ต่อไปจะพูดถึงการแข่งขันนะครับ SAE ไม่ได้แข่งกันแค่เร็วและแรงเท่านั้น รถแต่ละคันต้องเปรียบเทียบในความสามารถหลายๆ ด้าน และรวมถึงความสามารถในเรื่องเศรษฐศาสตร์ (ซึ่งเป็นอะไรที่สร้างความปวดเศียรกับสมาชิกได้พอสมควร) และเรื่องความปลอดภัย นอกจากการแข่งขันหลักในช่วงปลายๆ ปีแล้ว ก่อนการแข่งยังต้องมีการดำเนินการอีกหลายกระทอก ตั้งแต่หลังการสมัครเลยทีเดียว
โดยหลังจากสมัครเสร็จแล้ว กระทอกแรกคือการส่ง Business Logic ซึ่งเป็นแนวคิดจำลองสถานการณ์ว่าหากรถของทีมมีบริษัทสนใจนำไปผลิต เพื่อขายในกลุ่มลูกค้าที่สนใจ (เพราะถึงคนจะสนไม่เยอะมากแต่ปัจจุบันกลุ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ) ทีมจะมีการออกแบบแนวทางการขายอย่างไร มีอะไรเป็นจุดเด่น ราคาประมาณเท่าไร ฯลฯ ซึ่งไม่เกี่ยวกับคะแนน แต่จะเป็นพื้นฐานในการใช้พิจารณาในการแข่งขันหัวข้อ Presentation ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
ไม่ถึง 2 เดือนคล้อยหลัง ก็จะเป็นกำหนดส่ง Impact Attenuator Report และ Structure Report ซึ่งเป็นการตรวจสอบมาตรฐานของรถ ไม่มีคะแนนอีกเช่นกัน
Impact Attenuator พูดง่ายๆ ก็คือกันชนของรถ ถึงการแข่งขันจะจัดในสนามซึ่งพื้นที่กว้าง แต่ก็จำเป็นต้องออกแบบกันชนเพื่อให้สามารถรองรับเหตุสุดวิสัยได้ โดยไม่ทำให้คนขับบาดเจ็บมากเกินไป เมื่อออกแบบเสร็จให้ทำแบบเดียวกันมา 2 ชิ้น ชิ้นหนึ่งนำไปใช้ อีกชิ้นนำไปทดสอบความแข็งแรง การทดสอบมีหลายวิธี แต่สิ่งที่จะได้มาคือ กราฟของแรงกดที่หัวกดกระทำต่อชิ้นงาน ต่อระยะยุบตัวต่างๆ ดังรูป
รูป: กันชน และเครื่องทดสอบกันชน
ข้อกำหนดคุณลักษณะของกันชนมีมากมาย เช่น
-แรงกดสูงสุด ไม่เกิน 117.72 กิโลนิวตัน (เพื่อไม่ให้เกิดการหน่วงรถมากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่)
-แรงกดเฉลี่ย ไม่เกิน 58.86 กิโลนิวตัน
-ปริมาณพลังงานจลน์จากการกระแทกที่ดูดซับโดยกันชนตลอดระยะการยุบตัว (ตามสูตร E=Fx) ไม่ต่ำกว่า 7350 จูล (เป็นการกำหนดเพื่อมั่นใจว่าสามารถรับปริมาณแรงกระแทกได้เพียงพอก่อนที่จะยุบตัวจนสุด) หาได้โดยอินทิเกรตกราฟ F กับ x
หากชิ้นส่วนแข็งเกินไป จะไม่ผ่านเพดานของแรงกดสูงสุด แต่หากอ่อนเกินไป หรือระยะยุบตัวน้อยเกินไปจะไม่ผ่านเกณฑ์ปริมาณการพลังงานจลน์ที่ดูดซับเช่นกัน จึงต้องมีการออกแบบและใช้ค่าที่เหมาะสม ก็จะได้กันชนซึ่งมีความเหมาะสม
Structure ก็เป็นคล้ายๆ กับการตรวจสอบรายงานมาตรฐานกันชน แต่เป็นของวัสดุซึ่งใช้เป็นโครงรถ ซึ่งจะมีมาตรฐานการตรวจสอบหลากหลายกว่ากันชน
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ก็จะเป็นกำหนดส่ง Cost Analysis ซึ่งคือการประเมินมูลค่ารถคันที่ทำ โดยประเมินตามมาตรฐานราคาชิ้นส่วนต่างๆ ตามที่ SAE กำหนด ซึ่งอันนี้จะใช้เป็นคะแนนในหัวข้อ Cost Analysis ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป ซึ่งรายงานเล่มนี้เป็นรายงานที่ต้องใช้คนเยอะมากในการช่วยกันทำและตรวจสอบเนื่องจากมาตรฐานและตัวเลขค่ากลางนั้นเป็นจุดที่รายละเอียดเยอะและพลาดง่าย
หลังจากรายงานเล่มนั้น ก็จะเว้นช่วงอีกประมาณ 2 เดือนก่อนจะถึงวันแข่งขัน เราใช้เวลาช่วงนั้นทำรถตามรายละเอียดที่กล่าวไว้ข้างต้น และซ่อม และทดสอบ เพื่อรอการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง
15 พฤศจิกายน 2556 และแล้ววันแข่งก็มาถึง ทีมผมซึ่งโดยปกติก็แอบหวั่นใจอยู่เล็กๆ ในเมื่อรถคันนี้มีการลดต้นทุนแฝงอยู่ทุกอณู จะเกิดอะไรขึ้นในสามวันนับจากนี้ยังไม่มีใครรู้...
มากล่าวถึงการแข่งกันดีกว่าครับ การแข่งจะมีคะแนนเต็ม 1000 คะแนน ประกอบด้วยหัวข้อและการถ่วงคะแนนตามการแข่งขัน SAE สากล คือ
1. Static Event เป็นการแข่งเชิงทฤษฎีถึงการออกแบบและการประเมินตัวรถในด้านต่างๆ
1.1 Design 150 คะแนน
1.2 Cost & Manufacturing Analysis 100 คะแนน
1.3 Presentation 75 คะแนน
2. Dynamic Event เป็นการแข่งขันเชิงปฏิบัติที่นำรถวิ่งจริง
2.1 Acceleration 75 คะแนน
2.2 Skid-Pad 50 คะแนน
2.3 Autocross 150 คะแนน
2.4 Fuel Economy 100 คะแนน
2.5 Endurance 300 คะแนน
วันแรกของการแข่งขัน หลังจากที่ทุกทีมมาถึงสนามทดสอบยางไทยบริดจ์สโตน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สิ่งแรกที่ทำ นอกจากเรื่องลงทะเบียนแล้ว คือการนำรถเข้าตรวจสอบว่าตัวรถและนักขับเป็นไปตามข้อกำหนดของ SAE หรือไม่ (ทีมที่ยังผ่านการตรวจสภาพไม่ครบจะไม่สามารถลงแข่ง Dynamic Event ได้ จะลงแข่งได้เฉพาะ Static Event) ซึ่งการตรวจสภาพจะประกอบด้วย
1. Inspection จะเป็นกรรมการเดินตรวจรถ และชุดนักขับ และข้อกำหนดจิปาถะอื่นๆ โดยมากทุกทีมมักจะติดข้อกำหนดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งสามารถแก้ได้ หากแก้ผ่านแล้วสามารถนำไปตรวจใหม่ได้ (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องภายใน 2 วันแรกของการแข่งขัน) ไม่ใช่ตกแล้วตกเลย นอกจากทีมไหนจะผิดกฎข้อสำคัญจริงๆ แก้ไม่ทันก็จะถอดใจกันไปเอง การ แต่ปัญหาใหญ่คือการต่อคิว เพราะถึงแม้จะมีการเรียงลำดับตามหมายเลข และมีกำหนดเวลาของกรรมการอย่างชัดเจน แต่เอาเข้าจริงก็ค่อนข้างจะมั่ว เวลามักจะช้าออกไป และทีมที่กลับไปแก้เข้ามาใหม่ ก็ต้องต่อคิว ทำให้เสียเวลาไปนาน ณ จุดนี้ หากทีมใดมีรุ่นพี่กลับมาช่วยจะเป็นการดีมาก เพราะการผ่านประสบการณ์มาก่อนจะช่วยในการวางแผนได้
รูป: ในเต๊นท์ Inspection ระหว่างรอกรรมการ
2. Noise (อันนี้หลายทีมจะได้ตรวจวันที่ 2 เพราะถ้าการตรวจ Inspection และ Tilt ยังไม่ผ่าน จะไม่ได้รับอนุญาตให้ติดเครื่อง)
3. Tilt ทดสอบการเอียงว่าไม่มีของเหลวรั่ว
รูป:การทดสอบ Tilt ในการแข่งขัน
4. Brake Test ก็คือการทดสอบระยะการเบรกนั่นล่ะครับว่าจะสามารถเบรกได้ในระยะที่ไม่เกินกำหนดได้หรือไม่
ที่กล่าวไปนั้น คือการ Inspection ตรวจสอบคุณภาพรถ แต่ในขณะที่การตรวจสอบดำเนินไป ก็จะมีการแข่งขันเกิดขึ้นควบคู่ไปด้วย โดยการแข่งในวันแรก จะเน้นไปที่ Static Event เพราะทีมที่จะผ่านการตรวจสอบทั้งหมดตั้งแต่วันแรกนั้นค่อนข้างน้อย การแข่งขันแบบ Static จะมีคิวการเข้าแข่งที่ชัดเจน โดยวันแรกจะมีการแข่งขันใน 2 อย่าง คือ
1. Design เป็นการให้คะแนนการออกแบบรถ คล้ายกับลูกค้าที่ถามเซลล์ถึงการออกแบบ และข้อมูลทางเทคนิคต่างๆ แต่ ลูกค้า ที่ว่านี้คืออาจารย์สายยานยนต์จากสถาบันต่างๆ ทำให้ เซลล์ ต้องรู้มากกว่าเซลล์ขายรถทั่วไป แต่ก็ยังดีที่ เซลล์ ในงานนี้ก็ไม่ใช่แค่คนขาย แต่เป็นคนทำรถคันนี้ขึ้นมาเอง จึงรู้จักยานยนต์คันนี้พอสมควร
คะแนนจะขึ้นกับความหวือหวาในการออกแบบ ความปลอดภัย ความไฮเทคในตัวรถ และความรู้ความสามารถของผู้ตอบคำถาม แต่เนื่องจากทีมผมค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม จึงทำคะแนนในด้านความหวือหวาไม่ดีนัก (แต่การแข่งของต่างประเทศนี่ได้ยินมาว่ากรรมการจะเน้นเรื่องเซฟตี้มากกว่าที่นี่อยู่หน่อยนึงนะครับ)
คะแนนเต็ม 150 คะแนน ได้มา 104.3 คะแนน เป็นอันดับที่ 15 ของรายการนี้ จาก 27 ทีม2. Cost & Manufacturing Analysis เป็นการให้คะแนนความถูกต้องในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของรถ ซึ่งไม่ใช่ต้นทุนที่ใช้ แต่เป็น มูลค่า หรือต้นทุนการผลิตหากเป็นการผลิตแบบ Mass Production ตามที่เคยให้ส่งเล่มรายงานไว้ การให้คะแนนจะให้คะแนนจากเล่มรายงานที่ส่ง โดยสุ่มตรวจชิ้นส่วนหรือกระบวนการผลิตว่าได้ใส่รวมลงไปในรายงาน Cost หรือไม่ หากมีในรถ แต่ไม่มีในเล่มรายงานก็จะถูกหัก แต่ถ้าไม่มีในรถก็จะข้ามไป (หากไม่ได้ส่งเล่มรายงาน คะแนนจะเป็น -100)
อีกการทดสอบคือความสามารถในการตอบคำถาม ซึ่งจะมีการสุ่มคำถามในทางเศรษฐศาสตร์วิศวกรรมขึ้นมา ให้สมาชิกตอบ (คำถามจะเปลี่ยนไปทุกปี แต่ในแต่ละปีทุกทีมจะเจอคำถามคล้ายๆ กัน) ซึ่งในปีนี้ ตัวอย่างคำถามเช่น ให้เสนอแนวทางลดต้นทุนร้อยละ 15 ของชิ้นส่วนเฉพาะในหมวด XXX ของตัวรถ (XXX=แล้วแต่กรรมการจะสุ่มถาม หมวดเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ตัวถัง ฯลฯ) ซึ่งถึงแม้ทีมเราจะลดต้นทุนมาเกินครึ่งของมูลค่ารถ แต่คำถามไม่ใช่การลดต้นทุนของรถคันนี้ แต่ถามการลดต้นทุนของไลน์การผลิต ซึ่งทีมผมได้คะแนนจากส่วนนี้ค่อนข้างดี แต่เสียคะแนนในหมวดของรูปเล่ม เพราะสะเพร่าไปหลายจุด
เต็ม 100 ได้มา 28.8 คะแนน เป็นอันดับที่ 10 ของรายการนี้ จาก 27 ทีม (คะแนนนิดเดียวได้ตั้งที่ 10 เพราะหัวข้อนี้ค่อนข้างโหดครับ ทีมที่ได้ท็อปในหัวข้อนี้ยังได้แค่ 62.1 เต็ม 100)
16 พฤศจิกายน 2556 การตรวจสอบรถในทุกหมวดสามารถดำเนินการต่อได้สำหรับทีมที่ยังไม่เรียบร้อย แต่การแข่งขันทุกรายการจะมีกำหนดเวลา หากทีมไหนที่ผ่านการตรวจสภาพช้า ก็จะลงแข่งการแข่งขันที่เป็น Dynamic Event บางรายการไม่ทัน ก็จะถูกตัดคะแนนหัวข้อนั้นไป การแข่งขันที่เป็น Dynamic Event เกือบทุกรายการ (ยกเว้น Endurance & Fuel Economy) จะไม่มีการเรียกมาแข่ง ใครแข่งก็ให้มาต่อคิว แต่สนามแข่งแต่ละรายการจะจำกัดเวลาเปิด-ปิด ใครมาต่อคิวไม่ทันก็จะถูกตัดไป ซึ่งทีมผมผ่านการตรวจสภาพทุกประเภทในเช้าวันนั้น ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการเริ่มแข่ง Dynamic Event ใดๆ จึงทันแข่งทุกรายการ การแข่งขันในวันนี้จะประกอบด้วย
1. Presentation เป็นการแข่งขัน Static รายการสุดท้าย คือให้สมมติว่ากรรมการเป็นผู้บริหารบริษัทที่สนใจจะนำรถไปขึ้นสายการผลิต และตัวเราให้เป็นทีมยุทธศาสตร์ (ไม่ใช่วิศวกรแล้ว) วางแผนและวิเคราะห์การตีตลาดถึงความเป็นไปได้ จุดเด่น และช่องทางการตีตลาด สำหรับเด็กคณะวิศวฯ นี่คือการแข่งขันรายการที่น่าปวดหัวที่สุด ถึงแม้จะมีความช่วยเหลือบ้างจากเพื่อนในคณะเศรษฐศาสตร์ แต่บางอย่างที่เป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา แต่กลับเป็นพื้นฐานที่นักเศรษฐศาสตร์ทุกคนแม้แต่มือใหม่ต้องทราบ ทำให้ได้ยินเสียงร้าวๆ มาจากบริเวณหน้าของตนเอง
ถึงกระนั้น ด้วยความที่สามารถบ่งบอกถึงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ และรายละเอียดวิศวกรรมได้ ก็พอจะตีตื้นคะแนนมาได้บ้าง
คะแนนเต็ม 75 ได้มา 53.4 เป็นอันดับที่ 10 ของรายการ จาก 24 (เริ่มหายไป 3 ทีมแล้วครับ อาจจะเป็นได้ทั้งการมาไม่ทันจึงถูกตัดสิทธิ์หรือการถอดใจไปแล้วในบางทีม)
2. Dry Skid-Pad หรือการวิ่งเป็นเลข 8 ทดสอบความสามารถในการบังคับเลี้ยว หรือการควบคุมอาการของรถ สนามจะมัลักษณะเป็นเลข 8 ในสนามแคบๆ ตามมาตรฐานของ Formula SAE ทำให้นักขับต้องหักเลี้ยวอย่างรวดเร็วตลอด คะแนนจะตัดสินจากเวลาที่ใช้ในการวิ่ง ยิ่งจบเร็วก็ยิ่งคะแนนดี แต่หากชนกรวยจะถูกบวกเพิ่มเวลา
(ที่ชื่อว่า Dry Skid-Pad ก็เพราะในการแข่งอาชีพมีการใช้สนามเปียกด้วย แต่สำหรับรายการนี้ถ้าเอามาให้เด็กเล่นก็ออกจะอันตรายไปซักหน่อย เลยไม่มีครับ) สำหรับทีมผม คนขับงานนี้เป็นรุ่นน้องใหม่ ชนกรวยเยอะไปหน่อย (แหะ แหะ)
เต็ม 50 ได้มา 6.5 คะแนน เป็นอันดับที่ 15 จาก 18 ทีม (อันนี้เหลือ 18 ทีม หายไปเยอะ จากการวางแผนการแข่งไม่ดี หรือผ่าน Inspection ช้า มาไม่ทัน)
รูป:Skid Pad ของทีม Dongtaan Racing 03 ในการแข่งขัน TSAE ปี 2011
3. Autocross คือการวิ่งอย่างปลอดภัย เป็นการวิ่งในระยะทาง 0.805 กิโลเมตร หนึ่งรอบ ตามแทร็กที่วางกรวยไว้ในสนามกว้าง มีสนามทุกรูปแบบตั้งแต่โค้ง S โค้งหักศอก สลาลอม ฯลฯ คะแนนตัดสินจากเวลาที่ดีที่สุด หากชนกรวยก็จะถูกเพิ่มเวลา งานนี้คะแนนเยอะ ไม่กล้าให้น้องใหม่ไปขับ เปลี่ยนเป็นคนขับที่มีสติมากขึ้น
จาก 150 ได้มา 51.7 คะแนน เป็นอันดับที่ 14 จาก 21 ทีมของรายการนี้รูป: ตัวอย่างภาพรวมของแทร็กวิ่ง Autocross ในต่างประเทศ
4. Acceleration หรือที่ทุกคนเรียกย่อๆ กันว่า Drag นั่นเอง เป็นการแข่งขันทดสอบเวลาที่ใช้จากจุดหยุดนิ่ง ออกตัวไปถึงเส้นชัยที่ 75 เมตร แต่หากใช้ระยะเบรกหลังผ่านเส้นชัยมากกว่ากำหนด หรือชนกรวยข้างทางก็จะถูกบวกเวลา ทีมผม เนื่องจากเครื่องยนต์บ้าพลังพอสมควร จึงทำคะแนนในหัวข้อนี้ได้ดี
จากคะแนนเต็ม 75 ได้มา 59.0 คะแนน กับเวลา 4.96 วินาที ใน 75 เมตรครับ เป็นที่ 5 จาก 21 ทีมในรายการนี้รูป: การแข่ง Drag ของ DTR 03 ปี 2011
17 พฤศจิกายน 2556 วันสุดท้ายของการแข่งขัน แต่หาใช่วันที่สบายที่สุดไม่ กลับเป็นวันที่เครียดที่สุดของการแข่งขัน เพราะวันนี้เป็นการแข่งขันเพียงรายการเดียว (แต่เป็นคะแนนใน 2 หัวข้อ) รายการเดียวนี้ นี่แหละคือรายการที่ทำให้รถพังกันไปประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่ลงแข่งรายการนี้ คือ รายการ Endurance & Fuel Economy (400 คะแนน)
Endurance คือการแข่งขันวัดความทนทานของรถ ชื่อรายการก็บอกแล้วครับว่าโหดแน่ รูปแบบการแข่งจะเหมือนการวิ่ง Autocross คือการวิ่งอย่างปลอดภัยตามแทร็กที่วางไว้ แต่จุดที่ต่าง คือ Autocross จะวิ่งรอบเดียว แต่ Endurance จะวิ่ง 22 รอบ โดยไม่ดับเครื่อง มีเพียงการเปลี่ยนตัวนักขับที่ครึ่งทางเท่านั้น และรอบของ Autocross จะ 0.805 กิโลเมตร แต่รอบของ Endurance จะรอบละประมาณ 1 กิโลเมตรครับ (แต่คอนเซปต์ของการวางสนามจะคล้ายๆ กัน)
การวิ่ง 22 กิโลเมตรสำหรับรถทั่วไปเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับรถที่ทำกันเอง กลึงเอง ประกอบเอง การวิ่งที่ทดสอบความอดทนนี้ จะดึงเอาความเหนื่อยล้า ความเครียด ของนักขับและรถออกมา จากเบื้องลึก เพราะเป็นที่รู้กันว่า ผู้ที่จะแข่งจบในรายการนี้มีน้อย จากประวัติการแข่งที่ผ่านมาของ TSAE Student Formula รถจะพังที่รายการนี้ประมาณครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าของทีมที่ลงแข่งขันรายการนี้ทั้งหมด ในปีนี้ มีทีมลงสมัคร 32 ทีม ถอนตัวก่อนแข่ง 5 (เหลือ 27) ถอนใจระหว่างแข่งอีก 6 (ไม่ผ่าน Inspection) เหลือมา 21 จะรอดกันสักเท่าไหร่ และเราจะเป็นหนึ่งในผู้รอด หรือผู้ไม่รอด.....
หากแข่งจบ จึงจะเอาเวลาที่ใช้วิ่งมาคำนวณคะแนน Endurance และนำรถไปทดสอบปริมาณน้ำมันที่ใช้ และคำนวณเป็นคะแนน Fuel Economy
หากวิ่งไม่จบ คะแนนทั้งหมวด Endurance และ Fuel Economy จะเป็น 0 ทันที ซึ่งเท่ากับว่าคะแนนจะหายไปถึง 400 คะแนนจาก 1000 ซึ่งนั่นหมายถึงอันดับซึ่งจะไม่ดีแน่นอน
การแข่งเริ่มตั้งแต่เช้า ผลัดกันวิ่งที่ละ 2 ทีม เพื่อไม่ให้สนามรกเกินไป หลังจากเริ่มแข่งไม่นาน รถกระบะของสนามก็ยกรถที่พังคาสนามออกมาทีมแล้วทีมเล่า ทำให้เราเริ่มใจไม่ดี แม้แต่บางทีมซึ่งมีการสนับสนุนแป็นหลักล้านบาท ก็ยังพลาดพลั้ง บางทีม ซึ่งครองอันดับ 1 จากแทบทุกรายการที่ผ่านมาก็ยังพลาด สาเหตุมีมากมาย ตั้งแต่หม้อน้ำเล็กเกินไปจนโอเวอร์ฮีต, ระบบไฟฟ้ารวน เพลาขาด เกียร์วืด ฯลฯ แต่การพังที่ทำลายขวัญและกำลังใจของหลายทีมมากที่สุด ท่านที่ไปแข่งในปีที่แล้วคงจะจำได้ติดตา คือการพังของทีมๆ หนึ่ง ซึ่งล้อฉีกขาดกลางสนาม (ไม่ใช่ล้อหลุด แต่ฉีกออกไป โดยดุมล้อยังอยู่กับรถ แต่ตัวล้อฉีกออกไปในลักษณะโหว่กลางเป็นรูปโดนัท) ซึ่งก็อดเสียดายแทนทีมนั้นไม่ได้ เพราะเขาน่าจะได้ที่หนึ่ง หรืออันดับไม่เกิน 3 ในปีนี้ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้นเสียก่อน การเห็นผู้ซึ่งควรจะได้อันดับดีๆ ต้องเจอเหตุการณ์นี้ช่างเป็นอะไรที่อดเสียใจแทนไม่ได้
การขับ ถ้าขับเร็ว ก็จะทำให้รถรับภาระหนัก แต่ถ้ารถรับได้จนจบการแข่งขันก็จะได้คะแนนในระดับที่ดีมาก แต่หากขับข้าก็ตรงกันข้าม คือรถรับภาระน้อย แต่โอกาสแข่งจบสูงกว่า และหากขับช้าเกินไปจนน่าเกลียด ประเภทหยอดทุกโค้ง เฉื่อยทุกทางตรง จะถูก Disqualified ออกจากการแข่งขันและตัดคะแนนเป็น 0 เช่นเดียวกับการวิ่งไม่จบ
คนในทีมทุกคนที่หัวอนุรักษ์นิยมอยู่แล้ว (ยกเว้นนักขับคนแรกที่เป็นจอมแว้น) ตกลงกันว่าจะให้ขับช้าๆ ด้วยความเร็วปานกลาง ไม่ให้ถูกตัดออกจากการแข่งขัน และไม่ให้เร็วเกินไปจนรถเกิดปัญหา
13.00 ถึงคิวของทีมผมที่จะลงแข่งแล้ว อุปกรณ์พร้อม รถพร้อม คนพร้อม(เรอะ?) สตาร์ตเครื่อง และออกวิ่งไป รอบแล้วรอบเล่า คนในทีมนั่งหน้าตูบกันอยู่ข้างสนาม คอยลุ้น ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานกว่าจะผ่านกันไปแต่ละรอบ 1 รอบ 2 รอบ 3 รอบ 4 รอบ (หมุนกวาดกรวยไปทีนึง มองเผินๆ ไกลๆ เห็นแว่บแรกก่อนจะเข้าใจว่าแค่ขับพลาดก็แทบหัวใจวายแล้ว พอรู้ว่ารถไม่พังก็อุ่นใจ แต่ก็โดนบวกเวลาไม่ใช่น้อย) ... 10 รอบ ... 11 รอบ เปลี่ยนนักขับ ... 15 รอบ ... 17 รอบ ... 20 รอบ ... 21 รอบ ...
จนในที่สุด ก็เข้าเส้นชัยรอบที่ 22 ได้เป็นผลสำเร็จ สิ่งที่รอคอยมาถึงจนได้ ผมและรุ่นพี่ได้ทำสำเร็จตามความตั้งใจแล้วในปีนี้
รถผมแข่งจบรายการแล้วคร๊าบ!!!!!!!!!!!ด้วยความคิดแบบอนุรักษ์นิยม ที่ให้ขับปานกลาง ไม่เร็วเกินไป น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รถไม่รับภาระหนักเกินไป และยังมีผลพลอยได้เป็นความประหยัดน้ำมัน ทำให้เรามีคะแนนในหัวข้อ Fuel Efficiency เป็นอันดับที่ค่อนข้างดี ถึงแม้เครื่องจะเบ้อเริ่มถึง 599 ซีซีก็ตาม
คะแนน Endurance เต็ม 300 ได้ 154.1 คะแนน ได้อันดับที่ 7 จาก 21 ทีมที่ลงแข่ง (แต่แข่งจบ 11 ทีม พังไป 10), Fuel Efficiency เต็ม 100 ได้ 91.4 คะแนน เป็นที่ 5 จาก 21 ทีมสรุปคะแนนDesign 104.3 /150
Cost & Manufacturing Analysis 28.8 /100
Presentation 53.4 /75
Acceleration 59.0 /75
Skid-Pad 6.5 /50
Autocross 51.7 /150
Fuel Economy 91.4 /100
Endurance 154.1 /300
รวม 549.2 /1000 (อันดับรวมเป็นที่ 7 จาก 21 ทีม)
ทุกคนที่นั่งลุ้นข้างสนามจากหน้าตูบก็กลายเป็นหน้าฟินกันไปตามๆ กัน เพราะการที่ได้เห็นสิ่งที่เราลงทุนลงแรง เหนื่อยหนักกันมาแรมเดือน เข้าเนื้อกันไปคนละพันสองพัน (มีคนเข้าเนื้อหนักสุดสองหมื่น) ได้ให้ผลตอบแทนอย่างน่าคุ้มค่า เมื่อรถที่เราช่วยกันสร้าง ช่วยกันซ่อม สามารถตอบสนองความต้องการของตนเอง และผู้อื่น ได้ในทุกหัวข้อ เป็นความฟินอย่างบอกไม่ถูก ด้วยอารมณ์ดีใจนั้น เราจึงต้อง....
ถ่ายรูป...เช็คอิน
ถ่ายรูปกับเราคนเดียวก็คงกระไรอยู่ เพื่อนๆ กลุ่มอื่นก็มาถ่ายรูปกับเราอยู่เรื่อยๆ ในบรรดารูปที่ถ่ายนั้น รูปที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวคือรูปนี้ครับ
เป็นรูปทีมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 3 วิทยาเขต ที่มาร่วมแข่งขันในครั้งนี้ คันซ้ายเป็นวิทยาเขตกำแพงแสน พูดกันตามตรงว่าอาจจะแลดูตัวรถไม่สวยงาม แต่กำแพงแสนมาร่วมแข่งเป็นปีแรก (ดูจากหมายเลข) ถือเป็นการเริ่มต้นที่สวยงามครับ, คันกลางเป็นวิทยาเขตศรีราชา และคันขวาเป็นวิทยาเขตบางเขนที่ผมและเพื่อนทำในครั้งนี้
สรุปผลการแข่งขันในปีนี้ 3 อันดับแรก ได้แก่
1. Maejo Racing Team จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ชนะเลิศด้วย 917.2 คะแนน (จากปีที่แล้ว ได้อันดับที่ 22)
2. EXCEED_AE จากมหาวิทยาลัยสยาม รองชนะเลิศด้วย 818.3 (ปีที่แล้ว ได้อันดับที่ 2)
3. INITIAL จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 800.4 คะแนน (ปีที่แล้วได้อันดับ 6)
โดยอันดับที่ 1 จะได้รางวัล 100,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และจะได้ตั๋วเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันระดับนานาชาติที่ญี่ปุ่นในรายการ Japan SAE อีกด้วย
ส่วนอันดับ 2 จะได้รางวัล 50,000 บาท และอันดับ 3 จะได้รางวัล 30,000 บาท และได้รับการสนับสนุนให้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่ง Japan SAE เช่นกัน
ส่วนของเรา จากปีที่แล้วซึ่งได้อันดับ 12 ก็ขึ้นมาเป็นอันดับ 7 (จาก 27) ไม่เด่นเลิศเลอ แต่ก็นับเป็นชัยชนะก้าวหนึ่งของเรา และนอกจากความรู้สึกยินดีต่อชัยชนะของตนเอง ของเพื่อนจาก 3 มหาวิทยาลัย และชัยชนะในใจของเพื่อนทุกทีมที่เข้าแข่งขันในครั้งนี้
แต่หลังจากผมได้เห็นรูปรวมของผู้เข้าแข่งขันแล้วกลับรู้สึกถึงชัยชนะที่ยิ่งกว่าชัยชนะใดๆ ในสนามแข่งขัน นั่นคือ ชัยชนะแห่งวิศวกรรมยานยนต์
เพราะการแข่ง TSAE นั้นไม่เป็นที่รู้จักมากนักในสังคม แต่เป็นการรวบรวมว่าที่ทรัพยากรมนุษย์ระดับปริญญาตรีที่กล้าทำตามความฝันของตนเองจนสุดฝั่งไว้เป็นจำนวนมาก ทั้ง 27 ทีมที่ได้เข้าร่วมนั้น เชื่อว่ามีไม่น้อยที่มาด้วยความหวังและความฝันที่จะได้เป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งที่ขับเคลื่อนวงการยานยนต์ด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะผู้คนจะรู้จักเราหรือไม่ แต่สำคัญที่ผู้คนรู้จักและกล่าวขานในผลงานหรือผลิตภัณฑ์ที่เรามีส่วนร่วมในการออกแบบ นั่นต่างหากคือรางวัลสูงสุดของผู้สร้าง และเป็น "ชัยชนะแห่งวิศวกรรมยานยนต์"
เป็นการจบการแข่งขันในปีนี้อย่างสมบูรณ์
(ขออภัยหากเนื้อหาอาจจะไม่ครอบคลุมละเอียดมากนัก เนื่องจากบางส่วนผมก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับของทีม และอีกบางส่วนที่ผมเองไม่ได้รับผิดชอบตรงนั้นมากนักจึงทราบไม่ละเอียด จึงไม่อยากพิมพ์ลงไปครับ)
อย่างที่บอกว่า ทีมผมครั้งนี้อาจจะได้ดีเพราะความอนุรักษ์นิยม แต่การจะอนุรักษ์นิยมไปเรื่อยๆ นั้นไม่ใช่ประโยชน์ในการพัฒนาระยะยาว ดังนั้นหลังจากที่รุ่นผมจบการศึกษาออกไปแล้ว พวกผมจำนวนมากยังแวะเวียนกลับมา และในปีนี้ พวกผมตัดสินใจ ขึ้นโครงรถคันใหม่ทั้งหมด โดยออกแบบช่วงล่าง ระบบห้ามล้อใหม่ เพื่อจุดประสงค์หลักคือรองรับล้อขนาดใหม่ที่เล็กลงจาก 13 นิ้ว เป็น 10 นิ้ว เพื่อลดแรงเฉื่อย, ลดแรงกระแทก และลดรัศมีวงล้อเพื่อเพิ่มตีนต้น นอกจากนี้คันใหม่ยังสั้นลงเพื่อให้กระชับมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ก็ใกล้เวลาแล้ว วันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2557 นี้ จะเป็นการแข่งขันครั้งใหม่ จะเป็นการพิสูจน์ฟาดฟันไอเดียใหม่และความสามารถของรถทีมผม และเพื่อนๆ จากหลายสถาบัน และล้อกำลังจะเริ่มหมุน อีกครั้ง.....
จากใจพวกผม ทีม Dongtaan Racing รุ่นที่ 5 สวัสดีครับ