Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Disk™ ที่ ตุลาคม 21, 2009, 19:56:54
-
คือ ผมว่า ถ้าดูจากฝีมือ และ ค่าแรง ใน Asia ผมว่าประเทศเราก็ไม่แพ้ชาติใดนะครับ
VW เขาไม่มีแผนการที่จะลงทุนในไทยเหรอครับ (อีกอย่างคือ ชอบยี่ห้อนี้ด้วย)^^
-
ชอบ Beetle
-
ผมว่าประกอบจีนแล้วนำเข้ามาไทย น่าจะง่ายกว่ามาลงทุนประกอบในไทยเองนะ
ถ้าเกิดโฟล์ค เอา santana พื้นฐานจากพาสสาทเ้ข้ามาขายในราคาระดับแคมรี่
หรือถ้าเอา Gol พื้นฐานของโปโล มาขายในราคาระดับโคโรล่า
แล้วจะซื้อมั้ยอ่ะครับ :-[
-
ผมว่า VW เข้ามาทำตลาดในไทยยากมากๆ เพราะเราเป็นประเทศยากจน การซ่อมบำรุงยังต้องใช้อะไหล่มือ2
หรือเซียนกงจากญี่ปุ่น VW เป็นรถที่เครื่องวางหน้าตามยาว แต่ดันขับหน้า จะเอาเครื่อง(หรืออื่น)ที่ไหนมาเปลี่ยนหากมีปัญหา เพราะทีญี่ปุ่น ก็คงมี VW น้อยมากที่จะมาเซียนกงในไทย ดังนั้นจะต้องใช้ของมือ 1 ซึ่งแพงแน่ๆ เพราะหากผลิตได้ใน
บ้านเราก็คงมีจำนวนไม่มากพอที่จะสู้เจ้าตลาดได้
ผมว่า VW ถ้ามาไทยจริงน่าจะยากด้วยประการนี้ครับ
-
นำเข้ามาจากจีนง่ายกว่ามั้ยครับ เพราะว่าที่จีนใช้ VW เสมือนบ้านเรามี Toyota หากนำเข้าทั้งรถและอะไหล่ ไม่แพง แน่นอน
ผมว่าจีนมีความพร้อมทุกด้าน จีนกดดันภาษีนำเข้าเก่งอยู่แล้ว ภาษีลดแบบขั้นบันได นำเข้า อย่างที่ญี่ปุ่นเคยทำมาแล้วกับบ้านเรา
เราจึงมีรถนำเข้าจากญี่ปุ่นวิ่งกันเต็มไปหมด และราคาภาษีนำเข้ารถจากญี่ปุ่นจะถูกลงอีก25%ในทุกๆ10ปีจนเป็นศูนย์
-
เราไม่ได้ยากจนหรอกครับ แต่ VW ต้องไม่โง่ ทำให้ราคาดีๆเหมาะๆชวนซื้อหน่อย ไม่งั้นก็ขายไม่ออกกันไป
-
ผมเองก็อยากถามอยู่เหมือนกันครับ ในหัวข้อของพี่ HOMY ที่ Porche ซื้อกิจการ VW อ่ะครับ
จริงๆ เรื่องภายในของทั้ง 2 บริษัทยังครุกรุ่นอยู่เลยหนิครับ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า VW
จะขายหุ้นมากขนาดนี้ และที่ยังเหลือไว้มากกว่า 50% อาจจะเป็นเพราะยังต้องการมีขอบเขต
ในการพัฒนา Product ของตัวเองอยู่บ้างมั้งครับ ตกลงว่าตา Piech สู้ตา Wiedeking ไม่ไหวแล้วใช่ไหมครับ
เรื่องที่ VW ไม่เอามาประกอบในไทย ผมคิดว่ามันคงไม่คุ้มทุนมั้งครับ
ที่ไทยอาจจะทำได้ แต่ตลาดที่ส่งออกล่ะครับ กว่าจะผ่านจากไทยไปยังประเทศต่างๆอีก (ความเห็นส่วนตัวนะคับ)
อีกอย่างนึง ผมว่า VW กำลังประสบปัญหาเรื่องเงินทุนอย่างมาก ทำให้การลงทุนแต่ละอย่างนั้นต้องคิดให้ดีก่อนครับ
-
"ความคุ้มทุน" เป็นเรื่องใหญ่เลยครับ
-
ตลาดไทยนี่ออกแนวปราบเซ๊ยนเลยนะครับ
ชอบหรู แต่ขอถูกๆ
ชอบแรง แต่ขอประหยัด
แถมการต่อราคาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในความสนุกของการใช้ชีวิต
เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง VW เคยสนใจจะมาทำตลาดในบ้านเรา
โดยส่งมาดูเชิงผ่าน ยนตรกิจ
ช่วงนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะตั้งโรงงานในเมืองไทย
แต่ไปๆมาๆทำไมแผนล้มไปก็ไม่รู้
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มาขอ BOI อีโค่คาร์
ที่ชาวบ้านเขาขอกันเลยกลัวตกขบวน
ตอนนี้ VW มีโรงงานในจีนและอินเดีย
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อภาษีลดลง
กระแสมันอาจจะเปลี่ยนก็ได้นะครับ
เพราะจริงๆแล้วชิ้นส่วนยานยนต์คุณภาพสูงนั้น
จะผลิตจากบ้านเรา
ส่วนอีก 2 แหล่งนั้นยังตามหลังอยู่
แต่ก็เริ่มตามแบบหายใจลดต้นคอแล้ว
หาก FTA เปิดเมื่อไหร่ เราอาจจะเป็นศูนย์กลางการส่งออกชิ้นส่วนก่อน
หลังจากนั้นถ้า อาเซียน สามารถสร้างปริมาณการซื้อได้มากพอ
VW ก็ไม่น่าจะหนีหายไปไหนได้
แต่ก่อนอื่นที่ VW จะเข้ามาเมืองไทย
ควรจะไปแก้โจทย์ให้แตกก่อน
ว่าทำอย่างไรจึงจะขาย golf ในราคาไม่เกิน 1 ล้านได้
-
เห็นด้วยกับพี่ ghia เลยอะ
-
Golf ผมชอบมากเลยนะ เห็นราคาแล้วแทบเป็นลม
-
ตอนนี้ ที่ผมว่าสมเหตุผลก็มี scirocco + passat CC
-
ใช่ ชอบ passatCC จัง สวยมากกกกกกกก
-
จริงๆผมชอบ VW นะครับ โดยเฉพาะระยะหลังๆที่คุณภาพการประกอบและวัสดุมันดูดีมาก
ลองไปไล่ความกว้างของช่อง ร่อง รูต่างๆที่ภายในรถ เอาฟิลเลอร์เกจ์วัดเลยก็ได้
มันใกล้เคียงกันมาก และทำให้รู้สึกได้ว่าตอนประกอบ เขาตั้งใจทำกันจริงๆ
ทางด้านเครื่องยนต์ ผมชอบเจ้า 1.4 ตัวล่าสุดที่ให้พลังเท่ารถ 1.8 แรงบิดเท่าเครื่อง 2.0
แต่ปล่อยมลภาวะน้อยกว่า มันเป็นแนวคิดที่อนาคตดีเพราะเราน่าจะต้องอยู่กับเครื่องเบนซิน ดีเซลไปอีกนาน
ถ้ามีอะไรที่กั้นระหว่างผมกับ VW ไว้ มันก็คือราคา และความง่ายในการหาศูนย์ใกล้บ้าน
-
เมืองไทยเล่นแต่กีฬาสี ใครเขาจะมาลงทุนครับ
-
น่าเสียดาย ผมก็ชอบมากเลย
-
มันก็มีขายอยู่แล้วไม่ใช่หรอ หลายรุ่นด้วย ตอนมอเตอร์โชว์ไม่ได้ดูกันหรอ สวยด้วยแต่ราคาโหดมากเพราะเป็นรถนำเข้า มีคนซื้อมาขับบ้างเปล่าก็ไม่รู้ เคยทำชื่อเสียไว้นี่
-
จริงๆผมชอบ VW นะครับ โดยเฉพาะระยะหลังๆที่คุณภาพการประกอบและวัสดุมันดูดีมาก
ลองไปไล่ความกว้างของช่อง ร่อง รูต่างๆที่ภายในรถ เอาฟิลเลอร์เกจ์วัดเลยก็ได้
มันใกล้เคียงกันมาก และทำให้รู้สึกได้ว่าตอนประกอบ เขาตั้งใจทำกันจริงๆ
ทางด้านเครื่องยนต์ ผมชอบเจ้า 1.4 ตัวล่าสุดที่ให้พลังเท่ารถ 1.8 แรงบิดเท่าเครื่อง 2.0
แต่ปล่อยมลภาวะน้อยกว่า มันเป็นแนวคิดที่อนาคตดีเพราะเราน่าจะต้องอยู่กับเครื่องเบนซิน ดีเซลไปอีกนาน
ถ้ามีอะไรที่กั้นระหว่างผมกับ VW ไว้ มันก็คือราคา และความง่ายในการหาศูนย์ใกล้บ้าน
คิดเหมือนผมตอนนี้เลยครับ ^^
มันก็มีขายอยู่แล้วไม่ใช่หรอ หลายรุ่นด้วย ตอนมอเตอร์โชว์ไม่ได้ดูกันหรอ สวยด้วยแต่ราคาโหดมากเพราะเป็นรถนำเข้า มีคนซื้อมาขับบ้างเปล่าก็ไม่รู้ เคยทำชื่อเสียไว้นี่
แต่ราคามันสูงมากครับ ถ้า้เทียบกับที่เมืองนอก เพราะ บ้านเรามีกำแพงภาษีอยู่ ผมจึงถามในกระทู้ว่า ทำไมเขาไม่มาประกอบในเมืองไทย
โดยส่วนตัว ผมอยากให้ยี่ห้อนี้มาผลิตที่เมืองไทย และ มีราคาที่เหมาะสมกว่านี้ ผมเชื่อว่า ผมเป็นลูกค้าแน่นอน
-
คงต้องทำใจครับ
การเอารถเข้ามาประกอบในประเทศสักคันนั้น ผมคิดว่ามันก็เป็นความฝันในการประกาศศักยภาพการประกอบโดยฝีมือคนไทยให้สู่ระดับสากลได้ อันที่จริงผมยังเชื่อฝีมือแรงงานประกอบรถในบางโรงงานของไทยมากกว่าฝีมือที่ออกมาจากรั้วรถอเมริกันอย่าง GM เสียด้วยซ้ำ
ปัญหาติดอยู่ที่บริษัทแม่ หากเขาอยากจะมาอยู่แล้ว เขาคงไม่คิดอะไร แต่ถ้าเขาไม่ได้อยากมา แล้วตัวแทนทางไทยต้องไปเจรจา อันนี้ถือว่างานหนัก เพราะจะโดนคำถามที่ท้าทายมากมาย เช่น ถ้าตั้งโรงงานประกอบ ต้องลงทุนเท่าไหร่ กี่ปีคืนทุน ถ้าไม่คืนทุน จะมีแผนหนีตายยังไง และที่สำคัญคือยอดจำหน่าย ผมว่าบริษัทแม่ต้องถามมาก่อนเลยว่าบริษัทไทยขายเดือนละ xxxคันได้ไหม ...xxx นี่ไม่รู้เท่าไหร่นะ แต่ไม่น่าเป็นตัวเลขที่คนธรรมดาๆอย่างพวกเราเห็นแล้วสบายใจนัก
เมืองไทยเราไม่เหมือนที่จีน ที่จีนนั้นกำลังซื้อมหาศาล และ VW เองก็มีฐานที่มั่นคงในใจลูกค้า และมีคนถวิลหา VW กันมาก เพราะเขาไปตั้งโรงงานแชร์กับท้องถิ่นมานานตั้งแต่สมัยที่รถในจีนมีไม่กี่รุ่น VW ในจีนเป็นสิ่งคุ้นตาของชาวจีนเหมือนกับคนไทยเห็นรถอย่างโตโยต้า
ดังนั้นเมื่อบ่อทองขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น ผมเลยไม่คิดว่าบริษัทแม่จะสนใจในประเทศไทยขนาดมาลงทุนสร้างไลน์ประกอบรถอย่างจริงจังได้ครับ
แต่อยากให้มาไหม? แน่นอน อยากครับ รถอะไรก็ตามที่ประกอบในประเทศเราเอง คนไทยทำเอง แล้วทำออกมาดี ผมสนับสนุนและยินดีใช้มากกว่าที่จะมาจากประเทศกำลังพัฒนาประเทศอื่นๆ
-
ถ้า VW ประกอบเมืองไทยแล้วราคาอยู่ประมาณคัมรี่ อยากน้อย ๆ ผมคงจะขอสอยเจ้า
Passat CC กับ Scirocco พ่วงด้วยน้อง Golf มาใช้สักคัน อิอิ
-
เข้ามาขายเองได้เจอกันแน่ ราคาตอนนี่ดูแล้วพอไหว แต่ติดที่คนให้บริการ
-
ไปขุดข่าวปี 2009 มาครับไม่รู้จะยังเนตามนี้อยู่ไม๊
ข่าวในประเทศ - จังหวะเหมาะ-เงื่อนไขลงทุนเข้าทาง จับตา! โฟล์คสวาเกน เอจี ทุ่มหมื่นล้านดันไทยฐานผลิตแห่งใหม่ หลังบีโอไอเปิดประเภทกิจการประกอบรถยนต์ใหม่ จัดแพกเกจพิเศษสุดล่อใจให้เข้ามาลงทุน แต่เงื่อนไขดูเหมือนปิดประตูรายเก่าที่อยู่ในไทย จัดให้เฉพาะผู้ผลิตรถยนต์รายใหม่เท่านั้น แม้โฟล์คสวาเกนจะเคยชักเข้าชักออกไทยหลายรอบ แต่คราวนี้โอกาสเปิดมากกว่า อีโคคาร์ เสียอีก และยิ่งดูความเคลื่อนไหวคู่ค้าสำคัญ คอนติเนนทอล และ ZF ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ของยุโรป เพิ่งจะพากันตัดริบบิ้นเปิดโรงงานในไทยอย่างเป็นทางการ แถมข่าวลือสะพัดภาครัฐและบีโอไอจับเข่าคุยกับโฟล์คสวาเกนมาแล้ว ทำให้โฟกัส 1 ใน 2 ราย ที่รับคำสนใจลงทุน ต่างพุ่งไปที่เบอร์หนึ่งค่ายรถเมืองเบียร์ทันที
ด้วยยอดขายระดับ 6.3 ล้านคันทั่วโลกในปี 2551 เป็นรองเพียงแค่ โตโยต้า กับ จีเอ็ม ที่สำคัญผลประกอบการยังออกมาแบบฟันกำไรสูงสุดเป็นประวิติการณ์ 4,700 ล้านยูโร หรือประมาณ 235,000 ล้านบาท และแม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤตอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่โฟล์คสวาเกนแห่งเยอรมนี ยังมั่นใจในศักยภาพว่าไม่เกิน 9 ปีนับจากนี้ จะขึ้นแท่นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก!
เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ค่ายรถยนต์เบอร์หนึ่งของยุโรป ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยียานยนต์และเงินทุน (มีปอร์เช่ถือหุ้นเกิน 50%) เล็งแผนเพิ่มกำลังผลิตในภูมิภาคต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นจีน หรืออเมริกาใต้ ขณะเดียวกันในแถบอาเซียน โฟล์คสวาเกนก็ไม่ละทิ้งความสำคัญเช่นกัน เพราะช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามเจรจากับรัฐบาลในหลายประเทศแถบนี้ เพื่อตั้งฐานการผลิตรถยนต์ใหม่ ซึ่งเป็นการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อป้อนตลาดในประเทศ พร้อมส่งออกไปในทั่วเอเชียแปซิฟิก
ในไทยแม้โฟล์คสวาเกน ยังออก ลูกกั๊กพอสมควร ดังจะเห็นได้จากการไม่ตัดสินใจลงทุนขึ้นไลน์ผลิตปิกอัพในไทย รวมถึงการไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในโครงการอีโคคาร์ (ด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี) แต่การที่โฟล์คสวาเกนยังไม่เลือกฐานผลิตแห่งใหม่ในภูมิอาเซียน นั่นจึงยังไม่ใช่การตัดไทยออกจากตัวเลือกแต่อย่างใด เพียงอาจจะรอเงื่อนไข หรือโครงการที่ให้สิทธิ์ประโยชน์คุ้มกับการลงทุนเท่านั้น
ดังนั้นการที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ (10 มิ.ย.) เห็นชอบให้เปิดประเภทกิจการประกอบรถยนต์ขึ้นใหม่ ภายใต้เงื่อนไขต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท สร้างไลน์ผลิตรถยนต์ใหม่ และเป็นรถที่ใช้เทคโนโลยีใหม่(อาทิ ไฮบริด, ไฟฟ้า หรือพลังงานทดแทน) มีกำลังการผลิตไม่น้อยกว่า 100,000 คันต่อปี ภายใน 5 ปีแรก โดยต้องยื่นโครงการภายในปี 2553 ทั้งยังเปิดเผยอีกว่ามีผู้ประกอบการสนใจแล้ว 2 ราย
ส่วนสิทธิประโยชน์ที่ค่ายรถยนต์ จะได้รับหากเข้าร่วมโครงการนี้ คลอบคลุมทั้งยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรทุกเขต ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีขนาดการลงทุนที่ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท และได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 6 ปี หากมีขนาดการลงทุนที่ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะตั้งในเขตใด ทั้งนี้ ให้ได้รับเพิ่มเติมอีก 1 ปี หากยื่นคำขอภายในปี 2552
เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขการลงทุน ที่วางระดับเม็ดเงินไว้มหาศาลกว่า 10,000 ล้านบาท ที่สำคัญต้องยื่นของส่งเสริมภายในปี 2553 ก็พอจะมองได้ว่าด้วยเงื่อนเวลาและเงินลงทุน คงยากที่ผู้ผลิตรถยนต์ในไทย(รายเดิม) จะเข้าโครงการ ส่วนหนึ่งเพราะได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และโปรเจกต์อื่นๆไปมากแล้ว รวมถึงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและตลาดรถซบเซาคงมีสภาพคล่องทางการเงินจำกัด และที่สำคัญยังมีการบ้านใหญ่อย่างอีโคคาร์ รออยู่เต็มๆ...
ดังนั้นน่าจะสรุปว่า โปรเจ็กต์นี้ไม่ใช่เรื่องของค่ายรถที่ดำเนินธุรกิจอยู่เดิม แต่เป็นเรื่องของน้องใหม่ล้วนๆ และนั่นจึงทำให้ทุกสายตา...โฟกัสไปที่ค่าย โฟล์คสวาเกน
ประเด็นนี้ วัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยกับ ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง ว่า เดิมรัฐบาลและ บีโอไอ มีการส่งเสริมการลงทุนธุรกิจรถยนต์ อยู่ 3 ประเภทหลักคือ 1. โครงการอีโคคาร์ที่ถือว่าเงื่อนไขหินสุด เพราะบังคับทั้งเงินลงทุน สเปครถ และจำนวนผลิต แต่ก็ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด อาทิ ยกเว้นภาษีเงินได้ฯ 8 ปี รวมถึงเก็บภาษีสรรพสามิต อัตราพิเศษเพียง 17%
2.โครงการรถยนต์นั่ง ที่ไม่ได้กำหนดสเปก แต่ต้องมีเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท พร้อมได้สิทธิประโยชน์อย่างยกเว้นภาษีเงินได้ฯ 5 ปี (แต่ไม่ได้ภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษ) ซึ่งโครงการนี้ เอเอที (ฟอร์ด-มาสด้า)ขอรับไปเรียบร้อย และ 3. โครงการผลิตรถยนต์ทั่วไป ที่ต้องมีเงินลงทุนหลักหมื่นล้านบาท( อาทิ โครงการไอเอ็มวีของโตโยต้า) ซึ่งไม่ถูกยกเว้นภาษีเงินได้ฯ แต่ได้ยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร
ส่วนโครงการที่เพิ่งออกมาล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นประเภทที่ 4 นั้น บีโอไอมองว่า ในวิกฤตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์โลก หลายค่ายรถยนต์ชั้นนำ ต่างเล็งย้ายฐานการผลิตใหม่ๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน จึงต้องเปิดขึ้นมาอีกประเภทเพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุน เพื่อไม่ให้ค่ายรถมองเพียงแค่จีนและอินเดียเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขการลงทุนที่ต้องผลิต 100,000 คัน ภายใน 5 ปี จะไม่กำหนดว่าจะต้องทำเพียงรุ่นเดียว(ต่างจากอีโคคาร์ และบีคาร์ของฟอร์ด-มาสด้า) เพราะอาจจะผลิตหลายรุ่นรวมกัน และหนึ่งในนั้นจะต้องเป็นรถรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ก็ได้
ช่วงนี้หลายค่ายอยากย้ายฐานการผลิตมายังประเทศที่มีต้นทุนต่ำ โดยมีจีนและอินเดีย เป็นตลาดที่น่าสนใจ แต่กระนั้นการลงทุนในสองประเทศนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตและรองรับความต้องการในประเทศเท่านั้น เนื่องจากตลาดมีความใหญ่มาก ขณะที่ไทยมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทักษะแรงงาน ศักยภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ไม่เป็นรองใคร รวมถึงการได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาล ดังนั้นคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย ถ้าไทยพลาดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของค่ายรถต่างชาติไป วัลลภกล่าว
แหล่งข่าวในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เปิดเผยกับ ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่งว่า กว่าจะได้กรอบประเภทกิจการประกอบรถยนต์ขึ้นใหม่ ทางรัฐบาลไทยโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบและบีโอไอได้เริ่มเจรจากับทางโฟล์คสวา เกน เอจี ไปบ้างแล้ว และการประกาศสิทธิประโยชน์ครั้งนี้ จะถือเป็นการสร้างความมั่นใจและ เร่งให้การตัดสินใจง่ายขึ้น
นอกจากนี้ในการเข้ามาตั้งฐานการผลิตรถยนต์ของโฟล์คสวาเกนในไทย นับว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะวานนี้(16 มิ.ย.) ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ของโลกสัญชาติเยอรมันอย่าง คอนติเนนทอล จีที เพิ่งทำพิธีเปิดโรงงานมูลค่า 5,000 ล้านบาท ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง อย่างเป็นทางการ และในสัปดาห์ถัดไป บริษัทผู้ผลิตระบบส่งกำลังชั้นนำของโลก ZF ก็เตรียมเปิดโรงงานแห่งใหม่เช่นกัน
โดยทั้งคอนติเนนทอล และ ZF ถือเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรายสำคัญของยุโรป และเป็นคู่ค้าสำคัญของโฟล์คสวาเกนมาโดยตลอด การเคลื่อนไหวของผู้ผลิตชิ้นส่วนคู่บุญ จึงเสมือนกับการขยับของโฟล์คสวาเกนนั่นเอง?!