Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: 6229 ที่ กันยายน 19, 2020, 21:22:14
-
กำลังลังเลระหว่าง 2.0 กับ 2.5 G ไม่สนอัตราการประหยัดน้ำมัน ใจจริงอยากออก 2.0 แต่เห็นหลายคนบอกให้ไป 2.5 เลยจะได้จบๆ
ปกติขับรถเยอะปีละ 4-5 หมื่นโล ตจว80% ใช้ยาว 10 ปี ถ้าขับความเร็วปกติตามกฏหมาย เครื่อง 2.0G 167 แรงม้า พอไหมครับ เคยขับ acv51 2.0 ของที่บ้านมีอาการอืดบ้างช่วงเร่ง 60 ไป 80 (ช่วงอื่นโอเครับได้) ไม่รู้ว่า acv70 จะปรับคาเรคเตอร์ ขึ้นไหม ดูในคลิป HLM บอกว่า 2.5G ช่วงปลายไหลดีประทับใจมาก แต่ส่วนตัวคงไม่ได้ใช้ความเร็วช่วงปลายขนาดนั้น
แล้วค่าเมนเทนแนนซ์ 2.5 g นี่เยอะกว่า 2.0 มากไหมครับ โดยเฉพาะการเปลี่ยนยางด้วยเห็นว่าล้อ 18 จะแะงกว่า 2.0ที่เป็า ล้อ 16 มากไหมครับ ขอความเห็นทีครับ
-
มันขัดกันไปๆมาๆ 555 ไม่แคร์ค่าน้ำมันก้น่าเอา 2.5 แต่ไม่ได้ขับเกิน120 เลย 2.0 ก้พอสบายๆ
เอาเป็นว่าถ้าอยากได้รถที่สวยกว่า(ล้อใหญ่) มีsunroof มีออปชั่นมากกว่า เครื่องเอาไว้ใช้ยามต้องเร่งแซงเร็ว
ก้เอา 2.5 ครับ เครื่อง 2.5 ตัวนี้ทำได้ดีมากนะครับ อัตราเร่ง การกินน้ำมันถือว่าดีครับ
ส่วนค่าmaintenance ไม่ต่างหรอกครับพอกันแค่ใช้น้ำมันเครื่องเยอะกว่าเฉยๆ ส่วนเรื่องยางสมัยนี้ขอบ
18 ก้ไม่ได้แพงแล้วยิ่งถ้าเทียบกับราคารถครับแต่แน่ล่ะมันคงแพงกว่า 16 หน่อยนึงครับ
ถ้าเป็นผมๆเอา 2.5 แน่ครับ
-
ถ้าขับความเร็วต่อเนื่อง ก็พอครับ
แต่ถ้าเร่งแซงเพื่อให้ได้ความเร็วที่ว่าตลอดการเดินทาง เลือก 2.5 ดีกว่าครับ
ถนนในประเทศไทย ณ.ปัจจุบันแทบจะวิ่ง 100 ต่อเนื่องไม่ได้เลย
-
คุณจะเอาอะไร ถ้าวิ่งเรื่อยๆ เครื่องไหนก็พอ
ถ้าจะเอาอัตราเร่ง คือ เร่งขึ้น หรือ แซงได้เร็ว ก็ต้องเอาเครื่องใหญ่
คำว่าพอแต่ละคนไม่เท่ากัน
-
เพียงพอครับ ประหยัดน้ำมัน และค่าซ่อมบำรุงด้วย
ตอนเร่งแซงก็กะจังหวะดีๆแค่นั้น
หลายปีแล้ว ผมเคยเช่า AVC40 2.0 เที่ยวเชียงใหม่ ขึ้นดอยอ่างขาง ขึ้นได้แบบสบายๆ
-
มันขัดกันไปๆมาๆ 555 ไม่แคร์ค่าน้ำมันก้น่าเอา 2.5 แต่ไม่ได้ขับเกิน120 เลย 2.0 ก้พอสบายๆ
เอาเป็นว่าถ้าอยากได้รถที่สวยกว่า(ล้อใหญ่) มีsunroof มีออปชั่นมากกว่า เครื่องเอาไว้ใช้ยามต้องเร่งแซงเร็ว
ก้เอา 2.5 ครับ เครื่อง 2.5 ตัวนี้ทำได้ดีมากนะครับ อัตราเร่ง การกินน้ำมันถือว่าดีครับ
ส่วนค่าmaintenance ไม่ต่างหรอกครับพอกันแค่ใช้น้ำมันเครื่องเยอะกว่าเฉยๆ ส่วนเรื่องยางสมัยนี้ขอบ
18 ก้ไม่ได้แพงแล้วยิ่งถ้าเทียบกับราคารถครับแต่แน่ล่ะมันคงแพงกว่า 16 หน่อยนึงครับ
ถ้าเป็นผมๆเอา 2.5 แน่ครับ
ที่บอกไม่แคร์น้ำมัน เห็น gen นี้ 2.0 กินเยอะกว่านิดๆครับ
-
dถ้าเป็นผมไปที่ 2.5 ไม่ลังเล การเดินทางไกลนั้นต้องการกำลังและความไว้ใจในการเร่งแซง บ้านเราถนนอันตรายสุดก็ตอนเจอพ่วงยาวๆ ในถนนแคบๆ นี่แหละ
เรื่องบำรุงรักษาไม่ต่างกันนักดอกครับ เอาความปลอดภัยในการเดินทางไว้ดีกว่า
-
ถ้าไม่ได้ไปอาละวาดไล่แซงใคร 2.0 สบายๆครับ ยืนยันจากคนใช้ G9 2.0 วิ่ง ตจว. 100-140 ประจํา (ถ้าต้องเเซงจริงๆเหยียบคันเร่งติดพี้นมันก็ไปได้) ยิ่งล้อ 16 วิ่งสบายๆไม่ต้องกลัวล้อดุ้งเวลาเจอถนนไม่ดี ผมขับล้อ 17 เจอถนนแย่ๆยังใจไม่ดีเลย ล้อ16 ค่ายางสบายๆเลย ยิ่ง จขกท. วิ่งเยอะด้วย
เรี่องความทนทานผมถือหาง 2.0+6AT เพราะใช้มาตั้งเเต่ปี 2016 ไม่เคยได้ยินปัญหาอะไรเลย แถมเกียร์ก็ยกมาจาก 2.5เก่า ทนทานไว้ใจได้ ส่วน 2.5+8AT ใหม่แกะกล่องพร้อมตลาดโลก ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้มาก
ลองดู Accord 1.5T ไหมครับ เรี่ยวเเรงเหลือๆ ล้อไม่โตมาก เครี่อง 1.5T ทนทานใช้ได้ เเต่เกียร์ยังไม่ชัวร์
-
วิ่งแค่นั้นเกินพออีกครับ ใช้ 2.0 อยู่เหมือนกัน
เร่งแซงถ้าไม่เข้าไปจุดเสี่ยง แรงเหลือๆ นอกจากชอบแซงคับขันตามท้ายใครไม่เป็นค่อยไป 2.5 จะมีจังหวะผ่อนแล้วทำความเร็วใหม่อาจจะหน่วงๆหน่อย
2.5 ได้แรง ได้ของเล่น+ความสวยของล้อ ซันรูฟ เพิ่มกับค่าตัวอีกแสนกว่าๆ แต่ช่วงนี้ส่วนลดก็เห็นว่าเยอะใช้ได้
ลองพิจารณาดูครับ
-
มันขัดกันไปๆมาๆ 555 ไม่แคร์ค่าน้ำมันก้น่าเอา 2.5 แต่ไม่ได้ขับเกิน120 เลย 2.0 ก้พอสบายๆ
เอาเป็นว่าถ้าอยากได้รถที่สวยกว่า(ล้อใหญ่) มีsunroof มีออปชั่นมากกว่า เครื่องเอาไว้ใช้ยามต้องเร่งแซงเร็ว
ก้เอา 2.5 ครับ เครื่อง 2.5 ตัวนี้ทำได้ดีมากนะครับ อัตราเร่ง การกินน้ำมันถือว่าดีครับ
ส่วนค่าmaintenance ไม่ต่างหรอกครับพอกันแค่ใช้น้ำมันเครื่องเยอะกว่าเฉยๆ ส่วนเรื่องยางสมัยนี้ขอบ
18 ก้ไม่ได้แพงแล้วยิ่งถ้าเทียบกับราคารถครับแต่แน่ล่ะมันคงแพงกว่า 16 หน่อยนึงครับ
ถ้าเป็นผมๆเอา 2.5 แน่ครับ
ที่บอกไม่แคร์น้ำมัน เห็น gen นี้ 2.0 กินเยอะกว่านิดๆครับ
เออใช่ๆ ผมลืมถ้าส่วนต่างไม่ใช่ปัญหา เอา 2.5 ครับ ทันสมัยกว่า
-
ขับแบบปกติทั่วไป พละกำลังเครื่อง 2.0 นี่เหลือเฟือมากครับ
เพียงแต่เวลาเร่งแซงถ้าจะเอาทันใจหน่อยอาจจะต้องกดแบบลากรอบ 4-5 พันรอบถึงจะขึ้นไว
ต่างจากเครื่อง 2.5 ที่แรงบิดแรงต่ำมาดีกว่า เลยไม่ต้องเค้นรอบเยอะ
ซึ่งทำให้การขับแบบใช้อัตราเร่งบ่อยๆ จะกินน้ำมันกว่าเครื่อง 2.5 แต่ถ้าขับเรื่อยๆปกติผมว่า 2.0 ประหยัดกว่านะ
-
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ความเร็ว 120 หรอกครับ เอาจริงๆ ตัว 2.0G ก็น่าจะทำ Top Speed ได้ 200+- อยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ ไอ้ตอนจะเร่งเครื่องขึ้นไปที่ความเร็ว 120 ต่างหาก
ถ้าเส้นทางที่คุณใช้ ไม่ใช่มอเตอร์เวย์เลข 7 สิ่งที่คุณจะเจอคือ รถคันอื่นจำนวนมากที่วิ่งด้วยความเร็วเพียง 80-100 บ้างก็อยู่เลนกลาง บ้างก็อยู่เลนขวา ไหนจะรถบรรทุกอีก นั่นหมายความว่า คุณจะต้องเร่งแซงรถคันอื่นอยู่บ่อยครั้ง เพื่อขึ้นไปที่ความเร็ว 110-120 ตามที่ต้องการ ซึ่งโดยส่วนตัว ผมมองว่า การเร่งแซงโดยเหยียบครึ่งคันเร่ง หรือแค่เติมคันเร่งเบาๆ มันสบายกว่าการต้องเหยียบมิดเพื่อเรียกรอบครับ
ดังนั้น ถ้างบประมาณไม่ใช่ปัญหา จัด 2.5G ไป รับรองว่าไม่ผิดหวัง อัตราสิ้นเปลืองและค่าซ่อมบำรุงไม่น่าจะต่างกันเท่าไหร่ จะมีก็แค่ ค่าเปลี่ยนยางเท่านั้นที่ดูจะแพงกว่าชัดเจน (ล้อ 18 ก็หล่อกว่าเยอะเช่นกัน)
-
ถ้าขับแค่นี้ 80-120 ไม่ต้องห่วงหรอกครับ รถสมัยนี้พอหมด ถ้าเกิน 160 200+ ขึ้นไป อันนี้ถึงค่อยห่วงเรื่องกำลังครับ
ส่วนที่ว่าช่วงเร่ง 60-80 อืด รุ่นนี้น่าจะเป็นเพราะอาการหน่วงของคันเร่ง+เกียร์มากกว่าครับ จริงๆมันไม่ได้เร่งช้าครับ
คันเร่งกับเกียร์มันแค่ตอบสนองช้าครับ รถสมัยนี้หลายๆรุ่นที่เป็นเกียร์อออโต้คันเร่งไฟฟ้าก็มีอาการนี้กันเกือบหมด
ตัว 2.5 ก็มีอาการเดียวกัน
สรุป 2.0 ก็พอครับ ถ้าขับเร่งแซงในช่วงความเร็วแค่นั้น.
-
จากใจเลย ผมขับ ASV51 เครื่อง 2.0 D4-S 6AT นี่อยู่ ตัวใหม่ก็คงเหมือนเดิม ถ้างบพอไป 2.5 ดีกว่า ถึงแม้ว่าจริงๆตัวเลข 80-120 มันจะแค่ 7.5 วิ ดีกว่า Dmax 3.0 190 ม้า อีกคันที่ผมใช้อีก แต่เวลาขับบนถนนจริงมันต่างกันมาก รถแรงบิดดีๆมันขับง่ายกว่า ถ้ารถไม่เยอะมีช่องให้แซงแบบใช้ความเร็วมันไปสบายๆ แต่ถ้ารถเยอะแล้วเราจ้องจะหาช่องแซงเบรคเหลือ 60-80 แล้วจะเร่งต่อไป 120 แรงบิดมันมาไม่ทันและเจอเกียร์ที่เปลี่ยนช้า ทำให้เสียจังหวะในการแซงได้ เอาง่ายๆรถมันแรงแหละแต่มันรอรอบต้องใช้คันเร่งเยอะคนขับจะเหนื่อยกดคันเร่ง แต่ถ้ากดมันก้ไปให้ ผมยังอยากไปใส่คันเร่งไฟฟ้าเลย
-
วิ่งต่างจังหวัด 2.5 ดีกว่าครับ รถคอกตามต่างจังหวัดมันน่ารำคาญนะครับเวลาแซงแล้วไม่พ้น
-
จากคนใช้ Acv70 2.5G อยู่ และมาจาก Acv 50 2.0 ถ้า145000 ไม่ใหญ่มาก จัด2.5 ดีกว่าทุกเรื่อง ใช้ยาวรอ EV แท้ๆเลย
140 รอบยังไม่ถึง 2800 เดินทางความเร็วยืนพื้น 140-160 จากชะอำมากทม 150 กิโล ใช้เวลา 1.30 ชม. กินน้ำมัน 14.2กม/ลิตร
อัตราเร่งพอใจม้า 209ตัว กับ 250 NM แต่มารอบสูง ได้8เกียร์ ไล่กันมันดี ไม่ต้องขับปาดไปปาดมาเอาแรงส่ง กดเป็นมา จ่ายแค่ 1.6ล้าน โคตรคุ้ม เทียบกับ
serie 5 ราคา 3 ล้านกว่า เหลือเงินไปถอย Ducati Street Figther V4 ได้อีกคัน 555
ส่วนประหยัด ทางไกลนี 17-18 /ลิตร สบายครับที่ 100-120 รอบที่ 1750-2000 ทั้งประหนัดทั้งเซฟรถ ยางจ่าย 2 ปีครั้ง คงไม่ใช่เรื่องใหญ่มั้ง
**ยังไง BM ขับสนุกกว่านะ อันนี้ 2.0กับ2.5 และจริงๆแล้ว 120 นี่ Altis ก็เหลือๆแล้ว**
-
เช่าขับ นั่งกัน 5 คน
ขึ้นดอยแม่สลอง กับ ดอยอินทนนท์
แทบขาดใจกว่าจะขึ้นได้ครับ
กระบะนาวารา แซงทิ้งเป็นทุ่ง
ถ้าต้องใช้แรงบิด 2.0 ไม่ไหวครับ กับทางชัน
-
วิ่ง ตจว. ใช้รถเยอะๆคิดว่าน่าจะวิ่งยาวๆ ทางไกล อยู่บนรถนานๆ เป็นผมจะเลือกรถที่แรงไว้ก่อนครับ
ความเครียด การเผื่อระยะแซง ดันเขา รถเครื่องใหญ่ได้เปรียบ ขับแล้วเหนื่อยน้อยกว่ารถเครื่องเล็กเยอะเลยครับ
เคยขับ teana J32 2.5 vs 2.0 จึงเลือกตัว 2.5 6สูบมาใช้งานครับ
-
ผมมี 2.0 ปีเก่า ไปลอง 2.5 โฉมปัจจุบันมาแล้วอยากบอกว่าไป 2.5 เถิดครับ วิ่งตจว สบายๆ
-
ผมขับ CR-V G3 2.0 มา 9 ปี มันก็อืดนะ แต่พอปรับตัวได้ ก็ไม่รู้สึกอะไรนัก ก็ขับลง นครศรีธรรมราช บ่อยๆ
จนมาวันนึง กำลังจะเดินทาง CR-V ดันป่วยกระทันหัน จำเป็นต้อง สลับเอา Pulsar DIG ลงนครศรี แทน
ไม่ว่า ขับรถคันไหน ความเร็วมาตรฐานผมคือไม่เกิน 110 กม./ช.ม.ครับ ครั้งนี้ก็เช่นกัน จนช่วงเลยปราณบุรีไป รถบรรทุก / รถคอก ก็เริ่มเยอะ ซึ่งใครเดินทางบ่อย ก็จะรู้ว่า รถคอก แช่ขวาประจำ ไม่หลบด้วย
คราวนี้ หลายช่วง พวกตีคู่กับรถบรรทุก ที่อยู่เลนซ้ายแบบไม่สนใจอะไร
แล้วผลงานของเครื่อง 190 hp ก็เริ่มแสดง บางจังหวะ มีช่องอยู่หน่อย ก็ตบซ้าย กดคันเร่ง แซงพวกคอกพ้น ก่อนที่มันจะไปตีคู่รถบรรทุก รอบนั้น ผมทำเวลาดีกว่าตอนใช้ CRV ร่วมๆชั่วโมงเลยทีเดียวครับ แถมเหนื่อยน้อยกว่า เพราะไม่ต้องมานั่งลุ้น นั่งกะว่า จะพ้นหรือป่าว
เอาว่า ถ้ามีช่อง .. กดคันเร่งให้ทัน ยังไงมันก็พ้น ล่ะครับ
ขับแล้วก็ติดใจ จนบอกตัวเองว่า รถคันต่อไป มันต้องวิ่งได้ไม่อาย Pulsar คันนี้นะ ไม่งั้นไม่เปลี่ยนรถ
...........
ดังนั้น เดินทางไกลบ่อย ใช้ไปเถอะ เครื่องใหญ่ เครื่องแรง แซงสบายกว่า ลุ้นน้อยกว่าเยอะครับ
-
ผมขับตัวปี 2015 2.0G Extremo อยู่นะคับ ไม่เคยขับตัว 2.5 เหมือนกัน
แต่ถ้าขับแค่ 80-120 ตัว 2.0G สบายๆ คับ ยิ่งวิ่งต่างจังหวัด ถ้าไม่เค้นคันเร่ง อัตราประหยัดน้ำมันได้ถึง 15 km/l ได้
ปกติผมขับบนทางด่วน 120 - 140 เป็นความเร็วปกติ ไม่เหนื่อยคับ จังหวะเร่งแซงไป 160 ทำได้ไม่ยาก กดหน่อยซึ่งตัว 2.5 น่าจะดีกว่าเยอะจุดนี้.. แต่โจทย์มา 80-120 ก็ตามนั้นคับ 2.0G น่าจะพอ
-
ขับ 2.0 Extremo 2015อยู่ครับ ขับไม่เกิน 120 ก็ไปเรื่อยๆครับ กำลังดี แต่ถ้าจะเร่งแซงต้องเผื่อระยะนิดนึง ไม่แน่ใจรุ่นใหม่ จูนเกียร์มาใหม่รึยัง ถ้ายังมันก็จะมีอาการ เกียร์ไม่ฉลาดตอนเร่งแซง อาจจะใช้ M+- ช่วยสักหน่อย
-
ขอตามด้วยครับ ผมก็สนใจรุ่นนี้
-
รถ d segment คันใหญ่ น้ำหนักมาก
กว้างขวาง นั่งสบายกว่าคันเล็ก แต่อุ้ยอ้ายกว่า
เครื่องใหญ่มัน smooth กว่าชัดเจน ถ้ากรณีนี้ ผมว่าไปหารถลองขับ แล้วเน้นช่วง 80--->120 ดูชัดๆว่า ชอบแบบไหน จบสุด
ถ้าแก้นิสัยขับไม่ได้เลือกความปลอดภัย แลกกับเงิน ยังไงก้อคุ้มครับ
ในเมืองเครื่องใหญ่กินกว่าเสมอครับ
-
ผมใช้ ตัว 2015 2.0G ผมว่ามันอืดไปนะครับ 120 มันก็วิ่งถึงอยู่หละ แต่ถ้าต้องเร่งแซงมันก็เหนื่อยหน่อย ส่วนใหญ่จะนอกเมืองหรือในเมือง ต้องการอัตราเร่งผมก็กดมิดตลอด รอบเครื่อง 5-6 พันรอบนี่ใช้เป็นเรื่องปกติเลย
-
กำลังลังเลระหว่าง 2.0 กับ 2.5 G ไม่สนอัตราการประหยัดน้ำมัน ใจจริงอยากออก 2.0 แต่เห็นหลายคนบอกให้ไป 2.5 เลยจะได้จบๆ
ปกติขับรถเยอะปีละ 4-5 หมื่นโล ตจว80% ใช้ยาว 10 ปี ถ้าขับความเร็วปกติตามกฏหมาย เครื่อง 2.0G 167 แรงม้า พอไหมครับ เคยขับ acv51 2.0 ของที่บ้านมีอาการอืดบ้างช่วงเร่ง 60 ไป 80 (ช่วงอื่นโอเครับได้) ไม่รู้ว่า acv70 จะปรับคาเรคเตอร์ ขึ้นไหม ดูในคลิป HLM บอกว่า 2.5G ช่วงปลายไหลดีประทับใจมาก แต่ส่วนตัวคงไม่ได้ใช้ความเร็วช่วงปลายขนาดนั้น
แล้วค่าเมนเทนแนนซ์ 2.5 g นี่เยอะกว่า 2.0 มากไหมครับ โดยเฉพาะการเปลี่ยนยางด้วยเห็นว่าล้อ 18 จะแะงกว่า 2.0ที่เป็า ล้อ 16 มากไหมครับ ขอความเห็นทีครับ
จากโจทย์
- เรื่องประหยัดน้ำมัน ทางไกล 80% เครื่อง 2.5 กินไม่ต่างกับ 2.0 ครับ เผลอๆช่วงทำความเร็วๆ ยืนยาวๆ 2.5 จะประหยัดกว่า หรือ ต้องแซงบ่อยๆ 2.5 ประหยดักว่าครับ
- เครื่อง 2.0G 167 แรงม้า พอไหมครับ , พอไหม ขึ้นกับคนขับครับ ว่ารับได้ไหม จริงๆ 2.0 ก็พอไปได้แต่ในระดับแค่พอไหว ถ้าใจร้อน อยากขับสบาย ก็ต้อง 2.5 ครับ เครื่อง 2.5 ไม่ใช่แค่ปลายไหล ตอนเร่งแซงมันก็ไปได้สบายๆกว่าด้วยครับ และ ปลายจริงๆก็ไม่ได้ใช้กันครับ ช่วง 60-120 สำคัญกว่าในการขับบนทางหลวง ตจว.
- แล้วค่าเมนเทนแนนซ์ , ต่างกันครับ คิดคำนวนได้เลย พวกนี้มีเป็นตัวเลขชัดๆ เช่น ปริมาณของเหลวที่เปลี่ยน ล้อ/ยาง น่าจะมีไม่มากที่ต่างกัน หาตัวเลขเอาได้ครับ
ส่วนตัวผมว่าคุ้มที่จะไป 2.5 ถ้าเงินส่วนต่างค่าตัวไม่ใช่ปัญหา และส่วนใหญ่รถรุ่นใหญ่ขึ้น มักมีคุณภาพที่ดีขึ้ันในส่วนที่มองไม่เห็นเหมือนกันนะครับ เช่น การเพิ่มวัสดุซับเสียง ช่วงล่าง อื่นๆ ที่แตกต่างกันด้วยครับ
-
โฉมนี้ผมขับมาครบ 3 เครื่องและ
จะบอกว่าอยู่ที่พฤติกรรมการขับครับ
ถ้าขับหวานเย็น ชิลล์ๆ กดคันเร่งเนิบๆ ค่อยเป็นค่อยไป 2.0G พอครับ
และถ้ามีการขับลักษณะแบบนี้ ผมจะบอกว่าไม่ต่างจาก 2.5 ชัดเจนสักเท่าไหร่
เพราะเกียร์ของ 2.5 มันชอบขึ้นเกียร์สูงไว ทำให้บางทีกดคันเร่งไม่มาก รถจะไม่ค่อยมีแรง
ยิ่งตัวออกจากจุดหยุดนิ่ง กดคันเร่งเนิบๆ นึกว่าขับ YARIS 1.2 ซะอีก
เพราะมันออกตัวด้วยเกียร์ 3-4 แทนที่จะออกตัวด้วย เกียร์ 2 หรือ 1
กำลังเครื่อง 2.5 มันจะแสดงกำลังของมันได้ดี ก็ต่อเมื่อคุณกดคันเร่งเกิน 50% หรือ กดคันเร่ง kick down
นั่นแหละครับ แรงมันถึงออกมาได้สม 200 ม้า
CAMRY โฉมนี้ ถูกใจผมที่สุด จะเป็นตัว HYBRID ครับ
กำลังเครื่องมาต่อเนื่อง ต้น-กลาง-ปลาย
สู้ 2.5G ไม่ได้แค่ top speed เท่านั้นละครับ
ไม่ต้องเชื่อผม ลองขับเองเลยครับ
-
เครื่อง 1.5 เทอรโบในแอคคอร์ดขับสนุกไม่แพ้ แคมรี 2.5จี ครับ
ผมเข้าไปนั่งในแคมรี่ตัวปัจจุบันแล้วอึดอัดครับ ภายในดูตกยุค ถ้าจะเอารอไมเนอร์เชนนนะครับ
-
เครื่อง 2.0 เงียบกว่านะครับ ถ้าขับเรื่อยๆ โอเคเลย แต่ถ้าใจร้อน แนะนำ 2.5 (ส่วนตัวไม่ชอบ 2.5 ถ้าเอาแรงผมไปไฮบริด)