ขับหลัง ข้อดีเยอะขนาดนั้น ทำไมเทรนรถยุคนี้ถึงไม่ทำตาม?
ถ้าพูดถึงพวกรถเก๋งซีดานยุคนี้รถขับหลังเค้าก็ทำอยู่น่ะครับ เพียงแต่มันไม่ใช่รถตลาด คำว่ารถตลาดหมายถึง รถที่ผลิตมาเน้นให้ผู้บริโภคจับต้องได้ง่าย
ต้นทุนการผลิตต้องไม่สูงมาก สมรรถนะไม่จำเป็นต้องยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวก็ได้ ขับไปไหนมาไหนได้ก็พอ (เน้นตลาดล่าง-กลางนั่นเอง)
เหตุผลที่รถตลาด (ถ้าไม่นับรถกระบะที่จำเป็นต้องเป็นขับหลังอยู่แล้ว) ไม่ค่อยทำขับเคลื่อนล้อหลัง เพราะ
1. ต้นทุนการผลิตรถขับหลังสูงกว่า ใช้เวลาในการผลิตมากกว่า = ต้องขายรถแพงกว่า ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคขอรถประเภทนี้"โดยส่วนมาก"
ไม่ใช่คนรวย ราคารถที่ถูก-แพงต่างกันไม่ว่าจะ5หมื่นหรือแสนเดียว ก็มีความหมาย และส่งผลต่อการตัดสินของกลุ่มลูกค้าประเภทนี้อย่างมาก
การทำรถเป็นขับเคลื่อนล้อหน้า ก็ช่วยลดต้นทุนได้พอสมควรครับ แล้วกลุ่มลูกค้าประเภทนี้จะคิดมากเรื่องอัตราบริโภคน้ำมันด้วย
ซึ่งรถขับหน้าวิ่งในเมืองออกตัวบ่อยๆจะประหยัดน้ำมันกว่า 1-2 กม./ลิตร จึงส่งผลดีกับกลุ่มลูกค้าประเภทเข้าไปอีกนี้ครับ
2. ส่วนมากรถตลาด หลายรุ่นๆไม่ใช่รถขนาดใหญ่ ถ้าตัวรถขนาดมันค่อนข้างเล็กอยู่แล้ว ถ้าทำเป็นระบบขับหลังมันจะไปกินพื้นที่เข้าไปอีก
แล้วรถขับหน้า สามารถทำให้ด้านหน้าสั้นลงได้มากกว่า จึงเหมาะกับรถที่ต้องการความคล่องตัวในเมืองเป็นพิเศษ
3. รถตลาดส่วนมากเครื่องจะไม่ได้แรงไม่ได้ใหญ่มาก จะใช้ระบบขับหน้าก็ได้ เพื่อให้ได้ประโยชน์จาก 2บน
4. กว่า 80% ของกลุ่มลูกค้าคนใช้รถตลาด ไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการขับขี่แบบ Motorsport คือไม่ใช่สายซิ่ง ไม่ใช่สาย Performance
หรือไม่ใช่คนที่ชอบรถเลยด้วยซ้ำ กลุ่มลูกค้าพวกนี้ซื้อรถมาเพราะจำเป็นต้องใช้โดยสารไปไหนมาไหนเฉยๆ บางคนกดคันเร่งไม่เคยเกินครึ่ง
ขับเท่าความเร็ว Honda Wave 100 แทบจะตลอดชีวิต เจอโค้งก็คลานเข้าโค้ง....แบบนี้ถ้าทำขับเคลื่อนล้อหลังมา ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์สูงสุดของมัน
ก็เลยทำขับหน้าแล้วเอาประโยชน์จาก 2ข้อแรกดีกว่า
5. หัวเพลาขับ+ยางกันฝุ่น+ยางแท่นเครื่อง-แท่นเกียร์ ของรถขับหน้าจะอายุสั้นกว่าของขับหลังมาก ซึ่งดีต่อผู้ผลิต เพราะจะขายอะไหล่ได้
แล้วมันจะยิ่งสั้นกว่าปกติเข้าไปอีก หากไปอยู่กับคนที่เท้าหนัก ช่วงต้นๆชอบเร่งแรงๆบ่อยๆ โดยเฉพาะเร่งแรงๆขณะเข้าโค้ง
หรือตอนล้อมีการหักเลี้ยวอยู่ แบบนี้เพลาขับจะไปเร็วเป็นพิเศษครับ
ก็ประมาณนี้ครับ ส่วนรถที่ไม่ได้ห่วงเรื่องข้อจำกัดดังที่กล่าวมาด้านบน เค้าก็จะทำเป็นขับเคลื่อนล้อหลังอยู่ครับ
ถ้าพวกซีดาน ก็เช่น Benz , BMW ตัวที่เป็นคลาสหลักเช่น C-S หรือซีรี่ส์ 3-7
ถ้าฝั่งญี่ปุ่นก็มี Toyota Crown ซึ่งเป็นขับหลังมาโดยตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง....เรื่องพื้นที่ ด้วยรถพวกนี้ตัวถังค่อนข้างใหญ่อยู่แล้ว
การทำเป็นขับเคลื่อนล้อหลังก็จะไม่กระทบต่อพื้นที่ในห้องโดยสารเท่าไหร่ ยังไงก็ยังมีพื้นที่กว้างอยู่ ยังไงก็นั่งสบายครับ
จริงๆฝั่งญี่ปุ่นก็เหมือนจะมีอีกนะครับ แต่นึกไม่ออกแต่ถ้ามี ก็อาจไม่ได้ขายอยู่แถวๆนี้นะครับ
ส่วนรถสปอร์ต ไฮเปอร์คาร์ พวกนี้จำเป็นต้องเป็นขับหลังครับ เพราะเครื่องแรงจัด เน้นสมรรถนะทุกด้าน และอรรถรสในการขับขี่ เหนือสิ่งอื่นใด
ส่วนราคาไม่สน แพงเท่าไหร่เท่ากัน เพราะกลุ่มลูกค้าของรถแนวนี้เป็นคนมีกะตังอยู่แล้วครับ
แต่รถสปอร์ตเครื่องไม่แรงมาก แต่เป็นขับหลังก็มีครับ เช่น MX-5 , GT86 , BRZ ฯลฯ พวกนี้ทำขับหลังมาน่าจะเพื่อเน้น Handling
เป็นหลักมากกว่า แต่ราคาก็ไม่ถูกนะครับ จะว่า
อ่อ อีกหนึ่งข้อดีของรถขับหลังที่มีผลในด้านการขับขี่คือ วิศวกรสามารถ ผลิต+จูน ช่วงล่างด้านหน้าได้เต็มที่มากกว่าครับ
เพราะรถขับหน้า ทั้งเครื่องทั้งเกียร์ หันขวางกินเนื้อที่ซุ้มล้ออยู่ แถมมีเพลาขับก็เสียบไปที่ล้อหน้า ขวางทางไปอีกหน่อย
ถ้าขับหลังจะตรงข้ามครับ คือบริเวณซุ้มล้อหน้าจะโล่งกว่าเยอะ อยากใส่ช่วงล่างแบบไหน จัดเต็มได้เลย
ปีกนกใหญ่ยาวขนาดไหน จูนยังไง จัดได้เต็มที่กว่าของขับหน้าครับ
สรุป; ทุกระบบมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียต่างกันไปแหละครับ ผู้ผลิตเค้าจะทำมาระบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับประเภทรถนั้นๆ
ว่าเป็นแบบไหน , เอาไปใช้งานยังไง , กลุ่มลูกค้าส่วนมากของรถประเภทนั้นเป็นแบบไหน (ไลฟ์สไตล์การใช้รถ) นะครับ.