Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Chariot ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2012, 01:25:58
-
ผมรู้สึกว่ารถสมัยนี้ทนทานน้อยลง
ระบบกลไกหลายอย่างถูกทดแทนด้วยไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ พ่วงด้วยเซนเซอร์อีกหลายตัว
ทำให้ความทนทานของหลายชิ้นลดน้อยลง(รึป่าว)
จานจ่ายแบบเดิมๆที่ซ่อมบำรุงง่าย ทนทานด้วยระบบกลไกไม่ซับซ้อน ไขควงและประแจก็ซ่อมได้
กลายเป็นไดเรคคอยล์ที่รับคำสั่งผ่านกล่อง ต้องปรับจูนด้วยเครื่องคอม
อีกทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายตัวไม่ทนความชื้นหรือความร้อนมากๆ สังเกตได้จากการซีลอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นพิเศษ
เช่น กล่องอีซียู ก็หุ้มฉนวนกันความร้อนจากเครื่อง หรือบางรุ่นก็เอาไว้ในห้องโดยสารเลยก็มี
แสดงว่าอุปกรณ์ไฮเทคยุคใหม่นั้นเสี่ยงต่อ Environment ภายนอกอย่างมาก ถึงต้องป้องกันซะขนาดนั้น
แต่มันก็แลกมาด้วยอัตราเร่ง ความประหยัด ความปลอดภัย ที่ดีขึ้น
แต่มันจะดีกว่า ถ้ามีอุปกรณ์ที่ให้คุณสมบัติดังกล่าวดีขึ้น และทนทานขึ้นด้วย
คุณคิดว่าไงครับ...??
-
จะทำก็คงทำได้แต่มันติดอยู่ที่ต้นทุนมั้งครับ
-
ผมว่าที่ไม่ค่อยทนเพราะระบบอิเล็กทรอนิกส์นี่แหละครับ พวกนี้มันโดนน้ำความชื้นมาก ๆ ไม่ได้ และยิ่งปัจจุบันมีอุปกรณ์จำพวกนี้มากพอใช้นาน ๆ หรือมันรวนง่าย ถ้าจะแก้คงยาก เพราะไม่งั้นจะเอาอะไหล่ไปขายใคร :)
-
ทนมากก็ขายคันใหม่ไม่ได้สิครับ
-
รถสมัยเก่าทนกว่าจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1.ระบบเทคโนโลยีไม่ซับซ้อน มีระบบไฟฟ้าน้อย ความผิดพลาดน้อย ไม่มีปัญหาพวก firmware สารพัดเซนเซอร์
2.คอนเซปการสร้างรถเปลี่ยนไป ต้องแต่ยุคอดีตถึงยุค 90 บริษัทรถแข่งกันผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพสูง ทนทานอาทิเบนซ์ทั้งหลายจนถึงW124 แต่หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน ทุกบริษัทหันมาเน้นว่าจะทำอย่างไรให้รถของตนขับดีดูไฮเทค ชนแล้วปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและที่สำคัญลดต้นทุนเพราะวัสดุแพงขึ้นเนื่องจากมนุษย์ในโลกมีเพิ่มขึ้นแต่ทรัพยากรในโลกมีเท่าเดิม เครื่องกินน้ำมันน้อยลง ส่วนเรื่องความทนทานช่างมัน เพราะเมืองนอกมาตรฐานมลพิษมันก็เข้มขึ้นเรื่อยๆคนซื้อรถมาใช้แค่5-10ปีก็ถูกมาตรการต่างๆในประเทศของพวกเขาเหล่านั้น(ซึ่งส่วนใหญ่คือประเทศผู้ผลิตรถนั่นเอง)ทำให้ต้องเปลี่ยนรถอยู่แล้ว บริษัทต่างๆก็แค่วิจัยมาเผื่อให้รถมันอยู่เลยช่วงรับประกันซึ่งดูยาวกว่าสมัยก่อนไปอีกหน่อยก็พอ สิ่งเหล่านี้ก็จะสะท้อนให้เห็นจากการใช้วัสดุรีไซเคิลทที่เป็นที่มาของหน้าปัทม์เยิ้มสีลอกหรือสายไฟกรอบในรถสารพัดรุ่นซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนในรถยุคก่อนหน้า(คันแรกที่เคยเห็นหน้าปัทม์เยิ้มคือPeugeot405) ตอนนี้หลายบริษัทหันมาลดขนาด้ครื่องยนต์ลงแต่คงสมรรถนะไว้ จะเห็นได้ชัดว่าเขามุ่งความสำคัญไปที่การลดมลพิษ ลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันลง แต่ไม่ได้บอกว่าจะทนเท่าเครื่องยุค90หรือเปล่า ต้องให้กาลเวลาพิสูจน์ (เห็นเค้าลางง่ายๆจากยุคก่อนคือ เครื่อง M111Kompressor ของเบนซ์ แรงงดีแต่ความทนทานเทียบไม่ได้เลยกับ M103 ใน 300E W124 เป็นต้น)
3.ทำทนเกินก็ไม่มีใครในประเทศของพวกเขาได้เห็นได้รับรู้เพราะต้องทิ้งก่อนด้วยเหตุผลจากข้อด้านบน เปลืองต้นทุนเสียเปล่าๆ และในประเทศที่ไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้นถ้าทำรถทนไปขายก็ไม่ได้ขายคันใหม่ซะที ไม่ดีกับบริษัทผู้ผลิต
ปล.รถไฮเทคแบบสมัยนี้ถ้าจะทำให้ทนเหมือนสมัยก่อน ผมว่าทำได้แต่ราคาคงแพงไปอีกมาก
-
ถ้าแบบนี้ ต่อไปในอนาคต คงไม่มีรถแซยิดอย่าง VW Beeetle, Peugeot 504, Mazda Familia, Nissan Sentra
และอีก 40 ปีข้างหน้า รถสมัยนี้จะเหลือกลายเป็นรถคลาสสิคสักกี่คัน รถเก่าจะจุกจิกมากจนไม่น่าสะสมรึเปล่า ?
-
เบื่อรถสมัยนี้นะครับ ระบบเยอะน่ารำคาญ
โทรศัพท์ผมก็ไม่ใช้พวก smart phone ไม่ชอบระบบเยอะๆ
เจอรถเยอรมัน ศึกษาวิธีใช้อยู่สองชั่วโมงยังไม่เสร็จ ไมเกรนกิน เลิกศึกษา แค่ขับพอ ตั้งน่าจอควบคุมยังไม่เป็นเลย ไม่ง่ายเหมือนรุ่นเก่าๆ
เบรค hold ก็ทำไม่เป็น ขับไม่ได้ดีกว่า accord ทั้ง gen 7 และ gen8 เลย แถม accord 3.0 ที่เคยใช้มาขับสนุกกว่ากันเยอะ
-
ผมคิดว่า การที่มีเทคโนโลยีมากมันทำให้อุปกรณ์ที่เชื่อมกับเทคโนโลยีตัวนั้นเสื่อมลงเร็วครับ เพราะยังไงเทคโนโลยีมันก็ไม่ฉลาดเท่ามนุษย์ครับ
ยกตัวอย่างเช่น ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ ถ้าคุณทำงานในดึกสูง ที่จอดรถสูงๆ คุณจะเกลียดเทคโนโลยีนี้ทันที มันจะทำให้หลอดไฟขาดเร็วมากๆ
เพราะพอเข้าทางมืดไฟหน้าก็ติด พอวนขึ้นหรือลงเจอแสงสว่างไฟหน้ามันก็ดับ ถ้าคุณทำแบบนี้บ่อยๆ ไม่เกิน 2 ปี หลอดขาดครับ ยิ่งรถบางรุ่นปิดระบบไม่ได้ด้วย >:( >:(
-
นึกถึง300e w124 คันเก่าของที่บ้าน ระบบไฟฟ้าไม่ต้องเยอะ ปัจจุบัน เทียบกับe240 w211ของที่บ้าน โห แม่งลูกเล่นเยอะไปปะ เจอค่าซ่อมที กุจะร้องไห้ ความคิดผมนะ เมืองนอกเขาเปลี่ยนรถบ่อยเพราะ ภาษีรถเก่าจะแพงกว่าภาษีรถใหม่ ไหนจะค่าแรง ค่าซ่อมแพงกว่าเมืองไทยอีก เเล้งยิ่งเทคโนโลยีมาก ไฟฟ้าเยอะๆ เจอเมืองไทย ร้อนๆไปเร็วเลย อีกอย่างถ้าทำให้มันทนมือทนตีน เเล้วรถรุ่นใหม่ออก คนมันจะซื้อป่าวละครับ บริษัทออกรถมาต้องขายให้เยอะที่สุด ถ้าทนเกิน ตัวใหม่ก็ขายไม่ออก เทียบง่ายๆเหมือนทีวีจอแก้วกับ จอlcd led plasma ลองเทียบดูได้เลย จอแก้วโคตร ถึง ทน มาก บ้านผม 20กว่าปี แม่งทนโคตร lcd ใช้3-4ไรหว่า เสียเเหละ
-
ส่วนผมคิดถึง ระบบเตือนน้ำหม้อพักแห้งด้วยระบบเสียง
ซึ้งสมัยนี้ใช้แต่เกจ์วัด เวลาปั้มน้ำรั่วแบบแรง เรียบร้อยเลยเครื่อง ประสบการณ์จริง จะบอกว่าให้ขับไปดูไปก็คงไม่ใช่นะ
แค่ผมคิดว่าบริษัทคงอยากขายอะไหล่เครื่องแค่นั้นจริงๆเห็นผลที่ไม่มีมาให้กับรถสมัยนี้
-
ลดต้นทุนไงครับ
-
เชื่อว่าทำให้ทนทานได้แต่ไม่ทำครับ เพราะใครก็ตามที่ทำของขายนั้นย่อมมุ่งแสวงหาผลกำไรเป็นหลักอยู่แล้วส่วนจะดูดีด้วยแคมเปญหรือคำพูดอะไรนั้นก็แล้วแต่ความสามารถที่ต่างกัน แต่โดยเนื้อแท้เหมือนกันหมด เราจึงไม่ควรที่จะวางตัวเป็นสาวกยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งมากเกินไปนักเพราะเค้าไม่ได้จริงใจกับเราเท่าใดนักหรอก :-\
-
มุมมอง และทัศนคติเปลี่ยนแปลงไปครับ แต่ถ้าดูแลตามปกติ รถสมัยนี้ยังไงก็วิ่งได้เกิน 10 ปี หรือ 2-3 แสนกิโล อยู่แล้วละครับ คำถามคือความทนทานที่มากกว่านั้นคงไม่จำเป็น
เพราะรถเก่าต่อให้สภาพดียังไง ก็ยังใช้พลังงาน และปล่อยมลพิษมากกว่ารถใหม่ๆ อยู่ดี จริงๆ แล้วมันควรจะเก็บภาษีรถเก่าในอัตราก้าวหน้าด้วยซ้ำไป เพราะรถของท่านสร้างภาระให้แก่สังคมมากกว่า แต่บ้านเรารถมันแพง ดังนั้นกฎหมายแบบนี้คงยังไม่เหมาะสม
ที่ต้องใช้ electronic เยอะ เพราะกฎระเบียบต่างๆ มันเข้มงวดขึ้น คอมพิวเตอร์มันทำงานได้ละเอียดกว่าระบบกลไก แต่แน่นอน ซับซ้อนขึ้น ก็จุกจิกเป็นธรรมดา
ถ้าถามผมเวลานี้ ผมคิดว่า รถที่แข็งและทนทานมากๆ อย่าง Volvo 240 หรือ Peugeot 504 เนี่ย ผมว่าอาจไม่จำเป็นแล้วก็ได้ ยกเว้นงานบางประเภทเช่นรถตำรวจ หรือ taxi ครับ
-
ทนที่ว่า คือกี่ปีล่ะครับ
สำหรับผมนะ
3 ปีแรก ไม่งอแง ดูแลเข้าศูนย์ตามปกติ
3 ปีกลาง ดูแลปกติ เปลี่ยนอะไหล่บางตัวที่เสื่อมตามกาลเวลา
3 ปีสุดท้าย ดูแลเช็คระยะตามกำหนด พอใช้งานได้ ไม่จุกจิก แล้ว "ขาย"
เพราะงั้น รถที่ผมมองว่าทน คือใช้งานแค่ 9 ปีแล้วขายทิ้ง
บางคนอาจจะมองที่ 10 ปีขึ้นไป
บางคนอาจจะมองว่ารถ 6 ปีก็เก่าแล้ว
สำหรับผมมองที่ 8-9 ปี ผมจะขายทันทีถ้าเ้จอเนื้อคู่ใหม่ที่ถูกใจและเหมาะสม
ดังนั้น ความทนสำหรับผม ยังถือว่าโอเคครับ เพราะผมชิงขายก่อนที่มันจะพัง
-
รถใหม่ๆผู้ผลิตเขาsetระบบมาดีมากๆครับ หมดประกันปุ๊บเสียทันที ;D
-
ก้ว่ากันไปตามราคาอ่านะครับ แต่ผมว่าผมไม่แน่ใจนะว่าตกลงรถเก่ามันทนกว่าหรือไม่ ผมว่ามันก้ต้องมีที่ทนและไม่ทนแตกต่างกันไปนะครับ
-
ได่อ่านทุกคอมเม้้นต์แล้ว รัก 300E 124 จังครับ อายุของเค้า 23 ปีแล้ว ยังสภาพดีอยู่เลย (จนภรรยาแซวว่า จะจัดงานวันเกิดให้เหรอ)
-
เป็นเรื่องธรรมดาครับ
ให้เห็นภาพง่ายๆก็เอา รถไถ เปรียบเทียบกับ Prius
ระบบไม่ซับซ้อน ก็บำรุงง่าย น้ำมันอะไรก็เติมได้ แต่แลกกับประสิทธิภาพต่ำ มลพิษเยอะ
แต่โลกเราทุกวันนี้ ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมครับ เพราะงั้นรถยนต์ก็ต้องควบคุมมลพิษ ระบบก็เลยต้องซับซ้อนขึ้น โรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลาย ที่มีพวก ISO14001 ก็ต้องไปตามแนวทางนี้ครับ แล้วก็แน่นอน ค่าบำรุงรักษา เครื่องจักรมันก็แพงขึ้นเหมือนกัน
แต่มันก็จำเป็นครับ เพราะจุดประสงค์ของการรักษาโลกเราไว้ก็คือ เพื่อลูกหลานของเรานั่นแหละ
-
เรื่องปกติครับ ผมถึงชอบใช้รถยุคที่ยังสามารถ access เข้าไปในระบบทุกอย่าง เรียนรู้ แก้ไขได้ง่ายกว่าพวกรถรุ่นใหม่
ระบบแคนบัส อะไรตั้งหลายอย่างปวดหัวครับ มันดาบสองคมครับ ใช้ดี ประสิทธิภาพเยี่ยมแต่พังทีก็ร้อง
-
รถใหม่ๆผู้ผลิตเขาsetระบบมาดีมากๆครับ หมดประกันปุ๊บเสียทันที ;D
เอ่อช่ายเลย เหมือนคอมพิวเตอร์อะ หมดประกันเสียเลย ข้อมูลหายไปหมด เซ็ง