Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: sixmund35 ที่ ตุลาคม 28, 2012, 12:31:05
-
มาแชร์ความคิดเห็นกันได้ครับ เกี่ยวกับตลาดรถยนต์ทั้งป้ายแดง/มือสอง หลังหมดช่วงโครงการรถคันแรก
-
ทางด้านของตัวอุตสาหกรรม(ผู้ผลิตและเกี่ยวข้อง) คงไม่มีปัญหาอะไร สังเกตุได้จาก บริษัทไม่ได้ขยายโรงงานเพิ่มกำลังการผลิต แต่เลือกที่จะใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่เดิมให้เต็มความสามารถและให้คนที่ได้สิทธิ์รอแทน ฉะนั้นคิดว่ายอดขายจริงหลังโครงการจบสิ้นสมบูรณ์ ยอดขายก็น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โตตามการขยายตัวของประเทศ หรืออาจจะแย่ลงเพราะความต้องการของผู้บริโภคมาซื้อในปีนี้เป็นส่วนใหญ่แล้ว อาจจะต้องรออีก 4-5 ปี ถึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างแท้จริง
แต่ทั้งนี้ประเทศไทย ก็เพิ่งพาการส่งออกมากพอสมควร ยอดผลิตรวมปีF55นี้ 2.2 ล้านคัน ส่งออกประมาณ 1 ล้านคันครับ
และอนาคตเมื่อ AEC เกิดขึ้น ประเทศเราจะใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์เข้าสู่พม่า ผมคิดว่าเป็นเช่นนี้นะ
ออกความเห็นแค่นี้ก่อนนะครับ เพิ่งตื่นคิดอะไรไม่ค่อยออกครับ :D
-
แต่ที่น่ากลัวคือต ธนาคาร หรือ ไฟแนนซ์ อาจจะกระทบกระเทือน
จากลูกค้าที่อยากได้รถเกินกำลังและความจำเป็น
แต่กำลังผ่อนไม่ไหวก็ได้
-
ที่มีผลบ้าง คงเป็นระดับ eco car และ B-segment ยอดจองอาจจะลดลง
แต่ C D segment SUV ก็คงขายได้เรื่อยๆ เพราะไม่เกี่ยวกับโครงการคืนภาษี
กระบะก็เช่นกัน คงไม่มีผลมาก เพราะเป็นรถเชิงพาณิชย์อยู่แล้ว
ยิ่งมีรถเปิดตัวใหม่เรื่อยๆ ยอดขายก็คงมีเรื่อยๆครับ
-
ผมคิดว่าในส่วนบริษัทรถ เราไม่ต้องไปห่วงแทนเค้าครับ
ช่วงปีนี้ที่ขายๆกันในมุมมองเค้ามันเป็น Fake Demand เป็นผลพลอยได้ หรือ โอกาส ที่ได้รับมอบหลังจากเกิดอุทกภัยอย่างรุนแรงที่กระทบอุตสาหกรรมของเค้า ก็เท่านั้นครับ
รถขายได้น้อย เค้าหาทางแก้กันเองครับ
ที่น่าห่วงกว่า คือ เรื่องตลาดการเงินของนโยบายประชานิยมเหล่านี้มากกว่า
ถ้าธุรกิจที่เกี่ยวกับการผ่อนรถเหล่านี้มีปัญหา ใครจะอุ้ม และเอาเงินใครไปอุ้ม อันนี้น่าคิดกว่าเยอะครับ
หรือ อะไรจะถูกขายไปเป็นของต่างชาติ เหมือนตอนต้มยำกุ้ง ที่ทำเอา ธนาคาร สถาบันการเิงิน โดนซื้อไปราคาถูกๆ และมากดหัวเราๆ ท่านๆ อยู่ทุกวันนี้ จนหลายๆคน โงหัวจากดอกเบี้ยไม่ขึ้น น่าห่วงกว่า
น่าห่วงพ่อแม่ ที่อาจจะต้องเอาเงินออม ออกมาช่วยลูกหลานที่ซื้อรถ ผ่อนรถ ผ่อนมือถือ เดือนชนเดือน กันดีกว่าครับ
ผ่านมายังไม่ครบปี คนผ่อนรถ (กลุ่มรถคันแรก) ขาดส่งกันมีให้เห็นนะครับ จบมาทำงานเงินเดือนหมื่นห้า ผ่อนรถ + เติมน้ำมัน หมดไป หมื่นสอง................... (ญาติผมเอง) ท้ายสุด หนีไม่พ้น ไม่ญาติ ก็เพื่อนฝูงนี่แหละ
น่าห่วงนะครับ ถ้าเกิดต้มยำกุ้งรอบสอง อะไรจะตามมา
-
ผมคิดว่าความต้องการโดยรวมจะลดลงครับ แม้แต่ C-segment เพราะคนที่เห็นว่าได้คืนภาษี แล้วเปลี่ยนมาหา B-Segment ก็ไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งผมเชื่อว่า fake demand นี้อาจจะมีผลไปอีก 2 ปีก็เป็นได้ และรถที่จะไม่มีผล ผมว่าคงเป็นรถพวก Premium เท่านั้นละครับ กับพวก D-segment
ผมก็อยากเห็น forecast ของบริษัทรถยนต์ปีหน้าเหมือนกัน ว่าสภาพจะเป็นยังไง
ส่วนเรื่องสินเชื่อ ผมว่ารัฐบาลคงมีวิธีช่วยมั้งครับ (หวังว่า)จะไม่เกิดอะไรที่คล้ายๆ subprime ขึ้นมา
-
ผมคิดว่าในส่วนบริษัทรถ เราไม่ต้องไปห่วงแทนเค้าครับ
ช่วงปีนี้ที่ขายๆกันในมุมมองเค้ามันเป็น Fake Demand เป็นผลพลอยได้ หรือ โอกาส ที่ได้รับมอบหลังจากเกิดอุทกภัยอย่างรุนแรงที่กระทบอุตสาหกรรมของเค้า ก็เท่านั้นครับ
รถขายได้น้อย เค้าหาทางแก้กันเองครับ
ที่น่าห่วงกว่า คือ เรื่องตลาดการเงินของนโยบายประชานิยมเหล่านี้มากกว่า
ถ้าธุรกิจที่เกี่ยวกับการผ่อนรถเหล่านี้มีปัญหา ใครจะอุ้ม และเอาเงินใครไปอุ้ม อันนี้น่าคิดกว่าเยอะครับ
หรือ อะไรจะถูกขายไปเป็นของต่างชาติ เหมือนตอนต้มยำกุ้ง ที่ทำเอา ธนาคาร สถาบันการเิงิน โดนซื้อไปราคาถูกๆ และมากดหัวเราๆ ท่านๆ อยู่ทุกวันนี้ จนหลายๆคน โงหัวจากดอกเบี้ยไม่ขึ้น น่าห่วงกว่า
น่าห่วงพ่อแม่ ที่อาจจะต้องเอาเงินออม ออกมาช่วยลูกหลานที่ซื้อรถ ผ่อนรถ ผ่อนมือถือ เดือนชนเดือน กันดีกว่าครับ
ผ่านมายังไม่ครบปี คนผ่อนรถ (กลุ่มรถคันแรก) ขาดส่งกันมีให้เห็นนะครับ จบมาทำงานเงินเดือนหมื่นห้า ผ่อนรถ + เติมน้ำมัน หมดไป หมื่นสอง................... (ญาติผมเอง) ท้ายสุด หนีไม่พ้น ไม่ญาติ ก็เพื่อนฝูงนี่แหละ
น่าห่วงนะครับ ถ้าเกิดต้มยำกุ้งรอบสอง อะไรจะตามมา
เห็นภาพเลยครับ
-
ผมคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาที่น่ากลัวมากครับ คือเวลาที่คนส่วนใหญ่โลภ ที่เกิดจาก fake demand อย่างที่พี่ว่าแหละครับ
แม้แต่ผม ก็ยังเกิดความคิดที่อยากออกรถอยู่หลายครั้ง เพราะกลัวจะพลาดโอกาสนี้ไป เห็นหลายคนต้องออกทั้งๆที่สภาพการเงินยังไม่พร้อม มีผลต่อการเงินในระยะยาวแน่นอนครับ เงินเก็บไปลงกะรถใหม่กันหมด
ส่วนตัวผมคิดว่า ปีหน้ายอดจอง B, C seg น่าจะลดลงมากผลจากโครงการนี้ จนค่ายรถอาจจะต้องงัดอะไรออกมากระตุ้นยอดขายกัน
ซึ่งมันอาจจะเป็นจังหวะที่น่าสนใจสำหรับการออกรถใหม่อยู่เหมือนกัน คิดว่าไงครับ
-
อีกอย่างนึงคือ ทิศทางพลังงานครับ
คนซื้อรถน่าจะเบนเข็มไปซื้อรถกระบะมาใช้เป็นรถยนต์นั่งมากขึ้นเพราะ
1 ราคาพอซื้อไหว
2 ประหยัด ทนทาน ขายต่อได้ราคาดี
3 ราคาพลังงานรัฐบาลไหนๆก็อุ้มดีเซล
อีกอย่าง การลอยตัวแอลพีจี ทำให้ขาจรที่เลือกรถไปติดแก๊ส ลังเล และคิดหนักว่าจะคุ้มทุนหรือไม่
NGV ไม่มีท่าทีของการแพร่ระบาดของปั๊ม
งบ 5-7 แสน เก๋งอีโคคาร์ ถึง เก๋ง 1500 จะถูกแย่งด้วยกระบะแค๊บ ซื้อแล้วไปนั่งชันเข่าหลังเบาะคนขับกันไป
-
ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าลอยตัว LPG หรอกครับ ฟันธง
-
นโยบายรถคันแรกทำให้เกิดผลตามหลายอย่างทีเดียว
1. คนมีรถแล้วอยากเปลี่ยนรถก็หาพ่อ-แม่ พี่ น้อง มาใช้สิทธิซื้อรถแทนตน ครบ 5 ปี ค่อยโอนหรือ ไม่โอนก็แล้วแต่
2. รถใกล้ตกรุ่นก็ได้โอกาสรีบเทขาย โดยใช้ของแจกของแถม แยะๆ เช่น ไตรตัน
3. รถพึ่งเปิดตัวก็หยิ่ง ไม่แถมไรเลย บางเจ้าก่อนหน้านี้เคยแถมพอใกล้สิ้นปีเลิกแถมซะงั้น
4. รถหลายยี่ห้อปรับราคาขึ้น ปรับแล้วปรับอีก เช่น ดีแมกซ์ เรนเจอร์ บางรายลดสเป็คลงด้วย
5. เกิดอาการรอคิวรถนานมาก เพราะ คน 1 คน จองมันซะ 2-3 ยี่ห้อ แต่จะซื้อแค่ 1 คัน
6. เกิดอาการสรรพสามิตร อิน แอ็คชั่น เรื่องมาก เล่นตัว (เป็นแค่บางแห่งนะครับ)
7. คนเป็นหนี้เพิ่มทวี.. บางคนไม่พร้อมซื้อแต่กลัวหมดโอกาส เลย กู้ๆ ยืมๆ
8. บางคนรถเพิ่งซื้อไม่ถึง 3 ปี โอกาสมา ถอยใหม่ซะเลย คันเก่าประกาศขาย โดยให้แฟนหรือพ่อ แม่ พี่ น้อง ใช้สิทธิ์ซื้อให้
9. คนซื้ออีโก้คาร์ ค่อนข้างคุ้มมาก รถราคาถูกมากอยู่แล้ว.. ลูกหลาน เด็กมหาวิทยาลัย เลยได้ขับรถกันแยะขึ้น
10. รถก็จะติดขึ้นในอนาคต ติดอยู่แล้ว ติดเข้าไปอีก
11. อุบัติเหตุ จะมากขึ้น เพราะจะมีมือใหม่หัดขับ เต็มถนน ต้องระวังกันให้มาก เราขับดีแล้ว แต่เค้าขับไม่ดี เราก็ซวยนะครับ
เอาไป 11 ข้อพอละ
-
ตลาดไม่เปนไปตามกลไกตลาด :P
-
นโยบายรถคันแรกทำให้เกิดผลตามหลายอย่างทีเดียว
1. คนมีรถแล้วอยากเปลี่ยนรถก็หาพ่อ-แม่ พี่ น้อง มาใช้สิทธิซื้อรถแทนตน ครบ 5 ปี ค่อยโอนหรือ ไม่โอนก็แล้วแต่
2. รถใกล้ตกรุ่นก็ได้โอกาสรีบเทขาย โดยใช้ของแจกของแถม แยะๆ เช่น ไตรตัน
3. รถพึ่งเปิดตัวก็หยิ่ง ไม่แถมไรเลย บางเจ้าก่อนหน้านี้เคยแถมพอใกล้สิ้นปีเลิกแถมซะงั้น
4. รถหลายยี่ห้อปรับราคาขึ้น ปรับแล้วปรับอีก เช่น ดีแมกซ์ เรนเจอร์ บางรายลดสเป็คลงด้วย
5. เกิดอาการรอคิวรถนานมาก เพราะ คน 1 คน จองมันซะ 2-3 ยี่ห้อ แต่จะซื้อแค่ 1 คัน
6. เกิดอาการสรรพสามิตร อิน แอ็คชั่น เรื่องมาก เล่นตัว (เป็นแค่บางแห่งนะครับ)
7. คนเป็นหนี้เพิ่มทวี.. บางคนไม่พร้อมซื้อแต่กลัวหมดโอกาส เลย กู้ๆ ยืมๆ
8. บางคนรถเพิ่งซื้อไม่ถึง 3 ปี โอกาสมา ถอยใหม่ซะเลย คันเก่าประกาศขาย โดยให้แฟนหรือพ่อ แม่ พี่ น้อง ใช้สิทธิ์ซื้อให้
9. คนซื้ออีโก้คาร์ ค่อนข้างคุ้มมาก รถราคาถูกมากอยู่แล้ว.. ลูกหลาน เด็กมหาวิทยาลัย เลยได้ขับรถกันแยะขึ้น
10. รถก็จะติดขึ้นในอนาคต ติดอยู่แล้ว ติดเข้าไปอีก3
11. อุบัติเหตุ จะมากขึ้น เพราะจะมีมือใหม่หัดขับ เต็มถนน ต้องระวังกันให้มาก เราขับดีแล้ว แต่เค้าขับไม่ดี เราก็ววยนะครับ
เอาไป 11 ข้อพอละ
เห็นภาพชัดเลยครับ
-
คงกลับมาแถมประกันชั้นหนึ่ง ดอกเบี้ยถูก ส่วนลดของแถมเพียบเหมือนเดิม
-
จริงนะครับ เจอคนขับรถแย่ลงเยอะมากขึ้นครับช่วงนี้ และ ที่จอดตามที่ต่างๆ รู้สึกเต็มไวมาก ที่จอดในมหาลัยก็เช่นกัน
-
ปีหน้าเป็นต้นไปจะมีรถมือสองให้เลือกซื้ออีกบานเบอะเลย ;D ;D ;D
-
ตลาดรถใหม่ผมว่านัดตั้งแต่ปี 56 ไปอีก3-4ปี จะไม่เฟื่องฟูเช่นปีนี้แล้ว ผมว่าตลอดรถมือสองในปี57เป็นต้นไปจะมาแรง เพราะรถดีๆยังใหม่ๆ คนก็ขาย หรือผ่อนไม่ได้ จำต้องปล่อยออกไป แล้วเมื่อนั้น คนหารถมือสองก็ยิ้มกันเลยทีเดียว
-
มองในอีกแง่นะครับเรื่องความคุ้มค่า
1. บางรุ่นปกติของแถมเพียบตอนนี้แทบไม่มี ตีขาดทุน 10,000
2. บางรุ่นต้องซื้อของตกแต่งเพิ่มถึงจะขายให้ ตีขาดทุน 10,000
3. บางคนต้องขายรถเก่าออกก่อนถึงจะได้เงินมาดาวน์ เนื่องจากขายด่วนและตอนนี้ราคามือสองตก ตีขาดทุน 30,000
4. บางคนเงินดาวน์ยังไม่พร้อม ต้องดาวน์น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ทำให้เสียดอกแพงกว่าเดิม ตีขาดทุน 20,000
5. บางรุ่นเช่นวีออสกำลังตกรุ่นแล้วใช้แค่แปปก็ตกรุ่นซะล่ะ เวลาขายต่อก็ราคาตกไปอีก ตีขาดทุน 30,000
6. อนาคตครบ 5 ปี อยากขายต่อ คนอื่นๆก็น่าจะมีขายกันเยอะราคาก็ร่วงมาอีกแล้วก็คิดว่าได้รถมาถูกก็ยิ่งขายถูก ตีขาดทุน 30,000
ถ้าโดนทุกอย่างก็ล่อไป 130,000 เสียมากกว่าได้คืน 100,000 ซะอีก นี่ยังไม่นับเรื่องอื่นนะเนี่ย คิดมากไปมั๊ยเรา
-
ปี 2012 +5 ปี = 2017
ใครอยากได้รถ 1.2-1.5 มือสอง
เตรียมสอยได้เลยครับ ถือครอง 5 ปี แปปเดียวเบื่อ ขายต่อ
บางคน ซื้อไว้ก่อนเพราะได้คืนภาษี แต่จริงๆแล้วใช้รถน้อย
บางคนซื้อไว้ใช้ แต่แปปเดียวเบื่อ
รอช้อนรถมือสองสภาพดีๆได้เลยครับ
.................
ใครมีรถ 1.2-1.5 ซื้อมาปี 2007-2011
ให้รีบปล่อยช่วง 2014-2016