Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: joeyote ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2012, 12:38:25
-
ไม่รู้ยังเหมือนคับ
ผมเติม น้ำมัน ไป 1800 บาท ลิตรละ 31.xx บาท ได้น้ำมันมา 58 ลิตรโดยประมาณ
ไปกลับ สระแก้ว - มหาสารคาม รวม 882 กิโล วิ่งทั่วๆไป 110-120
882 หาร 58 = 15.20 km/l
มันโม้ไปป่ะเนี่ยยยยยยยยยยยย
ผมว่า มันไม่น่าถึงอ่ะ
เด๋วเอาใหม่ๆๆๆ ลองอีก สามรอบเลย
น้ำมันยังเหลือ MID แจ้งว่าวิ่งได้อีก 98 กม
ลืมบอก ก็เจ้าอวบอ้วน New D-Max HR 4dr 2.5 VGS z/p AT
-
2.5 ดีเซล มันก็ควรประหยัด แต่ทำไมในผลต่างๆที่ดูเป็นทางการหน่อย มันออกมา 11-13 km/l กันทั้งนั้นเลยนะครับ
-
2.5 ดีเซล มันก็ควรประหยัด แต่ทำไมในผลต่างๆที่ดูเป็นทางการหน่อย มันออกมา 11-13 km/l กันทั้งนั้นเลยนะครับ
นั้นดิครับ ผมว่า เด๋วผมจะลองใหม่ งวดนี้ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ด้วย
เด๋วคราวหน้า จับกันแบบจริงจังไปเลยยยยยย
-
จขกท เติมกลับเต็มถังแล้วเอา จำนวนลิตรไปหารระยะทางใช่มั้ยครับ
หรือว่าประเมินจากจอหน้าปัด
รุ่นเก่าของพ่อผม แค๊บ ไม่ยกสูง 2500 116ม้า
ลมยาง หน้า 40หลัง 55
ไปกลับ โขทัย-ชัยนาท วิ่ง 110 ทำมาเกิน10ครั้งละ
ได้ ดีสุด 14.8 แย่สุด 13.5 โลลิตร เฉลี่ย 14.5 โลลิตรครับ
คันของกขกท ขอดูถูกว่า ไม่น่าจะทำได้ดีกว่า อิอิ
-
รอผ่านช่วงรันอินไปก่อนก็ได้ครับ แต่ตัว4ประตู at 13-15 กม.ต่อลิตรได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วครับ
เด๋วลองกันใหม่เน้อะ รถมันยังใหม่ ยัง งงๆๆๆ
-
ขับทางไกลยาวๆ มันก็น่าจะได้ประมาณนี้นะครับ เพราะวิ่งแค่ 110-120 ::)
Camry 2.4Q Acv30 วิ่งทางไกล 110-120 ก็ได้ประมาณนี้เหมือนกันครับ (คำนวนเอา) ;D
-
ถ้าได้อย่างนี้จริง ก็ประหยัด กว่า ฟอร์ด 2.2 a/t
-
วิธีการวัด อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่พอจะอ้างอิงได้ ต้องทำดังนี้
1. เติมน้ำมันเต็มถัง กดเลขไมล์ให้เป็นศูนย์ 0
2. วิ่งใช้งานตามปรกติ ไปเรื่อยๆ เร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่ระยะทางไม่ควรต่ำกว่า 300 กิโลเมตร
3. เติมน้ำมันเต็มถัง อีกครั้ง ดูซิว่าเติมน้ำมันเข้าไปกี่ลิตร เช่น เติมไป 23 ลิตร
4. ดูเลขไมล์ ที่เรากดเป็นศูนย์ไว้ ตอนนี้มาอยู่ที่เท่าไร เช่น วิ่งไป 300 กม.
5. เอาเลข กม. ที่วิ่งได้ตั้ง แล้วเอาน้ำมันที่เติมเข้าไปเป็นลิตรมาหาร ก็จะได้อัตราค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันของรถเรา ในการใช้งานตามปรกติ
จากตัวอย่างข้างบนจะได้ 300/23 = 13.04 กม.ต่อลิตร เป็นต้น
แต่ควรทำหลายๆ ครั้ง แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย จึงจะได้ค่าที่ถูกต้อง
อย่าโกงตัวเอง โดยการขับแบบผิดปรกติ เช่น ขับเร็วมาก ขับแรงมาก ขับอืดมาก หรือ ขับปิดแอร์ เพราะจะทำให้เราได้ค่าเฉลี่ยที่ไม่ถูกต้อง
-
ผมเคยกขับแต่รุ่นก่อนหน้ารุ่นใหม่ ของพ่อเอามาขับ จากฝาง ไปเชียงคำ(พะเยา)แล้วไปเชียงใหม่ มันทางขึ้นลงเขาเรือยๆนะ เครื่อง2.5 hi lender เกียร์ธรรมดา ความเร็ว70-120 กม/ชม(แล้วแต่ช่วง) วัดได้13.5 ราวๆ นี้นะ ก็ยังคิดว่าทำไมไม่ประหยัด555 หรือว่านี่ปกติละ
-
วิธีการวัด อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่พอจะอ้างอิงได้ ต้องทำดังนี้
1. เติมน้ำมันเต็มถัง กดเลขไมล์ให้เป็นศูนย์ 0
2. วิ่งใช้งานตามปรกติ ไปเรื่อยๆ เร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่ระยะทางไม่ควรต่ำกว่า 300 กิโลเมตร
3. เติมน้ำมันเต็มถัง อีกครั้ง ดูซิว่าเติมน้ำมันเข้าไปกี่ลิตร เช่น เติมไป 23 ลิตร
4. ดูเลขไมล์ ที่เรากดเป็นศูนย์ไว้ ตอนนี้มาอยู่ที่เท่าไร เช่น วิ่งไป 300 กม.
5. เอาเลข กม. ที่วิ่งได้ตั้ง แล้วเอาน้ำมันที่เติมเข้าไปเป็นลิตรมาหาร ก็จะได้อัตราค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันของรถเรา ในการใช้งานตามปรกติ
จากตัวอย่างข้างบนจะได้ 300/23 = 13.04 กม.ต่อลิตร เป็นต้น
แต่ควรทำหลายๆ ครั้ง แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย จึงจะได้ค่าที่ถูกต้อง
อย่าโกงตัวเอง โดยการขับแบบผิดปรกติ เช่น ขับเร็วมาก ขับแรงมาก ขับอืดมาก หรือ ขับปิดแอร์ เพราะจะทำให้เราได้ค่าเฉลี่ยที่ไม่ถูกต้อง
ผมทำอย่างที่คุณพูดนั่นแหละครับ ขับปกติมาก ตอนไหนต้องเร่งก็เร่ง ตอนไหนไหลก็ไหล แล้วการจับครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจจับด้วยซ้ำไปครับ
เพียงแค่ ผมเซท ไมล์ Trip เป็นศูนย์ หลังเติมน้ำมันเต็มถัง แล้วก็ขับไปตามมีตามเกิด
จากนั้น ก็มาเติมน้ำมันอีกที เต็มได้ 58 ลิตร แล้วก็หารออกมา แค่นั้นเลยคับ จบ
-
วิธีการวัด อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่พอจะอ้างอิงได้ ต้องทำดังนี้
1. เติมน้ำมันเต็มถัง กดเลขไมล์ให้เป็นศูนย์ 0
2. วิ่งใช้งานตามปรกติ ไปเรื่อยๆ เร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่ระยะทางไม่ควรต่ำกว่า 300 กิโลเมตร
3. เติมน้ำมันเต็มถัง อีกครั้ง ดูซิว่าเติมน้ำมันเข้าไปกี่ลิตร เช่น เติมไป 23 ลิตร
4. ดูเลขไมล์ ที่เรากดเป็นศูนย์ไว้ ตอนนี้มาอยู่ที่เท่าไร เช่น วิ่งไป 300 กม.
5. เอาเลข กม. ที่วิ่งได้ตั้ง แล้วเอาน้ำมันที่เติมเข้าไปเป็นลิตรมาหาร ก็จะได้อัตราค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันของรถเรา ในการใช้งานตามปรกติ
จากตัวอย่างข้างบนจะได้ 300/23 = 13.04 กม.ต่อลิตร เป็นต้น
แต่ควรทำหลายๆ ครั้ง แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย จึงจะได้ค่าที่ถูกต้อง
อย่าโกงตัวเอง โดยการขับแบบผิดปรกติ เช่น ขับเร็วมาก ขับแรงมาก ขับอืดมาก หรือ ขับปิดแอร์ เพราะจะทำให้เราได้ค่าเฉลี่ยที่ไม่ถูกต้อง
ผมทำอย่างที่คุณพูดนั่นแหละครับ ขับปกติมาก ตอนไหนต้องเร่งก็เร่ง ตอนไหนไหลก็ไหล แล้วการจับครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจจับด้วยซ้ำไปครับ
เพียงแค่ ผมเซท ไมล์ Trip เป็นศูนย์ หลังเติมน้ำมันเต็มถัง แล้วก็ขับไปตามมีตามเกิด
จากนั้น ก็มาเติมน้ำมันอีกที เต็มได้ 58 ลิตร แล้วก็หารออกมา แค่นั้นเลยคับ จบ
ไม่ใช้ก็ใกล้เคียงละครับ อย่างเห็น เวลา 0-100 จังครับ
-
วิธีการวัด อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่พอจะอ้างอิงได้ ต้องทำดังนี้
1. เติมน้ำมันเต็มถัง กดเลขไมล์ให้เป็นศูนย์ 0
2. วิ่งใช้งานตามปรกติ ไปเรื่อยๆ เร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่ระยะทางไม่ควรต่ำกว่า 300 กิโลเมตร
3. เติมน้ำมันเต็มถัง อีกครั้ง ดูซิว่าเติมน้ำมันเข้าไปกี่ลิตร เช่น เติมไป 23 ลิตร
4. ดูเลขไมล์ ที่เรากดเป็นศูนย์ไว้ ตอนนี้มาอยู่ที่เท่าไร เช่น วิ่งไป 300 กม.
5. เอาเลข กม. ที่วิ่งได้ตั้ง แล้วเอาน้ำมันที่เติมเข้าไปเป็นลิตรมาหาร ก็จะได้อัตราค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำมันของรถเรา ในการใช้งานตามปรกติ
จากตัวอย่างข้างบนจะได้ 300/23 = 13.04 กม.ต่อลิตร เป็นต้น
แต่ควรทำหลายๆ ครั้ง แล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย จึงจะได้ค่าที่ถูกต้อง
อย่าโกงตัวเอง โดยการขับแบบผิดปรกติ เช่น ขับเร็วมาก ขับแรงมาก ขับอืดมาก หรือ ขับปิดแอร์ เพราะจะทำให้เราได้ค่าเฉลี่ยที่ไม่ถูกต้อง
ผมทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เติมนำ้มันรถ และทุกคัน ตลอดการใช้งานของรถ
จะบอกว่าค่าที่ได้ไม่ตรงกับผลการทดสอบรถ และค่าจากโรงงานครับ
ยกตัวอย่าง รถ accord 3.0 gen 7 ( ผมใช้อยุ่ห้าปี ) วัดนำ้มันตลอด ค่าที่ได้กินนำ้มันน้อยกว่า accord 2.4 gen 8 ( ใช้มาสามปี ) นิดหนึ่ง และกินน้อยกว่า
ค่าที่โรงงานกำหนด รวมถึงค่าที่คุณ JIMMY ทดสอบไว้ ตั้งแต่ในเวบพันทิบ ซึ่งผมขับรถในกรุงเทพ ถ้าทางไกลก็ 180 ในทางโล่ง
ที่ยกตัวอย่างมาเพื่อบอกว่า รถเครื่องใหญ่ไม่ได้กินนำ้มันมากกว่าเครื่องเล็กเสมอไป แถมขับดีกว่ากันเยอะ
-
เครื่องคอมมอนเรลทำได้แน่นอนอยู่แล้ว
ขนาดเครื่องตะเกียบ 3.0Di วิ่งมาสองแสนกว่าโลวิ่งทางไกล 90-110km/h ยังได้ 13-14km/l เลย
-
มันอาจมีอีกปัจจัยนึงคือ ตอนเติมกลับมันไม่เต็มจริง บางทีมันเด้งตัดก่อน เด็กปั้มไม่รู้นึกว่าเติมแล้ว
ผมเคยครับ วิ่งจนไฟขึ้นเข้าไปเติมน้ำมันที่ปั้มเชล บอกน้องเต็มถัง
ยังหาบัตรเครดิตไม่เสร็จเลยเด็กปั้มเคาะกระจก แล้วบอกว่า 500 บาทครับ
ผมงงเลย บอกน้องเติมใหม่มันเป็นไปไม่ได้ ซักพักน้องเติมได้อีก1000
ผมก้มดูเกจเลยครึ่งมาหน่อย รำคาญเลยบอกแค่นี้ก็ได้ เหนียวน้ำมันไปเติมต่อปั้มหน้าละกัน ;D
-
อิจฉาคอมมอนเรลเหมือนกันนะเนี่ย
รถผมดีเซลรุ่นเก่า คงจะได้ประมาณ 750 กิโลเมตรเท่านั้น
(ไม่มีเงินซื้อรถใหม่ก็ทำใจต่อไป :'( )
-
กระบะ 2.5 คอมมอนเรล ขับแบบเนียน ๆ ประมาณ 110 km/h ไม่กระทืบคันเร่ง โดยเฉพาะอีซูซุ ได้สบาย ๆ ตกกิโลละ 2 บาท เผลอๆ ได้ตัวเลขดีกว่านี้อีก
ผมขับ BT-50 Hi 2.5 วัดดูหลาย ๆ ครั้ง ทั้งในกทม. รถช้า หรือ ไปกลับเชียงใหม่ avg. 110 km/h โดยเฉลี่ยที่ 2.1-2.3 บาทต่กิโล (ดีเซล 29-30 บ/ล) เงื่อนไขไม่ลากรอบ ไม่มีโหลดนะครับ
-
ผมว่าก็ไม่น่าแปลกนะ รถผม platinum 2.5 116 แรงม้า เกียร์ธรรมดา ยกสูง ขับอุบล--ขอนแก่น ตอนออกจากอุบลเติมน้ำมันตอนที่ไฟเตินน้ำมันขึ้นพอดี เติมไป 600 บาท ได้น้ำมันมาเกือบ 19 ลิตร ไปขอนแก่น 400 กิโล วิ่ง 80-120 พอไปถึงขอนแก่น ขนของเข้าหอ ออกไปกินข้าว ไฟเตือนน้ำมันขึ้นพอดี ผมว่าก็ประหยัดใช้ได้นะ ถ้าแบบว่าไปเรื่อยๆไม่เร่งรีบอ่ะ
-
สรุปคือ
13-14 กิโลเมตรต่อลิตรนี่ ขับนอกเมืองเป็นเรื่องปกติ
แต่ถ้าในเมือง อีซูซุจะได้เปรียบ เพราะเซตรอบเครื่องช่วงแรงบิดสูงสุดที่ 1800-2800 ในเครื่อง 2500
จึงทำให้ประหยัดกว่าเจ้าอื่นที่แรงบิดมารอบต่ำกว่า (วีโก้ 1600-2800) ฉะนั้นถ้าไม่กดจนรอบสูง ก็จะไม่กินน้ำมันซักเท่าไร
ประมาณนั้น 55+
-
ผมเข้าใจว่า เดินทางไกลรอบเครื่องมันตกที่ช่วงแรงบิดพอดี
ไม่คิดว่า 2.5 VGS ออโต้ จะประหยัดขนาดนี้
ถ้ายังไง รบกวนเจ้าของกระทู้ อัพเดทให้ฟังเรื่อยๆนะครับ
-
สรุปคือ
13-14 กิโลเมตรต่อลิตรนี่ ขับนอกเมืองเป็นเรื่องปกติ
แต่ถ้าในเมือง อีซูซุจะได้เปรียบ เพราะเซตรอบเครื่องช่วงแรงบิดสูงสุดที่ 1800-2800 ในเครื่อง 2500
จึงทำให้ประหยัดกว่าเจ้าอื่นที่แรงบิดมารอบต่ำกว่า (วีโก้ 1600-2800) ฉะนั้นถ้าไม่กดจนรอบสูง ก็จะไม่กินน้ำมันซักเท่าไร
ประมาณนั้น 55+
แสดงว่ารถทั่วๆไปถ้าเทอร์โบทำงานจะกินน้ำมันมากกว่าเหรอครับ
-
อบากดูรีวิว เต็มๆๆเร็วๆๆจัง
-
ถ้าได้อย่างนี้จริง ก็ประหยัด กว่า ฟอร์ด 2.2 a/t
มันก็น่าจะประหยัดกว่า เพราะ แรงบิต และแรงม้าต่างกัน
-
ถ้าได้อย่างนี้จริง ก็ประหยัด กว่า ฟอร์ด 2.2 a/t
มันก็น่าจะประหยัดกว่า เพราะ แรงบิต และแรงม้าต่างกัน
แต่ผมขอบ คอนเฟิมว่า อัตราเร่งไม่แย่เลยยยย รวดเร็วดีนะ
-
สรุปคือ
13-14 กิโลเมตรต่อลิตรนี่ ขับนอกเมืองเป็นเรื่องปกติ
แต่ถ้าในเมือง อีซูซุจะได้เปรียบ เพราะเซตรอบเครื่องช่วงแรงบิดสูงสุดที่ 1800-2800 ในเครื่อง 2500
จึงทำให้ประหยัดกว่าเจ้าอื่นที่แรงบิดมารอบต่ำกว่า (วีโก้ 1600-2800) ฉะนั้นถ้าไม่กดจนรอบสูง ก็จะไม่กินน้ำมันซักเท่าไร
ประมาณนั้น 55+
แสดงว่ารถทั่วๆไปถ้าเทอร์โบทำงานจะกินน้ำมันมากกว่าเหรอครับ
ใช่ครับ สังเกตเวลาทดสอบรถประหยัดน้ำมัน มักจะทดสอบที่ความเร็ว 60-80
เพราะรอบเครื่องจะอยู่ในช่วงที่ไม่ใช่แรงบิดสูงสุด เทอร์โบยังไม่ทำงานเต็มที่ ก็เลยประหยัดที่ 20 กว่า กม./ลิตร
รึไม่นะครับถ้าใครขับอีซูซุ ที่จอแสดงผลจะมีตัวเลขบริโภคน้ำมันแบบ real time ถ้าเราขับที่รอบไม่สูง
ตัวเลขจะอยู่ที่ 14-17 km/L แต่ถ้ากดรอบสูงหว่า 1800 รอบ ตัวเลขจะตกมาที่ 6-10 km/L
ดังนั้น รถใครที่มีจอแสดงผลแบบนี้ ก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์นะครับ จะได้ประหยัดพลังงาน รักษ์โลก 5555
-
เติมกลับ 58 ลิตร คิดว่าคลาดเคลื่อนตรงนี้แหละครับหัวจ่ายตัดเร็ว แต่ก็คิดว่าไม่มากน่าจะประมาณ 1-2 ลิตร เพราะค่าปกติก็อยู่ที่ 13-14
-
ของผม รุ่น space cab 2.5 VGS Z ได้เฉลี่ย 13-15 กม/ล. ย่าน 90-120 ครับ ไปกลับรวม 220 กม. ไปรถเปล่า กลับรถหนักประมาณ 800กว่าโล ครับ
-
ไม่แปลกหรอกครับ Mighty-X ผมยังได้ 13-14 กิโล/ลิตรเลย ขับไปเกือบหมดถังแล้วเติมเต็มนั่นแหละ แต่การเติมกลับเข้าไปมันคลาดเคลื่อนได้เยอะอยู่ครับ หัวจ่ายตัดแล้ว บางทีมันก็เติมต่อให้อีก บางทีแม่งเติมจนล้นออกมาเลย -.-
ป.ล.แต่ผมขับที่ 70-90 นะครับ เพราะงั้น เครื่องดีแมกซ์ ขับ 110 ผมว่า 15 ได้ก็ไม่แปลกหรอกครับ