รัฐ-เอกชนจับมือปั้น "รถยนต์ไฟฟ้า" เป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวใหม่ กระทรวงพลังงานขานรับทุ่มงบฯ 50,000 ล้าน พัฒนาสมาร์ทกริด-สถานีจ่ายไฟฟ้ารองรับ เอกชนแนะรัฐลดภาษีนำเข้าพร้อมตั้งศูนย์วิจัยทดสอบ
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และรองผู้จัดการใหญ่ รัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) นั้นเริ่มแพร่หลายแล้วในต่างประเทศ ทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น คาดว่าภายในปี 2563 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าราว 10% เมื่อเทียบกับยอดขายรถยนต์ทั่วโลก
เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่ารถยนต์เบนซิน และรถไฮบริด แนวทางการพัฒนาต้องเน้นการพัฒนาแบตเตอรี่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนการทำงานของเครื่องยนต์ที่ให้พลังงานสูง มีความปลอดภัย มีราคาสมเหตุสมผล และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
รัฐบาลในหลายประเทศก็ให้การสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฮ่องกง ที่ให้ความสำคัญกับการก้าวสู่ "Zero Emission" โดยจีน และญี่ปุ่น จะให้บริการไฮเวย์ฟรี มีเลนพิเศษสำหรับผู้ที่ใช้รถไฟฟ้า รวมถึงมีการออกเงินสนับสนุนสำหรับประชาชนที่จะซื้อรถไฟฟ้าด้วย ส่วนรัฐบาลสิงคโปร์ก็มีการตั้งศูนย์ทดสอบรถยนต์ไฟฟ้า และมีการพัฒนาวิจัยอย่างต่อเนื่อง
"การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ายังมีอัตราภาษีสูงมากถึง 80% ในขณะที่ยังไม่มีการผลิตรถไฟฟ้าในบ้านเรา รัฐบาลก็น่าจะมีการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าลง นอกจากนี้ยังต้องสนับสนุนด้านเทคโนโลยี มีการตั้งศูนย์ทดสอบ และให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปมากขึ้น ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าอาจจะเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนต่อจากรถปิกอัพและอีโคคาร์ได้" นางเพียงใจกล่าว
ด้านนายสรรัจน์ บุญส่ง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด จากบริษัท ชไนเดอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการจัดการพลังงาน เปิดเผยว่า ตลาดรถไฟฟ้าจะเริ่มได้รับความชัดเจนจากทั่วโลกในปีหน้า มีตลาดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ส่วนในเอเชีย (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) นั้นยังมีความสนใจน้อย
โดยโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะที่เป็นระบบสำหรับส่งไฟฟ้าอัจฉริยะแบบครบวงจรโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สมาร์ทกริดทำหน้าที่ส่งไฟฟ้าจากผู้ให้บริการไปยังผู้ใช้บริการด้วยระบบการสื่อสารสองทางเพื่อควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าจากบ้านของผู้ใช้ เพื่อการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
กระทรวงพลังงานก็ได้ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พัฒนาโครงการสมาร์ทกริด ทั้งระยะสั้นใช้งบฯลงทุน 12,000 ล้านบาท และภายในปี 2569 จะใช้เงินลงทุนรวมถึง 50,000 ล้านบาท ปัจจุบันได้เริ่มมีการนำร่องก่อตั้งพื้นที่ใช้สมาร์ทกริดในพัทยาแล้ว ก่อนขยายไปภูมิภาคอื่นๆ ในอนาคต
นายนำชัย หล่อวัฒนตระกูล รองผู้ว่าการประจำสำนักผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้ดำเนินโครงการสมาร์ทกริด เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีและการนำเข้าจากต่างประเทศ มีการเปลี่ยนสมาร์ทมิเตอร์ปีละ 1 ล้านเครื่อง พร้อมนำร่องให้พัทยาเป็นสมาร์ทซิตี้ ซึ่งมีแผนที่จะติดตั้งสมาร์ทมิเตอร์ประมาณ 10,000 เครื่อง ให้สถานที่ราชการ โรงแรมต่าง ๆ ผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ พร้อมส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วย
ด้าน ดร.ยศพงษ์ ลออนวล ผู้ช่วยหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเคมีเครื่องกล ฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในด้านผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่จะนำมาทำตลาดนั้นไม่น่าเป็นห่วง คาดว่าหากภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ก็พร้อมจะนำเข้ามาทำตลาดอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ไทยต้องเตรียมความพร้อมคือ การสร้างสถานีบริการชาร์จไฟรองรับ สำหรับการชาร์จสาธารณะทั้งในห้างสรรพสินค้าและลานจอดรถต่าง ๆ
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ปัจจุบันมีรถไฟฟ้าจำหน่ายแล้วทั่วโลก บริษัทนิสสัน มอเตอร์ มีรถยนต์ไฟฟ้า "นิสสัน ลีฟ" (Leaf) เป็นสินค้าตัวแรกที่ทำตลาดทั่วโลก, บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ ได้แนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า "ไอมีฟ" (I-MiVE) ที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินสนับสนุนสำหรับผู้ที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าด้วย
ขณะที่บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส จำกัด ก็ร่วมกับแอลจีกรุ๊ป เพื่อพัฒนาระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ "เชฟโรเลต โวลต์" (Volt) และ "โอเปิล แอมเพอรา" (Opel Ampera) ให้สามารถใช้งานได้เป็นระยะทางไกลมากขึ้น ซึ่งทีมวิศวกรของทั้งจีเอ็ม และแอลจี จะร่วมมือกันพัฒนาองค์ประกอบหลักของรถ รวมถึงโครงสร้างตัวถังและด้านสถาปัตยกรรมยานยนต์ รถยนต์ทั้งสองรุ่นนี้จะออกจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1333899094&grpid=&catid=08&subcatid=0800