ขอบคุณสมาชิกทุกท่านสำหรับความคิดเห็นนะคะ ได้มุมมองแง่คิดใหม่ๆเพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ
หลังจากตั้งกระทู้ไปเมื่อวาน เราได้ลองไปนั่งคำนวนค่าใช้จ่ายดู แล้วก็ค้นพบว่าเรามีวิธีหาเงินมาช่วยส่วนต่าง 1,500 บาทนี้ได้
- เราทานชาไข่มุกทุกวันทำงาน แก้วละ 40 บาท ตกเดือนละ 800-900 บาท (ลดเหลืออาทิตย์ละ 1 หรือ 2 แก้ว)
- เราล้างรถทุกอาทิตย์ ครั้งละ 160 บาท เสียเงินเดือนละ 640 เพื่อเอารถมาจอดตากฝุ่น (ลดเหลือ สองอาทิตย์/ครั้ง)
- เราใช้โทรศัพท์โปร 899 บาท ทั้งๆที่ที่บ้านและที่ทำงานมี ไวไฟให้ใช้ ใช้เน็ตไม่เคยถึงครึ่ง (ลดเหลือ 599 บาท/เดือน)
เราเลยตัดสินใจตกลงรับสิทธิ์ที่จอดรถไปแล้ว น่าจะได้เริ่มขับรถมาทำงานอย่างเร็วสุดในเดือนเมษายนค่ะ ดีใจเหมือนกัน ไม่ต้องตากแดด ตากฝนละ
ผมนั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน ใช้รถส่วนตัวเฉพาะวันหยุดเท่านั้นครับ ประหยัดเงิน และกำหนดเวลาในการเดินทางได้ ไม่เหมือนขับรถ ต้องมานั่งลุ้นว่าวันนี้จะรถจะติดหรือไม่ติด และขี้เกียจเครียดเวลาอยู่ในรถ นั่งรถไฟฟ้าได้ดูสิ่งอยู่รอบๆตัวเราเป็นการพักสายตาได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องอากาศร้อนก็เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศเรา คนอื่นเค้าทนได้ เราก็ต้องทนได้ครับ ถ้าชินแล้วสบายครับ และอย่าลืมว่าการขับรถนอกจากเสียค่าน้ำมันแล้ว ยังมีค่าสึกหรอของรถด้วยนะครับ คิดง่ายๆว่า ส่วนต่าง 1,500 บาท x 12 เดือน เท่ากับคุณเก็บเงินได้ปีละ 18,000 บาท เอาไว้ซื้อ LTF ปลายปีดีกว่าครับ
ส่วนเรื่องขอสิทธิ์แล้วไม่จอด ก็สละสิทธิ์ไป ไม่น่าเกลียดหรอกครับ คนรอคิวเยอะ เค้าน่าจะดีใจนะครับ
อ่านตัวเลขที่คุณ November_beer คำนวนมา ก็ลองไปคำนวนค่าใช้จ่ายของตัวเองมาค่ะ ปีนึงเราหมดเงินกับของสิ้นเปลืองบ้างอย่างเยอะอย่างน่ากลัวจริงๆ
ขึ้นอยู่กับอายุด้วยนะครับ ถ้ายังเด็ก ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็พอจะนั่งรถไฟฟ้าไปทำงานได้ เพื่อนผมยอมขับรถไปทำงานใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงแทนที่จะนั่งรถไฟฟ้าที่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเพราะเขาบอกว่าแก่แล้วเบียดสู้เด็กๆไม่ไหว เวียนหัว
อายุยังน้อยค่ะ เพิ่งเรียนจบเมื่อปีที่แล้วนี้เอง คุณแม่ก็พูดเหมือนคุณ Smith686 ค่ะ ต่อให้ต้องขับรถนานกว่าเป็นชั่วโมงๆ แม่ก็ไม่สามารถนั่งรถไฟฟ้าได้ เบียดไม่ทันจริงๆ
ถ้าได้ที่จอดรถแล้วก็น่าสนนะครับ อย่างน้อยๆรถจะได้วิ่งบ้าง พอถึงช่วงหน้าฝน ขับรถน่าจะสบายกว่าครับ ไม่ต้องเดินลุยฝนกลับบ้าน
ตอนนี้ผมกำลังจะไปทำงานที่เดียวกับคุณแม่ ซึ่งห่างจากคอนโด กม. แต่ไม่มีรถสาธารณะแบบต่อเดียวเลย แถมที่จอดรถของบริษัทรอคิวนานมาก (บางคนรอคิวเกือบ10ปี) ปกติแม่ไป-กลับ Taxi เฉลี่ยวันละ 150-200 บาท (รถติดมาก) พอผมจะไปทำ คุณแม่เลยมองหาที่จอดรถเช่าอยู่ แล้วจะ Support ค่าจอดรถ ค่าน้ำมันให้ เพราะลองคำนวนดูแล้ว ค่าเช่า+ค่าน้ำมันน่จะถูกกว่า ค่าTaxi ไป-กลับ ครับ
ปล. ใช้รถน้อยมากๆ รถผมเกือบ 4 เดือน วิ่งไป 7,500 โล แล้ว แค่ในกทม.และปริมณฑลด้วย
ดีใจกับงานใหม่ด้วยนะคะ ทางเดียวกัน เอารถไปเอง คุ้มกว่าเยอะเลยค่ะ นี่ถ้าเข้างาน-เลิกงานพร้อมคุณแม่ ก็คงไปกับแม่ทุกวันเหมือนกันค่ะ
ปล. ไม่ค่อยได้ไปไหนจริงๆค่ะ วันหยุดก็ใช้รถตลอดนะ แต่ไปไหนไม่ค่อยเกิน 20 กิโลเมตรเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวจะเอาไปชลบุรี น่าจะได้เกิน 4000 กิโลแล้วค่ะ
ถ้าบ้านและสถานที่ทำงานรถไฟฟ้าเข้าถึง เป็นผมก็คงไม่ขับรถครับ
ทุกวันนี้ผมยังลุ้นให้มีรถไฟฟ้าหน้าบ้านเชื่อมกับแอร์พอร์ตลี้งค์ จะได้ไม่ต้องขับรถไปทำงาน เบื่อรถติดครับ
เรายังไม่เคยขึ้นแอร์พอร์ตลิ้งค์เลย แต่ขอเอาใจช่วยให้มีรถไฟฟ้าหน้าบ้านในเร็ววันนะคะ
คล้ายๆกันครับ ผมนั่ง MRT ตลอดนะ มันสบายใจกว่า ไม่มีภาระ
ใช้รถ มีโอกาสเสี่ยงรถติด น้ำท่วม ฝนตก ม็อบ ต่างๆเยอะแยะ
เราอาจจะต้องลองดูก่อนค่ะ จะได้เข้าใจทั้งสองมุมมองเลย
ข้อดีของการนั่งรถไฟฟ้าคือ
หนึ่ง ผมสามารถกำหนดเวลาในการเดินทางได้ค่อนข้างเที่ยงตรงบวกลบ 10 นาทีถ้าตอนเดินทางเป็น rush hours.
สอง ประหยัดค่าใช้จ่าย
สาม รถวิ่งๆติดๆทั้งเผาน้ำมัน, สร้างมลพิษ(โลกสวย) และรถทำงานหนักสึกหรอไว
แต่ก่อนผมขับรถเพราะขี้เกียจเดินเท้า ขึ้นมอเตอร์ไซค์ นั่งรถไฟฟ้า และลงเดินต่อถึงจะเข้าที่ทำงาน แต่พอลองเปลี่ยนนิสัยขึ้นรถไฟฟ้าดู ตอนนี้ชินและชอบไปแล้วครับ ข้อบวกคือมันทำให้เราได้เดินเยอะขึ้นเลือดไหลเวียนถึงแม้จะนิดๆหน่อยๆ แต่ก็ดีกว่านั่งอยู่ในรถเฉยๆครับ
ปกติเราไม่เคยเดินเกินวันละ 3,000 ก้าวมาก่อนค่ะ มีช่วงที่เดินไปทำงานนี้แหละ ที่เดิน 5,000+ ก้าวทุกวัน ชอบเหมือนกันค่ะ ที่สามารถคาดเดาเวลาได้ แต่ไม่ชอบตรงจำนวนคนที่ต้องเบียดเสียดกันไป และคนที่ไม่ยอมหลบให้เราลงค่ะ
ถ้าชีวิตอยู่บนเส้นทางรถไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ ผมเลือกรถไฟฟ้าครับ
อยู่ทั้งบ้านและที่ทำงานเลยค่า แฮะๆ
ที่จอดรถ ต้องทำสัญญาระยะยาวรึป่าวครับ ถ้าไม่ ก็ลองดูก่อนซักเดือนนึง ถ้าไม่ได้ทำให้สะดวกขึ้นมาก ก็กลับมาใช้รถไฟฟ้าเหมือนเดิม รถก็เอาไว้ใช้งานตอนอื่นได้อยู่แล้ว
เดี๋ยวต้องลองสอบถามดูค่ะ อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน คนก็ใหม่ ตึกก็ใหม่ค่ะ แฮะๆ
การขึ้นรถไฟฟ้าทำให้มีโอกาสในการเจอผู้คนอีกมากมายเลยครับ อยากมีหนุ่มๆมาชวนไปนั่งดื่มต่อ หรือขอไลน์ให้ดีใจได้
ดีกว่าขับรถแล้วนั่งอยู่คนเดียวมากมาย
พูดอย่างงี้แล้วไม่อยากจะลงจากรถไฟฟ้าเลยค่ะ นั่งมันทั้งวันทั้งคืนเลย เผื่อจะได้เจอ ทุกวันนี้จะมองหน้ายังเงยหน้าขึ้นไปดูไม่ได้เลย
รถไฟฟ้าสถานเดียว
ขอบคุณค่ะ
ในสถานการณ์เดียวกันถ้าเป็นผมจะเลือกขับรถครับ รถใต้ดินเอาไว้เป็นแผนสำรองพวกรถติดหนักๆ เท่านั้น
เหคุผลหลักๆ คือความสะดวกและความปลอดภัย เมื่อใช้เวลาเดินทางเท่าๆ กันแล้ว (คนส่วนมากสละรถเพราะเหตุนี้) ผมว่าส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มกับสิ่งที่ได้มาคุ้มค่าครับ
คุณ Niti มองมุมเดียวกับคนที่บ้านเราเลยค่ะ ถ้าขับรถแล้วใช้เวลาเท่ากับรถไฟฟ้า จะนั่งรถไฟฟ้าไปทำไม
ก็ลองขับรถไปดูครับ แต่ที่จอดรถนี่ จ่ายเดือนต่อเดือนใช่ไหมครับ
สำหรับผมตอนเช้าอาจไม่ต่าง แต่ขากลับนี่คนละเรื่อง
อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ตึกก็ใหม่ คนก็ใหม่ แต่คิดว่าสิทธิ์ของที่จอดรถบริษัทบนตึกนี้ถาวรอยู่แล้ว เราน่าจะขอยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ
ปล. ขากลับเราไม่ห่วงมาก เพราะมีซอยที่ใช้ทะลุจากรัชดาเข้าลาดพร้าวได้อยู่ค่ะ ขาไปนี้อีกเรื่อง 5555
ต้องขับรถครับ...
ขอบคุณค่ะ
ไปทำงานนั่งรถสาธารณะครับ
เพราะ...
1. คุณได้ออกกำลังกาย ทุกวันตอนเดินไปขึ้น BTS
2. คุณช่วยให้รถไม่ติด (ถ้าทุกคนที่บ้านใกล้ BTS MRT ไม่ขับรถ แล้วมาใช้รถสาธารณะกันหลายๆคน รถติดน้อยลงเยอะครับ)
3. คุณไม่ต้องเสียค่าสึกหรอมากนัก และยังประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า (ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน + ที่จอดรถ)
4. คุณไม่ต้องเสี่ยงเจออุบัติเหตุบนรถ (ระแวงไปชนเค้า หรือเค้ามาชนเรา)
5. คุณมีเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพลินๆบนรถไฟฟ้าประมาณ 20 นาที/ขา (ถึงแม้จะเบียด แต่คุณไม่จำเป็นต้องเพ่งสมาธิไปบนถนนตลอดเวลา)
6. คุณช่วยลดภาวะโลกร้อนครับ จากการไม่ใช้น้ำมัน อิอิ
แต่ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ลองเปลี่ยนมาขับรถดูครับ เอามันออกไปใช้บ้าง ที่ๆ รถไฟฟ้าไปไม่ถึง
แค่เสนอความคิดครับ เพราะว่าถ้ารถไฟฟ้าใกล้บ้านผม ผมไม่ขับรถเหมือนกัน เบื่อ
วันหยุดก็ใช้รถนะคะ แต่ไม่เคยมีโอกาสไปไหนไกลๆสักที จะไปคนเดียว เราก็กลัวหลง ทุกวันนี้ไปไกลสุดก็ 30 กิโลเมตรเองค่ะ เราว่าถ้า MRT มีขบวนเยอะขึ้นเมื่อไหร่ จะเป็นบริการสาธารณะที่เรายินดีใช้มาก (ส่วนตัวไม่ชอบ BTS ค่ะ รู้สึกไม่เคยพัฒนา)
นั่วรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ครับ
เกิดมาไม่เคยนั่งรถเมล์ในเมืองไทยค่ะ ไม่สามารถจริงๆ
ผมโจทย์เดียวกันเลย กับเจ้าของกระทู้ เงินเดือนก็พอๆกันอีก
เมื่อก่อนมียุช่วงนึง ใช้รถขับไปทำงาน ระยะทางก้พอๆกันอีก
เบื่อมาก รถติด ไหนจะค่าน้ำมัน ไหนจะหาที่จอดรถ ค่าจอดรถอีก
เบ็ดเสร็จ รายจ่ายเยอะ หลายพันเลยหละ ถ้าขับรถไปทำงานซะ 70 % อะนะ
หลังๆเลย ลองปรับมานั่ง BTS เป็นหลัก สลับรถเมล์มั่งสนุกดี ซะ ค่าใช้จ่าย อยู๋ที่ 1500 ต่อเดือน ชิวมาก แค่ทนเบียดทนร้อนช่วงพีคๆหน่อย
สำคัญคือเหลือเงินเก็บอีกเยอะ
แต่ถ้าวันไหนมีสัมภาระนิดหน่อย ก็เอารถไป สลับกันไป หรือ ถ้าช่วงหน้าฝนถ้าฝนกระหน่ำแต่เช้าออกจากคอนโดไปBTS ลำบาก ก็เอารถยนไป
ยืดหยุ่นๆ ปนๆๆกันไปครับ
เกิดมาแล้วต้องดิ้นครับ ลำบากๆนิดๆ รสชาติชีวิตมาก 555555+++
ทุกวันนี้ มาม่ากลางเดือนก็หลายรสชาติอยู่นะคะ
ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ค่ะ
อ่านแล้วไม่ว่ามองมุมไหนก็แนะนำให้นั่ง รถไฟฟ้าครับ คนส่วนใหญ่อยากได้บ้านหรือคอนโดที่ติดรถไฟฟ้า เดินทางสะดวกไม่ต้องติดบนถนน ควบคุมเวลาเดินทางได้ ไม่เป็นภาระเวลาจะไปไหนต้องหาที่จอดต้องคำนึงว่ารถติดไหม
ส่วนตัวเคยขับรถไปทำงานทุกวันจนได้งานใหม่ที่ออฟฟิตติดรถไฟฟ้าจากนั้นเลิกขับรถเลยครับ ขับเฉพาะเวลามีประชุมกับลูกค้าหรือของเยอะเท่านั้น
ที่นี้คุณอาจจะมีประเด็นเรื่องอุตสาห์ซื้อรถมาแล้วถ้าไม่ใช้ก็เสียดาย ยังงัยลองเอาไปออกกำลังไกลๆเสาร์อาทิตย์ดูครับ ขับพาแม่ไปเที่ยว เพราะถ้าวันเสาร์ขับรถในเมือง ก็รถติดไม่ต่างกันอยู่ดี 555
เราปฏิเสธงานที่นึงไป เพราะไม่อยากขับรถไปไหนมาไหนทั้งวันค่ะ แต่ขับรถไป-กลับนี้ เกิดไม่มีปัญหา อยากขับซะงั้น 555
ปล. อยากขับรถพาที่บ้านไหนมาไหนเหมือนกันค่ะ แต่ที่บ้านกลับไม่ยอมนั่งรถเราออกต่างจังหวัด สุดท้ายก็จอดแหมะอยู่บ้านเหมือนเดิม
อิจฉา คนบ้านใกล้รถไฟฟ้า จัง
เดินออกกำลังกายบ้าง เบียดกับหนุ่มๆๆบ้าง ก็ดีนะครับ
เบียดกับผู้ชายนี้ สุขที่สุดของวันแล้วค่ะ