Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: somrans ที่ มกราคม 27, 2013, 17:21:56
-
4-5ปีข้างหน้ารถกระบะบ้านเราจะมีเครื่อง
เล็ฺกกว่า2.2ไหมครับ
ใจจริงผมอยากเห็นกระบะสักรุ่นเล็กเหมื่อนนิสสันNV
แต่เครื่องดีเซลแล้วก็ราคาไม่เกิน4แสน
คงมีคนสนใจไม่น้อย
-
ดีเซลกระบะคงไม่ไปที่จุดๆนั้นง่ายๆครับมีแค่ VW ที่เอา 2.0 มาลงแต่ใช้งานจริงสู้พวกเครื่องใหญ่ไม่ต้องรีดแรงไม่ได้ พวกดีเซลรถบรรทุกมันต่างกับดีเซลรถนั่งโขเรื่องการใช้งานคนละขั้ว
-
ตอนนี้มี TATA อะไรซักอย่าง เครื่อง 1.4 Turbo อ่ะครับ ออกมาจายแล้ว เห็นวิ่งเยอะแล้วเหมือนกัน
ช่างแอร์ที่รู้จักก็ใช้ เค้าบอกว่า คันเก่า BT50 ค่าน้ำมันเดือนล่ะ 6000 กว่า เปลี่ยนเป็น 1.4 Turbo เหลือแค่ 3000 ปลายๆ เองครับ
ทุกได้เยอะกว่า....
แต่ก็บอกมาเหมือนกันว่า Feel ความมันส์ในการขับ มันหายไปหมดเลย ;D
-
4-5ปีข้างหน้า BT50Pro, Ranger, Colorado, D-Max ยังอยู่เลยครับ เพราะงั้นก็เครื่องทุกวันนีแหละ ไม่ปรับแน่นอน
ถ้าจะมองต้องมองไปหลังกระบะ Gen นี้เลยครับ ซัก9ปี
-
ผมว่าน่าจะยังไม่มีนะครับสำหรับตลาดรถกระบะ น่าจะมีแต่เพิ่มความแรงเครื่องและพัฒนาให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นแทน
-
ผมว่าพวกรถกระบะเล็กๆอย่าง Nissan NV หรือ Mazda Familia มันคงไม่หวนกลับคืนมาแล้วครับ
ทุกวันนี้แข่งกันว่าใครจะใหญ่กว่าแรงกว่าได้มากกว่ากัน ส่วนเรื่องประหยัดก็อยู่ที่เท้าขวาคนขับทั้งนั้น
-
น่าจะลงมายืนที่ 2.5 เป็นหลัก แล้วค่อยไปเล่นกับอากาศและน้ำมันครับ
ส่วนคันเล็กเครื่องเล็ก สงสัยจะยาก ถ้าจะรอดูจากค่ายญี่ปุ่น
-
ปัจจุบันบริษัทแข่งกันออกตัวรถที่ใหญ่ขึ้น เช่น BT50 - Ranger - ISUZU ALL NEW รูปร่าง เครื่องยนต์ก็ต้องใหญ่แรงม้าสูง อีกหน่อยเผลอๆ จะมีแต่ 3.0 และ 3.2 เรื่องที่จะเล็กลงทั้งเครื่องยนต์และตัวถังคงไม่มีแล้ว
-
ทำไมกระบะไม่ทำเครื่องเล็กๆบ้างครับ
-
ผมว่าต่อไปตลาดรถกระบะบ้านเราจะเกิดการแบ่งแยกอย่างชัดเจน
รถตอนเดียว
รถตอนครึ่ง
รถดับเบิลแค็บ
รถตอนเดียวจะเบียงเบนไปสู่ตัวถังหัวตัด พวก ซูซูกิ แครี่, ทาทา ซูเปอร์เอซ
เน้นใช้ในเมืองเพื่อส่งของ เครื่องยนต์ไม่ต้องใหญ่มาก เน้นกำลังช่วงต้น ตัวถังไม่ใหญ่ แต่พื้นที่บรรทุกมากขึ้นกว่ารถตอนเดียวในปัจจุบัน
ถ้าใช้วิ่งส่งของทางไกลที่เกินกว่า 200 km./วัน ก็ต้องไปหาซ์้อพวก 4ล้อเล็กน่าจะคุ้มกว่า
รถกระบะตอนครึ่ง คาดว่าต่อไปตลาดนี้จะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เนื่องจากถนนเมืองไทยดีขึ้น และในตลาดมีรถที่มีราคาไกล้เคียงกับกระบะแนวนี้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น B-segment แจ็ส ซิตี้ วีออส มาสด้า2 เฟียสต้า หรือพวกที่ราคาถูกกว่าอย่าง อีโค่คาร์ สวิฟท์ มิราจ บริโอ้ มาร์ช
ขนาดในห้องโดยสารแถวหน้าหนีกันไม่เท่าไหร่ แถมมีที่นั่งหลังได้สบายกว่าแค็บ ทำให้คนมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น
เพื่อเป็นการเพิ่มยอดขาย รถในกลุ่มนี้ต้องพยายามหาจุดขายใหม่ให้กับตัวเอง ไม่ว่าความประหยัด อรรถประโยชน์ ขนาดตัวถัง
กระบะดับเบิลแค็บ คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากคนยังมีอาการกลัวภาวะน้ำท่วมอยู่ และส่วนหนึ่งราคากับออพชั่นในรถกลุ่มนี้เริ่มทัดเทียมกับรถกลุ่ม C-segment
ในช่วงหลังคนเริ่มมีกิจกรมกลางแจ้งมากขึ้น แทนที่เมื่อก่อน ส.-อา. จะเข้าห้าง เดินเล่น ก็เริ่มเปลี่ยนไปอกกำลังกาย ขี่จักรยาน ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
หลังจากนี้ถ้า AEC เปิดอย่างเต็มที่และการเข้าออกระหว่างประเทศในกลุ่มง่ายขึ้น
เราจะเริ่มเห็นคาราวานไปเที่ยว หลวงพระบาง ย่างกุ้ง เสียมเรียบ ฮอยอัน กันอย่างคึกคักมากขึ้น ทำให้รถในกลุ่ม "4ประตูยกสูง" ขายดีขึ้น
ดีไม่ดีอาจจะมีไปถึง แคชเมียร์ หรือ ฮาบิน กันเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องขนาดของเครื่องยนต์ก็ต้องเตรียมรับกับภาษีสรรพสารมิตใหม่ ซึ่ีงถ้าสามารถมีกระบอกสูบที่ใหญ่แต่ประหยัดและปล่อยมลพิษได้น้อยลง ก็ไม่ต้องกลัวอะไร
ตัวอย่างง่ายๆ BT-50 pro ตัวปัจจุบัน รถ 4ประตูยกสูงเหมือนกัน เกียร์ออโต้เหมือนกัน ขับเหมือนกัน คันหนึ่ง เครื่อง 2.2ขับเคลือนสองล้อ กับอีกคันหนึ่ง 3.2มีระบบขับสี่หน่วงด้วย
คนใช้งานยังบอกว่ากินพอๆกัน ถ้าขับในเมือง 2.2 จะประหยัดกว่าหน่อย แต่ถ้าวิ่งทางไกล 130 - 140 กม./ชม. 3.2 ประหยัดกว่าหน่อย
แต่อย่างไรเครื่องรถกระบะบ้านเราก็ไม่ใหญาไปกว่า 3250 ซีซี แน่นอนไม่อย่างนั้นจ่ายภาษีกันอานเลย
เมื่อก่อนตอน วีโก้ ออกมาใหม่ 3.0 ลิตร VN - turbo 163 แรงม้า
เร็วๆนี้แถวๆเซ็นทรัลลาดพร้าวกำลังจะมี 2.5 ลิตร 163 แรงม้าเหมือนกัน
เวลาผ่านไป 8 ปี ยังมีเรื่องแบบนี้เลยครับ
โลกมันหมุนทุกวัน ก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงทุกวันแหละครับ