Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: YIM ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2011, 00:07:14
-
พอดีดูในรายการ Today Close Up ดูแล้วหนาวเลย ปั้มหายไปจาก 60000 เหลือ 40000 ในช่วง 16 ปี สาเหตุมาจาก
รถรุ่นใหม่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
การที่ปั้มใหญ่มี self Service ทำให้ปั้มเล็กๆ ต้องแข่งดั้มราคา ทำให้อยู่ไม่ได้
กฎหมายสิ่งแวดล้อมก่อต้นทุนให้เถ้าแก่ปั้มรับต้นทุนไม่ไหว
เถ้าแก่ปั้มไม่กล้าลงทุนปรับปรุงปั้ม เพราะกลัวว่าถ้าพวก EV มาแล้ว จะไม่คุ้ม
ตอนนี้บางหมู่บ้าน ต้องขับรถ 120 กิโล ไปเติมน้ำมัน จากเดิม 300 เมตร
-
เอิ๊ก ก็คงต้องปรับๆกันไป ยุคนี้ ใครไม่ติดตามข่าวสาร ไม่มองการณ์ให้ไกลล่ะก็ เจ๊งแน่ๆ
-
ไทยก็ต้องดูเป็นตัวอย่าง ต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยน
แต่สำหรับเมืองไทย EV,Fuel Cell ยากมาก
เพราะผู้ที่หากินกับน้ำมันที่มีอำนาจมากๆๆๆๆ คงไม่ยอมง่ายๆ หรอก
แต่สักวันก็ต้องมีล่ะน่า
-
โดยส่วนตัวคิดว่า ถ้า EV เมืองไทยจะเกิด
ต้องร่วมมือกัน 2-3 ฝ่าย คือ
1. เอกชนลงทุนเปิดที่เติม EV (ปั๊ม, ห้าง, ศูนย์บริการ)
2. รัฐฯ ส่งเสริมภาษี EV พิเศษ เป็นไปได้สรรพสามิต ไม่ต้องเก็บ
3. ผู้ผลิตหรือนำเข้า ตั้งราคาพอดีๆ เชื่อว่า ถ้าไม่มีภาษีด้านบน ราคาคงอยู่ประมาณเฉียดๆ ล้าน
รัฐไม่ต้องเก็บภาษีรถพวกนี้ก็ได้ มันไม่ได้ใช้น้ำมัน ลดการนำเข้าน้ำมันด้วย
ก็คิดซะว่ามันคือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างนึง
(ผู้นำเข้าน้ำมันที่มีอำนาจมากๆ นี่หมายถึง ปตท. หรือป่าวครับ? ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ชอบ ปตท. กัน)
-
น่าจะเฉลี่ยให้เท่าๆกันแต่ละพื้นที่มากกว่าที่จะอยู่เป็นกระจุกๆน่ะครับ
-
โดยส่วนตัวคิดว่า ถ้า EV เมืองไทยจะเกิด
ต้องร่วมมือกัน 2-3 ฝ่าย คือ
1. เอกชนลงทุนเปิดที่เติม EV (ปั๊ม, ห้าง, ศูนย์บริการ)
2. รัฐฯ ส่งเสริมภาษี EV พิเศษ เป็นไปได้สรรพสามิต ไม่ต้องเก็บ
3. ผู้ผลิตหรือนำเข้า ตั้งราคาพอดีๆ เชื่อว่า ถ้าไม่มีภาษีด้านบน ราคาคงอยู่ประมาณเฉียดๆ ล้าน
รัฐไม่ต้องเก็บภาษีรถพวกนี้ก็ได้ มันไม่ได้ใช้น้ำมัน ลดการนำเข้าน้ำมันด้วย
ก็คิดซะว่ามันคือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างนึง
(ผู้นำเข้าน้ำมันที่มีอำนาจมากๆ นี่หมายถึง ปตท. หรือป่าวครับ? ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ชอบ ปตท. กัน)
เพราะปตท. ใช้อภิสิทธื์จากการที่เป็นบริษัทของรัฐ เอาเปรียบผู้ประกอบการรายอื่นครับ แล้วก็เป็นคนคิดค่าการตลาดด้วย
-
ในเมืองไทยก็ใช่ย่อยครับ
เมื่อเทียบจำนวนปั๊มน้ำมันที่มีทั้งหมดตอนนี้กับช่วงปี 2540 (ตอนยังบูมสุดๆ) ปั๊มในบ้านเราก็ลดลงไปเกินครึ่งแล้วนะครับ อย่างพวกเอสโซ่, เชลล์ ที่เคยเป็นเจ้าตลาดในอดีต ก็ไม่มีการเปิดปั๊มใหม่อีกแล้ว มีแต่จะลดลงเรื่อยๆ ส่วนยี่ห้อที่เจ๊งไปแล้วก็อีกเยอะมาก อย่าง ปตท. ที่เป็นเจ้าตลาดในปัจจุบัน ก็มีจำนวนปั๊มเหลือแค่ประมาณพันนิดๆเท่านั้นเอง (สมัยตอนปี 2540 ปตท. มีเกือบพันห้าร้อยปั๊มทั่วประเทศ) ,,,และดูแนวโน้มแล้ว จำนวนปั๊มก็จะยังลดลงไปอีกเรื่อยๆ...
-
"เอาเปรียบผู้ประกอบการรายอื่นครับ แล้วก็เป็นคนคิดค่าการตลาดด้วย"
อ๋อครับ ถึงจะเป็นของรัฐฯ แต่ก็มีเอกชนเป็นส่วนร้วมด้วยนิครับ
แต่ ปตท. กำไรปีๆ นึงก็ไม่ได้มากมายอะไรนะครับ
เมื่อเทียบกับงบรวมบริษัทแล้วก็ตาม (กำไร 2.67% ของปีที่แล้ว)
กำไรเท่านี้ ถ้าบริษัทขาดทุนติดต่อกันไม่กี่ปีนี่มีสิทธิ์ขาดทุนได้เลยนะครับ
หรือว่า ปตท. ขายของไม่ดีด้วย?
ผมว่าควรเกลียดกระทรวงการคลังมากกว่า เกลียดตัวบริษัท ปตท. นะ
เพราะกระทรวรการคลังเป็นเจ้าของกิจการ
ปล. ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรนะครับ แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าทำไมเกลียด ปตท. กันจัง
-
ปล. ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรนะครับ แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าทำไมเกลียด ปตท. กันจัง
อยากรู้ด้วยเหมือนกันครบ โดยส่วนตัว เวลาฝรั่งมาถามเนี่ย ถ้าในวงกาศปิโตรเลียม ถ้าไทยไม่มี ปตท.(สผ.) ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปอวดได้ซักอย่างเลยครับ เอิ๊ก
แต่ว่าเรื่องที่เขากำหนดค่าการตลาด อันนี้ผมว่าไม่ใช่เรื่องมีสาระอะไรนะครับ เพราะธุรกิจต้องอยู่ให้ได้ ถ้าเป็นคนดี แล้วธุรกิจเจ๊ง ก็ไม่รู้จะทำธุรกิจไปทำไมเหมือนกันครับ *-* เพราะน้ำมัน กำไรน้อยมากๆๆๆๆๆ ถ้าเทียบกับธุรกิจอื่นครับ
-
การได้เปรียบทางการค้าน่ะมันเรื่องธรรมดาครับ แต่ไอ้การได้เปรียบจากความสัมพันธ์กับรัฐบาล มันตลกครับ
ลองจินตนาการว่าคุณเปิดโชว์รูมโตโยต้า แข่งกับโปรตอนในมาเลย์ละกันครับ
-
แล้วพวกเราไม่ลองสำรวจราคาน้ำมัน ของมาเลเซียบ้างหรอ ว่าเขาราคาน้ำมันลิตรละเท่าไร (ถูกกว่าเรา ลิตรละ 20 บาท ในทุกๆ ชนิดน้ำมันนะ...)
เพราะอะไรก็ต้องไปสอบถามรัฐบาลของมาเลย์เอาเอง มองเขาแล้วก็หันมามองเราด้วย....
-
แล้วพวกเราไม่ลองสำรวจราคาน้ำมัน ของมาเลเซียบ้างหรอ ว่าเขาราคาน้ำมันลิตรละเท่าไร (ถูกกว่าเรา ลิตรละ 20 บาท ในทุกๆ ชนิดน้ำมันนะ...)
เพราะอะไรก็ต้องไปสอบถามรัฐบาลของมาเลย์เอาเอง มองเขาแล้วก็หันมามองเราด้วย....
ผมว่าส่วนหนึ่งมันมาจาก "การนำ ปตท. ออกมาขาย" ทำไมผมถึงเชื่ออย่างนั้น ก็เพราะว่า จากที่เป็นของรัฐ(ประเทศไทย คนไทยทุกคน) กลับมาเป็นของคนไม่กี่คน
และไม่กี่กลุ่ม และแน่นอนที่สุด เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อ "ผลกำไร" เพราะจากการประกาศการดำเนินงานทางธุรกิจของ ปตท. ปีที่แล้ว "กำไรเป็นแสนล้าน"
และจริงอยู่ครับว่า ปตท.ดำเนินธุรกิจหลายอย่าง แต่ ปตท.ผูกขาดเรื่องน้ำมัน ( ปั้ม Jet ยังอยู่ไม่ได้ ทั้งๆที่คนเข้าเยอะ อันเนื่องมาจาก ปรับเปลี่ยนรูปแบบปั้ม ให้ดี
อย่างที่ประเทศไทย ไม่เคยมีรูปแบบนี้มาก่อน และคิดว่าคงอีกนาน มากๆ)
สรุปง่ายๆเลย ถ้ามันเป็นของประเทศไทย(แบบ 100%) ผมคงไม่บ่นมาก ราคาก็คงไม่โหดแบบนี้ เวลาขึ้นเกือบ1 บาท เวลาลด 20 สตางค์ หรือถ้าจะอ้างว่าราคาโลก
มันเป็นอย่างนี้ แต่...อย่างน้อย เงินและกำไร มันก็เข้าประเทศเพื่อการพัฒนาประเทศ แต่...ทุกวันนี้ล่ะ มันเข้ากระเป๋าของคนไม่กี่คนเท่านั้นเอง
เวรกรรมของคนไทย ที่มีนักการเมืองที่รักประเทศเสียอย่างแรง !!!
ต้องขอโทษนะครับที่นอกเรื่อง แต่...มันเจ็บใจจริงๆ ที่พูด และคิดเรื่อง ปตท.(พลังไทย เพื่อใครก็ไม่รู้)
-
ไม่ใช่ของคนไม่กี่คนนะครับ เมื่อดูรายชื่อผู้ถือหุ้นแล้ว
3 ลำดับแรก
กระทรวงการคลัง 51.36%
กองทุนรวม วายุภักษ์ โดย บลจ. เอ็มเอฟซี 7.67%
กองทุนรวม วายุภักษ์ โดย บลจ. กรุงไทย 7.67%
ส่วนที่ต้องเข้าตลาดทุน ผมคิดว่า เพราะ ปตท.ต้องขยายกิจการ
ไม่มีเงินเพียงพอ เลยต้องเข้าตลาดทุน
การที่ ปตท. ได้กำไรประมาณ 1 แสนล้านบาท ผมว่ามันไม่ได้มากเลยนะ
เมื่อเทียบกับงบบริษัทที่อยู่ที่ประมาณเกือบ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับงบของประเทศไทยเลยนะนั่น
ถ้าสมมุติ ปตท. ขายของไม่เอากำไรเลย บริษัทมันก็อยู่ไม่ได้
การที่กำไรแค่นี้ ถ้าประสบปัญหา ติดต่อกันไม่กี่ปี บริษัทอาจจะล้มลายได้เลยนะครับ
อยากให้ทุกคนเข้าใจตรงนี้ด้วย
ผมลองเอาผลประกอบการของ บางจากปิโตร มาดู (ซึ่งไม่เคยดูมานานล่ะครับ)
พบว่ากำไรของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 9.57% ซึ่ง ปตท. แค่ 2.67% เท่านั้น
มาเซีย เขาอาจจะไม่ต้องนำเข้าน้ำมันแบบเราก็ได้ แล้วอีกอย่างประเทศเราใช้น้ำมันเยอะครับ ก็เลยต้องนำเข้าเยอะตามไปด้วยครับ