Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: me0708 ที่ มกราคม 05, 2013, 15:19:47
-
ได้ข้อมูลนี้มาจากเพื่อนที่เป็นเซลล์ มันน่าคิดดี
ต้องการซื้อรถราคา 1.5 ล้าน โดยมีเงินสดอยู่ 1.5 ล้านพอดี
- ถ้าซื้อสดก็ OK ไม่มีหนี้ (รายได้/เดือนหักค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ 40,000 - 60,000 บาท)
ทีนี้เพื่อนมันบอกว่าทำไมไม่ซื้อผ่อน แล้วมันก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า
รถ 1.5 ล้าน ดาวน์ 7.5 แสน ผ่อน 3 ปี ด/บ 2.25% = ด/บ 16,875 บาท/ปี 3ปี = 50,625 บาท
สรุปเสีย ด/บ 50,625 บาท (ผ่อนต่อเดือน 22,240 บาท)
แต่เงินเก็บอีก 750,000 บาท ของเรายังอยู่ เอาไปซื้อสลากออมสิน 3 ปี หน่วยละ 50 บาท ได้ 15,000 หน่วย ครบอายุสลาก 3 ปี ขายคืนได้ 52.50 บาท/หน่วย
(ด/บ รับ 2.5 บาท/หน่วย x 15,000 หน่วย = 37,500 บาท )
สรุปรวม ผมจะเสียด/บ 50,625 - 37,500 = 13,125 บาท (ยังไม่รวมเผื่อฟลุดถูกสลากในแต่ละงวด)
เผื่อเหตุฉุกเฉินหรืออะไรก็แล้วแต่ยังมีเงินสำรองไว้
ถ้าเป็นแบบนี้ผมควรซื้อสดหรือผ่อนดี คิดแล้วคิดอีกก็ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
-
แสดงว่า จะต้อง ลงทุนเงินผ่อน เพิ่มจาก เงินต้น ที่ต้องไปซื้อ ออมสิน ใช่ไหมครับ
-
ถ้าลงทุน แล้วได้ผลตอบแทนกว่า 2.25% คุณก็คุ้มกว่า อาจจะไม่ใช่แค่สลากออกสิน
-
ควรมีเงินสดไว้บ้างยามฉุกเฉินครับไม่งั้นก็ลดสเปครถลงมา ผมรู้จักคนนึงซื้อซีวิคเงินสดแต่ผ่านไปได้ราวๆ 6 เดือนมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินอย่างแรง (จำไม่ได้ว่าบวชหรือแต่งงาน) ก็เอารถไปเข้าไฟแนนท์เสียดอกบานทะโร่เลย
ถ้าเป็นผมก็คงเอาเงินมาลงทุนมากกว่าครับดาวน์ซัก 3 แสน เหลือ 1 ล้าน เก็บ 2 แสน ลงทุน 1 ล้าน ได้ 1.5%/เดือนเท่ากับกำไรเดือนละ 15,000 ปีละ 180,000 แค่ปีเดียวก็ cover ดอกได้เกือบหมดแล้วเอาไปเอามาถูกกว่าซื้อสดซะอีก แต่เพราะคิดแบบนี้แหละเลยไม่ได้ซื้อซักกะที :D :D :D
-
คิดอย่างนั้นไม่ได้ครับ เงินต้นที่ฝากสลากออมสิน จะถอนได้เมื่อครบ 3 ปี
แต่เงินที่ผ่อน ต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าเอา 750,000 ไปฝากหมด ก็จะต้องเจียดเงินก้อนอื่นมาผ่อนไม่ใช่หรือครับ?
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำได้หากซื้อเงินผ่อน คือการฝากพวกบัญชีออมทรัพย์พิเศษ ดอกเบี้ย 3%
ถ้าเราฝากเงิน 750,000 ดอกเบี้ยร้อยละ 3 นาน 3 ปี จะได้ดอกเบี้ย 68,000 บาท
แต่ทว่า เนื่องจากเราต้องถอนเงินไปผ่อนทุกเดือน เพราะฉะนั้นเงินต้นเราจะลดลงเรื่อยๆ จนหมด เป็นกราฟรูปสามเหลี่ยม ไม่ใช่สี่เหลี่ยม
ดอกเบี้ยที่ได้จริงๆ คิดง่ายๆ 68,000/2 = 34,000 บาท
แต่ดอกเบี้ยที่ต้องผ่อน ไม่ลดตามเงินต้น ต้องจ่ายเต็มๆ 37,500 บาท สรุปคือขาดทุน 3,500 บาท
เพราะฉะนั้น แนวคิดนี้จะใช้ได้ต่อเมื่อมีวิธีหาดอกเบี้ยเงินฝากให้ได้อย่างน้อย 2 เท่าตัวของดอกเบี้ยรถครับ
กรณีนี้คือ ร้อยละ 4.5 ต่อปีขึ้นไป และต้องถอนได้ทุกเมื่อ ซึ่งผมมองเห็นแค่การลงทุนตลาดหลักทรัพย์ (หุ้น) ซึ่งมีความเสี่ยงนิดหน่อย
ครับ
-
ถ้าโจทย์มัดมาว่าต้องซื้อตัว 1.5ล้าน ผมคงซื้อผ่อนเอาครับ เผื่อฉุกเฉินจะได้เอาเงินไปหมุนก่อน แต่ถ้าโจทย์เปลี่ยนไปผมก็จะบอกว่าซื้อรถถูกกว่านี้จะได้มีเงินหมุน+มีเงินเย็น จะได้กันเหนียวไว้2ชั้น
-
ที่เพื่อนบอกถูกต้องครับ
การผ่อนรถใหม่ เป็นเงินกู้ดอกต่ำที่สุดที่พึงจะหาได้ครับ ยิ่งได้ดอก 2.25% คือแค่ฝากแบงค์ ดอกดีๆ ที่ 3% ก็คุ้มกว่าแล้ว ไหนจะเผื่อฉุกเฉินสำรองอีก
แต่หากจะลงทุน หาหุ้นดีๆ มีปันผล เกิน 5% เยอะแยะมากมาย ไม่ต้องมอง ไม่ขาย เก็บ 3-4 ปี หากบริษัทดีๆ มีแต่ราคาจะขึ้น คือได้กำไรมากกกว่าอีก
หรือเอาอีกแง่ เอาไปซื้อกองทุน LTF RMF หากฐานภาษีอยู่ 30% ยิ่งเจ๋ง ได้คืนทันที 30% เฉลี่ยอายุ ก็ 3.5 ปีไม่เกิน (ซื้อปลายปี ขายต้นปี) การถือครองต่ำกว่า 4 ปีแน่ๆ ตีเป็น 4 ก็ได้ เท่ากับ เฉลี่ยได้คืนปีละ 7.5% ไม่รวมราคา กองทุนที่ขึ้น ไม่รวมปันผลจากกองทุนที่จะได้
ประมาณนี้ครับ
-
ส่วนต่างไม่เยอะอย่าเอาไปคิดเลยครับ ถ้าเป็นหนี้แล้วไม่เป็นทุกข์ผ่อนไปเถอะครับ แต่ถ้าเป็นหนี้แล้วกินไม่อร่อย นอนไม่อิ่มเหมือนเดิม จ่ายไปเถอะครับ ช้าเร็วต้องใช้หนี้เค๊าเหมือนเดิม โชคดีครับผม... ;)
-
อันนี้แล้วแต่สถานะทางการเงินของคุณเลยครับ ว่ารายได้เท่าไหร่ ภาระเยอะมั้ย
ถ้ารายได้เยอะ เข้าแน่นอนทุกเดือน ไม่ใช่ ขึ้น ๆ ลงๆ ก็ซื้อสดได้
แต่ถ้าเป็นผมคงไม่ซื้อด้วยเงินทั้งหมดที่มีอยู่หรอกครับ
ใครจะไปรู้ วันนึง คนในครอบครัว อาจป่วย เข้า รพ. ต้องการใช้เงิน
หรือ อุบัติเหตุต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้
ถ้า ดาวน์ 50% ก็มี เงินเหลือ 750,000 ผมฝาก สหกรณ์ ได้ 5.5% ต่อปี
ก็คงรู้สึกปลอดภัยกว่านะครับ
-
ในมุมมองของผมนะครับ
การที่จะซื้อรถเงินสด ควรมีเงินสดคงเหลือในมือให้ใช้ได้อย่างต่ำ 6 เดือน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหน้าเราไม่สามารถตอบได้
การซื้อรถเงินผ่อน ณ วันที่ซื้อรถก็ควรมีเงินเก็บมากกว่าราคารถ เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถปิดยอดรถได้ตลอดเวลา หากเราจำเป็นต้องทำธุรกรรม หรือ ลงทุนในอนาคต
เอาง่าย ๆ นะครับ ถ้าเงินเดือน 1 แสนบาท มีเงินเก็บ 1 ล้านบาท ใช้จ่ายเต็มที่เดือนละ 7 หมื่น เก็บ 3 หมื่นต่อเดือน
ซื้อรถคันละ 8 แสน
1. กรณีแรก ถ้าซื้อสด เงินเก็บเหลือ 2 แสน และมีเงินเก็บอีกเดือนละ 30000
ใน 1 ปีต่อมา คุณจะมีเงินเก็บประมาณ 560000 บาท คุณต้องเอาไปเสียภาษี ซื้อประกัน หรือ LTF สุดท้ายอาจเหลือเก็บจริง 4 แสน
ใน 3 ปีต่อมา คุณน่าจะมีเงินเก็บประมาณ 8 แสน
2. กรณ๊ที่สอง ซื้อเงินเผ่อน ดาวน์ 50% ดอก 2.25% 3 ปี เงินเก็บเหลือ 6 แสน แต่ละเดือนที่เหลือ 30000 เอามาผ่อนรถอีก 12000 เหลือเก็บเดือนละ 18000
ใน 1 ปีต่อมา คุณจะมีเงินเก็บประมาณ 600000 + 12(18000) ประมาณ 820000 และเหมือนเดิมหักโน่นหักนี่เหลือ 660000
ใน 3 ปีต่อมา คุณน่าจะมีเงินเก็บประมาณ ประมาณ 770000
3. กรณีสุดท้าย เหมือนข้อ 2 แต่เอาไปฝากธนาคารประจำ 12 เดือน ได้ดอกเบี้ย 2.9 - 3%
ต่อจากแบบที่ 2 เงินเก็บเหลือ 600000 ถามใจต้วเองว่าจะนำไปฝากเท่าไหร่คับ เอาง่าย ๆ นะครับ คิดว่าเหลือเหมือนกรณ๊ที่ 1 เงินเก็บ 200000
เอาไปฝากธนาคาร 400000 ได้ดอกปีละ 12000 คิดทบต้นไปมา น่าจะประมาณ 40000
สุดท้ายเงินเก็บปีที่ 3 ก็ประมาณ 8 แสน พอ ๆ กับกรณีแรก
อย่างที่คุณเจ้าของกระทู้ว่า วีธีสุดท้ายดูเป็นวีธีที่ดีสุดตามทฤษฎี แต่ในชีวิตจริง คนเราไม่ได้อยากของอย่างเดียวหรอกครับ อยากได้โทรศัพท์ใหม่ ทีวีใหม่ แต่รถ ไปเที่ยว
ต้องถามใจตัวเองว่าทนได้ไหมครับ สำหรับผมแบบสองครับ เพราะเงินในมือคงเหลือมากกว่า ส่วนดอกเบื้ยประมาณ 3 หมื่น ถามว่าเสียดายไหม
ผมว่าใคร ๆ ก็คงเสียดาย แต่ถ้าเทียบกับความมั่นคงทางการเงินแบบสอง ดีกว่าชัดเจนครับ เกิดอยากไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อที่ดิน ซื้อบ้าน ก็ยังมีเงินใช้จ่ายคล่องตัวกว่า
แต่ถ้าคุณเจ้าของกระทู้ มีเงินเก็บเยอะอยู่แล้ว ผมว่าไม่ว่ากรณีไหนก็เหมือนกัน ส่วนต่างมันอยู่ที่ราคารถที่ซื้อครับ ยิ่งรถแพง ดอกเบี้ยก็เสียเยอะตาม
ตามทฤษฏีที่ผมว่าดีสุดคือ ดาวน์ให้ต่ำสุด ที่ดอกเบี้ย 0% ผ่อนกี่ปีตามสะดวกครับ
ทั้งหมดเป็นแค่ทฎษฎีนะครับ ผมชอบคำนวณ อาจมีถูก-ผิด ยังไงเงินของคุณ ก็ต้องบริหารด้วยตัวเองครับ ;D
-
ผมออกเงินสดให้พวกซื้ออุปกรณ์ก่อสร้าง ได้ร้อยละ2% /20วัน
ดีกว่าฝากธนาคารเป็นไหนๆ
1 ล้านก็ 2หมื่นบาท/20วัน
-
ควรมีเงินสดไว้บ้างยามฉุกเฉินครับไม่งั้นก็ลดสเปครถลงมา ผมรู้จักคนนึงซื้อซีวิคเงินสดแต่ผ่านไปได้ราวๆ 6 เดือนมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินอย่างแรง (จำไม่ได้ว่าบวชหรือแต่งงาน) ก็เอารถไปเข้าไฟแนนท์เสียดอกบานทะโร่เลย
ถ้าเป็นผมก็คงเอาเงินมาลงทุนมากกว่าครับดาวน์ซัก 3 แสน เหลือ 1 ล้าน เก็บ 2 แสน ลงทุน 1 ล้าน ได้ 1.5%/เดือนเท่ากับกำไรเดือนละ 15,000 ปีละ 180,000 แค่ปีเดียวก็ cover ดอกได้เกือบหมดแล้วเอาไปเอามาถูกกว่าซื้อสดซะอีก แต่เพราะคิดแบบนี้แหละเลยไม่ได้ซื้อซักกะที :D :D :D
โห กำไร 18% ต่อปีเลยหรือครับ ถ้ามีช่องทางได้ขนาดนี้ น่าสนมาก ไม่ทราบว่าเป็นแนวไหนครับ สนใจ
-
ผมก็คเคยคิดแบบเดียวกับ จขกท. วางเงินดาวน์ไปครึ่งหนึ่ง ผ่อน 60 เดือน เงินที่เหลือก็เอาไปลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีมีปันผล กะถือไว้ 60 เดือนโดยที่ไม่เอาเงินออกมา เพียงไม่ถึงปีผมก็ได้ส่วนที่เป็นดอกเบี้ยคืน แล้วก็ยังมีเงินปันผลเป็นของแถมมาอีก และถือไว้ยาวๆก็ยังมีส่วนต่างของราคาที่เพิ่มขึ้นมา ส่วนจะได้กี่ % คงเร็วเกินไปที่จะสรุป ต้องรอดูว่าเมื่อครบ 60 เดือนเงินส่วนที่ว่านี้จะมีมูลค่าเพิ่ม หรือลดลงเท่าไหร่
-
ซื้อเงินสดแล้วมีเงินอยู่พอดี
ถ้าเป็นผม ผมจะไม่เลือกจ่ายเงินสดทั้งก้อนทีเดียวครับ
ยังไงก็ต้องมีเงินก้อนสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉินไว้บ้าง
ส่วนเรื่องดอกเบี้ยผมเคยคิดเหมือนกันดอกเบี้ยรถถูกมาก
แต่ถ้าเราเอาไปฝากประจำก็โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย15%
แล้วถ้าดอกเบี้ยรับเกิน 20,000 บาท/ปี
ก็คิดเป็นรายได้ต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาอีก เรตเท่าไหรก็ขึ้นอยู่กับรายได้
ส่วนเรื่องถ้าจะไปลงทุนหุ้น ณ ตอนนี้
ต่อให้หุ้นตัวนั้นปันผลเยอะก็ยังอันตรายครับ
เพราะราคาหุ้นตอนนี้ ดัชนีขึ้นสูงสุดในรอบ16ปีแล้ว... ;D
ถ้าจะลงทุนแนะนำให้กระจายความเสี่ยงไปหลายๆรูปแบบครับ
-
ขอบคุณทุกๆคอมเมนท์นะครับ
ขอเอาไปนั่งคำนวณดูดีๆอีกที แต่รถยังไงก็คงต้องซื้อแน่ๆ เพราะกิเลสมันบังตาซะละ อิอิ
-
ผมยังผ่อนรถอยู่เช่นกัน..เงินสดในมือมีพอซื้อเงินสด แต่ไม่ซื้อสด ดอกเบี้ยมันถูก คิดแล้วเลยผ่อน เงินเก็บไปทำอย่างอื่น เฉพาะสลากออมสิน ที่คุณคิดจะซื้อ ผมซื้อเลขรันนิ่ง สามล้าน สองปีได้รางวัลที่สองครั้งเดียว รวมยอดดอกเบี้ย ที่ได้มา แสนห้า..ขี้เกียจคำนวณว่าได้กี่% ...ครับ
-
ผมว่าจ่ายสดซัก 8 แสนแล้วก็ผ่อนที่เหลือดีกว่าครับ เผื่อต้องใช้เงิน จะได้คล่องตัว
-
โห มีเงินเก็บ 1.5 ล้าน แล้วซื้อรถหมดเลย มันจะเสี่ยงไปนะครับ
ในความคิดผม ผ่อนดีกว่าครับ ปลอดภัยไว้ก่อน หรือถ้าจะซื้อสด ควรจะซื้อรถที่ราคาต่ำกว่านี้หน่อยครับ เช่น
แทนที่จะซื้อ D-segment ก็ไปซื้อ C-segment แทน ค่อยซื้อสด
-
ได้ข้อมูลนี้มาจากเพื่อนที่เป็นเซลล์ มันน่าคิดดี
ต้องการซื้อรถราคา 1.5 ล้าน โดยมีเงินสดอยู่ 1.5 ล้านพอดี
- ถ้าซื้อสดก็ OK ไม่มีหนี้ (รายได้/เดือนหักค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ 40,000 - 60,000 บาท)
ทีนี้เพื่อนมันบอกว่าทำไมไม่ซื้อผ่อน แล้วมันก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า
รถ 1.5 ล้าน ดาวน์ 7.5 แสน ผ่อน 3 ปี ด/บ 2.25% = ด/บ 16,875 บาท/ปี 3ปี = 50,625 บาท
สรุปเสีย ด/บ 50,625 บาท (ผ่อนต่อเดือน 22,240 บาท)
แต่เงินเก็บอีก 750,000 บาท ของเรายังอยู่ เอาไปซื้อสลากออมสิน 3 ปี หน่วยละ 50 บาท ได้ 15,000 หน่วย ครบอายุสลาก 3 ปี ขายคืนได้ 52.50 บาท/หน่วย
(ด/บ รับ 2.5 บาท/หน่วย x 15,000 หน่วย = 37,500 บาท )
สรุปรวม ผมจะเสียด/บ 50,625 - 37,500 = 13,125 บาท (ยังไม่รวมเผื่อฟลุดถูกสลากในแต่ละงวด)
เผื่อเหตุฉุกเฉินหรืออะไรก็แล้วแต่ยังมีเงินสำรองไว้
ถ้าเป็นแบบนี้ผมควรซื้อสดหรือผ่อนดี คิดแล้วคิดอีกก็ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
นี้มันชีวิตผมนิหว่า รายได้พอๆกันเลย
ถอยหลังไป 16เดือน ผมมีเงินอยู่ 1ล้าน แต่ทำไงดีอยากได้ accord 2.4
จะซื้อเงินสดไม่พอแน่ จะยืมที่บ้านไม่เอาอะอยากซื้อเองด้วยเงินที่หามาเอง
สรุป ดาวไป5แสน ดอก2.5% 5ปี ผ่อน 18,750 /เดือน สรุปเหลือเงินสด 5แสน
ไปซื้อทองแท่งไว้เผือวันไหนไม่มีผ่อนก็ขาย ถึงตอนนี้ทองก็ไม่ต้องขายแถมยังผ่อนสบายๆ
-
เอาไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนต่อเดือนเท่ากับค่างวด ดีสุด
-
ควรมีเงินสดไว้บ้างยามฉุกเฉินครับไม่งั้นก็ลดสเปครถลงมา ผมรู้จักคนนึงซื้อซีวิคเงินสดแต่ผ่านไปได้ราวๆ 6 เดือนมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินอย่างแรง (จำไม่ได้ว่าบวชหรือแต่งงาน) ก็เอารถไปเข้าไฟแนนท์เสียดอกบานทะโร่เลย
ถ้าเป็นผมก็คงเอาเงินมาลงทุนมากกว่าครับดาวน์ซัก 3 แสน เหลือ 1 ล้าน เก็บ 2 แสน ลงทุน 1 ล้าน ได้ 1.5%/เดือนเท่ากับกำไรเดือนละ 15,000 ปีละ 180,000 แค่ปีเดียวก็ cover ดอกได้เกือบหมดแล้วเอาไปเอามาถูกกว่าซื้อสดซะอีก แต่เพราะคิดแบบนี้แหละเลยไม่ได้ซื้อซักกะที :D :D :D
โห กำไร 18% ต่อปีเลยหรือครับ ถ้ามีช่องทางได้ขนาดนี้ น่าสนมาก ไม่ทราบว่าเป็นแนวไหนครับ สนใจ
เกี่ยวกับรถมือสองครับทั้งซื้อมาขายไปและจัดไฟแนนท์แต่ตอนนี้เหลือแค่ไฟแนนท์เพราะช่วงนี้ขายอืดและจัดไฟแนนท์ไปเรื่อยเงินก็หมด :D :D :D จริงได้มากกว่าร้อยละ 18 ต่อปีครับเพราะที่จ่ายไม่ได้มีแค่ดอกแต่มีเงินต้นด้วยได้อีกก้อนก็จัดอีกผ่านไปปีกว่าจากสี่แสนงอกเป็นห้าแสนล่ะ ที่ทำได้เพราะที่บ้านผมเป็นเต้นท์นะครับแล้วแต่โอกาสและช่องทางของแต่ละคนครับ อนาคตกะว่าจะเปิดร้านถ่ายเอกสาร เข้าเล่ม เครื่องเขียน ต่อประกัน พรบ นายหน้าไฟแนนท์ อู๊ยยยย โครงการเพียบตอนนี้ยุ่งกับเรื่องลูกก่อน
-
ต้องถามพี่ว่า พี่ใช้เวลาเก็บเงิน 7.5 แสนนานหรือไม่อ่ะครับ
ประเด็นอยู่ที่ว่า :
พี่ต้องดีไซน์ทางสายกลางเพื่อสร้างสมดุล
ระหว่างความประหยัด กับความพอเพียง
ในแบบของพี่เองครับ
-
ควรมีเงินสดไว้บ้างยามฉุกเฉินครับไม่งั้นก็ลดสเปครถลงมา ผมรู้จักคนนึงซื้อซีวิคเงินสดแต่ผ่านไปได้ราวๆ 6 เดือนมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินอย่างแรง (จำไม่ได้ว่าบวชหรือแต่งงาน) ก็เอารถไปเข้าไฟแนนท์เสียดอกบานทะโร่เลย
ถ้าเป็นผมก็คงเอาเงินมาลงทุนมากกว่าครับดาวน์ซัก 3 แสน เหลือ 1 ล้าน เก็บ 2 แสน ลงทุน 1 ล้าน ได้ 1.5%/เดือนเท่ากับกำไรเดือนละ 15,000 ปีละ 180,000 แค่ปีเดียวก็ cover ดอกได้เกือบหมดแล้วเอาไปเอามาถูกกว่าซื้อสดซะอีก แต่เพราะคิดแบบนี้แหละเลยไม่ได้ซื้อซักกะที :D :D :D
โห กำไร 18% ต่อปีเลยหรือครับ ถ้ามีช่องทางได้ขนาดนี้ น่าสนมาก ไม่ทราบว่าเป็นแนวไหนครับ สนใจ
เกี่ยวกับรถมือสองครับทั้งซื้อมาขายไปและจัดไฟแนนท์แต่ตอนนี้เหลือแค่ไฟแนนท์เพราะช่วงนี้ขายอืดและจัดไฟแนนท์ไปเรื่อยเงินก็หมด :D :D :D จริงได้มากกว่าร้อยละ 18 ต่อปีครับเพราะที่จ่ายไม่ได้มีแค่ดอกแต่มีเงินต้นด้วยได้อีกก้อนก็จัดอีกผ่านไปปีกว่าจากสี่แสนงอกเป็นห้าแสนล่ะ ที่ทำได้เพราะที่บ้านผมเป็นเต้นท์นะครับแล้วแต่โอกาสและช่องทางของแต่ละคนครับ อนาคตกะว่าจะเปิดร้านถ่ายเอกสาร เข้าเล่ม เครื่องเขียน ต่อประกัน พรบ นายหน้าไฟแนนท์ อู๊ยยยย โครงการเพียบตอนนี้ยุ่งกับเรื่องลูกก่อน
ถึงว่าทำไมมันงามจัง (ดอกเบี้ย)
ช่องทางแต่ละท่านก็มีหลากหลายกันไป อย่างที่ว่าแหละ ของแบบนี้ ทางใครทางเค้า ว่ากันไป
ขอบคุณมากครับที่มาแชร์ให้ฟัง
-
เข้ามาเก็บข้อมูล
-
สรุปให้ แล้วกัน
คำแนะนำของเซลล์ก้อคือคำแนะนำของเซลล์ไม่ว่าจะเป็นเพื่อหรืออะไรก้อตาม
ที่พูดมาทั้งหมดก้อถูก แต่มีอีกเรื่องคื่
เซลล์ขายรถได้ค่าคอมจากบริษัทรถ
แต่ถ้าเข้าไฟแนนซ์ได้ค่าคอมจากไฟแนนซ์อีกต่อนึง
แค่นั้นแหละที่เซลล์จะเชียร์ให้ผ่อน
แต่ต้องหาวิํีพูดหว่านล้อมให้ไม่เข้าตัวเอง ให้ไปเข้าข้างคนซื้อ ว่าได้ประโยชน์งั้นงี้
ปต่คนซื้อต้องตัดสินใจเองว่าถ้าเงินที่ใช้แค่ดาวน์ แล้วที่เหลือลงทุนอะไรก้อตามแต่ได้ผลประโยชน์มากกว่าก้อผ่อน
หรือมีเงินไม่พอซื้อสดก้อผ่อน แต่ถ้าเงินนี้เก็บไว้เฉยๆในธนาคาร ฝากกินดอก ถ้าดอกมากกว่าดอกรถ ก้อผ่อน แต่ไม่มีหรอก
ฟรือถ้าไม่มีที่ลงทุนทำให้มันงอกเงยได้ก้อซื้อสดดีกว่า ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ยังงัยก้อตามคนซื้อเป้นคนรับผิดชอบ
เซลล์แค่แนะนำอย่าไปเชื่อเซลล์หรือคนอื่น เงินของตัวเอง ตัวเองต้องรับผิดชอบดูแล และ/ม่ต้องเดือดร้อน
-
มาเก็บข้อมูลวิธีคิดการหาเงินของพวกพี่ ๆ
-
การผ่อนรถใหม่ เป็นเงินกู้ดอกต่ำที่สุดที่พึงจะหาได้ครับ ยิ่งได้ดอก 2.25% คือแค่ฝากแบงค์ ดอกดีๆ ที่ 3% ก็คุ้มกว่าแล้ว
ผมว่าคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องนะครับ
ดอกเบี้ยรถที่ดูเหมือนจะถูกมันเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะมันเป็น fix rate เทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากแบงค์ไม่ได้ครับ
สมมติตัวเลขง่ายนะครับ ยอดจัด 1,000,000 บาท ดอกเบี้ย 2.5%
สมมติเราผ่อน 4 ปี
สรุปดอกเบี้ยปีละ 25,000 บาท x 4 ปี เท่ากับ 1 แสน
ลองมองดีดี คือเราต้องจ่ายดอกเบี้ย 2.5% ของยอดเต็ม 1 ล้าน หรือ 25,000 บาท ในทุกปี
ปีแรกผ่อนไป 250,000 บาท + ดอกเบี้ย 25,000
ปีที่สอง ยอดมันควรจะเหลือ 750,000 ( เพราะเราจ่ายปีแรกไปแล้ว 250,000) แต่เราคงต้องจ่ายดอกเท่าเดิม คือ 25,000 ในปีที่ 2 ใช่มั้ยครับ
พอเข้าปีที่ 3 ยอดค้างจะเหลืิอประมาณ 5 แสน เราก็ยังต้องจ่ายดอกเต็ม 25,000 บาท >> เท่ากับปีที่ 3 เราจ่ายดอกประมาณ 5%
พอปีสุดท้าย ยอดค้างเหลือประมาณ 250,000 บาท แต่เรายังต้องเสียดอก 25,000 บาท >>> มันคือ 10% นะครับในปีสุดท้าย
สรุป ในทาง finance ถ้าคิดคร่าวๆ ดอกเบี้ยรถยนต์ที่คิด fix rate ไม่ลดต้น ให้คูณ 2-2.5 ไว้เลย
=========================================================
ตอบเจ้าของกระทู้ ถ้าคุณคิดว่าเงินของคุณเอาไปลงทุนได้อย่างน้อย 5% ต่อปี ก็ซื้อผ่อนดีกว่าครับ
แต่ถ้าจะเอา 750,000 ไปฝากแบงค์เฉยๆ กินดอก 3% ซื้อสดไปเลย เพราะดอกเบี้ยรถแพงกว่าแน่นอนครับ
-
ต้องการซื้อรถราคา 1.5 ล้าน โดยมีเงินสดอยู่ 1.5 ล้านพอดี
ส่วนตัวผม ผมแบ่งตามกรณีแบบนนี้นะครับ
- เกษียรแล้ว ลูกหลานมีหน้าที่การงานดี มีทรัพย์สินเหลือๆ << แบบนี้สดหรือผ่อนก็ได้
- ถ้าอยู่ในวัยทำงาน เป็นผมยังไงก็ผ่อนอยู่ดี แต่ต้องดูรายได้ และค่าใช้จ่ายอื่นๆต่อเดือนว่าเหลือเงินเท่าไหร่อะครับ อย่างเต็มที่สุดๆค่างวดรถก็ไม่ควรเกิน 30% รายได้ต่อเดือน และก็ดาวน์ไม่เกิน 1/3 ของ เงินที่มีอยู่ เว้นแต่มีทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูงเก็บไว้ในรูปแบบอื่นๆอยู่ด้วยอีกจำนวนนึงพอสมควร
- ถ้ารายได้ต่อเดือนยังไม่มากกว่า 3 เท่าของค่างวดรถ เป็นผมจะมองรถคันที่เล็กกว่า ไม่ก็รถมือสองไปก่อนอะครับ
-
หูย มี1.5 อย่าลงหมด 1.5 เลยครับ
เผื่อไว้ฉุกเฉินดีกว่า
ดาวสัก 8-1 ล้าน
ผ่อนสัก 2 ปี ครับ
ไม่ก็เล่นตัว 2.0 ก็พอครับซื้อสดไปเลย
-
ความคิดส่วนของผม ย้ำนะครับว่าของผม แค่อยากแชร์ความคิด
1. การผ่อนคือการนำเงินอนาคตมาใช้ ย่อมมีต้นทุน นั่นคือดอกเบี้ย
บริษัทไฟแนนท์คือนักลงทุน เป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งไม่ต่างกับธนาคารที่ต้องการแสวงหาผลกำไรจากการลงทุน
ทำไมไฟแนนท์ถึงเลือกลงทุนกับสินเฃื่อรถยนต์ ไม่ไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ย ซื้อสลากออมสินหวังถูกรางวัลทุกงวด หรือซื้อหุ้นซื้อทอง
ทั้งที่ลงทุนแบบนี้ความเสี่ยงน้อยว่าปล่อยไฟแนนท์ ซึ่งต้องมีค่าดำเนินการ ค่าพนักงาน ลูกจ้าง คนตามหนี้ ค่าวัสดุสำนักงาน ..........ฯลฯ
ผ่อนรถต้องทำประกันชั้น1 ทุกปีนะครับตรงนี้อย่าลืม บางไฟแนนท์ให้คุณทำประกันชีวิตระบุผู้รับกรมทัณฑ์เป็นบริษัทด้วย แถมผ่อนเสร็จต้องเสียค่าโอนอีก
จะทำอะไรกับรถต้องถามไฟแนนท์อีกเรื่องเยอะครับ
ฉะนั้นสำหรับคนทั่วไป ตรรกะที่ว่าเอาเงินไปลงทุนเองจะได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยที่เสียให้ไฟแแนท์คงไม่น่าจะถูกต้องนัก ถ้าคุณไม่ใช่นักลงทุนที่ฝีมือฉกาจฉกรรณ์จริงๆ
2. ส่วนที่บอกผ่อนเพื่อมีเงินเก็ยไว้เผื่อฉุกเฉิน
ต้องถามกลับว่าฉุกเฉินคืออะไร และแค่ไหน เช่นฉุกเฉินมากสำคัญมากจำเป็นต้องใช้เงินมาก ต้องทุ่มเงินที่มีทั้งหมดกับเหตุฉุกเฉินนั้น ถ้าฉุกเฉินขนาดนี้แล้วเราจะเอาเงินส่วนไหนไปส่งไฟแนนท์เมื่อเงินสดและเงินสำรองถูกใช้ไปกับเหตุฉุกเฉินนั้นแล้ว (ซึ่งอาจรวมถึงรายได้ที่หายไปเช่นตกงานหรือป่วยไม่สามารถหารายได้ได้เท่าเดิม) คนรอบข้างอาจช่วยเหลือได้เช่น พ่อ แม่ พี่น้องหรือคู่สมรส แต่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้เขาแน่ ถ้าไม่มีเงินส่งค่างวดสุดท้ายรถถูกยึด
ฉะนั้นการผ่อนคือการสร้างภาระเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินมากกว่า
ปล... การผ่อนเป็นการตอนสนองความต้องการใช้สินค้านั้นๆ ทั้งที่เกิดจากความจำเป็นต้องใช้สินค้า และความอยากได้ในสินค้า
หากผ่อนบ้าน ที่อยู่อาศัย ผมเห็นด้วย การผ่อนรถ ก็ต้องดูเป็นกรณีไป เช่นถ่าซื้อสดได้ผมซื้อสด ยังไงก็ต้องเก็บเงินให้ได้จำนวนหนึ่ง ให้ทั้งพอราคารถและพอมีเงินเหลือเก็บสำหรับฉุกเฉิน แต่หากรถเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อใช้งานการผ่อนก็เป็นวิธีที่หนึ่งที่เราจะได้มีรถใช้งาน
การผ่อนก็เป็นการตอบสนองการเข้าถึงสินค้า จะเป็นการตอบสนองความจำเป็น หรือตอบสนองความต้องการ(กิเลส) หรือจะเพื่ออะไรก็ตามเงินเป็นของเราจะเงินเก็บหรือเงินอนาคต ก็ขอให้มีสติกับใช้จ่ายครับ..........
แหมรถใหม่ใครก็อยากได้ รวมทั้งผมด้วย ;D ;D ;D ;D
-
ความคิดส่วนของผม ย้ำนะครับว่าของผม แค่อยากแชร์ความคิด
1. การผ่อนคือการนำเงินอนาคตมาใช้ ย่อมมีต้นทุน นั่นคือดอกเบี้ย
บริษัทไฟแนนท์คือนักลงทุน เป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งไม่ต่างกับธนาคารที่ต้องการแสวงหาผลกำไรจากการลงทุน
ทำไมไฟแนนท์ถึงเลือกลงทุนกับสินเฃื่อรถยนต์ ไม่ไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ย ซื้อสลากออมสินหวังถูกรางวัลทุกงวด หรือซื้อหุ้นซื้อทอง
ทั้งที่ลงทุนแบบนี้ความเสี่ยงน้อยว่าปล่อยไฟแนนท์ ซึ่งต้องมีค่าดำเนินการ ค่าพนักงาน ลูกจ้าง คนตามหนี้ ค่าวัสดุสำนักงาน ..........ฯลฯ
ผ่อนรถต้องทำประกันชั้น1 ทุกปีนะครับตรงนี้อย่าลืม บางไฟแนนท์ให้คุณทำประกันชีวิตระบุผู้รับกรมทัณฑ์เป็นบริษัทด้วย แถมผ่อนเสร็จต้องเสียค่าโอนอีก
จะทำอะไรกับรถต้องถามไฟแนนท์อีกเรื่องเยอะครับ
ฉะนั้นสำหรับคนทั่วไป ตรรกะที่ว่าเอาเงินไปลงทุนเองจะได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยที่เสียให้ไฟแแนท์คงไม่น่าจะถูกต้องนัก ถ้าคุณไม่ใช่นักลงทุนที่ฝีมือฉกาจฉกรรณ์จริงๆ
2. ส่วนที่บอกผ่อนเพื่อมีเงินเก็ยไว้เผื่อฉุกเฉิน
ต้องถามกลับว่าฉุกเฉินคืออะไร และแค่ไหน เช่นฉุกเฉินมากสำคัญมากจำเป็นต้องใช้เงินมาก ต้องทุ่มเงินที่มีทั้งหมดกับเหตุฉุกเฉินนั้น ถ้าฉุกเฉินขนาดนี้แล้วเราจะเอาเงินส่วนไหนไปส่งไฟแนนท์เมื่อเงินสดและเงินสำรองถูกใช้ไปกับเหตุฉุกเฉินนั้นแล้ว (ซึ่งอาจรวมถึงรายได้ที่หายไปเช่นตกงานหรือป่วยไม่สามารถหารายได้ได้เท่าเดิม) คนรอบข้างอาจช่วยเหลือได้เช่น พ่อ แม่ พี่น้องหรือคู่สมรส แต่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้เขาแน่ ถ้าไม่มีเงินส่งค่างวดสุดท้ายรถถูกยึด
ฉะนั้นการผ่อนคือการสร้างภาระเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินมากกว่า
ปล... การผ่อนเป็นการตอนสนองความต้องการใช้สินค้านั้นๆ ทั้งที่เกิดจากความจำเป็นต้องใช้สินค้า และความอยากได้ในสินค้า
หากผ่อนบ้าน ที่อยู่อาศัย ผมเห็นด้วย การผ่อนรถ ก็ต้องดูเป็นกรณีไป เช่นถ่าซื้อสดได้ผมซื้อสด ยังไงก็ต้องเก็บเงินให้ได้จำนวนหนึ่ง ให้ทั้งพอราคารถและพอมีเงินเหลือเก็บสำหรับฉุกเฉิน แต่หากรถเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อใช้งานการผ่อนก็เป็นวิธีที่หนึ่งที่เราจะได้มีรถใช้งาน
การผ่อนก็เป็นการตอบสนองการเข้าถึงสินค้า จะเป็นการตอบสนองความจำเป็น หรือตอบสนองความต้องการ(กิเลส) หรือจะเพื่ออะไรก็ตามเงินเป็นของเราจะเงินเก็บหรือเงินอนาคต ก็ขอให้มีสติกับใช้จ่ายครับ..........
แหมรถใหม่ใครก็อยากได้ รวมทั้งผมด้วย ;D ;D ;D ;D
+1
-
ถ้าในกรณีจขกท.ดิฉันแนะนำผ่อน แล้วเก็บเงินสำรองไว้ยามฉุกเฉิน
ส่วนการเอาเงินไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆ ถ้าไม่เก่งเรื่องหุ้นก็อย่าเสี่ยงจะดีกว่า
เพราะช่วงเวลาหุ้นตกหนักๆสามารถทำให้ขาดทุน40-50%ได้เลยทีเดียวไม่ว่าจะLTFก็ด้วยเช่นกัน
ดิฉันแนะนำการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือPFUND แบบFree Hold (เราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตัวอาคารรวมทั้งเฟอร์นิเจอร์) ไม่ใช่สัญญาเช่าช่วงหรือเรียกว่าLease hold
ยกตัวอย่างเช่นที่ดิฉันถืออยู่
รร.ดุสิตธานี หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ จ่ายผลตอบแทนให้8.1%ต่อปีรับประกันผลตอบแทน4ปี
รร.PP Island Beach Resort ที่เกาะพีพี 7.8%ต่อปี ปล่อยเช่าทำสัญญาล่วงหน้า15ปี
หมู่บ้านนิชดาธานี ได้ค่าเช่าบ้านจากบ.ต่างชาติและสถานทูตอเมริกา+ UN 7.8%ต่อปีทำสัญญา7ปี
Service apartment+Retail spaceให้ร้านค้าเช่าทั้ง3ชั้นล่างที่ตึก8Thonglor6.5%ต่อปี
ได้ผลตอบแทนที่แน่นอน มั่นคงกว่าการลงทุนในหุ้น แถมซื้อขายได้ทุกวันเหมือนหุ้นทั่วไปค่ะ
-
อยากกด Like ให้หลายๆ คำตอบ
-
ซื้อสด ครับ สบายใจ ไม่มีหนี้ คุ้มกับสภาพจิตใจ ครับ
ไม่ต้องปวดหัวกับดอกเบี้ย เพราะยังไงก็ไม่เสีย
-
การผ่อนรถใหม่ เป็นเงินกู้ดอกต่ำที่สุดที่พึงจะหาได้ครับ ยิ่งได้ดอก 2.25% คือแค่ฝากแบงค์ ดอกดีๆ ที่ 3% ก็คุ้มกว่าแล้ว
ผมว่าคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องนะครับ
ดอกเบี้ยรถที่ดูเหมือนจะถูกมันเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะมันเป็น fix rate เทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากแบงค์ไม่ได้ครับ
สมมติตัวเลขง่ายนะครับ ยอดจัด 1,000,000 บาท ดอกเบี้ย 2.5%
สมมติเราผ่อน 4 ปี
สรุปดอกเบี้ยปีละ 25,000 บาท x 4 ปี เท่ากับ 1 แสน
ลองมองดีดี คือเราต้องจ่ายดอกเบี้ย 2.5% ของยอดเต็ม 1 ล้าน หรือ 25,000 บาท ในทุกปี
ปีแรกผ่อนไป 250,000 บาท + ดอกเบี้ย 25,000
ปีที่สอง ยอดมันควรจะเหลือ 750,000 ( เพราะเราจ่ายปีแรกไปแล้ว 250,000) แต่เราคงต้องจ่ายดอกเท่าเดิม คือ 25,000 ในปีที่ 2 ใช่มั้ยครับ
พอเข้าปีที่ 3 ยอดค้างจะเหลืิอประมาณ 5 แสน เราก็ยังต้องจ่ายดอกเต็ม 25,000 บาท >> เท่ากับปีที่ 3 เราจ่ายดอกประมาณ 5%
พอปีสุดท้าย ยอดค้างเหลือประมาณ 250,000 บาท แต่เรายังต้องเสียดอก 25,000 บาท >>> มันคือ 10% นะครับในปีสุดท้าย
สรุป ในทาง finance ถ้าคิดคร่าวๆ ดอกเบี้ยรถยนต์ที่คิด fix rate ไม่ลดต้น ให้คูณ 2-2.5 ไว้เลย
=========================================================
ตอบเจ้าของกระทู้ ถ้าคุณคิดว่าเงินของคุณเอาไปลงทุนได้อย่างน้อย 5% ต่อปี ก็ซื้อผ่อนดีกว่าครับ
แต่ถ้าจะเอา 750,000 ไปฝากแบงค์เฉยๆ กินดอก 3% ซื้อสดไปเลย เพราะดอกเบี้ยรถแพงกว่าแน่นอนครับ
เห็นด้วยครับ คิดแบบนี้ถึงถูกต้องครับ จขกท
ในใบสัญญาผ่อน มันจะมีบอกไว้เลยครับว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ที่เท่าไร
ถ้าผมจำไม่ผิด ผมเคยผ่อนครูซ ดอกเบี้ยสองกว่าๆสี่ปี แต่ในสัญญาเขียนว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงๆ (ถ้าจำไม่ผิด) อยู่ที่ 8-9% คับ
-
จากคำถามมีเงินพอดีค่ารถเลย ยังไงก็ต้องผ่อน เงินเก็บเกลี้ยงเลยเสี่ยงไป
แต่ถ้าซื้อสดก็ได้แต่ต้องอย่าลืมค่าใช้จ่ายอย่างอื่นด้วย
-ค่าน้ำมัน
-ค่าซ่อมบำรุง
-ค่ายาง
-ค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทาง
ถ้าค่าใช้จ่ายเหล่านี้มีรายได้มาสมทบมากกว่าค่าใช้จ่ายเยอะๆก็ซื้อสดได้
-
การผ่อนรถใหม่ เป็นเงินกู้ดอกต่ำที่สุดที่พึงจะหาได้ครับ ยิ่งได้ดอก 2.25% คือแค่ฝากแบงค์ ดอกดีๆ ที่ 3% ก็คุ้มกว่าแล้ว
ผมว่าคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องนะครับ
ดอกเบี้ยรถที่ดูเหมือนจะถูกมันเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะมันเป็น fix rate เทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากแบงค์ไม่ได้ครับ
สมมติตัวเลขง่ายนะครับ ยอดจัด 1,000,000 บาท ดอกเบี้ย 2.5%
สมมติเราผ่อน 4 ปี
สรุปดอกเบี้ยปีละ 25,000 บาท x 4 ปี เท่ากับ 1 แสน
ลองมองดีดี คือเราต้องจ่ายดอกเบี้ย 2.5% ของยอดเต็ม 1 ล้าน หรือ 25,000 บาท ในทุกปี
ปีแรกผ่อนไป 250,000 บาท + ดอกเบี้ย 25,000
ปีที่สอง ยอดมันควรจะเหลือ 750,000 ( เพราะเราจ่ายปีแรกไปแล้ว 250,000) แต่เราคงต้องจ่ายดอกเท่าเดิม คือ 25,000 ในปีที่ 2 ใช่มั้ยครับ
พอเข้าปีที่ 3 ยอดค้างจะเหลืิอประมาณ 5 แสน เราก็ยังต้องจ่ายดอกเต็ม 25,000 บาท >> เท่ากับปีที่ 3 เราจ่ายดอกประมาณ 5%
พอปีสุดท้าย ยอดค้างเหลือประมาณ 250,000 บาท แต่เรายังต้องเสียดอก 25,000 บาท >>> มันคือ 10% นะครับในปีสุดท้าย
สรุป ในทาง finance ถ้าคิดคร่าวๆ ดอกเบี้ยรถยนต์ที่คิด fix rate ไม่ลดต้น ให้คูณ 2-2.5 ไว้เลย
=========================================================
ตอบเจ้าของกระทู้ ถ้าคุณคิดว่าเงินของคุณเอาไปลงทุนได้อย่างน้อย 5% ต่อปี ก็ซื้อผ่อนดีกว่าครับ
แต่ถ้าจะเอา 750,000 ไปฝากแบงค์เฉยๆ กินดอก 3% ซื้อสดไปเลย เพราะดอกเบี้ยรถแพงกว่าแน่นอนครับ
แล้วถ้าไม่คิดเป็นเปอร์เซ็นต่อปี แล้วคำนวณเป็นตัวเลขออกมาเลยว่า ได้ดอกจากฝากแบงค์เท่าไหร่ เสียดอกกับไฟแนนซ์เท่าไรละครับ
เช่น จากตัวอย่าง
เงินสดหนึ่งล้าน ผ่อนดอก 2.5% ต่อปี 4 ปี เสียดอกให้ไฟแนนซ์ 1 แสน
แต่เอาเงินหนึ่งล้านฝากแบงค์ได้ดอก 3% ต่อปี 4 ปี จะได้ดอกมากกว่า 1 แสน (อย่างต่ำ 1.2 แสน)
เงินที่เอาไปฝากแบงค์ไม่ได้เอามาผ่อน
คิดแบบนี้ได้รึเปล่าครับ
-
ได้ข้อคิดดีๆเพียบเลยครับ
จริงๆรถก็มีใช้ไม่ได้เดือดร้อน แต่แค่ต้องการสนองความอยากเท่านั้นเอง
แต่อ่านคำตอบของบางท่านแล้วชักอยากเอาเงินมาลงทุนก่อนก็น่าจะดี....ถ้า Accord ใหม่ไม่จัดเต็มออฟชั่นซะก่อนนะ
เพราะ ผมรอแค่ Accord ใหม่เปิดตัวเพื่อตัดสินใจ
ส่วนคำตอบของคุณหญิงเล็ก
ถ้าในกรณีจขกท.ดิฉันแนะนำผ่อน แล้วเก็บเงินสำรองไว้ยามฉุกเฉิน
ส่วนการเอาเงินไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆ ถ้าไม่เก่งเรื่องหุ้นก็อย่าเสี่ยงจะดีกว่า
เพราะช่วงเวลาหุ้นตกหนักๆสามารถทำให้ขาดทุน40-50%ได้เลยทีเดียวไม่ว่าจะLTFก็ด้วยเช่นกัน
ดิฉันแนะนำการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือPFUND แบบFree Hold (เราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตัวอาคารรวมทั้งเฟอร์นิเจอร์) ไม่ใช่สัญญาเช่าช่วงหรือเรียกว่าLease hold
ยกตัวอย่างเช่นที่ดิฉันถืออยู่
รร.ดุสิตธานี หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ จ่ายผลตอบแทนให้8.1%ต่อปีรับประกันผลตอบแทน4ปี
รร.PP Island Beach Resort ที่เกาะพีพี 7.8%ต่อปี ปล่อยเช่าทำสัญญาล่วงหน้า15ปี
หมู่บ้านนิชดาธานี ได้ค่าเช่าบ้านจากบ.ต่างชาติและสถานทูตอเมริกา+ UN 7.8%ต่อปีทำสัญญา7ปี
Service apartment+Retail spaceให้ร้านค้าเช่าทั้ง3ชั้นล่างที่ตึก8Thonglor6.5%ต่อปี
ได้ผลตอบแทนที่แน่นอน มั่นคงกว่าการลงทุนในหุ้น แถมซื้อขายได้ทุกวันเหมือนหุ้นทั่วไปค่ะ
ถ้าไม่รบกวนเกินไปอยากสอบถามเพิ่มเติมเรื่องการลงทุน PFund สนใจจริงๆ ครับ
ขอบคุณทุกๆคำตอบอีกครั้งนะครับ
-
การผ่อนรถใหม่ เป็นเงินกู้ดอกต่ำที่สุดที่พึงจะหาได้ครับ ยิ่งได้ดอก 2.25% คือแค่ฝากแบงค์ ดอกดีๆ ที่ 3% ก็คุ้มกว่าแล้ว
ผมว่าคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องนะครับ
ดอกเบี้ยรถที่ดูเหมือนจะถูกมันเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะมันเป็น fix rate เทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากแบงค์ไม่ได้ครับ
สมมติตัวเลขง่ายนะครับ ยอดจัด 1,000,000 บาท ดอกเบี้ย 2.5%
สมมติเราผ่อน 4 ปี
สรุปดอกเบี้ยปีละ 25,000 บาท x 4 ปี เท่ากับ 1 แสน
ลองมองดีดี คือเราต้องจ่ายดอกเบี้ย 2.5% ของยอดเต็ม 1 ล้าน หรือ 25,000 บาท ในทุกปี
ปีแรกผ่อนไป 250,000 บาท + ดอกเบี้ย 25,000
ปีที่สอง ยอดมันควรจะเหลือ 750,000 ( เพราะเราจ่ายปีแรกไปแล้ว 250,000) แต่เราคงต้องจ่ายดอกเท่าเดิม คือ 25,000 ในปีที่ 2 ใช่มั้ยครับ
พอเข้าปีที่ 3 ยอดค้างจะเหลืิอประมาณ 5 แสน เราก็ยังต้องจ่ายดอกเต็ม 25,000 บาท >> เท่ากับปีที่ 3 เราจ่ายดอกประมาณ 5%
พอปีสุดท้าย ยอดค้างเหลือประมาณ 250,000 บาท แต่เรายังต้องเสียดอก 25,000 บาท >>> มันคือ 10% นะครับในปีสุดท้าย
สรุป ในทาง finance ถ้าคิดคร่าวๆ ดอกเบี้ยรถยนต์ที่คิด fix rate ไม่ลดต้น ให้คูณ 2-2.5 ไว้เลย
=========================================================
ตอบเจ้าของกระทู้ ถ้าคุณคิดว่าเงินของคุณเอาไปลงทุนได้อย่างน้อย 5% ต่อปี ก็ซื้อผ่อนดีกว่าครับ
แต่ถ้าจะเอา 750,000 ไปฝากแบงค์เฉยๆ กินดอก 3% ซื้อสดไปเลย เพราะดอกเบี้ยรถแพงกว่าแน่นอนครับ
แล้วถ้าไม่คิดเป็นเปอร์เซ็นต่อปี แล้วคำนวณเป็นตัวเลขออกมาเลยว่า ได้ดอกจากฝากแบงค์เท่าไหร่ เสียดอกกับไฟแนนซ์เท่าไรละครับ
เช่น จากตัวอย่าง
เงินสดหนึ่งล้าน ผ่อนดอก 2.5% ต่อปี 4 ปี เสียดอกให้ไฟแนนซ์ 1 แสน
แต่เอาเงินหนึ่งล้านฝากแบงค์ได้ดอก 3% ต่อปี 4 ปี จะได้ดอกมากกว่า 1 แสน (อย่างต่ำ 1.2 แสน)
เงินที่เอาไปฝากแบงค์ไม่ได้เอามาผ่อน
คิดแบบนี้ได้รึเปล่าครับ
ไม่ได้ครับ ดอกเบี๊ยผ่อนรถมันเป็น Flat Rate ไม่เหมือนกับดอกเบี๊ยธนาคารอ่ะครับ
เช่น ยอดเงินที่ผ่อนทั้งหมด 100000 บาท ดอก 2.5% ผ่อน 4 ปี
เงินทั้งหมดคือ 110,000 หาร 48 เดือน = เงินที่คุณผ่อนต่อเดือน = 2291 บาท
เรายืมเงินมา 100000 บาทถูกไหมครับ แล้วเราต้องผ่อน 2291 บาททั้งหมด 48 เดือน
ดังนั้นเมื่อเราคำนวณหา ROR - rate of return จากเงินผ่อน 2291 บาท เป็นเวลา 48 เดือน จะได้เท่ากับ 0.39% ต่อเดือน หรือ 4.84% ต่อปี
ไอ้ 4.84% เนี่ยแหละครับ คือดอกเบี๊ยจริงๆ (เหมือนกับดอกเบี๊ยเงินฝาก หรือ เงินกู้ทั่วไป)
ดังนั้น ถ้าคุณคิดว่า คุณผ่อนแล้วดก็บเงินไว้ ทำอย่างอื่น ที่ได้มากกว่า 4.84% เลือกผ่อนโลดดดดครับ
แต่ถ้าเทียบกับดอกเบี๊ยเงินฝาก อันนี้ ไม่คุ้มครับผม
ปล. ผมพิมพ์ไม่ละเอียดมาก งงๆ ตรงไหน ลองถามๆมาก็ได้ครับ ^^ หรือดูใน excel ไฟล์แนบก็ได้ครับ
-
ไม่สนใจทองแท่งหลอครับ ตอนนี้กำลังดำดิ่ง
1.5m ก็ได้60บ ไม่ต้องคิดไรมาก ลงก็เก็บ สูงก็ขาย
แต่ผมซื้อทีไรลงทุกที เก็บจนจะหมดตัวอยู่ละ -*-
-
ได้ข้อคิดดีๆเพียบเลยครับ
จริงๆรถก็มีใช้ไม่ได้เดือดร้อน แต่แค่ต้องการสนองความอยากเท่านั้นเอง
แต่อ่านคำตอบของบางท่านแล้วชักอยากเอาเงินมาลงทุนก่อนก็น่าจะดี....ถ้า Accord ใหม่ไม่จัดเต็มออฟชั่นซะก่อนนะ
เพราะ ผมรอแค่ Accord ใหม่เปิดตัวเพื่อตัดสินใจ
ส่วนคำตอบของคุณหญิงเล็ก
ถ้าในกรณีจขกท.ดิฉันแนะนำผ่อน แล้วเก็บเงินสำรองไว้ยามฉุกเฉิน
ส่วนการเอาเงินไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆ ถ้าไม่เก่งเรื่องหุ้นก็อย่าเสี่ยงจะดีกว่า
เพราะช่วงเวลาหุ้นตกหนักๆสามารถทำให้ขาดทุน40-50%ได้เลยทีเดียวไม่ว่าจะLTFก็ด้วยเช่นกัน
ดิฉันแนะนำการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือPFUND แบบFree Hold (เราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตัวอาคารรวมทั้งเฟอร์นิเจอร์) ไม่ใช่สัญญาเช่าช่วงหรือเรียกว่าLease hold
ยกตัวอย่างเช่นที่ดิฉันถืออยู่
รร.ดุสิตธานี หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ จ่ายผลตอบแทนให้8.1%ต่อปีรับประกันผลตอบแทน4ปี
รร.PP Island Beach Resort ที่เกาะพีพี 7.8%ต่อปี ปล่อยเช่าทำสัญญาล่วงหน้า15ปี
หมู่บ้านนิชดาธานี ได้ค่าเช่าบ้านจากบ.ต่างชาติและสถานทูตอเมริกา+ UN 7.8%ต่อปีทำสัญญา7ปี
Service apartment+Retail spaceให้ร้านค้าเช่าทั้ง3ชั้นล่างที่ตึก8Thonglor6.5%ต่อปี
ได้ผลตอบแทนที่แน่นอน มั่นคงกว่าการลงทุนในหุ้น แถมซื้อขายได้ทุกวันเหมือนหุ้นทั่วไปค่ะ
ถ้าไม่รบกวนเกินไปอยากสอบถามเพิ่มเติมเรื่องการลงทุน PFund สนใจจริงๆ ครับ
ขอบคุณทุกๆคำตอบอีกครั้งนะครับ
ยินดีค่ะ สามารถเข้าไปหาข้อมูลใน www.thaipropertyfund.com (http://www.thaipropertyfund.com) ได้เลยค่ะ
เข้าไปดูในหัวข้อ ข้อมูลกองทุนรวมอสังหาฯ
ตัวที่เป็นที่นิยมได้แก่ พื้นที่เช่าห้างCentral,Future Park,Major cineplex,Tesco lotus 22สาขาหลัก,สนามบินสมุย,โรงแรมดุสิตธานี
อาคารสำนักงานให้เช่าของCentral world,Q house สามารถทำการซื้อขายได้ทุกวัน มูลค่าการซื้อขาย1-40ล้านต่อวัน สภาพคล่องดีค่ะ
ส่วนเงินปันผลจะจ่ายทุกๆ3เดือนโอนเข้าบัญชีเราเลย ผลตอบแทน5.2-10%ต่อปีค่ะ
หรือถ้าไม่อยากซื้อขายเองในตลาดหลักทรัพย์ ก็สามารถเลือกลงทุนกับทาง กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้อีกทางหนึ่งค่ะ
มีของ ธ.เกียรตินาคิน CIMB บลจ.MFC บลจ.วรรณ อันนี้ลองโทรไปสอบถามดูนะค่ะ
-
ได้ข้อคิดดีๆเพียบเลยครับ
จริงๆรถก็มีใช้ไม่ได้เดือดร้อน แต่แค่ต้องการสนองความอยากเท่านั้นเอง
แต่อ่านคำตอบของบางท่านแล้วชักอยากเอาเงินมาลงทุนก่อนก็น่าจะดี....ถ้า Accord ใหม่ไม่จัดเต็มออฟชั่นซะก่อนนะ
เพราะ ผมรอแค่ Accord ใหม่เปิดตัวเพื่อตัดสินใจ
ส่วนคำตอบของคุณหญิงเล็ก
ถ้าในกรณีจขกท.ดิฉันแนะนำผ่อน แล้วเก็บเงินสำรองไว้ยามฉุกเฉิน
ส่วนการเอาเงินไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆ ถ้าไม่เก่งเรื่องหุ้นก็อย่าเสี่ยงจะดีกว่า
เพราะช่วงเวลาหุ้นตกหนักๆสามารถทำให้ขาดทุน40-50%ได้เลยทีเดียวไม่ว่าจะLTFก็ด้วยเช่นกัน
ดิฉันแนะนำการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือPFUND แบบFree Hold (เราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตัวอาคารรวมทั้งเฟอร์นิเจอร์) ไม่ใช่สัญญาเช่าช่วงหรือเรียกว่าLease hold
ยกตัวอย่างเช่นที่ดิฉันถืออยู่
รร.ดุสิตธานี หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ จ่ายผลตอบแทนให้8.1%ต่อปีรับประกันผลตอบแทน4ปี
รร.PP Island Beach Resort ที่เกาะพีพี 7.8%ต่อปี ปล่อยเช่าทำสัญญาล่วงหน้า15ปี
หมู่บ้านนิชดาธานี ได้ค่าเช่าบ้านจากบ.ต่างชาติและสถานทูตอเมริกา+ UN 7.8%ต่อปีทำสัญญา7ปี
Service apartment+Retail spaceให้ร้านค้าเช่าทั้ง3ชั้นล่างที่ตึก8Thonglor6.5%ต่อปี
ได้ผลตอบแทนที่แน่นอน มั่นคงกว่าการลงทุนในหุ้น แถมซื้อขายได้ทุกวันเหมือนหุ้นทั่วไปค่ะ
ถ้าไม่รบกวนเกินไปอยากสอบถามเพิ่มเติมเรื่องการลงทุน PFund สนใจจริงๆ ครับ
ขอบคุณทุกๆคำตอบอีกครั้งนะครับ
ยินดีค่ะ สามารถเข้าไปหาข้อมูลใน www.thaipropertyfund.com (http://www.thaipropertyfund.com) ได้เลยค่ะ
เข้าไปดูในหัวข้อ ข้อมูลกองทุนรวมอสังหาฯ
ตัวที่เป็นที่นิยมได้แก่ พื้นที่เช่าห้างCentral,Future Park,Major cineplex,Tesco lotus 22สาขาหลัก,สนามบินสมุย,โรงแรมดุสิตธานี
อาคารสำนักงานให้เช่าของCentral world,Q house สามารถทำการซื้อขายได้ทุกวัน มูลค่าการซื้อขาย1-40ล้านต่อวัน สภาพคล่องดีค่ะ
ส่วนเงินปันผลจะจ่ายทุกๆ3เดือนโอนเข้าบัญชีเราเลย ผลตอบแทน5.2-10%ต่อปีค่ะ
หรือถ้าไม่อยากซื้อขายเองในตลาดหลักทรัพย์ ก็สามารถเลือกลงทุนกับทาง กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้อีกทางหนึ่งค่ะ
มีของ ธ.เกียรตินาคิน CIMB บลจ.MFC บลจ.วรรณ อันนี้ลองโทรไปสอบถามดูนะค่ะ
คืนนี้คงอ่านกันยาวเลย ขอบคุณนะครับ ;)
-
ไม่ได้ครับ ดอกเบี๊ยผ่อนรถมันเป็น Flat Rate ไม่เหมือนกับดอกเบี๊ยธนาคารอ่ะครับ
เช่น ยอดเงินที่ผ่อนทั้งหมด 100000 บาท ดอก 2.5% ผ่อน 4 ปี
เงินทั้งหมดคือ 110,000 หาร 48 เดือน = เงินที่คุณผ่อนต่อเดือน = 2291 บาท
เรายืมเงินมา 100000 บาทถูกไหมครับ แล้วเราต้องผ่อน 2291 บาททั้งหมด 48 เดือน
ดังนั้นเมื่อเราคำนวณหา ROR - rate of return จากเงินผ่อน 2291 บาท เป็นเวลา 48 เดือน จะได้เท่ากับ 0.39% ต่อเดือน หรือ 4.84% ต่อปี
ไอ้ 4.84% เนี่ยแหละครับ คือดอกเบี๊ยจริงๆ (เหมือนกับดอกเบี๊ยเงินฝาก หรือ เงินกู้ทั่วไป)
ดังนั้น ถ้าคุณคิดว่า คุณผ่อนแล้วดก็บเงินไว้ ทำอย่างอื่น ที่ได้มากกว่า 4.84% เลือกผ่อนโลดดดดครับ
แต่ถ้าเทียบกับดอกเบี๊ยเงินฝาก อันนี้ ไม่คุ้มครับผม
ปล. ผมพิมพ์ไม่ละเอียดมาก งงๆ ตรงไหน ลองถามๆมาก็ได้ครับ ^^ หรือดูใน excel ไฟล์แนบก็ได้ครับ
ขอบคุณครับแต่ยังงงอยู่ 555
คือไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้ ROR นะครับ (ไม่ค่อยสันทัดเรื่องการลงทุน)
คือส่วนตัวคิดว่า ถ้าเราไม่ได้เอาเงินนี้ไปลงทุนให้เกิดผลตอบแทน
แต่มาคิดว่า ในเวลา 4 ปี
ระหว่างสองทางเลือก คือ
1 ซื้อสดเต็มจำนวน (ไม่เหลือเงินฝากแบงค์) เมื่อครบเวลา 4 ปี เงินก็ยังเป็น 0 เพราะไม่มีเงินต้น
2 เอาเงินตรงนี้ไปฝากทั้งหมด ได้ดอกตามที่กำหนด
แล้วเอาเงินเดือนมาผ่อน
เงินต้นรวมดอกเบี้ยที่ได้จากธนาคารเมื่อครบ 4 ปีจะมากกว่า เงินที่ต้องเสียให้ไฟแนนซ์ทั้งหมด รึเปล่าครับ
อย่างตัวอย่าง ราคารถ 100000 เงินที่ต้องจ่ายไฟแนนซ์สุทธิเท่ากับ 110000
แล้วพอครบ 4 ปีเราน่าจะได้เงินจากธนาคารมากกว่า 110000 (เงินต้น 100000 + ดอก 3000 ต่อปี 4 ปี)
ไม่แน่ใจว่าอันนี้ถูกรึเปล่าครับ
-
ผมออกเงินสดให้พวกซื้ออุปกรณ์ก่อสร้าง ได้ร้อยละ2% /20วัน
ดีกว่าฝากธนาคารเป็นไหนๆ
1 ล้านก็ 2หมื่นบาท/20วัน
น่าสนใจมากคับ ขอคำแนะนำด้วยน่ะคับ
-
ผมออกเงินสดให้พวกซื้ออุปกรณ์ก่อสร้าง ได้ร้อยละ2% /20วัน
ดีกว่าฝากธนาคารเป็นไหนๆ
1 ล้านก็ 2หมื่นบาท/20วัน
น่าสนใจมากคับ ขอคำแนะนำด้วยน่ะคับ
ผมเข้าใจว่าน่าจะกึ่งๆปล่อยกู้หรือเปล่า (ไม่มั่นใจนะครับ พอดีผมขายวัสดุก่อสร้างอยู่)
แต่น่าจะมีความเสี่ยงเงินสูญ(ศูนย์)เพราะเจอช่างเบี้ยวเงิน กำไรจาก ดอกดี แต่ก็เสี่ยงสูง
แต่รอเจ้าของคอมเม้นท์มาตอบดีกว่า... แบบว่ามารอด้วนคน เป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ ตรงกับธุรกิจส่วนตัวพอดี
-
อ่ะสรุปล่ะกันว่า
เมียเงินสด รถเงินผ่อน
::) ::) ::)
-
ไม่ได้ครับ ดอกเบี๊ยผ่อนรถมันเป็น Flat Rate ไม่เหมือนกับดอกเบี๊ยธนาคารอ่ะครับ
เช่น ยอดเงินที่ผ่อนทั้งหมด 100000 บาท ดอก 2.5% ผ่อน 4 ปี
เงินทั้งหมดคือ 110,000 หาร 48 เดือน = เงินที่คุณผ่อนต่อเดือน = 2291 บาท
เรายืมเงินมา 100000 บาทถูกไหมครับ แล้วเราต้องผ่อน 2291 บาททั้งหมด 48 เดือน
ดังนั้นเมื่อเราคำนวณหา ROR - rate of return จากเงินผ่อน 2291 บาท เป็นเวลา 48 เดือน จะได้เท่ากับ 0.39% ต่อเดือน หรือ 4.84% ต่อปี
ไอ้ 4.84% เนี่ยแหละครับ คือดอกเบี๊ยจริงๆ (เหมือนกับดอกเบี๊ยเงินฝาก หรือ เงินกู้ทั่วไป)
ดังนั้น ถ้าคุณคิดว่า คุณผ่อนแล้วดก็บเงินไว้ ทำอย่างอื่น ที่ได้มากกว่า 4.84% เลือกผ่อนโลดดดดครับ
แต่ถ้าเทียบกับดอกเบี๊ยเงินฝาก อันนี้ ไม่คุ้มครับผม
ปล. ผมพิมพ์ไม่ละเอียดมาก งงๆ ตรงไหน ลองถามๆมาก็ได้ครับ ^^ หรือดูใน excel ไฟล์แนบก็ได้ครับ
ขอบคุณครับแต่ยังงงอยู่ 555
คือไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้ ROR นะครับ (ไม่ค่อยสันทัดเรื่องการลงทุน)
คือส่วนตัวคิดว่า ถ้าเราไม่ได้เอาเงินนี้ไปลงทุนให้เกิดผลตอบแทน
แต่มาคิดว่า ในเวลา 4 ปี
ระหว่างสองทางเลือก คือ
1 ซื้อสดเต็มจำนวน (ไม่เหลือเงินฝากแบงค์) เมื่อครบเวลา 4 ปี เงินก็ยังเป็น 0 เพราะไม่มีเงินต้น
2 เอาเงินตรงนี้ไปฝากทั้งหมด ได้ดอกตามที่กำหนด
แล้วเอาเงินเดือนมาผ่อน
เงินต้นรวมดอกเบี้ยที่ได้จากธนาคารเมื่อครบ 4 ปีจะมากกว่า เงินที่ต้องเสียให้ไฟแนนซ์ทั้งหมด รึเปล่าครับ
อย่างตัวอย่าง ราคารถ 100000 เงินที่ต้องจ่ายไฟแนนซ์สุทธิเท่ากับ 110000
แล้วพอครบ 4 ปีเราน่าจะได้เงินจากธนาคารมากกว่า 110000 (เงินต้น 100000 + ดอก 3000 ต่อปี 4 ปี)
ไม่แน่ใจว่าอันนี้ถูกรึเปล่าครับ
ถ้ามองเล่นๆ ผ่อนทั้งหมด 110,000 บาท งั้นเอา 100,000 ฝาก 3% 4 ปี ก็จะได้เงินทั้งหมด 112,551 บาท (ดอกเบี๊ยทบต้น) งี้เราก็ฝากธนาคารสิ!!!!
แต่คุณ จขกท. ต้องอย่าลืมครับว่า ไอ้เงินที่เราฝากเนี่ย เราต้องเอาไปผ่อน 2291 บาท ทุกเดือนๆ ปีนึงก็ 2291 x 12 แล้วครับ ดังนั้นดอกเบี๊ยที่เราได้จริงๆ จากการฝากธนาคารมันจะไม่ถึง 3000 บาท/ปีครับ ยิ่งปีสุดท้าย เงินหมด ไม่มีดอกแล้วนะครับ หุหุ
สรุปคือ ที่ดอกเบี๊ยผ่อนรถ 2.5% ผ่อน 48 เดือน ถ้าหาอย่างอื่นที่ดอกเบี้ยมากกว่า 4.84% (หลักหักภาษีดอกเบี๊ย 15% ด้วยนะครับ)ไม่ได้ เลือกเงินสดดีกว่าครับผม
ตัวอย่างเช่น พันธบัตร 5%/ปี หักภาษีไป 15% เหลือ 4.25% อันนี้ก็ยังไม่คุ้มครับ เงินสดดีกว่า
แต้ถ้า พันธบัตร 6%/ปี หักภาษีไป 15% เหลือ 5.1% อันนี้คุ้มครับ ผ่อนโลด
-
ถ้ามองเล่นๆ ผ่อนทั้งหมด 110,000 บาท งั้นเอา 100,000 ฝาก 3% 4 ปี ก็จะได้เงินทั้งหมด 112,551 บาท (ดอกเบี๊ยทบต้น) งี้เราก็ฝากธนาคารสิ!!!!
แต่คุณ จขกท. ต้องอย่าลืมครับว่า ไอ้เงินที่เราฝากเนี่ย เราต้องเอาไปผ่อน 2291 บาท ทุกเดือนๆ ปีนึงก็ 2291 x 12 แล้วครับ ดังนั้นดอกเบี๊ยที่เราได้จริงๆ จากการฝากธนาคารมันจะไม่ถึง 3000 บาท/ปีครับ ยิ่งปีสุดท้าย เงินหมด ไม่มีดอกแล้วนะครับ หุหุ
สรุปคือ ที่ดอกเบี๊ยผ่อนรถ 2.5% ผ่อน 48 เดือน ถ้าหาอย่างอื่นที่ดอกเบี้ยมากกว่า 4.84% (หลักหักภาษีดอกเบี๊ย 15% ด้วยนะครับ)ไม่ได้ เลือกเงินสดดีกว่าครับผม
ตัวอย่างเช่น พันธบัตร 5%/ปี หักภาษีไป 15% เหลือ 4.25% อันนี้ก็ยังไม่คุ้มครับ เงินสดดีกว่า
แต้ถ้า พันธบัตร 6%/ปี หักภาษีไป 15% เหลือ 5.1% อันนี้คุ้มครับ ผ่อนโลด
ขอบคุณครับ อันนี้เข้าใจง่ายดี
งั้นสมมติว่า ผมเก็บเงินจนได้เท่ากับราคารถ
และผมเลือกที่จะเอาเงินก้อนนี้ฝากธนาคาร โดยที่ไม่เอาออกมาจ่ายค่างวดเลยถ้าไม่จำเป็น
แต่ใช้เงินจากรายได้ในเดือนถัดๆ ไปมาผ่อน (เงินที่ฝากธนาคาร เอาไว้เผื่อเดือนไหนมีเหตุสุดวิสัยส่งไม่ได้ ก็ถอนมาส่ง)
ประมาณว่าเงินเดือนพอผ่อนได้สบายๆ แต่รถยังมีใช้อยู่เลยเก็บให้ได้เงินก้อนใหญ่ก่อน ไว้เป็นหลักประกันว่าจะส่งได้ต่อเนื่องทุกงวด
พอครบค่อยผ่อน
แนวทางนี้เป็นยังไงบ้างครับ
-
งั้นสมมติว่า ผมเก็บเงินจนได้เท่ากับราคารถ
และผมเลือกที่จะเอาเงินก้อนนี้ฝากธนาคาร โดยที่ไม่เอาออกมาจ่ายค่างวดเลยถ้าไม่จำเป็น
แต่ใช้เงินจากรายได้ในเดือนถัดๆ ไปมาผ่อน (เงินที่ฝากธนาคาร เอาไว้เผื่อเดือนไหนมีเหตุสุดวิสัยส่งไม่ได้ ก็ถอนมาส่ง)
ประมาณว่าเงินเดือนพอผ่อนได้สบายๆ แต่รถยังมีใช้อยู่เลยเก็บให้ได้เงินก้อนใหญ่ก่อน ไว้เป็นหลักประกันว่าจะส่งได้ต่อเนื่องทุกงวด
พอครบค่อยผ่อน
แนวทางนี้เป็นยังไงบ้างครับ
ต้องคิดแบบนี้ครับ
สมมติว่ารถราคา 2 ล้าน เรามีเงิน 2 ล้านพอดี
ถ้าเราดาวน์ 1 ล้าน เหลือยอดจัด 1 ล้าน ดอกเบี้ย 2.5% ผ่อน 4 ปี
เท่ากับยอดจัดรวม 1,100,000 บาท / 48 เดือน = ผ่อนรถเดือนละ 22,916 บาท
คราวนี้ เรามีเงินอยู่ 2 ล้านพอดี ตัวเลือกของเราคือ
1. ซื้อสด >> จบ
2. ดาวน์ 1 ล้าน แล้วเอาเงิน 1 ล้านไปฝากแบงค์ได้ ดอกเบี้ยปีละ 3%
แล้วถอนเงินออกจากแบงค์ทุกเดือน เดือนละ 22,916 เพื่อไปจ่ายค่างวดรถ
คราวนี้ ดอกเบี้ยที่ได้ 3% ต่อปี มันจะไม่ใช่ ปีละ 30,000 บาท หรือ 4 ปี 120,000 แล้วครับ
เพราะยอดเงินฝากเราจะลดลงเรื่อยๆ ทุกเดือน ใช่มั้ยครับ
สรุปว่า ถ้าเลือกวิธีที่ 2 ยังผ่อนรถไม่ครบ แต่เงินในแบงค์เราจะหมดก่อนครับ แบบนี้ซื้อสดจะคุ้มกว่า
=========================================================
ถ้าวิธีที่คุณบอกคือ เอาเงินไปฝากแบงค์ 1 ล้าน แล้วไม่ถอนเลยล่ะ ได้ดอกเบี้ยเต็มๆ 30,000 ต่อปี
ครบ 4 ปี ได้ 120,000 บาท หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย เพราะมันทบต้นดอกเบี้ยไปให้
แต่อย่าลืมว่าเราต้องหาเงินมาจ่ายค่ารถเดือนละ 22,916 บาทอยู่ดีครับ
ต้องเทียบกับว่า งั้นเราซื้อสดเลย แล้วเอาเงินที่หามาได้ ที่ควรจะเป็นค่าส่งเดือนละ 22,916 บาท ไปฝากแบงค์ ทุกเดือน เป็นเวลา 4 ปี
พอครบ 4 ปี แบบไหนเหลือเงินเยอะกว่ากัน ?
-
ถ้าวิธีที่คุณบอกคือ เอาเงินไปฝากแบงค์ 1 ล้าน แล้วไม่ถอนเลยล่ะ ได้ดอกเบี้ยเต็มๆ 30,000 ต่อปี
ครบ 4 ปี ได้ 120,000 บาท หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย เพราะมันทบต้นดอกเบี้ยไปให้
แต่อย่าลืมว่าเราต้องหาเงินมาจ่ายค่ารถเดือนละ 22,916 บาทอยู่ดีครับ
ต้องเทียบกับว่า งั้นเราซื้อสดเลย แล้วเอาเงินที่หามาได้ ที่ควรจะเป็นค่าส่งเดือนละ 22,916 บาท ไปฝากแบงค์ ทุกเดือน เป็นเวลา 4 ปี
พอครบ 4 ปี แบบไหนเหลือเงินเยอะกว่ากัน ?
ลืมนึกไป เห็นภาพเลย
ขอบคุณครับ
-
ขอเเชร์นะครับเห็น โจทย์เดียวกับผมเลยตอนซื้อรถผมเลือกจ่ายสดไปเลยด้วยเหตุผล
1. การเอาเงินไปลงทุนใดๆก็ตามมีความเสี่ยงๆมากได้มากครับ อันนี้ผมมองว่าลงทุนให้คุ้มดอกเบี้ยรถยนต์เงินไม่กี่เเสนดูเเล้วเหนื่อย
2. อายุ 30 ปีมีเงินเก็บก้อนเเรก 1.5 ล้าน เลยซื้อรถไปหมดเหลือ เเสนกว่าๆไว้ฉุกเฉิน(เเทนคันเก่าที่้เป็นสมบัติพ่อให้มา)
สรุปผลหลังซื้อรถ
1. เงินค่อนข้างพอดีเพราะเงินเก็บที่เหลือ + รอขายรถคันเก่า คิดว่าไม่เอามาใช้เก็บไว้ก่อน
2. ต่อเดือนต้องเหลือเงินเก็บให้ได้ 30 % ของรายได้ทั้งหมด เพื่อ (เงินเก็บก้อนต่อไป เเละนำไปลงทุนตามอัตภาพทุกๆเดือน)
-
อย่าลืมเง้อเฟ้อนะครับ มันทำให้ค่าของเงินน้อยลง
ลงทุนอะไรต้องศึกษาดีๆให้เข้าใจจริงๆ :-*
-
ส่วนตัวผมไม่ค่อยมองเรื่องกระแสเงินสด ณ ปัจจุบันมากกว่าอะคับ เอาเงินไปลงทุนในตลาดเงิน มันได้ผลตอบแทนไม่เท่าไหร่ จะเล่นหุ้นก็ต้องศึกษาดีๆ
อย่างส่วนตัวผม ถ้าเป็นรถ คงวางดาวน์ อย่างเต็มที่ก็ 1/3 ของเงินเก็บที่มีอยู่
ค่างวดรถ ไม่เกิน 1/4 ของรายได้
ทั้งนี้ทั้งนั่นขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยอะคับ
จัดไฟแนนซ์เสียดอกแพงจริง แต่เงินก็เฟ้อทุกปี
-
แล้วเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
มีผลทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องเสียให้ไฟแนนซ์มีค่าลดลงรึเปล่าครับ
-
เงินเฟ้อมีผลต่อค่าเงินครับ มีผลทำให้มูลค่าเงินที่จ่ายทุกวันนี้มีมูลค่าสูงกว่าในอนาคตเยอะ
เรียนตามตรง ไม่ต้องคิดถึงเรื่องลงทุนหรอก แต่เงินสด เป็น ทุนที่หมุนเวียนได้เร็วที่สุด คล่องตัวที่สุด มีติดไว้ดีกว่าไม่มี
เพราะความไม่แน่นอนของรายจ่ายในปัจจุบัน ถ้าเราลงไปที่รถก็ขายรถได้ แต่มูลค่าจะลดลงเยอะ และไม่คล่องตัวเพราะไม่สามารถขายได้เลยทันที
การลงทุนมีหลายรูปแบบ การประกอบธุรกิจเอง เอาเงินไปลงทุนต่างๆ แม้เล่นแชร์ก็ลงทุน อันนี้มันไกลตัวและแนะนำยาก
และดอกเบี้ยเงินฝากยังไงก็ไม่คุ้มหรอก คิดถึง ดอกเงินฝากเยอะกว่าดอกเงินกู้ ธนาคารทุกธนาคารไม่เจ๊งหรอครับ
-
ผมก็ซื้อเงินสด และเคยคิดเรื่องนี้เหมือนกัน ...แต่เราต้องมีเงินสำรองอีกก้อนเผื่อฉุกเฉินด้วยนะครับ
ในกรณีผม มีเงินสำรองอีกก้อน และเงินที่ขายรถคันเก่ากลับมา
ก็เหมือนท่านอื่นๆที่กล่าวมา ถ้าเอาเงินไปฝาก เพื่อหวังผลดอกเบี้ย ...เราก็ยังต้องมีเงินแต่ละเดือนมาผ่อนครับ
สรุป ถ้าจะทำเงินจากดอกเบี้ย ต้องมีเงินสำรองครับ
-
ถ้ามีเงิน มีเงินเหลือๆน่ะครับ ผมเลือกที่จะซื้อสดครับ ซื้อความสบาย
ผมไม่ชอบนักกับการต้องผ่อนทุกเดือน เหมือนเป็นภาระ เป็นเรื่องที่ต้องกังวล ต้องนึกถึงตลอดเรื่อยๆในหัว
ต้องมากังวลต่ออีก ว่าเกิดเดือนนี้เงินไม่พอ ทำไงต่ออะไรประมาณนี้ครับ
ชอบสบายใจมากกว่าครับ
ความสบายใจ มีคุณค่ามากกว่าดอกเบี้ยครับ
;D ;D ;D
-
เห็นด้วยตามที่คุณ Maimakha บอกครับ
ถ้าเงินไม่เหลือๆจริงๆ อย่าไปซื้อสดครับ ไม่ก็เก็บตังไปอีกหน่อย
ลองถามตัวเองดูครับว่าถ้าซื้อผ่อน เงินส่วนที่เหลือ เอาไปทำอะไรให้งอกเงยได้บ้าง ดูครับ อาจจะได้ไม่เท่าดอกไฟแนนท์ แต่การมีเงินสดหมุนเวียน ผมว่าสำคัญกว่าครับ
เหมือนทำธุรกิจแหละครับ
ขาดทุนยังพออยู่ได้ แต่ถ้าขาดเงินสด รอดยากครับ