที่บ้านก็เริ่มว่าต่างๆนานา ว่าเราไม่อดทน ใครๆเค้าก็เรียนได้ ทำไมลูกเรียนไม่ได้อะไรแบบนั้น เจ็บครับโดนแบบนี้ กลับมานั่งคิดเอาไงดี กูจะฮึดสู้ดีมั้ย ก็ตกลงสู้ครับแต่อีกแค่อาทิตย์เดียวมั้ง ผมก็บอกที่บ้านว่า ผมไม่ไหวจริงๆ Business มันไม่ใช้ตัวผมเลย ก็เลยออกจากABAC มาเอนท์ใหม่ก็เสียเวลาไปอีกปีนึง ก็เอนท์ติดครับ ได้รัฐศาสตร์ มันเป็นอะไรที่เข้ากับตัวผมมากๆ สนุกทุกครั้งที่ไปเรียน อาจจะมีบ้างที่ไม่ชอบอาจารย์บางท่าน แต่เวลาเข้าเรียนแค่ฟังก็เข้าใจไปทุกอย่าง อะไรๆก็ดูง่ายไปหมด สุดท้ายผมก็จบด้วยเกียตินิยม ตอนที่บ้านรู้ว่าผมจะเรียนรัฐศาสตร์เค้าก็ไม่ค่อยชอบใจกันนะ แต่พอเรียนๆไปเห็นเกรดผมดี เค้าก็เริ่มจะOKกัน เรื่องรถผมก็ไม่ทิ้งนะครับซื้อหนังสือมาอ่านเอง ศึกษาเองอะไรพอรื้อได้ก็รื้อ ซ่อมเองได้ก็ทำแบบว่าทำเป็นงานอดิเรกอะครับ ชีวิตตอนนั้นมีควาสุขมาก5 5 5

ชีวิตมาเปลี่ยนอีกครั้งตอนเรียนจบครับ ก็ร่อนใบสมัครไปทั่ว ดันมาได้งานแบงค์ ผมก็งงๆ อยู่ว่า กูจบรัฐศาสตร์ กูจะมาทำอะไรแนวไฟแนนซ์ แต่ก็นะลองดูแม่งกล้ารับ กูก็กล้าทำ เริ่มงานวันแรก งงครับแม่งพูดอะไรกันว่ะกูงงไปหมด ศัพท์อะไรกูไม่เคยได้ยินเลย งง มากครับ เพื่อนร่วมงานส่ายหัวกันหมด ผมเหมือนเป็นตัวตลกเป็นตัวถ่วงของทีมอะ ผมก็รู้สึกแย่ๆแบบนี้อยู่2-3วันนะ แต่เจ้านายคนที่รับผมเรียกผมเข้าไปคุยก็ได้บอกว่า ค่อยๆเรียนรู้ไปมีอะไรสงสัยให้ถามเค้าก็ได้ เค้าเชื่อว่าเค้ามองคนไม่ผิด มันก้เป็นกำลังใจอย่างดีครับ สุดท้ายราวๆ3เดือนอะครับ ที่ต้องปรับตัวกับการเรียนรู้อะไรที่เราไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย จากนั้นการงานก็รุ่งมากครับได้Promoteได้รับคำชมต่างๆเรื่อยๆ ชีวิตมาเปลี่ยนอีกทีเพราะเคยสัญญากับที่บ้านว่าจะต้องไปเรียนต่อโทที่เมืองนอกครับ พ่อแม่เห็นว่าเราสนุกกับงานและไปได้ดีกลัวว่าเราจะไม่ไปเรียนต่อ เค้าก็เข้ามาคุยกับผมว่า ชีวิตนี้พวกเค้าไม่มีโอกาสได้ไปเรียนเมืองนอก เค้าก็อยากให้ลูกเค้าได้ไป เหมือนflightบังคับตรับ ผมก็ตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วมาเรียนต่อ

เหมือนโชคชะตาเล่นตลกครับ วิชาที่ผมเลือกเรียนต่อคือ MBA 5 5 5 เพราะคิดว่าไหนๆเราก็ทำงานมาแล้วประสบการณ์ก็มีทำไมคราวนี้จะเรียนไม่ได้ ครับตอนนี้ผมก็เรียนอยู่มันก้เรียนได้นะ แต่เหนื่อยครับ ไม่สนุกเหมือนตอนเรียนรัฐศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนตอนเรียนABAC ชีวิตผมจะเป็นยังไงก้ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะกลับไปทำที่เดิมก็ได้ เพราะเจ้านายก็เร่งให้รีบจบแล้วกลับไปทำงานต่อ


เล่ามาซะยาว ขอแนะนำน้องเจ้าของกระทู้นะครับว่า ตัวเราเองรู้ตัวเราเองดีที่สุด ไม่มีใครคิดและคัดสินใจแทนเราได้ ถ้าอะไรที่มันหนักเกินไปยังไม่สายหรอกครับที่จะเปลี่ยนเพิ่งอายุแค่นี้เอง หากฝืนไป ไปโดนretireตอนปี3อะไรแบบนั้น เสียเวลากว่าอีกครับ ยังไงเราก็เป็นลูกพ่อแม่ก็ต้องรักและห่วงเป็นธรรมดา วิชาที่น้องเรียนอยู่ ใครๆก็อยากเรียนครับแต่มันไม่ใช่เรานินา ฉะนั้นหากเราได้แสดงว่าทางที่เราเลือกมันดี และถูกต้องผมเชื่อว่า พ่อ แม่น้องจะเข้าใจมันเองครับ





ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,088
ตอนผม ผมไม่ได้วางแผนอะไรเลยแฮะจริงๆผมชอบคอม ผมอ่านนิตยสารคอมแทบทุกฉบับในท้องตลาด ตั้งแต่ป.6 จนผมรู้จนไม่อยากเรียนคอมแล้ว เพราะช่างคอมกับอ.ก็ยังรู้น้อยกว่าผมด้วยซ้ำ แล้วผมขี้เกียจสอบพื้นฐานทุกอย่าง ไม่สอบตรงอะไรซักอย่าง สอบAdmission อย่างเดียว(ปี50) แล้วก็เลื่่อนๆหาคณะ ผมเห็นทีุ่จุฬามีภาควิชา เคมีวิศวกรรม เห็นมันเท่ดี มหาลัยอื่นไม่มี ก็เลยเลือกเลย เพราะคะแนนตอนนั้น นอกจากทันตะแล้ว ผมก็เลือกได้ทุกอย่าง(วิดวะไม่ได้ เพราะไม่ได้สอบ พื้นฐาน) เพิ่งมารู้ว่า ภาควิชานี้ เรียนแล้วก็เป็นวิศวะเหมือนกัน แต่ชื่อต่างจากอันอื่นเพราะ เปิดแบบอเมริกา(วิศวะเคมี จะจบวิทยาศาสตร์)และเป็นที่แรกของไทย พอเรียนๆไป ทีแรกผมก็ไม่ชอบแฮะ แต่เรียนๆไป มันก็สนุกดีครับ ตอนนี้ปี3แล้ว
แต่ก่อนผมดูถูกพวกสายศิลป์ โดยเฉพาะการบริหารมาก เพราะคิดว่า โง่ยังไงก็เรียนได้ แต่ตอนนี้คนละเรื่องเลยครับ ผมมองว่าพวกบริหารน่าสนใจกว่าอีกครับ

ออฟไลน์ boykung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,174
  • ตอนเด็กๆ โคตรอยากเป็นจีบันเลย
การเรียนการศึกษาเป็นแค่ส่วนประกอบเฉยๆครับ

สิ่งสำคัญอยู่ที่เรา จะพยายามเรียนรู้เพิ่มเติมหรือเปล่า

ต่อให้คุณได้เรียนแต่สิ่งที่คุณชอบจนจบปริญญาเอก แต่คุณไม่คิดจะเรียนรู้อย่างอื่นเพิ่มเติม คุณก็อยู่ได้แค่ตรงนั้นแหละครับ
Hyundai Grand Starex 2012
Kia Rio 2013
Volvo XC60 D4 Hybrid with Engine Oil 2013
Mercedes Benz S300Hybrid AMG 2014
BMW 420D Coupe M Sport 2016