Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: JJ ที่ สิงหาคม 20, 2011, 15:41:40
-
พอดีมีเงินเก็บอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าเหมาะสมพอที่จะสมควรซื้อรถในฝันที่อยากได้ราคา 3-4 ล้านบาทหรือยัง อยากขอความเห็นของทุกคนดูครับ
-
ส่วนตัวคิดว่า
16ล้าน พอไหว
20ล้าน กำลังดี
40ล้าน สบายๆ
;D ;D
-
พอดีมีเงินเก็บอยู่จำนวนหนึ่ง..?
อันนี้เราว่าเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่านะ
ลองคำนวนๆดู ถ้าคิดว่าซื้อแล้ว การเงินก็ไม่ได้ฝืดลง หรือแย่ลงแต่อย่างใด
นั่นเราว่ามันก็เหมาะสมนะ สำหรับการเติมฝันให้ตัวเอง :o
-
ควรมีเงินเก็บเท่าไหร่ อันนี้ตอบยาก แล้วแต่ภาระและการใช้เงินของแต่ละบุคคลครับ
สำหรับผม อย่างน้อย 30 ครับ
-
แต่ผมกลับมองว่าเงินเก็บเท่าไหร่ไม่สำคัญเท่ากับว่า เมื่อเราซื้อมันมาแล้วเราหรือครอบครัวเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเปล่า ยังมีเงินเหลือเอาไว้ใช้เป็นค่าบำรุงรักษา ค่าใช้จ่ายอื่นๆในชีวิตประจำวันทั้งส่วนตัว+ครอบครัว หรือแม้แต่เงินที่จะเอาไปใช้ในการลงทุนอะไรสักอย่างในวันข้างหน้า รวมถึงความมั่นคงของรายได้ว่ามีมากน้อยแค่ไหน หากคุณตอบโจทย์เหล่านี้ได้ ผมว่ารถราคาเท่าไหร่คุณก็ซื้อได้ครับ
-
ขอบคุณทุกท่านครับสำหรับความคิดเห็นดีๆ
-
เงินเก็บไม่ใช่ประเด็นครับ
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ไม่ว่าคุณจะซื้อเงินสด หรือ เงินผ่อน คุณซื้อมันมาแล้วมันทำให้ชีวิตคุณลำบากหรือเปล่า?
ถ้าคุณซื้อมันมาแล้วครอบครัวคุณไม่ลำบาก นั่นแหล่ะคือความพอดี
-
เงินเก็บไว้เท่าไรคงต้องมองว่ามั่นคงแค่ใหน ไม่ประมาทว่าเผื่อเราเป็นอะไรไปคนข้างหลังจะไม่เดือดร้อนมาก
รายได้ปัจจุบันมั่นคงแค่ใหน ถ้ารายได้ปัจจุบันมั่นคงมาก ถึงเงินเก็บน้อยกว่าสิบล้านก็ออกป้ายแดงได้ครับ ผ่อนเอา
แบ่งเงินเป็นกองๆ กองหนึ่งฝากธนาคาร กองหนึ่งผ่อนรถ กองหนึ่งใช้จ่ายรายเดือน ผมใช้หลักประมาณ 50% ฝากแบ๊งค์ครับ
-
มันหลายปัจจัยครับ
ผมมีเงินเก็บแค่ 2 ล้าน ก็ออกรถ E250 CGI ได้แล้ว
ดาว์น ล้านต้นๆ
ผ่อน 74,XXX 48เดือน
เพราะผมมีรายได้ประจำเดือนละ 250,000
ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ;D
ดังนั้นคุณควรทำตารางรายรับ-จ่ายของคุณให้ดี แล้ว forecast ไปอีก 4-5 ปี ว่าจะมีรายรับรายจ่ายอะไรเพิ่มไหม
ถ้ามีกำลัง ก็ ok ซื้อเลยครับ
-
เรื่องซื้อผใว่าไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ แต่จะใช้ชีวิตอยู่กับมันอย่างมีความสุขไหมอีกเรื่องเลยนะครับ
ถ้าเงินเดือนตอนนี้หักค่าใช้จ่ายประจำแล้ว มีเงินเหลือจ่ายสะบายต่ำกว่า 5 หมื่นนี่ลำบากเหมือนกันนะผมว่า
ภาษีสังคมมันขึ้นนะครับ อิอิอิ
-
100 ล้านขึ้นไปครับ ;) สำหรับ Benz BM
หลัก 10 ล้าน เอาแค่ D-segment หรือ ตัวเริ่มต้นของ benz BM พอแล้วครับ
-
เงินเดือนเยอะพอจ่ายค่างวด ไม่เดือนร้อนกับค่าใช้จ่าย ณ ปัจจุบันก็ออกได้ครับ
อย่างเช่นทุกเดือน มีค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว 50000 แต่ต้องผ่อนรถเพิ่ม 80000 แต่เงินเดือนยังเหลือเกินค่าผ่อนรถก็สบายๆละ
-
สำหรับผม ราคารถที่ไม่เกินตัว คือไม่เกิน 10% ของทรัพย์สินที่มี
และไม่เกินรายได้ที่สามารถหามาได้ใน 1 ปี
ดังนั้น สำหรับรถราคา 3-4 ล้านบาท
ผมก็ต้องมี เงิน+บ้าน+ที่ดิน+ทรัพย์สินอื่น ๆ อย่างต่ำ 30-40 ล้านบาท
หรือมีรายได้ต่อปีอย่างน้อย 3-4 ล้านบาท ถึงจะคิดซื้อมาครอบครอง
-
ส่วนตัวผมมองว่า
ถ้าคิดจะซื้อรถยนต์สัก 1 คัน
รายรับของเราจะต้องมากกว่าค่างวดที่จะต้องผ่อนในแต่ละเดือน 2 เท่าน่ะครับ
อย่างเช่นผ่อนรถเดือนละ 1 หมื่น เงินเดือนที่จะต้องมีอย่างต่ำๆ (ไม่นับรวมค่าน้ำมัน)
ก็คือเดือนละ 3 หมื่นบาทขึ้นไปครับ เพราะถ้าต่ำกว่านี้ ผมมองว่าคงไม่ไหวแน่ๆ
ยิ่งถ้าหากว่าเรายังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ผมขอทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อบ้าน
ก่อนที่จะซื้อรถยนต์ดีกว่าน่ะครับ เพราะถึงมีบ้าน แต่ไม่มีรถใช้ ก็ยังดีกว่า
มีรถใช้ แต่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง (ยกเว้นกรณีที่ยังอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งอาจจะเป็นครอบครัวใหญ่)
-
หลักคิดผมเหมือนๆ คอมเมนท์นึงข้างบน คือ รายรับต่อปี ต้องมากกว่าราคารถที่ซื้อน่ะครับ :-\
-
คนที่มีรายได้ 50,000/เดือน ก็ 600,000 ต่อปี ก็ออกได้แค่ Vios, city นะสิครับ
แต่ที่ผมเห็นคนรอบตัว รายได้ 30,000 - 40,000 ก็ออก C-segment คันละ 8-9 แสนกันทั้งนั้น
หรือคนทั่วไปที่ออก B-segment ก็มีรายได้ 20,000-40,000 กันทั้งนั้นนี้ครับ
-
เงินเก็บมีเท่าไหร่ก็ได้ แต่มีเงินดาวน์เยอะก็พอ เหลือผ่อนไม่เกิน 20,000 นี้สบายเลย เงินเก็นไม่จำเป็นแต่เก็บเงินดาวน์ไว้เยอะๆพอ
-
คนที่มีรายได้ 50,000/เดือน ก็ 600,000 ต่อปี ก็ออกได้แค่ Vios, city นะสิครับ
แต่ที่ผมเห็นคนรอบตัว รายได้ 30,000 - 40,000 ก็ออก C-segment คันละ 8-9 แสนกันทั้งนั้น
หรือคนทั่วไปที่ออก B-segment ก็มีรายได้ 20,000-40,000 กันทั้งนั้นนี้ครับ
ถูกครับ สำหรับรถญี่ปุ่น
ยกตัวอย่างหากคุณเงินเดือน 5 หมื่น ออก camry แล้วผ่อนเดือนละ 20000 บาท
เข้ศูนย์รวมๆ ประมาณครั้งละ 1200 บาท ในช่วงรับประกัน ถัดจากนั้นครั้งละประมาณ 3000 บาท
ทุกปีมีค่าภาษี พรบ และประกัน รวมๆตกประมาณ 30000 บาท
แต่ขับ camry ไปงานแต่งเพื่อน คงใส่ 500 ไม่ได้ ต้องระดับ 1000-3000 บาท และอื่นๆอีก
ทั้งหมดนี้ก็พอจะใช้ชีวิตไปได้ อย่างพอดีๆ แต่คงไม่สะดวกนัก
แต่ถ้าคุณมีเงินสด 4 ล้าน พอซื้อ 520d เงินสดได้ แต่เงินเดือน 5 หมื่น
ที่กล่าวมาข้างต้นจะเพิ่มหลายเท่าตัว ถึงแม้จะมี BSI ใน 5 ปีแรก แต่พอเลยไป แพงเอาการ
แต่หากเป็น MB ไม่ต้องพูดถึงเข้าศูนย์หลักหมื่นต่อครั้ง มันจะทำให้ชีวิตต้องดิ้นรนไปไหม
หากป่วยมา หรือมีอะไรฉุกเฉินต้องใช้เงินขึ้นมาจะทำยังไง มีขายรถแน่ๆ
สู้เอาเงินที่มี 4 ล้าน ออก D-seg ดีๆราคาไม่สูงมาก และเงินที่เหลือสำรองไว้ฉุกเฉิน หรือเอาไปทำให้ชีวิตดีขึ่นจะดีกว่า
อย่างเช่น ซื้อเสื้อผ้าที่สมกับราคารถ อะไรประมาณนี้ จะดีกว่านะครับ
อย่าลืมว่ารถเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ถ้าคุณทุ่มกับมันมากไป ลำบากแน่ครับ
อย่างตอนนี้เงินเดือนผมมากกว่า 5 หมื่นมานิดๆ ภรรยา 4 หมื่น มีเงินสด 5 ล้านกว่าๆ ที่พ่อกับพี่ชายให้มา
ผมยัง กลัวๆ กล้าๆ ที่ตะออก 525d อยู่เลย ถึงแม้ว่าผมจะไปลองขับจนตกลงปรงใจกับมันไปแล้ว
แต่ก็ตัดสินใจว่าถ้ารายรับไม่เกินแสน จะยังไม่เอา มันจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างต้องระวังมากไป
-
คุณEddy3585พูดได้ดีครับ อยากให้คนไทยมีความคิดแบบนี้เยอะๆจัง
ผมเห็นบางคนจบมาใหม่ๆเงินเดือนหมื่นกว่าบาท บ้านยังไม่มีอยู่ฐานะก็ยังไม่มั่นคงแต่จะผ่อนรถกันแล้ว
สำหรับผมแล้ว ถ้าเป็นรถคันแรกเอาสัก25%ของสินทรัพย์ที่มี จะได้ไม่ต้องรอจนเหงือกแห้ง^.^
แต่ถ้าไปคันต่อๆไป(มีเงินสัก40-50m)ขอเป็น10-15% เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสักเท่าไหร่
ส่วนถ้าเป็นพวกsupercar ราคาระดับ25M คงไม่ต้องมีถึง250Mก็ได้ ถ้า"เงินเย็น"มีสัก100M ผมก็ซื้อแล้ว เพราะหากเหลือ75Mก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้สบายๆอย่างชนชั้นกลางทั่วไป<<ในกรณี ต้องมีบ้านอยู่และมีครอบครัวแล้วเท่านั้น
;) ;)
-
เห็นน้องๆที่ทำงาน
เงินเดือนประมาณ 15-25k
ถอย iphone4 กันทั้งนั้น
เด็กสมัยนี้ชอบใช้เงินในอนาคตกันจริงๆ
-
ในกรณีเงินรายได้คงตัวระดับน่าพอใจ 40000+
เงินเก็บมากกว่าราคารถ เท่าตัว ผมว่าก็ปลอดภัยแล้วครับ
อย่าไปถึง 100 ล้านเลยครับ (ใครจะมีเนี่ย -*-)
ราคา 3-4 ล้าน เงินเดือนสูงพอประมาณ เงินเก็บคุณเกิน 6-7 ล้านผมว่าก็สอยเถอะครับ
ถ้าอยากได้จริงนะ คิดมากไปก็ขับของเก่าไปนะครับ ถ้าไม่จำเป็น...
แบ่งไปทำบุญ ทำทาน บ้างก็ดีครับบำรุงพุทธศาสนา ต่อบุญ ต่อเงิน
และเงินนั้น ใช้ได้เฉพาะตอนที่เราหายใจอยู่เท่านั้นนะครับ :D
-
ผมมองว่า จำนวนเงินเก็บ ไม่สำคัญเท่าเงินเดือนครับ
-
สำหรับผมส่วนตัวน่ะครับถ้าอยากจะออกรถราคา3-4ล้าน ผมจะต้องมีเงินเย็นนอนอยู่ในกระเป๋าไม่ต่ำกว่า20ล้านขึ้นไปและต้องซื้อรถด้วยเงินสดเท่านั้น เห็นด้วยกับข้างบนครับว่ารถเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ค่าของมันลดลงเรื่อยๆนับจากวันที่เราขับมันออกจากโชว์รูม รถก็เป็นแค่พาหนะที่พาเราจากจุดนึงไปอีกจุดนึงแค่นั้น แต่บางคนอาจจะมีไว้เพื่อแสดงถึงฐานะและบารมีของตัวเองก็เป้นอีกเรื่องนึง แต่ในมุมกลับกันถ้ามีเงินเย็น20ล้านผมกล้าที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ บ้าน หรือที่ดิน ในราคา10ล้านครับ
-
รถหรูๆงามๆไม่เข้าใครออกใคร ความชอบส่วนตัวจริงๆ เรื่องนี้มันก็ขึ้นอยู่กับภาระเราอะครับ ถ้าคุณมี พ่อแม่ ภรรยา ลูกๆ ฯลฯ ที่ต้องส่ง ก็อาจต้องเผื่อเงินทางโน้นก่อน คุณต้องนั่งคิดเอง รายจ่ายต่างๆ รวมทั้งค่าโสหุ้ยรถคันนี้แต่ละปี ที่สำคัญคือรายรับที่แน่นอนของแต่ละเดือนครับ ว่ามันเข้ากันมั้ย บางคนซื้อสดเงินเหลือๆสบาย บางคนผ่อนเอารอดเป็นเดือนๆไปก็มี :)
-
ผมมองว่า จำนวนเงินเก็บ ไม่สำคัญเท่าเงินเดือนครับ
+1 เลยครับ
สำหรับผมเงินเก็บจะพยายามไม่ยุ่งกับมัน
อยากได้อะไรถือเป็นรายจ่าย เก็บแยกส่วนต่างหาก ยังไม่พอซื้อก็รอ ไม่อยากรอนานก็ขยันขึ้นเอา
พอจะบอกได้มั้ยครับว่ามองอะไรไว้
-
มองที่รายได้ที่มั่นคงครับ เงินเก็บไม่แน่นอนเสมอไป
-
สมัยก่อน ผมมีเงินเก็บ 2 ล้านกว่า (เงินเดือนครอบครัว มากกว่าค่างวด 4 เท่า) ไม่เคยนั่งเบนซ์ก็กล้าไปผ่อน c 200 48งวด รวมดอกแล้ว เกือบ 1.9 ล้าน เพราะมั่นใจว่าเงินเข้ามากพอค่างวดในแต่ละเดือน
เวลานี้ มีเงินเก็บมากพอ เงินเข้าก็มากพอ แต่ไม่อยากซื้อ 5 series เพราะเสียดายตัง
E90ที่มีอยู่ ใช้ไม่บ่อยนัก อยากเปลี่ยนรุ่น ราคาก็ตกเยอะ แถมไปเจอคันที่จุกจิก เข้าศูนย์บีเอ็มนี่ส่วนใหญ่ไม่มีวันเดียวเสร็จนะ ไม่เหมือนรถญี่ปุ่น ควรมีรถสำรองถ้าไม่อยากนั่งแทกซี่
ส่วนใหญ่เวลานี้จึงใช้ Estima ตัวปัจจุบัน กับ ฟอร์จูนเนอร์
รถใหม่ สวยกว่าเดิม( น่าจะเกือบทุกรุ่น ถ้าไม่องุ่นเปรี้ยวจนเกินไป)
ดังนั้น เวลาเราทุ่มเงินของครอบครัวลงไป เพราะสวยถูกใจ อีก 5 ปี ราคาจะลดไปประมาณครึ่งนึงโดยเฉลี่ย...และ สวยน้อยกว่ารุ่นใหม่ ดู E39, E60,F10...ทำให้คัน อยากเปลี่ยนและมันจะเริ่มจุกจิก
สำหรับผม ถ้าจะซื้อ E หรือ5 series คงต้องดูใจตัวเองแล้วว่า ถ้าอีก 4- 5 ปี ขายแล้วขาดทุน 2 ล้านโดยไม่รู้สึกเสียดายตังก็..ซื้อเลย
อย่าลืมค่าบำรุงรักษา ถ้าไม่มีBSI และเบี้ยประกันนะครับ
เบนซ์ผม ตอนขายไปนี่ เจ็ดปี ใช้ไป 80000 กม. จากล้านเก้า เหลือ ห้าแสนถ้วน ขายเพราะเริ่มรวน ขับๆไปแอร์ดับ เข็มน้ำมันเริ่มแกว่ง เติมเต็มยังไม่ทันออกจากปั๊ม แกว่งขึ้นแกว่งลง (เคยดับกลางถนนเพราะลูกลอยกับปั๊มรึไงเนี่ย เปลี่ยนได้ปีนึง อ้าว มาอีกแล้ว)
เอาเป็นว่า ถ้ามีเงินมากพอที่จะเสียไปกับรถคันนึง โดยไม่ได้รู้สึกอะไรมากน่ะครับเมื่อไหร่.....เมื่อนั้น ซื้อเลย
-
ผมไม่ได้มองเงินเก็บ ที่เป็นแบ็คอัพนะครับ ผมมองว่า ความสามารถในการหาเงินของคุณในแต่ละเดือนมากน้อยขนาดไหน
และมั่นคงระดับไหนมากกว่า
ส่วนตัวนะครับ กรณีมีการผ่อน ผมจะผ่อนไม่เกิน 20% ของเงินสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างครับ
เพราะอย่างน้อยเราก็ยังเหลืออีก 80% เป็นแบ็คอัพรายเดือน ส่วนเงินเก็บผมไม่ค่อยแคร์นะ
เหตุผลคือผมไม่เก็บในรูปของเงินครับ ผมเก็บในรูปของทองคำแท่งมากกว่า คือเหลือเงินก้อนก็ซื้อเก็บๆ
ทำนองนั้น ตอนนี้ราคาก็ขึ้นเอาๆ อิอิอิ
พี่คนนึงเพิ่งขายทองไปกำไรมาล้านกว่าบาท...ดีกว่าฝากเงินในแบงค์เห็นๆครับ
(ตอนมันซื้อบาทละหมื่นแปดผมยังว่าแพงเลย เพราะผมจับตอนบาทละหมื่นต้นๆ กับหมื่นกลางๆ)
ส่วนตัวผมจะเก็บเงินไว้ในสินทรัพย์อื่นๆเช่น อาคาร ห้องเช่า เฟอร์นิเจอร์ที่ให้เช่า แอร์ในห้องเช่า เงินอยู่ที่นั่น
เพราะผมรู้ว่า มันทำเงินให้ผมได้ทุกเดือน
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงินเก็บเลย แต่เงินเก็บเป็นเงินที่เอาไว้ใช้ในยามคับขันครับ
-
ต้องมีเงินเป็น 10 ล้านเพื่อออกรถราคา 3-4 ล้านนี่ผมว่าเยอะไปนะ
ครอบครัวผมมีเงินเย็นในแบงค์ไม่เคยเกิน 5 ล้าน ใน 6 ปีมานี่ ออก benz กับ bmw ป้ายแดงไป 3 คันแล้ว มี 523i , c200 , z4 23i
-
เข้ามาดูการจัดการcashflow ของแต่ละคนเฉยๆครับ ;D
ของผมเองคงง่ายๆสั้นๆถ้ามีแล้วไม่ได้ทำให้ชีวิตประจำวันต้องลำบากมากขึ้น
คือยังสามารถดำรงชีวิตได้อย่างไม่จำกัดจำเขี่ย ไม่ทุกข์ ไม่เบียดเบียนคนอื่น
ผมถึงกล้าซื้อครับ คือผมสรุปมาจากไม่ว่าจะเป็นเงินออมหรือcashflow แต่ละเดือน
ถ้าระบบการmanagement มัน คำนวณออกมาแล้ว ไม่ก่อให้เกิด เหตุการณ์ข้างต้น
ผมก็ซื้อครับ ในกรณีนี้ก็ยังไม่รวมคอนดิชั่นอื่นๆอีกเช่น ผมมีความจำเป็นต้องซื้อจริงๆรึป่าว
ถ้าเป็นแค่passion เฉยๆ อาจะต้องหาเหตุผลมารองรับเยอะๆครับ คิดไปคิดมาอาจจะเอาไปลงทุน
กับอสังหาชนิดอื่นมากกว่าครับในท้ายที่สุด
-
เข้ามาเก็บข้อมูลครับ.... วิธีการจัดการเรื่องการเงินแต่ละคนนี้ แล้วแต่สไตล์เลยนะครับ ใครกล้าเสี่ยงหน่อย หรือ conservative หน่อย หลากหลายกันออกไป...
-
หลักการแต่ละคน การเก็บเงิน ค่าใช้จ่ายแต่ละคนมันแตกต่างกัน อย่างที่พี่ ๆบอก รายรับ แต่ละเดือน บวกลบค่าใช้จ่าย เหลือไว้ใช้ฉุกเฉิน ผ่อนแต่ละเดือน จนจบงวด กี่ปี คิดไป ครอบครัว ตัวคุณ จะไม่ต้องลำบากอะไรมาก บางคนบอกต้องมีเงินเก็บ 10-20 ล้าน ถึงจะมีรถ หลักล้านได้ อันนี้ก็ นะเก็บไปเหอะจนเฒ่า แถวบ้าน เพิ่งทำงาน เงินเดือนหมื่นกว่า ๆพา กันออก รถ ล้านต้น ๆ civic ตัวtop กันละ เค้าก็ทำได้ อยุ่ที่การบริหารจัดการ เงินเรา อย่าง ป๋ม เงินเดือน 3 หมื่นกว่าๆ แต่ทำงานแถวบ้าน ค่าใช้จ่ายการเดินทางไม่ค่อยมี กลับมากินข้าวบ้านได้ ไม่ไปเที่ยวอะไรมากมาย สังสรร ตามสมควร หาเวลาว่าง ทำงานเสริม ได้เงินเพิ่ม มาอีก เงินเก็บผม เยอะกว่าพวกเพื่อนเงินเดือน 5 หมื่น แถม มายืมเงินเราอีก อะ ยัง ฝัน ๆ BMW เลย เก็บเงิน 4-5 ปี มีเงินเก็บ จะ 2 ล้านล่ะ นี่ขนาดผมมีแค่ 2 ล้าน นะยังอุตริ จะเอา BMW เพราะผมก็คิดเผื่อไว้หลายด้านละ สรุป ถ้าไม่ลำบากตัวเองครอบครัวและภาระในวันข้างหน้าที่ต้องผ่อนมันอยู่ ก็ซื้อไป เหอะ รอ เงินเก็บ 10-20 ล้าน ผมว่า เมื่อถึงวันวันที่คุณมีเงินเก็บ 10-20 ล้าน คุณจะไม่ถามคำถามที่เริ่มต้นรถ 3-4 ล้านบาท แน่ มันไปเรื่อยล่ะ ๆๆๆๆ ( อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ )
-
คนที่มีรายได้ 50,000/เดือน ก็ 600,000 ต่อปี ก็ออกได้แค่ Vios, city นะสิครับ
แต่ที่ผมเห็นคนรอบตัว รายได้ 30,000 - 40,000 ก็ออก C-segment คันละ 8-9 แสนกันทั้งนั้น
หรือคนทั่วไปที่ออก B-segment ก็มีรายได้ 20,000-40,000 กันทั้งนั้นนี้ครับ
ถูกครับ สำหรับรถญี่ปุ่น
ยกตัวอย่างหากคุณเงินเดือน 5 หมื่น ออก camry แล้วผ่อนเดือนละ 20000 บาท
เข้ศูนย์รวมๆ ประมาณครั้งละ 1200 บาท ในช่วงรับประกัน ถัดจากนั้นครั้งละประมาณ 3000 บาท
ทุกปีมีค่าภาษี พรบ และประกัน รวมๆตกประมาณ 30000 บาท
แต่ขับ camry ไปงานแต่งเพื่อน คงใส่ 500 ไม่ได้ ต้องระดับ 1000-3000 บาท และอื่นๆอีก
ทั้งหมดนี้ก็พอจะใช้ชีวิตไปได้ อย่างพอดีๆ แต่คงไม่สะดวกนัก
แต่ถ้าคุณมีเงินสด 4 ล้าน พอซื้อ 520d เงินสดได้ แต่เงินเดือน 5 หมื่น
ที่กล่าวมาข้างต้นจะเพิ่มหลายเท่าตัว ถึงแม้จะมี BSI ใน 5 ปีแรก แต่พอเลยไป แพงเอาการ
แต่หากเป็น MB ไม่ต้องพูดถึงเข้าศูนย์หลักหมื่นต่อครั้ง มันจะทำให้ชีวิตต้องดิ้นรนไปไหม
หากป่วยมา หรือมีอะไรฉุกเฉินต้องใช้เงินขึ้นมาจะทำยังไง มีขายรถแน่ๆ
สู้เอาเงินที่มี 4 ล้าน ออก D-seg ดีๆราคาไม่สูงมาก และเงินที่เหลือสำรองไว้ฉุกเฉิน หรือเอาไปทำให้ชีวิตดีขึ่นจะดีกว่า
อย่างเช่น ซื้อเสื้อผ้าที่สมกับราคารถ อะไรประมาณนี้ จะดีกว่านะครับ
อย่าลืมว่ารถเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ถ้าคุณทุ่มกับมันมากไป ลำบากแน่ครับ
อย่างตอนนี้เงินเดือนผมมากกว่า 5 หมื่นมานิดๆ ภรรยา 4 หมื่น มีเงินสด 5 ล้านกว่าๆ ที่พ่อกับพี่ชายให้มา
ผมยัง กลัวๆ กล้าๆ ที่ตะออก 525d อยู่เลย ถึงแม้ว่าผมจะไปลองขับจนตกลงปรงใจกับมันไปแล้ว
แต่ก็ตัดสินใจว่าถ้ารายรับไม่เกินแสน จะยังไม่เอา มันจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างต้องระวังมากไป
ที่กล่าวข้างบน คือคนรอบๆ ตัว ที่ manage กันแบบนั้น ก็ยังเอาตัวรอดกันได้ แต่ผมคงไม่เอานะครับ
ผม ก็รายได้ตัวเอง กับ ภรรยา ก็พอๆกันกับคุณ Eddy3585 ก็พอใช้นะ แต่ยังมีรายได้เสริมมั่นคง อีกเดือนละแสนหน่อย เงินเก็บมีไม่มาก พอซื้อเงินสดได้ แต่ก็จะหมดเลย
ปัจจบัน ก็ใช้รถญี่ปุ่นเก่า ทั้งสองคันอายุก็ 9 ปี 10ปีแล้วทั้งนั้น
พอผมจะซื้อ BM X1 หรือ golf Gti ยังเล็งแล้วเล็งอีกเลย ไม่กล้าครับ เสียดายเงิน กลัวไม่ใช้รถที่ใช้
บางที่ก็คิด ซื้อรถยุโรปคันนึง แต่สามารถซื้อ Accord กับ Crv ใช้กับภรรยาได้คนละคันเลยนะครับ
-
เอาเงินก้อนเก็บไว้ลงทุน เอากำไรมาซื้อ ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรอย่าพึ่งซื้อ เพราะการซื้อรถในวงเงินหลายล้านนี้ทำอย่างอื่นได้อีกเยอะ ช่วยให้เราสบายขึ้นในอนาคต จะมีปัญหาเดือนร้อนยังไงก็ ชิล ๆ สบาย ๆ ดีกว่า ไม่งั้นเราจะเสพติดการเป็นหนี้ครับ
-
ใจถึงก็ไปถึง ::)
-
ผมว่าดูที่เงิน ดาวน์ว่าพอรึป่าวและสามารถผ่อนรายเดือนได้ที่เท่าไหร่โดยที่ครอบครัวไม่เดือดร้อนครับ เท่านั้นก็ลุยเลย ถ้ารถ 4 ล้านก็เตรียมเงินไว้ล้านกว่าๆ ดาวน์ ผ่อนรายเดือนก็อีก 50,000-60,000.-ครับ ถ้าต้องมีเงินเยอะๆในบัญชี 20-30ล้าน สงสัยชีวิตนี้คงได้ขับไม่กี่่รุ่น ส่วนเงินก้อนนำไปลงทุนธุรกิจได้เงินเยอะกว่าดอกเบี้ยผ่อนรถเยอะครับ
-
ที่แน่ๆ ซื้อรถมาแล้ว มันต้องไม่ไช่ "เรื่องใหญ่" สำหรับเราครับ ค่าใช้จ่ายมันต้องสบายๆสำหรับเรา
ไม่ไช่แค่เงินดาว กะ ค่างวดผ่อน แต่ยังรวมถึงค่าประกัน ปีละ 3 หมื่นบาท++ ค่าซ่อมบำรุงปีละประมาน 5 หมื่นบาท
ภาษี ค่าแต่ง และค่าใช้จ่ายแฝงอีกมากมายที่อาจเกิดขึ้น
ไหนจะของรถคันอื่นๆอีก
หักหมดนี่แล้ว เรายังมีเงินเหลือกินเหลือใช้สบายๆ หรือ
มีแหล่งรายได้ หรือ ทรัพย์สินที่สร้างรายได้ที่แน่นอนอยู่แล้ว ก็จัดไปครับ