Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Ruksadindan ที่ พฤศจิกายน 16, 2012, 00:27:31
-
วันนี้จะขอมารายงานการบันทึกอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ CR-V 2.4 3rd Gen Mod0 นะครับ
สภาพการขับขี่คือ นั่งเต็มคันรถ 5 คน พร้อมสัมภาระเล็กน้อย เริ่มต้นเติม E20 เต็มถังจากปั๊มน้ำมันเพื่อใครก็ไม่รู้สาขาหนึ่งบนถนนลาดพร้าวตอนเช้า แล้ววิ่งสวนขาออก ไม่น่าเชื่อว่ารถจะติดเกินคาดคิดครับ กว่าจะหลุดขึ้น M7 ได้ก็เกือบชั่วโมง หลังจากนั้นก็ exit ทล.344 สู่บ้านบึง ไปต่อจนถึง ทล.3 จนถึงจันทบุรี มีรถติด ทำธุระเสร็จสิ้นก็กลับครับ
ขอพูดถึงการใช้ Cruise Control นิดหนึ่งนะครับ เพราะได้ใช้ไปด้วย ช่วงไหนที่เป็นเส้นยาวๆก็จะล็อกความเร็วไว้ที่ 90-100 ครับ ส่วนเวลาที่วิ่งจริงๆ เข็มความเร็วก็จะกวาดตั้งแต่ 80-120 นะครับ ขณะใช้บน M7 นี่ก็สบายทีเดียวเพราะมองเห็นไปข้างหน้าได้ไกล เวลาจะแซงก็เติมคันเร่งหน่อย แซงพ้นแล้วก็ปล่อยเท้าได้ มาพูดถึงการเติมคันเร่งนะครับ คือที่ล็อกไว้ เพื่อให้มีความเร็วคงที่ต่ำสุด (คงจะไม่งงนะครับ) ตัวอย่างเช่นล็อกไว้ที่ 90 อยู่เลนสองจากซ้าย เวลาเจอรถช้ากว่าหน่อยก็แซงขวาไปด้วยวิธีที่กล่าวมา หรือเวลาเจอสะพานชันๆ ถ้าปล่อยไว้เกียร์จะตัดลง ทำให้รอบจัด สิ้นเปลืองน้ำมันกว่าครับ ดังนั้นแก้ด้วยวิธีแบบไอ้กัน คือหากลงเนิน ก็เติมคันเร่งเพื่อให้เร็วเกินกว่าความเร็วล็อกขั้นต่ำ ก็จะขึ้นเนินได้ง่าย หรือถ้าราบหน่อยก็เร่งให้เร็วเกินที่ล็อกไว้ ให้มันมีแรงบิดขึ้นเนินสำเร็จโดยอยู่บนเกียร์ห้า พอพ้นยอดเนิน/สะพานก็ปล่อย มันก็จะกลับมาความเร็วเดิมครับ ใช้วิธีนี้ทุกโอกาสที่ทำได้ แซงแล้วชิดซ้าย ก็ไม่เป็นการกีดขวางจราจรแต่อย่างใดครับ
จนถึงด่านเก็บเงิน M7 ด่านไกล ขาเข้ากรุงเทพ จอก็บอก avg ว่า 11.6-11.7 กม. ต่อลิตร และแล้วก็ได้อีกปัจจัยหนึ่งมาช่วยจนถึงด่านลาดกระบัง นั่นคือรถบัสครับ ขับไม่เร็วมากสำหรับบนทางหลวงพิเศษแบบนี้ คือที่ 90-95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมก็สลิปสตรีมเขาไป ในระยะที่ปลอดภัย (และความเร็วเท่านี้ มีอะไร เบรคได้ไว ทันการณ์ครับ) ทำให้ระหว่างที่ไม่มีแรงลมต้านนั้น จอก็บอกว่า 11.8 เลยทีเดียว! จนถึงด่านลาดกระบัง ผมจ่ายเงินเสร็จก่อนก็แยกย้ายกันไป
รักษาความเร็วสัก 90-100 มาเรื่อยๆ จนขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ร่วมเข้าฉลองรัช (ที่เขาเรียกว่าโค้งเดียวเจออีกด่านเก็บเงินแล้ว) ลงบางจากก่อนลาดพร้าว
รวมระยะทางทั้งสิ้นระหว่างการเติม 558.2 กิโลเมตรครับ จอขึ้นก่อนดับเครื่องว่า 11.9 แต่เติมกลับไป 46.355 ลิตร นับได้เป็น 12.04 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าคิดว่ามีปัจจัยรถติดตอนก่อนออกเมือง กับที่ติดในเมืองจันทร์ ทั้งยังเปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน และกลางคืนก็ซีน่อน 35w .. มันก็ใช้ได้นะ
เอาล่ะ ใครเคยตกใจ เจอจอแสดงผลเปลืองกว่าที่วัดได้จริงหรือเปล่าครับ?
ผมทราบดีว่ามาตรฐานไม่เที่ยงตรงเท่าพี่จิมมี่ แต่นี่ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเป็นการทดลองอยู่แล้วครับ
-
on board computer มันคือการวัด ณ ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่การวัดทั้งถังน้ำมัน
วิะ๊การวัดที่ดีที่สุด คือ ใช้ไปเท่าไหร่ เติมกลับให้เติม แล้วเอาไปหาร เลขกิโล
-
ส่วนตัวว่าจริงครับ แต่ก็ไม่ได้มากอะไร เรียกได้ว่าเชื่อถือได้ อย่างน้อยๆก็เทียบได้ว่าถังนี้หรือถังที่แล้วประหยัดกว่ากัน อันนี้ผมว่าเชื่อได้แน่ๆ
ส่วนเรื่องดีเกินจริง หรือแย่เกินจริง อันนี้ผมว่าโดยรวมๆแล้วตัวเลขบนหน้าปัดจะดีเกินจริงนิดหน่อยสะเป็นส่วนใหญ่ครับ
ที่บางครั้งวัดเองแล้วได้ดีกว่า(รวมถึงครั้งที่วัดแล้วได้แย่กว่า) น่าจะเป็นความคลาดเคลื่อนในการวัดของเรามากกว่าครับ
เพราะแต่ละหัวจ่ายน้ำมันก็ตัดไม่พร้อมกัน แล้วไหนจะเวลาเติมน้ำมัน เราก็มักจะปัดเศษกัน
ยกตัวอย่างจากเควข้างบน ตอนเติมครั้งแรก สมมติหัวจ่ายอาจจะตัดที่ 1484.8บาท พนักงานที่ปั้มก็มักจะกดให้เป็น 1500 ส่วนต่างที่กดเข้าไปเพิ่มหลังจากตัด 15.2 บาท ถ้าเป็นE20นี่ก็ร่วมครึ่งลิตรเลยนะครับ แล้วพอเราวิ่งไปอย่างในตัวอย่างข้างบน 558.2km เติมกลับไปจนหัวจ่ายตัดพอดี ไม่ได้ปัดเศษ หรืออาจะบัดเศษน้อยกว่าครั้งก่อนมาก น้ำมันที่ใช้ไปจริงๆจึงอาจจะมากกว่า 46.355L สมมติคิดความคาดเคลือนตอนเติม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต่างๆไม่ว่าจะหัวจ่าย ปัดเศษต่างๆนาๆ สมมติที่ครึ่งลิตร(ความเป็นจริงอาจมากหรือน้อยกว่านี้) 558.2/46.855= 11.91km/l เท่านี้ก็เท่าที่รถบอกแล้วครับ
ถ้าอยากจะรู้ว่ารถเราคลาดเคลือนไหมจริงๆ ผมว่าต้องลองดูกันยาวๆสัก 10 ถัง แล้วไม่ร้อง reset ค่าอัตตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในรถเลย จด odo ไว้ แล้วมาดูกัน
-
ของผมเพี้ยนประมาณ 1 ลิตร ตลอด
-
บางคัน ค่อนข้างตรง
บางคัน ค่อนข้างเกินจริง
พรีอุสที่บ้านผม ที่หน้าจอ โชว์ว่าได้ 20.5 โลลิตร
เติมจริงได้ 19.xx โลลิตร ความเพี้ยนอยู่ที่ราวๆ 5% จากหน้าจอ
ในขณะที่แคมรี่ หน้าจอโชว์ว่า 13.5 โลลิตร
เติมจริง ได้แค่ 11 โลลิตรเท่านั้น
เชื่อมาตราฐานการเติมน้ำมัน วัดจากระยะทางจริง จะแน่นอนที่สุดครับ
หน้าจอ มันบอกได้แค่ข้อมูลหยาบๆเท่านั้น
-
แล้วแต่รถครับ รถที่บ้านเจอมา 3 แบบ
1.หน้าจอบอกกินเกินจริงประมาณ 1.5 กิโลเมตร/ลิตร
2.หน้าจอใกล้เคียงของจริง +- 0.2 กิโลเมตร/ลิตร
3.หน้าจอประหยัดเกินจริงไปประมาณ 3 กิโลเมตร/ลิตร
-
เท่าที่เคยทราบ หน้าจอจะบอกเกินความจริง +-10% ครับ
-
เข็มไมล์รถstd จะอ่อนก่อนความเป็นจริง3-5 % ครับ
-
วันนี้จะขอมารายงานการบันทึกอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ CR-V 2.4 3rd Gen Mod0 นะครับ
สภาพการขับขี่คือ นั่งเต็มคันรถ 5 คน พร้อมสัมภาระเล็กน้อย เริ่มต้นเติม E20 เต็มถังจากปั๊มน้ำมันเพื่อใครก็ไม่รู้สาขาหนึ่งบนถนนลาดพร้าวตอนเช้า แล้ววิ่งสวนขาออก ไม่น่าเชื่อว่ารถจะติดเกินคาดคิดครับ กว่าจะหลุดขึ้น M7 ได้ก็เกือบชั่วโมง หลังจากนั้นก็ exit ทล.344 สู่บ้านบึง ไปต่อจนถึง ทล.3 จนถึงจันทบุรี มีรถติด ทำธุระเสร็จสิ้นก็กลับครับ
ขอพูดถึงการใช้ Cruise Control นิดหนึ่งนะครับ เพราะได้ใช้ไปด้วย ช่วงไหนที่เป็นเส้นยาวๆก็จะล็อกความเร็วไว้ที่ 90-100 ครับ ส่วนเวลาที่วิ่งจริงๆ เข็มความเร็วก็จะกวาดตั้งแต่ 80-120 นะครับ ขณะใช้บน M7 นี่ก็สบายทีเดียวเพราะมองเห็นไปข้างหน้าได้ไกล เวลาจะแซงก็เติมคันเร่งหน่อย แซงพ้นแล้วก็ปล่อยเท้าได้ มาพูดถึงการเติมคันเร่งนะครับ คือที่ล็อกไว้ เพื่อให้มีความเร็วคงที่ต่ำสุด (คงจะไม่งงนะครับ) ตัวอย่างเช่นล็อกไว้ที่ 90 อยู่เลนสองจากซ้าย เวลาเจอรถช้ากว่าหน่อยก็แซงขวาไปด้วยวิธีที่กล่าวมา หรือเวลาเจอสะพานชันๆ ถ้าปล่อยไว้เกียร์จะตัดลง ทำให้รอบจัด สิ้นเปลืองน้ำมันกว่าครับ ดังนั้นแก้ด้วยวิธีแบบไอ้กัน คือหากลงเนิน ก็เติมคันเร่งเพื่อให้เร็วเกินกว่าความเร็วล็อกขั้นต่ำ ก็จะขึ้นเนินได้ง่าย หรือถ้าราบหน่อยก็เร่งให้เร็วเกินที่ล็อกไว้ ให้มันมีแรงบิดขึ้นเนินสำเร็จโดยอยู่บนเกียร์ห้า พอพ้นยอดเนิน/สะพานก็ปล่อย มันก็จะกลับมาความเร็วเดิมครับ ใช้วิธีนี้ทุกโอกาสที่ทำได้ แซงแล้วชิดซ้าย ก็ไม่เป็นการกีดขวางจราจรแต่อย่างใดครับ
จนถึงด่านเก็บเงิน M7 ด่านไกล ขาเข้ากรุงเทพ จอก็บอก avg ว่า 11.6-11.7 กม. ต่อลิตร และแล้วก็ได้อีกปัจจัยหนึ่งมาช่วยจนถึงด่านลาดกระบัง นั่นคือรถบัสครับ ขับไม่เร็วมากสำหรับบนทางหลวงพิเศษแบบนี้ คือที่ 90-95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมก็สลิปสตรีมเขาไป ในระยะที่ปลอดภัย (และความเร็วเท่านี้ มีอะไร เบรคได้ไว ทันการณ์ครับ) ทำให้ระหว่างที่ไม่มีแรงลมต้านนั้น จอก็บอกว่า 11.8 เลยทีเดียว! จนถึงด่านลาดกระบัง ผมจ่ายเงินเสร็จก่อนก็แยกย้ายกันไป
รักษาความเร็วสัก 90-100 มาเรื่อยๆ จนขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ร่วมเข้าฉลองรัช (ที่เขาเรียกว่าโค้งเดียวเจออีกด่านเก็บเงินแล้ว) ลงบางจากก่อนลาดพร้าว
รวมระยะทางทั้งสิ้นระหว่างการเติม 558.2 กิโลเมตรครับ จอขึ้นก่อนดับเครื่องว่า 11.9 แต่เติมกลับไป 46.355 ลิตร นับได้เป็น 12.04 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าคิดว่ามีปัจจัยรถติดตอนก่อนออกเมือง กับที่ติดในเมืองจันทร์ ทั้งยังเปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน และกลางคืนก็ซีน่อน 35w .. มันก็ใช้ได้นะ
เอาล่ะ ใครเคยตกใจ เจอจอแสดงผลเปลืองกว่าที่วัดได้จริงหรือเปล่าครับ?
ผมทราบดีว่ามาตรฐานไม่เที่ยงตรงเท่าพี่จิมมี่ แต่นี่ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเป็นการทดลองอยู่แล้วครับ
กระทู้ท่าน ผมอ่านแล้วเพลิดเพิลนดีครับผม
แต่มาสะดุดตรงประโยคท้ายๆที่ว่า เปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน
ไม่ทราบว่า ท่านจะเปิดทำไมหรือครับ หรือว่า CRV Gen3 ปิดไม่ได้ครับ
-
ส่วนใหญ่ที่เจอจะกินกว่าบนจอครับ แต่ยังไม่มีรถ hondaรุ่นมีมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเลย
แต่เหมือนเคยได้ยินพี่จิมมี่บอกมาตรวัดhonda เที่ยงตรงที่สุดจากที่เคยขับมา แต่ผมได้ยินนานแล้วนะ
เลยขอเดาว่ามันอาจจะเที่ยงจริงๆ แต่ว่าการเติมน้ำมันกลับอาจจะ errorครับ
-
วันนี้จะขอมารายงานการบันทึกอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ CR-V 2.4 3rd Gen Mod0 นะครับ
สภาพการขับขี่คือ นั่งเต็มคันรถ 5 คน พร้อมสัมภาระเล็กน้อย เริ่มต้นเติม E20 เต็มถังจากปั๊มน้ำมันเพื่อใครก็ไม่รู้สาขาหนึ่งบนถนนลาดพร้าวตอนเช้า แล้ววิ่งสวนขาออก ไม่น่าเชื่อว่ารถจะติดเกินคาดคิดครับ กว่าจะหลุดขึ้น M7 ได้ก็เกือบชั่วโมง หลังจากนั้นก็ exit ทล.344 สู่บ้านบึง ไปต่อจนถึง ทล.3 จนถึงจันทบุรี มีรถติด ทำธุระเสร็จสิ้นก็กลับครับ
ขอพูดถึงการใช้ Cruise Control นิดหนึ่งนะครับ เพราะได้ใช้ไปด้วย ช่วงไหนที่เป็นเส้นยาวๆก็จะล็อกความเร็วไว้ที่ 90-100 ครับ ส่วนเวลาที่วิ่งจริงๆ เข็มความเร็วก็จะกวาดตั้งแต่ 80-120 นะครับ ขณะใช้บน M7 นี่ก็สบายทีเดียวเพราะมองเห็นไปข้างหน้าได้ไกล เวลาจะแซงก็เติมคันเร่งหน่อย แซงพ้นแล้วก็ปล่อยเท้าได้ มาพูดถึงการเติมคันเร่งนะครับ คือที่ล็อกไว้ เพื่อให้มีความเร็วคงที่ต่ำสุด (คงจะไม่งงนะครับ) ตัวอย่างเช่นล็อกไว้ที่ 90 อยู่เลนสองจากซ้าย เวลาเจอรถช้ากว่าหน่อยก็แซงขวาไปด้วยวิธีที่กล่าวมา หรือเวลาเจอสะพานชันๆ ถ้าปล่อยไว้เกียร์จะตัดลง ทำให้รอบจัด สิ้นเปลืองน้ำมันกว่าครับ ดังนั้นแก้ด้วยวิธีแบบไอ้กัน คือหากลงเนิน ก็เติมคันเร่งเพื่อให้เร็วเกินกว่าความเร็วล็อกขั้นต่ำ ก็จะขึ้นเนินได้ง่าย หรือถ้าราบหน่อยก็เร่งให้เร็วเกินที่ล็อกไว้ ให้มันมีแรงบิดขึ้นเนินสำเร็จโดยอยู่บนเกียร์ห้า พอพ้นยอดเนิน/สะพานก็ปล่อย มันก็จะกลับมาความเร็วเดิมครับ ใช้วิธีนี้ทุกโอกาสที่ทำได้ แซงแล้วชิดซ้าย ก็ไม่เป็นการกีดขวางจราจรแต่อย่างใดครับ
จนถึงด่านเก็บเงิน M7 ด่านไกล ขาเข้ากรุงเทพ จอก็บอก avg ว่า 11.6-11.7 กม. ต่อลิตร และแล้วก็ได้อีกปัจจัยหนึ่งมาช่วยจนถึงด่านลาดกระบัง นั่นคือรถบัสครับ ขับไม่เร็วมากสำหรับบนทางหลวงพิเศษแบบนี้ คือที่ 90-95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมก็สลิปสตรีมเขาไป ในระยะที่ปลอดภัย (และความเร็วเท่านี้ มีอะไร เบรคได้ไว ทันการณ์ครับ) ทำให้ระหว่างที่ไม่มีแรงลมต้านนั้น จอก็บอกว่า 11.8 เลยทีเดียว! จนถึงด่านลาดกระบัง ผมจ่ายเงินเสร็จก่อนก็แยกย้ายกันไป
รักษาความเร็วสัก 90-100 มาเรื่อยๆ จนขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ร่วมเข้าฉลองรัช (ที่เขาเรียกว่าโค้งเดียวเจออีกด่านเก็บเงินแล้ว) ลงบางจากก่อนลาดพร้าว
รวมระยะทางทั้งสิ้นระหว่างการเติม 558.2 กิโลเมตรครับ จอขึ้นก่อนดับเครื่องว่า 11.9 แต่เติมกลับไป 46.355 ลิตร นับได้เป็น 12.04 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าคิดว่ามีปัจจัยรถติดตอนก่อนออกเมือง กับที่ติดในเมืองจันทร์ ทั้งยังเปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน และกลางคืนก็ซีน่อน 35w .. มันก็ใช้ได้นะ
เอาล่ะ ใครเคยตกใจ เจอจอแสดงผลเปลืองกว่าที่วัดได้จริงหรือเปล่าครับ?
ผมทราบดีว่ามาตรฐานไม่เที่ยงตรงเท่าพี่จิมมี่ แต่นี่ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเป็นการทดลองอยู่แล้วครับ
กระทู้ท่าน ผมอ่านแล้วเพลิดเพิลนดีครับผม
แต่มาสะดุดตรงประโยคท้ายๆที่ว่า เปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน
ไม่ทราบว่า ท่านจะเปิดทำไมหรือครับ หรือว่า CRV Gen3 ปิดไม่ได้ครับ
เปิดไฟตัดหมอกตอนกลางวัน ผมว่าก็มีข้อดีนะครับ ไม่งั้นเค้าจะทำให้มอเตอไซเปิดไฟหน้ากลางวันทำไมจะปิดก็ไม่ได้ไม่มีสวิต ก็เพราะให้รถคันอื่นเค้าเห็นได้ชัดขึ้น ให้แยงตานิดๆจะได้รู้ว่ามีรถมานะ เผื่อเจอคนเมา คนหลับใน เค้าจะได้ตื่น และอีกอย่างเปิดไฟกลางวันมันไม่ได้สว่างขนาดนั้น แสงแดดจากดวงอาทิตย์สว่างกว่าเยอะครับ
-
วันนี้จะขอมารายงานการบันทึกอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ CR-V 2.4 3rd Gen Mod0 นะครับ
สภาพการขับขี่คือ นั่งเต็มคันรถ 5 คน พร้อมสัมภาระเล็กน้อย เริ่มต้นเติม E20 เต็มถังจากปั๊มน้ำมันเพื่อใครก็ไม่รู้สาขาหนึ่งบนถนนลาดพร้าวตอนเช้า แล้ววิ่งสวนขาออก ไม่น่าเชื่อว่ารถจะติดเกินคาดคิดครับ กว่าจะหลุดขึ้น M7 ได้ก็เกือบชั่วโมง หลังจากนั้นก็ exit ทล.344 สู่บ้านบึง ไปต่อจนถึง ทล.3 จนถึงจันทบุรี มีรถติด ทำธุระเสร็จสิ้นก็กลับครับ
ขอพูดถึงการใช้ Cruise Control นิดหนึ่งนะครับ เพราะได้ใช้ไปด้วย ช่วงไหนที่เป็นเส้นยาวๆก็จะล็อกความเร็วไว้ที่ 90-100 ครับ ส่วนเวลาที่วิ่งจริงๆ เข็มความเร็วก็จะกวาดตั้งแต่ 80-120 นะครับ ขณะใช้บน M7 นี่ก็สบายทีเดียวเพราะมองเห็นไปข้างหน้าได้ไกล เวลาจะแซงก็เติมคันเร่งหน่อย แซงพ้นแล้วก็ปล่อยเท้าได้ มาพูดถึงการเติมคันเร่งนะครับ คือที่ล็อกไว้ เพื่อให้มีความเร็วคงที่ต่ำสุด (คงจะไม่งงนะครับ) ตัวอย่างเช่นล็อกไว้ที่ 90 อยู่เลนสองจากซ้าย เวลาเจอรถช้ากว่าหน่อยก็แซงขวาไปด้วยวิธีที่กล่าวมา หรือเวลาเจอสะพานชันๆ ถ้าปล่อยไว้เกียร์จะตัดลง ทำให้รอบจัด สิ้นเปลืองน้ำมันกว่าครับ ดังนั้นแก้ด้วยวิธีแบบไอ้กัน คือหากลงเนิน ก็เติมคันเร่งเพื่อให้เร็วเกินกว่าความเร็วล็อกขั้นต่ำ ก็จะขึ้นเนินได้ง่าย หรือถ้าราบหน่อยก็เร่งให้เร็วเกินที่ล็อกไว้ ให้มันมีแรงบิดขึ้นเนินสำเร็จโดยอยู่บนเกียร์ห้า พอพ้นยอดเนิน/สะพานก็ปล่อย มันก็จะกลับมาความเร็วเดิมครับ ใช้วิธีนี้ทุกโอกาสที่ทำได้ แซงแล้วชิดซ้าย ก็ไม่เป็นการกีดขวางจราจรแต่อย่างใดครับ
จนถึงด่านเก็บเงิน M7 ด่านไกล ขาเข้ากรุงเทพ จอก็บอก avg ว่า 11.6-11.7 กม. ต่อลิตร และแล้วก็ได้อีกปัจจัยหนึ่งมาช่วยจนถึงด่านลาดกระบัง นั่นคือรถบัสครับ ขับไม่เร็วมากสำหรับบนทางหลวงพิเศษแบบนี้ คือที่ 90-95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมก็สลิปสตรีมเขาไป ในระยะที่ปลอดภัย (และความเร็วเท่านี้ มีอะไร เบรคได้ไว ทันการณ์ครับ) ทำให้ระหว่างที่ไม่มีแรงลมต้านนั้น จอก็บอกว่า 11.8 เลยทีเดียว! จนถึงด่านลาดกระบัง ผมจ่ายเงินเสร็จก่อนก็แยกย้ายกันไป
รักษาความเร็วสัก 90-100 มาเรื่อยๆ จนขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ร่วมเข้าฉลองรัช (ที่เขาเรียกว่าโค้งเดียวเจออีกด่านเก็บเงินแล้ว) ลงบางจากก่อนลาดพร้าว
รวมระยะทางทั้งสิ้นระหว่างการเติม 558.2 กิโลเมตรครับ จอขึ้นก่อนดับเครื่องว่า 11.9 แต่เติมกลับไป 46.355 ลิตร นับได้เป็น 12.04 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าคิดว่ามีปัจจัยรถติดตอนก่อนออกเมือง กับที่ติดในเมืองจันทร์ ทั้งยังเปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน และกลางคืนก็ซีน่อน 35w .. มันก็ใช้ได้นะ
เอาล่ะ ใครเคยตกใจ เจอจอแสดงผลเปลืองกว่าที่วัดได้จริงหรือเปล่าครับ?
ผมทราบดีว่ามาตรฐานไม่เที่ยงตรงเท่าพี่จิมมี่ แต่นี่ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเป็นการทดลองอยู่แล้วครับ
กระทู้ท่าน ผมอ่านแล้วเพลิดเพิลนดีครับผม
แต่มาสะดุดตรงประโยคท้ายๆที่ว่า เปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน
ไม่ทราบว่า ท่านจะเปิดทำไมหรือครับ หรือว่า CRV Gen3 ปิดไม่ได้ครับ
เปิดไฟตัดหมอกตอนกลางวัน ผมว่าก็มีข้อดีนะครับ ไม่งั้นเค้าจะทำให้มอเตอไซเปิดไฟหน้ากลางวันทำไมจะปิดก็ไม่ได้ไม่มีสวิต ก็เพราะให้รถคันอื่นเค้าเห็นได้ชัดขึ้น ให้แยงตานิดๆจะได้รู้ว่ามีรถมานะ เผื่อเจอคนเมา คนหลับใน เค้าจะได้ตื่น และอีกอย่างเปิดไฟกลางวันมันไม่ได้สว่างขนาดนั้น แสงแดดจากดวงอาทิตย์สว่างกว่าเยอะครับ
ไฟตัดหมอกนะครับ ไม่ใช่ Daylight LED
ตามกฎหมายไทย คือ ห้ามเปิดไฟตัดหมอกในที่ๆไม่มีหมอก ถ้าคุณจ่าเจอเข้า รับใบสั่ง ไปจ่าย 500 ที่ สน.ได้เลยครับ
ผมเข้าใจที่คุณบอกว่าตอนกลางวันแสงอาทิตย์แรงกว่าไฟตัดหมอกแน่นอน
บ้านเราแดดออกทุกวันก็จริงครับ แต่มันไม่ทุกที่ๆมีแดด เช่น ลงอุโมงค์ หาที่จอดในห้าง และอย่างยิ่งในวันที่ฟ้าครึ้ม
ปิดเถอะครับ ไม่ว่าจะเวลาไหน ให้พี่เก็บไปเปิดแถวดอยเต่า ดอยปุย ช่วงเช้ามืด น่าจะเข้าท่ากว่านะครับผม
-
บางทีไฟตัดหมอกก็มีประโยชน์นะครับ อย่าด่าเลย เพราะเมื่อวานผมขับไปทางพุทธมนฑลสาย2 ถนนพึ่งทำทางใหม่ เส้นยังไม่ได้ลง ถ้าไม่เปิดไปตัดหมอก อันตรายมากครับ เพราะไฟหน้ารถมันไม่จับเส้นถนน คราวนี้นรกชัดๆเลยครับ ไม่มีไฟตัดหมอกคงต้องค่อยๆคลานละ
-
ปัจจัยความเที่ยงตรงของมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
อยู่ที่การเติมน้ำมันล้วน ๆ ครับ ถ้าเทียบกันถังต่อถัง
ผมใช้การเฉลี่ยทั้งเดือน จะได้ค่าที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด
เพราะผมเปลี่ยนเชื้อเพลิงตามปั้มน้ำมัน ถ้าเจอบางจากวิ่งเข้าใส่เลย ส่วนใหญ่มี E20
ถ้าปั้มอื่น ๆ ก็เติม 91E10 ครับ
เพราะฉะนั้นจะได้ค่าสิ้นเปลืองต่างกันอีก
-
ผมเคยขับได้ตั้ง 19.X กิโลเมตร/ลิตร แน่ะ แต่พอคิดเอาจริงๆ ได้ 16.X กิโลเมตร/ลิตร :P
-
ตัวเลข Jazz ผมย้อนหลังไปเมื่อ 4 สัปดาห์ก่อน
ไปกลับดอนเมือง พระราม 6 ชม.เร่งด่วนทุกวัน
วัดจากการเติม / AVG บนจอ
1. 14.2 / 14.5
2. 12.7 / 13.5
3. 14.1 / 13.8
ก็เฉลี่ย +- 1 Km/l ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ make sense :P
-
crv 2.4 g3 ถ้าได้เกิน 11โล/ล ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ ผมขับออก ตจว เกิน120ได้ประมาณ 9-10นิดๆ บางทีได้8เกือบ9(E20ตลอด)
เรื่องความคลาดเคลื่อนในรถคันเดียวกันบางครั้งผมว่าเกือบตรง100% แต่บางครั้งมีคลาดเคลื่อนบ้าง ทุกครั้งเวลาเต็มน้ำมันผมจะเซ็ต trip ใหม่ ผมว่าทำแบบนี้ค่อนข้างตรงนะครับ
-
on board computer มันคือการวัด ณ ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่การวัดทั้งถังน้ำมัน
วิะ๊การวัดที่ดีที่สุด คือ ใช้ไปเท่าไหร่ เติมกลับให้เติม แล้วเอาไปหาร เลขกิโล
ผมตั้งค่าใหม่ตั้งแต่เติมน้ำมันเสร็จ แปลว่าทั้งถังน้ำมันที่ใช้นั่นแน่นอนครับ (ไม่ใช่ live แบบแถบเลื่อนๆด้วยนะ)
วันนี้จะขอมารายงานการบันทึกอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ CR-V 2.4 3rd Gen Mod0 นะครับ
สภาพการขับขี่คือ นั่งเต็มคันรถ 5 คน พร้อมสัมภาระเล็กน้อย เริ่มต้นเติม E20 เต็มถังจากปั๊มน้ำมันเพื่อใครก็ไม่รู้สาขาหนึ่งบนถนนลาดพร้าวตอนเช้า แล้ววิ่งสวนขาออก ไม่น่าเชื่อว่ารถจะติดเกินคาดคิดครับ กว่าจะหลุดขึ้น M7 ได้ก็เกือบชั่วโมง หลังจากนั้นก็ exit ทล.344 สู่บ้านบึง ไปต่อจนถึง ทล.3 จนถึงจันทบุรี มีรถติด ทำธุระเสร็จสิ้นก็กลับครับ
ขอพูดถึงการใช้ Cruise Control นิดหนึ่งนะครับ เพราะได้ใช้ไปด้วย ช่วงไหนที่เป็นเส้นยาวๆก็จะล็อกความเร็วไว้ที่ 90-100 ครับ ส่วนเวลาที่วิ่งจริงๆ เข็มความเร็วก็จะกวาดตั้งแต่ 80-120 นะครับ ขณะใช้บน M7 นี่ก็สบายทีเดียวเพราะมองเห็นไปข้างหน้าได้ไกล เวลาจะแซงก็เติมคันเร่งหน่อย แซงพ้นแล้วก็ปล่อยเท้าได้ มาพูดถึงการเติมคันเร่งนะครับ คือที่ล็อกไว้ เพื่อให้มีความเร็วคงที่ต่ำสุด (คงจะไม่งงนะครับ) ตัวอย่างเช่นล็อกไว้ที่ 90 อยู่เลนสองจากซ้าย เวลาเจอรถช้ากว่าหน่อยก็แซงขวาไปด้วยวิธีที่กล่าวมา หรือเวลาเจอสะพานชันๆ ถ้าปล่อยไว้เกียร์จะตัดลง ทำให้รอบจัด สิ้นเปลืองน้ำมันกว่าครับ ดังนั้นแก้ด้วยวิธีแบบไอ้กัน คือหากลงเนิน ก็เติมคันเร่งเพื่อให้เร็วเกินกว่าความเร็วล็อกขั้นต่ำ ก็จะขึ้นเนินได้ง่าย หรือถ้าราบหน่อยก็เร่งให้เร็วเกินที่ล็อกไว้ ให้มันมีแรงบิดขึ้นเนินสำเร็จโดยอยู่บนเกียร์ห้า พอพ้นยอดเนิน/สะพานก็ปล่อย มันก็จะกลับมาความเร็วเดิมครับ ใช้วิธีนี้ทุกโอกาสที่ทำได้ แซงแล้วชิดซ้าย ก็ไม่เป็นการกีดขวางจราจรแต่อย่างใดครับ
จนถึงด่านเก็บเงิน M7 ด่านไกล ขาเข้ากรุงเทพ จอก็บอก avg ว่า 11.6-11.7 กม. ต่อลิตร และแล้วก็ได้อีกปัจจัยหนึ่งมาช่วยจนถึงด่านลาดกระบัง นั่นคือรถบัสครับ ขับไม่เร็วมากสำหรับบนทางหลวงพิเศษแบบนี้ คือที่ 90-95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมก็สลิปสตรีมเขาไป ในระยะที่ปลอดภัย (และความเร็วเท่านี้ มีอะไร เบรคได้ไว ทันการณ์ครับ) ทำให้ระหว่างที่ไม่มีแรงลมต้านนั้น จอก็บอกว่า 11.8 เลยทีเดียว! จนถึงด่านลาดกระบัง ผมจ่ายเงินเสร็จก่อนก็แยกย้ายกันไป
รักษาความเร็วสัก 90-100 มาเรื่อยๆ จนขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ร่วมเข้าฉลองรัช (ที่เขาเรียกว่าโค้งเดียวเจออีกด่านเก็บเงินแล้ว) ลงบางจากก่อนลาดพร้าว
รวมระยะทางทั้งสิ้นระหว่างการเติม 558.2 กิโลเมตรครับ จอขึ้นก่อนดับเครื่องว่า 11.9 แต่เติมกลับไป 46.355 ลิตร นับได้เป็น 12.04 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าคิดว่ามีปัจจัยรถติดตอนก่อนออกเมือง กับที่ติดในเมืองจันทร์ ทั้งยังเปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน และกลางคืนก็ซีน่อน 35w .. มันก็ใช้ได้นะ
เอาล่ะ ใครเคยตกใจ เจอจอแสดงผลเปลืองกว่าที่วัดได้จริงหรือเปล่าครับ?
ผมทราบดีว่ามาตรฐานไม่เที่ยงตรงเท่าพี่จิมมี่ แต่นี่ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเป็นการทดลองอยู่แล้วครับ
กระทู้ท่าน ผมอ่านแล้วเพลิดเพิลนดีครับผม
แต่มาสะดุดตรงประโยคท้ายๆที่ว่า เปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน
ไม่ทราบว่า ท่านจะเปิดทำไมหรือครับ หรือว่า CRV Gen3 ปิดไม่ได้ครับ
เปิดไฟตัดหมอกตอนกลางวัน ผมว่าก็มีข้อดีนะครับ ไม่งั้นเค้าจะทำให้มอเตอไซเปิดไฟหน้ากลางวันทำไมจะปิดก็ไม่ได้ไม่มีสวิต ก็เพราะให้รถคันอื่นเค้าเห็นได้ชัดขึ้น ให้แยงตานิดๆจะได้รู้ว่ามีรถมานะ เผื่อเจอคนเมา คนหลับใน เค้าจะได้ตื่น และอีกอย่างเปิดไฟกลางวันมันไม่ได้สว่างขนาดนั้น แสงแดดจากดวงอาทิตย์สว่างกว่าเยอะครับ
ไฟตัดหมอกนะครับ ไม่ใช่ Daylight LED
ตามกฎหมายไทย คือ ห้ามเปิดไฟตัดหมอกในที่ๆไม่มีหมอก ถ้าคุณจ่าเจอเข้า รับใบสั่ง ไปจ่าย 500 ที่ สน.ได้เลยครับ
ผมเข้าใจที่คุณบอกว่าตอนกลางวันแสงอาทิตย์แรงกว่าไฟตัดหมอกแน่นอน
บ้านเราแดดออกทุกวันก็จริงครับ แต่มันไม่ทุกที่ๆมีแดด เช่น ลงอุโมงค์ หาที่จอดในห้าง และอย่างยิ่งในวันที่ฟ้าครึ้ม
ปิดเถอะครับ ไม่ว่าจะเวลาไหน ให้พี่เก็บไปเปิดแถวดอยเต่า ดอยปุย ช่วงเช้ามืด น่าจะเข้าท่ากว่านะครับผม
ที่ๆไม่มีหมอก ในเวลากลางคืนด้วยครับ ซึ่งก็ไม่เปิดอยู่แล้ว แต่เวลากลางวัน รถสเป็กไทยแม่งไม่มีไฟวิ่งกลางวันมาให้นี่ครับ ไม่ใช่ความผิดผม เป็นความถูกด้วยซ้ำ และถ้าจะให้ใช้ไฟหน้า บอกเลยว่าเลนส์โปรเจ็กเตอร์รวมแสงดีเกินไปสำหรับการใช้งานในหน้าที่นี้ครับ
-
(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc6/249500_2138328938274_4167048_n.jpg)
คันบนนี่ก็ใช้หลอด 55วัตต์ครับ เห็นในไทยได้บ้าง เวลากลางคืนเปิดไฟหน้าไอ้นี่ก็ดับไป
ส่วนคันล่าง ใช้หลอดไฟสูงเลย แต่ลดความเข้มแสงลงครึ่ง(หรือกึ่ง)หนึ่ง
(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc6/252970_2138330058302_2692891_n.jpg)
-
เหยียบเองนิ่ง ๆ ประหยัดกว่าใช้ cruise control นะผมว่า เท้าเราสามารถผ่อนหนักผ่อนเบารักษาระดับของรอบเครื่องตามความชันของถนนได้ แต่ cruise control จะพยายามทำความเร็วให้เ่่ท่ากับที่เราล้อกเอาไว้ โดยไม่สนใจรอบเครื่อง ขับขึ้นสะพานก็ auto kick down 5 วิให้ ไหลลงเนิน ก็จัด engine break ให้อีก สรุปเหยียบเองประหยัดกว่า
-
เหยียบเองนิ่ง ๆ ประหยัดกว่าใช้ cruise control นะผมว่า เท้าเราสามารถผ่อนหนักผ่อนเบารักษาระดับของรอบเครื่องตามความชันของถนนได้ แต่ cruise control จะพยายามทำความเร็วให้เ่่ท่ากับที่เราล้อกเอาไว้ โดยไม่สนใจรอบเครื่อง ขับขึ้นสะพานก็ auto kick down 5 วิให้ ไหลลงเนิน ก็จัด engine break ให้อีก สรุปเหยียบเองประหยัดกว่า
เท่าทีาเจอมา อาการแบบนั้นไม่เป็นทุกยี่ห้อครับ ยี่ห้อนึงที่เป็นแบบนั้นคือ Toyota ที่พยายามรักษาความเร็วอย่างไม่มีศิลปะเลย
ส่วนบางยี่ห้อก็ไม่มีอาการที่ว่าครับ อย่าง Honda ก็ไม่ค่อยคิกดาวเวลาขึ้นสะพานครับ
-
อัลเมร่าท๊อปของแฟนผม วิ่งกรุงเทพ-พัทยา ใช้e20ที่จอ19กิโล/ลิตรกว่าๆ เติมจริง18กิโล/ลิตรกว่าๆ ยิ้มเลย ;D
วิ่งในตัวเมืองพัทยาวันละ4-5กิโล. ที่จอ9กิโล/ลิตรกว่าๆ. เติมจริง8กว่าๆ หน้าเหี่ยวเลย :P
สรุป. คลาดเคลื่อนไปทางดีเกินแต่ไม่มากครับ.... ;)