คำถามที่สำคัญคือ ผ่านไป 20 ปี อยากให้รถสภาพเป็นยังไงครับ มันมีอยู่สองทาง
ทางแรกคือ ไม่ขับเลย มันก็เป็นรถที่ไม่มีใครไปยุ่งกับมัน เหมือนจอดอยู่ในโชว์รูม ฝุ่นใต้ท้องไม่มี สติ๊กเกอร์ ร่องรอยต่าง ๆ จากโรงงานอยู่ครบ เลขไมล์หลักสิบ ถ้าเป็นตามนี้ก็ต้องเอาของเหลวออกครับ น้ำมันในถังต้องเอาออกให้หมด แล้วก็คูลแลนท์ก็ต้องเอาออกด้วย ส่วนน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ อะไรพวกนี้ปล่อยทิ้งเอาไว้ได้ ส่วนจะยกรถแล้วเอาบล็อกหรือแม่แรงวางรองไว้เพื่อรักษาช่วงล่างกับยางหรือไม่ ก็แล้วแต่เหมือนกันครับ ในกรณีนี้ รถมันก็จะเหมือนกับโมเดล 1:1 เลยครับ สิ่งที่ควรจะทำอยู่เสมอคือ ต้องคอยหมุนเครื่องเพื่อให้มั่นใจว่าข้างในไม่ได้เป็นสนิมจนพังไปก่อน แต่จะใช้วิธีการหมุนมือเอา หรือคอยมาสตาร์ทอยู่เรื่อย ๆ ก็แล้วแต่
พอผ่านไป 20 ปี รถที่จะได้ ก็คือรถที่ไม่มีใครอยากขับครับ เพราะ 1. มูลค่าหลักของมันอยู่ที่เลขไมล์ ซึ่งถ้าเอากลับมาขับก็จะเสียไป และ 2. รถพวกนี้จะมีปัญหาจุกจิกกวนใจเยอะมาก ไม่ว่าจะซีลรั่วซึม ระบบรวน หรือปัญหาอย่างอื่นที่เกิดจากการที่รถไม่ได้ขยับเลย รถประเภทนี้ถ้าถึงสภาพแบบนั้นแล้ว จะปรับให้กลับมาขับได้แบบรถควรจะเป็น ลำบากกว่าที่คิดครับ
ถ้าเก็บอย่างถูกต้อง ไม่โดนแสงแดด ไม่โดนความชื้น ระบายอากาศอยู่เสมอ สภาพรถจะสวยมากครับ ไม่ต่างจากออกจากโชว์รูมนั่นแหละครับ ถ้าอยากจะบ้าจริง ๆ ก็มีถึงขั้นถอดชิ้นส่วนต่าง ๆ นอกรถ ที่เป็นพลาสติก เพื่อที่จะห่อเก็บไว้เพื่อรักษาสภาพ อันนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกเลยครับ มีอีกทางหนึ่งคือซื้ออะไหล่มาสต๊อกเอาไว้แยกจากกัน
ในอีกกรณีหนึ่ง ก็คือ รักษารถเอาไว้ให้อยู่ในสภาพที่ขับได้ตลอด แต่ไม่ได้ขับเยอะ อาจจะเดือนนึงขับแค่ให้รถได้ผ่าน Heat cycle ตามปกติบ้าง เช่นเดือนละ 100 กม. อาทิตย์ละ 25 กม. พอผ่านไป 20 ปี 240 เดือน รถเลขไมล์ก็จะยังอยู่ที่แค่ 24,000 กม. ซึ่งก็นับว่าน้อยมาก หรือจะน้อยกว่านั้นก็แล้วแต่ครับ อาจจะขยับเหลือแค่ 30 กม. ทุก 3 เดือน ก็ได้ (แต่ในความคิดเห็นของผม ถ้าจะเอาให้รถขับได้ดีตลอด ก็ควรจะได้ผ่าน Heat cycle ทุกเดือนครับ) ที่สำคัญคือรถจะต้องคอยรักษาสภาพให้รถได้วิ่งอยู่บ้าง ในกรณีแบบนี้ พอผ่านไป 20 ปี ตัวรถอาจจะไม่ได้สภาพเป๊ะเท่ากับในกรณีแรก แต่ว่าตัวรถจะยังขับได้ดีอยู่ครับ เรียกได้ว่าอาจจะขับใกล้เคียงรถใหม่เลยทีเดียว และดีกว่าเก็บแบบกรณีแรกเยอะ
นอกจากนี้ ในกรณีที่สองนั้น การเก็บรักษาจะทำได้สะดวกกว่ามากครับ เพราะมันก็คือรถที่ขับได้อยู่ และการบำรุงรักษาก็คือเปลี่ยนของเหลวตามระยะเวลาปกติ น้ำมันเครื่องทุก 6 เดือน อย่างอื่นทุก 2 ปี อะไรก็ว่ากันไป
ทั้งหมดทั้งปวง ในทั้งสองกรณี มันมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ คือ 1. ไม่ควรจะใส่แบตเตอรี่ทิ้งไว้ครับ กรณีแรกยังไง ๆ ก็ถอดแบตออกไปเลย ส่วนกรณีที่สองอาจจะใช้เครื่องชาร์จ หรือถอดไว้แล้วใส่คืนเฉพาะเวลาขับ ก็แล้วแต่ครับ และ 2. การล้างรถไม่ควรใช้น้ำล้างครับ ถ้าล้างแบบใช้น้ำจริง ๆ ก็ต้องให้รถมีโอกาสได้ระบายความชื้นออก ซึ่งวิธีที่ได้ผลที่สุด และควรทำที่สุดก็คือ... เอาออกไปขับครับ
ส่วนวิธีล้างแบบไม่ใช้น้ำเทคโนโลยีสมัยนี้ก็มีเข้ามามากมายแล้วครับ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ง่ายและดีที่สุดก็ต้องเก็บรถไว้ในสภาวะที่ฝุ่นจับน้อยที่สุดตั้งแต่แรก ซึ่งก็กลับไปที่โพสด้านบนที่ระบุเอาไว้หมดแล้ว เช่น เก็บให้ไม่โดนแสง ในที่ปิด มีอากาศถ่ายเท ส่วนการห่อพลาสติก ไม่แนะนำครับ โรงเก็บแบบที่มีอากาศถ่ายเทบ้าง แสงแดดไม่เข้า ไม่มีความชื้น และไม่มีหนูมากัดสายไฟ แค่นี้ก็เหลือจะเพียงพอแล้วครับ
อย่างไรก็ตามแต่ อย่าเก็บแบบปล่อยลืมทิ้งไว้ครับ ถ้าคิดจะทำแบบนั้นสู้เอาออกมาขับดีกว่าครับ ไม่มีประโยชน์เลยครับ ยังไงก็ต้องดูแลรักษาให้ดี ถ้าอยากคงสภาพเอาไว้ให้เหมือนใหม่จริง ๆ บางทีลำบากกว่าบำรุงรักษารถที่ใช้งานปกติอีกครับ
สุดท้ายแล้วก็ขอให้โชคดีครับ ถ้านอกเหนือจากที่ระบุเอาไว้ มันก็ขึ้นอยู่กับจักรวาลจะสรรค์สร้างแล้วครับ