Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: MoJo-JoJo ที่ มกราคม 30, 2013, 23:55:54
-
ถามเลยแล้วกัน...
1.รถใหม่ กับ รถที่ขับไปแล้วเลย2-3ปี จับมาเคลือบแก้ว ได้ผลต่างกันมั้ยครับ? เยอะมั้ยครับ?
(คือในความคิดผม รถใหม่เคลืบเลยก็รักษาหน้าสีหน้าๆสวยๆไว้แต่แรกเลย
แต่หากไปเคลือบหลัง 2-3ปี เหมือนเราคืนชีวิตให้สีรถ เหมือนทำสีใหม่ + สร้างเกาะป้องกันให้มันไปด้วยเลย
เหมือนได้รถใหม่นานขึ้น 3 ปี)
2. การล้างรถที่เคลือบแก้ว กับ ไม่เคลือบแก้ว มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ?
(เคลือบแก้วต้องใช้น้ำยาพิเศษมั้ย เพราะไม่งั้นจะลอกเคลือบแก้วออกหรือเปล่า?
หรือล้างง่ายกว่า เพราะเคลือบมาแล้ว ล้างง่าย เงาวับตลอดเวลา)
3.มีหลายคนบอก wax ฉ่ำและเงาและสวยกว่าเคลือบแก้ว จริงหรือไม่?
แล้วในเรื่องของความยาวนานของความเงาในแต่ละครั้งที่ล้างหล่ะ?
(คือผมเคยลงแวกซ์มันก็เงานะ แต่ก็เงาแป๊ปเดียว แต่เคยเห็นรถเพื่อนที่เคลือบมา
เงาทุกครั้งที่พบเจอเลยก็ว่าได้ ทั้งๆที่พอเดินเข้าไปใกล้ๆรถ กลับเห็นผุ่นเกาะจำนวนมาก (รถสีขาวด้วยนะเออ))
ขอความรู้ด้วยนะครับ....ตัดสินใจว่าจะเสียเงินทีเดียว หรือ ไปอาบน้ำให้มันบ่อยๆดี อยู่ครับ ... ^^
ปล. หวังว่าคำถามคงไม่ซ้ำใครนะครับ และหวังว่าจะมีประโยชน์กับชาว HLM ครับ
-
1. รถสองสามปีอาจจะมีรอยเยอะกว่าแล้วต้องเตรียมผิวมากกว่ารถใหม่ ผลงานออกมาผมคิดว่าไม่แตกต่างกันเยอะครับ
เพราะว่าแค่ขัด รถก็ดูใหม่แล้ว
2. อันนี้ผมว่าแล้วแต่ตัวเคลือบแก้วนั้นๆครับ เคยใช้ของ C-Quartz ก็ใช้น้ำยาล้างรถธรรมดา ล้างเสร็จผิวรถลื่น + เงา อันนี้ชอบครับ
3. เทียบกันแล้วผมว่าเคลือบแก้วผมมันออกแนวใสๆ แต่ผมใส่แวกซ์ลงไปทับ ผลงานออกมาสวยครับ
** ทั้งนี้ทั้งนั้น ของผมลงเองอยู่ได้ประมาณ 1 ปีแล้วมันก็ค่อยๆหายไป ผมเลยมานั่งลงแวกซ์ธรรมดาเหมือนเดิมดีกว่า :D :D
ปล. รูปรถผมสีดำเคลือบแก้วครับ
-
เมื่อวานผมได้คุยกับ"เจ้าพ่อ" ในวงการครับ
ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมญี่ปุ่นถึงมีนวัตกรรมเคลือบแก้ว
เหตุผลคือ ที่ญี่ปุ่นเองไม่ได้มีร้านคาร์แคร์มาบรรจงล้างรถแบบบ้านเราครับ
การเคลือบแก้ว จะทำให้ผิวชั้นนอกสุดของรถคือบนชั้นเคลียร์โค้ต แข็งแรงขึ้นมากกกก
ช่วยให้การดูแลรักษารถทำได้ง่าย คือฉีดน้ำล้างๆๆๆๆๆ แล้วเช็ดก็สะอาด หรือป้องกันเรื่องมลพิษ หรือพวกขี้ตกต่างๆไม่ให้เกาะ
และปกป้องชั้นเคลียร์โค้ต นั่นคือ วัตถุประสงค์ของเคลือบแก้ว
เคลือบแก้วที่ดีไม่ได้ดูที่เลเยอร์ว่าต้องหนากี่ไมครอน (อันนี้คนไทยชอบเอามาโฆษณาหนาแบบนู่นแบบนี่)
จริงๆแล้วเคลือบแก้วต้องบางและแข็งมากๆ ถึงจะเป็นเคลือบแก้วที่ดี เพื่อนผมว่ามางั้น
เพราะยิ่งหนาก็ยิ่งเหมือนรถมีกระจกหนาๆมาครอบไว้มันจะทำให้รถเห็นสีที่สวยงามของรถได้อย่างไร ?
และเคลือบแก้วที่หนามากๆ ถ้ามีอะไรมากระแทก กรณีเกิดการแคลก จะแก้ไขอย่างไร?
ถ้าทำรถเก่ามาไม่ดี แล้วเคลือบแก้วที่ทำมาไม่ดีพอ เกิดรอยแคลก แตกเป็นทางยาว จะแก้ไขอย่างไร ?
อันนี้คือคำถามที่ ร้านทำเคลือบแก้ว เขาฝากไว้ เพราะเขาเองก็บอกว่า ถ้าคุณมีเวลา ว่างมากพอ การเคลือบสีจะทำให้รถเงากว่าเคลือบแก้วครับ
เพราะคนที่เคลือบแก้ว จะพบว่าส่วนมากไม่มีเวลาดูแลรถ ทำงานเยอะ เลยเคลือบแก้วเพื่อปกป้องสีรถ จากสิ่งที่บอกข้างบนอ่ะ
จริงๆแล้วแทบไม่ได้เกี่ยวกับความเงางามของรถเลยด้วยซ้ำไป
แต่ทำไมร้านชอบเชียร์ ???
เพราะมันทำให้ร้านเขาได้สองเด้ง....คือ
1. เวลารถลูกค้ามาร้านมาล้างปกติ เสียเงินเท่ากัน ร้านทำงานง่ายเพราะฉีดๆๆๆ น้ำก็แทบสะอาดแล้ว
2. ขายน้ำยาเคลือบสีได้อีกต่อ....เพราะถ้าลูกค้าอยากเงาๆ สวยๆ ฉ่ำๆ ก็ต้องเคลือบสีทับไปบนเคลือบแก้วอยู่ดี (และเคลือบง่ายกว่ารถธรรมดาที่ไม่ได้เคลือบแก้วด้วย...)
นี่คือเหตุผล ส่วนการขายเคลือบแก้ว เพื่อนผมบอกว่า แม่ง..อารมณ์ล้วนๆ ครับ
ดังนั้นท่านที่จะเคลือบแก้วแล้วคิดว่ารถจะเงาเว่อร์ๆ ฉ่ำเยิ้มกันตลอดเวลา คิดใหม่นะครับ เทคโนโลยีนี้ไม่ได้ช่วยเรื่องนี้เลยครับ
เพราะที่เราเห็นว่ามันเงาเยิ้ม สวยสดใส ส่วนมากคือ ความใส่ใจในขั้นตอนเตรียมผิวครับ......
และไอ้ขั้นตอนเตรียมผิว รถบ้านๆ ที่ไม่ได้เคลือบแก้วจะทำให้ได้ระดับนั้น ย่อมทำได้อยู่แล้วครับ....เข้าคอร์ส WET LOOK ไม่เกิน 3,000
ก็ได้เงาระดับนั้นแล้ว แค่เราไม่ได้ความแข็งแกร่งจากชั้นฟิล์มของเคลือบแก้วแค่นั้นแหละ
และ....เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ชั้นฟิล์มของเคลือบแก้วที่ไหนดีไม่ดี ???
เพื่อนผมบอกว่า ก็ต้องดูระยะยาวครับ 1 ปีขึ้น 2 ปีขึ้น ว่ารถยังเหมือนวันแรกที่เราทำเคลือบแก้วหรือไม่....
ผมเลยสรุปได้ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์เคลือบแก้วครับ...
-
เมื่อวานผมได้คุยกับ"เจ้าพ่อ" ในวงการครับ
ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมญี่ปุ่นถึงมีนวัตกรรมเคลือบแก้ว
เหตุผลคือ ที่ญี่ปุ่นเองไม่ได้มีร้านคาร์แคร์มาบรรจงล้างรถแบบบ้านเราครับ
การเคลือบแก้ว จะทำให้ผิวชั้นนอกสุดของรถคือบนชั้นเคลียร์โค้ต แข็งแรงขึ้นมากกกก
ช่วยให้การดูแลรักษารถทำได้ง่าย คือฉีดน้ำล้างๆๆๆๆๆ แล้วเช็ดก็สะอาด หรือป้องกันเรื่องมลพิษ หรือพวกขี้ตกต่างๆไม่ให้เกาะ
และปกป้องชั้นเคลียร์โค้ต นั่นคือ วัตถุประสงค์ของเคลือบแก้ว
เคลือบแก้วที่ดีไม่ได้ดูที่เลเยอร์ว่าต้องหนากี่ไมครอน (อันนี้คนไทยชอบเอามาโฆษณาหนาแบบนู่นแบบนี่)
จริงๆแล้วเคลือบแก้วต้องบางและแข็งมากๆ ถึงจะเป็นเคลือบแก้วที่ดี เพื่อนผมว่ามางั้น
เพราะยิ่งหนาก็ยิ่งเหมือนรถมีกระจกหนาๆมาครอบไว้มันจะทำให้รถเห็นสีที่สวยงามของรถได้อย่างไร ?
และเคลือบแก้วที่หนามากๆ ถ้ามีอะไรมากระแทก กรณีเกิดการแคลก จะแก้ไขอย่างไร?
ถ้าทำรถเก่ามาไม่ดี แล้วเคลือบแก้วที่ทำมาไม่ดีพอ เกิดรอยแคลก แตกเป็นทางยาว จะแก้ไขอย่างไร ?
อันนี้คือคำถามที่ ร้านทำเคลือบแก้ว เขาฝากไว้ เพราะเขาเองก็บอกว่า ถ้าคุณมีเวลา ว่างมากพอ การเคลือบสีจะทำให้รถเงากว่าเคลือบแก้วครับ
เพราะคนที่เคลือบแก้ว จะพบว่าส่วนมากไม่มีเวลาดูแลรถ ทำงานเยอะ เลยเคลือบแก้วเพื่อปกป้องสีรถ จากสิ่งที่บอกข้างบนอ่ะ
จริงๆแล้วแทบไม่ได้เกี่ยวกับความเงางามของรถเลยด้วยซ้ำไป
แต่ทำไมร้านชอบเชียร์ ???
เพราะมันทำให้ร้านเขาได้สองเด้ง....คือ
1. เวลารถลูกค้ามาร้านมาล้างปกติ เสียเงินเท่ากัน ร้านทำงานง่ายเพราะฉีดๆๆๆ น้ำก็แทบสะอาดแล้ว
2. ขายน้ำยาเคลือบสีได้อีกต่อ....เพราะถ้าลูกค้าอยากเงาๆ สวยๆ ฉ่ำๆ ก็ต้องเคลือบสีทับไปบนเคลือบแก้วอยู่ดี (และเคลือบง่ายกว่ารถธรรมดาที่ไม่ได้เคลือบแก้วด้วย...)
นี่คือเหตุผล ส่วนการขายเคลือบแก้ว เพื่อนผมบอกว่า แม่ง..อารมณ์ล้วนๆ ครับ
ดังนั้นท่านที่จะเคลือบแก้วแล้วคิดว่ารถจะเงาเว่อร์ๆ ฉ่ำเยิ้มกันตลอดเวลา คิดใหม่นะครับ เทคโนโลยีนี้ไม่ได้ช่วยเรื่องนี้เลยครับ
เพราะที่เราเห็นว่ามันเงาเยิ้ม สวยสดใส ส่วนมากคือ ความใส่ใจในขั้นตอนเตรียมผิวครับ......
และไอ้ขั้นตอนเตรียมผิว รถบ้านๆ ที่ไม่ได้เคลือบแก้วจะทำให้ได้ระดับนั้น ย่อมทำได้อยู่แล้วครับ....เข้าคอร์ส WET LOOK ไม่เกิน 3,000
ก็ได้เงาระดับนั้นแล้ว แค่เราไม่ได้ความแข็งแกร่งจากชั้นฟิล์มของเคลือบแก้วแค่นั้นแหละ
และ....เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ชั้นฟิล์มของเคลือบแก้วที่ไหนดีไม่ดี ???
เพื่อนผมบอกว่า ก็ต้องดูระยะยาวครับ 1 ปีขึ้น 2 ปีขึ้น ว่ารถยังเหมือนวันแรกที่เราทำเคลือบแก้วหรือไม่....
ผมเลยสรุปได้ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์เคลือบแก้วครับ...
ชัดเจนมาก ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันครับ
-
ส่วนตัวผมว่า เวลาล้าง ให้เคลือบสีด้วยทุกครั้ง
น่าจะโอเคกว่าเคลือบแก้วนะครับ
ยกเว้นว่ารถสีดำ อันนี้เคลือบแก้วน่าจะโอเคกว่า
เพราะเห็นรอยขนแมวง่ายมาก เคลือบแก้วน่าจะช่วยได้ดี
ทีนี้ผมงบไม่ถึงขนาดนั้น เลยขอ ล้าง+เคลือบสี ทุกครั้งดีกว่าครับ
(รถผมสีดำ)
-
เมื่อวานผมได้คุยกับ"เจ้าพ่อ" ในวงการครับ
ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมญี่ปุ่นถึงมีนวัตกรรมเคลือบแก้ว
เหตุผลคือ ที่ญี่ปุ่นเองไม่ได้มีร้านคาร์แคร์มาบรรจงล้างรถแบบบ้านเราครับ
การเคลือบแก้ว จะทำให้ผิวชั้นนอกสุดของรถคือบนชั้นเคลียร์โค้ต แข็งแรงขึ้นมากกกก
ช่วยให้การดูแลรักษารถทำได้ง่าย คือฉีดน้ำล้างๆๆๆๆๆ แล้วเช็ดก็สะอาด หรือป้องกันเรื่องมลพิษ หรือพวกขี้ตกต่างๆไม่ให้เกาะ
และปกป้องชั้นเคลียร์โค้ต นั่นคือ วัตถุประสงค์ของเคลือบแก้ว
เคลือบแก้วที่ดีไม่ได้ดูที่เลเยอร์ว่าต้องหนากี่ไมครอน (อันนี้คนไทยชอบเอามาโฆษณาหนาแบบนู่นแบบนี่)
จริงๆแล้วเคลือบแก้วต้องบางและแข็งมากๆ ถึงจะเป็นเคลือบแก้วที่ดี เพื่อนผมว่ามางั้น
เพราะยิ่งหนาก็ยิ่งเหมือนรถมีกระจกหนาๆมาครอบไว้มันจะทำให้รถเห็นสีที่สวยงามของรถได้อย่างไร ?
และเคลือบแก้วที่หนามากๆ ถ้ามีอะไรมากระแทก กรณีเกิดการแคลก จะแก้ไขอย่างไร?
ถ้าทำรถเก่ามาไม่ดี แล้วเคลือบแก้วที่ทำมาไม่ดีพอ เกิดรอยแคลก แตกเป็นทางยาว จะแก้ไขอย่างไร ?
อันนี้คือคำถามที่ ร้านทำเคลือบแก้ว เขาฝากไว้ เพราะเขาเองก็บอกว่า ถ้าคุณมีเวลา ว่างมากพอ การเคลือบสีจะทำให้รถเงากว่าเคลือบแก้วครับ
เพราะคนที่เคลือบแก้ว จะพบว่าส่วนมากไม่มีเวลาดูแลรถ ทำงานเยอะ เลยเคลือบแก้วเพื่อปกป้องสีรถ จากสิ่งที่บอกข้างบนอ่ะ
จริงๆแล้วแทบไม่ได้เกี่ยวกับความเงางามของรถเลยด้วยซ้ำไป
แต่ทำไมร้านชอบเชียร์ ???
เพราะมันทำให้ร้านเขาได้สองเด้ง....คือ
1. เวลารถลูกค้ามาร้านมาล้างปกติ เสียเงินเท่ากัน ร้านทำงานง่ายเพราะฉีดๆๆๆ น้ำก็แทบสะอาดแล้ว
2. ขายน้ำยาเคลือบสีได้อีกต่อ....เพราะถ้าลูกค้าอยากเงาๆ สวยๆ ฉ่ำๆ ก็ต้องเคลือบสีทับไปบนเคลือบแก้วอยู่ดี (และเคลือบง่ายกว่ารถธรรมดาที่ไม่ได้เคลือบแก้วด้วย...)
นี่คือเหตุผล ส่วนการขายเคลือบแก้ว เพื่อนผมบอกว่า แม่ง..อารมณ์ล้วนๆ ครับ
ดังนั้นท่านที่จะเคลือบแก้วแล้วคิดว่ารถจะเงาเว่อร์ๆ ฉ่ำเยิ้มกันตลอดเวลา คิดใหม่นะครับ เทคโนโลยีนี้ไม่ได้ช่วยเรื่องนี้เลยครับ
เพราะที่เราเห็นว่ามันเงาเยิ้ม สวยสดใส ส่วนมากคือ ความใส่ใจในขั้นตอนเตรียมผิวครับ......
และไอ้ขั้นตอนเตรียมผิว รถบ้านๆ ที่ไม่ได้เคลือบแก้วจะทำให้ได้ระดับนั้น ย่อมทำได้อยู่แล้วครับ....เข้าคอร์ส WET LOOK ไม่เกิน 3,000
ก็ได้เงาระดับนั้นแล้ว แค่เราไม่ได้ความแข็งแกร่งจากชั้นฟิล์มของเคลือบแก้วแค่นั้นแหละ
และ....เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ชั้นฟิล์มของเคลือบแก้วที่ไหนดีไม่ดี ???
เพื่อนผมบอกว่า ก็ต้องดูระยะยาวครับ 1 ปีขึ้น 2 ปีขึ้น ว่ารถยังเหมือนวันแรกที่เราทำเคลือบแก้วหรือไม่....
ผมเลยสรุปได้ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์เคลือบแก้วครับ...
ถูกต้องทุกประเด็นครับ
เสริมให้อีกนิดนึง เคลือบแก้วเป็นการปรับให้พื้นผิวเรียบเช่นเดียวกับคุณสมบัติของกระจก เมื่อผิวเรียบสสารต่างๆที่มากระทบจะกลิ้งออก
ดังนั้นเวลาเช็คเคลือบแก้วเค้าจึงใช้น้ำฉีดดูว่าน้ำวิ่งดีหรือไม่ ถ้าน้ำวิ่งไม่เกาะเป็นคราบถือว่าโอเค
ส่วนที่เคลือบแก้วราคาแพงมากๆก็เนื่องมาจากวิธีการทำที่ยุ่งยาก ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมผิวไปจนถึงการลงน้ำยา
และที่สำคัญการรับประกันที่ยาว 1-3 ปี ก็ว่ากันไปแล้วแต่ยี่ห้อ แล้วแต่ราคา
-
ปล. รูปรถผมสีดำเคลือบแก้วครับ
:o glass coat ตามชื่อเรียกจริงๆ ใสเป็นกระจกเลย
-
รถท่าน JIRATH ใสมาก
สุดยอด :o
-
ดูในรูปตอนแรก ไม่รู้ว่า เป็นรูป สะท้อนจากสี เงาจริงๆ :o
-
1. รถสองสามปีอาจจะมีรอยเยอะกว่าแล้วต้องเตรียมผิวมากกว่ารถใหม่ ผลงานออกมาผมคิดว่าไม่แตกต่างกันเยอะครับ
เพราะว่าแค่ขัด รถก็ดูใหม่แล้ว
2. อันนี้ผมว่าแล้วแต่ตัวเคลือบแก้วนั้นๆครับ เคยใช้ของ C-Quartz ก็ใช้น้ำยาล้างรถธรรมดา ล้างเสร็จผิวรถลื่น + เงา อันนี้ชอบครับ
3. เทียบกันแล้วผมว่าเคลือบแก้วผมมันออกแนวใสๆ แต่ผมใส่แวกซ์ลงไปทับ ผลงานออกมาสวยครับ
** ทั้งนี้ทั้งนั้น ของผมลงเองอยู่ได้ประมาณ 1 ปีแล้วมันก็ค่อยๆหายไป ผมเลยมานั่งลงแวกซ์ธรรมดาเหมือนเดิมดีกว่า :D :D
ปล. รูปรถผมสีดำเคลือบแก้วครับ
เกือบมองไม่ออกครับว่า มันคือการถ่ายภาพสะท้อนจากรถ เงาจริงจังเลย
-
ขอบคุณทุกท่านมากครับ
รถคุณ JIRATH ผมให้คนอื่นดู งง หมดเลย
บอกผม " เงาไงหว่ะ .... ดูมัวๆ "
ผมบอก .... " รถที่เคลือบคันสีดำนะ ดูกระจกข้าง กับ ล้อที่อยู่มุมภาพดิ แล้วไล่มาจะเห็นรถ"
เพื่อนผมนิ่งและบอกว่า " เคลือบแก้วนี่ราคาเท่าไหร่หว่ะ?"
55555555555555555555555555555555555555+
-
ตอนแรกผมเห็นมุมที่ผมถ่ายผมก็ตกใจเหมือนกันครับ เพราะว่าไม่เคยเห็นรถตัวเองเงาแบบนี้มาก่อน
ก็เลยกดชัตเตอร์มาให้ชมกัน แต่ตอนนี้ขายคันนี้ไปแล้วครับ ???
ขอบคุณทุกท่านมากครับ
รถคุณ JIRATH ผมให้คนอื่นดู งง หมดเลย
บอกผม " เงาไงหว่ะ .... ดูมัวๆ "
ผมบอก .... " รถที่เคลือบคันสีดำนะ ดูกระจกข้าง กับ ล้อที่อยู่มุมภาพดิ แล้วไล่มาจะเห็นรถ"
เพื่อนผมนิ่งและบอกว่า " เคลือบแก้วนี่ราคาเท่าไหร่หว่ะ?"
55555555555555555555555555555555555555+
:D :D :D แปลกเหมือนกันครับ เมื่อปีก่อนหลังจากทำเคลือบแก้วเสร็จด้วยตัวเอง มีคนทักสองสามคนว่าไปทำอะไรกับรถมา ทำไมเงาดีจัง ก่อนหน้านั้นก็ล้างลงแวกซ์ธรรมดา แต่ไม่เคยถาม
-
ตอนแรกผมเห็นมุมที่ผมถ่ายผมก็ตกใจเหมือนกันครับ เพราะว่าไม่เคยเห็นรถตัวเองเงาแบบนี้มาก่อน
ก็เลยกดชัตเตอร์มาให้ชมกัน แต่ตอนนี้ขายคันนี้ไปแล้วครับ ???
ขอบคุณทุกท่านมากครับ
รถคุณ JIRATH ผมให้คนอื่นดู งง หมดเลย
บอกผม " เงาไงหว่ะ .... ดูมัวๆ "
ผมบอก .... " รถที่เคลือบคันสีดำนะ ดูกระจกข้าง กับ ล้อที่อยู่มุมภาพดิ แล้วไล่มาจะเห็นรถ"
เพื่อนผมนิ่งและบอกว่า " เคลือบแก้วนี่ราคาเท่าไหร่หว่ะ?"
55555555555555555555555555555555555555+
:D :D :D แปลกเหมือนกันครับ เมื่อปีก่อนหลังจากทำเคลือบแก้วเสร็จด้วยตัวเอง มีคนทักสองสามคนว่าไปทำอะไรกับรถมา ทำไมเงาดีจัง ก่อนหน้านั้นก็ล้างลงแวกซ์ธรรมดา แต่ไม่เคยถาม
เคลือบเองนี่มันยากมั้ยครับ กลัวพลาดจัง กลัวเรื่องไม่มีห้องปิด คุมฝุ่นไม่ได้
แล้วเห็นสถามเคลือบแก้วส่วนใหญ่ใช้อบสีกัน ก็เลยสงสัยครับ
ว่าทำเองได้ ราคา 2-3 พันอย่างที่คุณ JIRATH ว่านั้น ถ้าได้ผล ต่างกันไม่ถึง 20% กับ ราคา 3-5 หมื่น
สงสัยต้องมาเริ่ม DIY กันหน่อยแล้ว!!!!!! 55555555555555555555555+
-
หลักๆคือเรื่องการเตรียมผิวครับ เตรียมผิวดีเท่าไหร่ผลงานออกมาสวยเท่านั้น
แล้วก็เคลือบไม่ยากครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเมืองไทยอากาศร้อนกว่าที่นี่จะเช็ดยากกว่ารึเปล่า
แต่ที่สำคัญ อยู่ได้แค่ปีเดียวครับ ??? ลองคิดดูว่าจะคุ้มจขกทรึเปล่า ;)
-
ผมให้ร้านล้างตลอด...........เรืองข้อดีของเคลือบแก้วคือล้างง่ายคงไม่ใช่ตัวแปรที่จะคิด เพราะไม่ได้ล้างเอง
รถผมสีดำ รถใหม่.......เป็นรอยแมวง่าย
มีงบห้าปีต่อการบำรุงสีรถ 30,000 บาท
ผมควรจะเลือกใช้วิธีไหนครับ เคลือบแก้ว หรือ ลงแว๊กส์ หรือ อื่นๆครับ
-
ผมให้ร้านล้างตลอด...........เรืองข้อดีของเคลือบแก้วคือล้างง่ายคงไม่ใช่ตัวแปรที่จะคิด เพราะไม่ได้ล้างเอง
รถผมสีดำ รถใหม่.......เป็นรอยแมวง่าย
มีงบห้าปีต่อการบำรุงสีรถ 30,000 บาท
ผมควรจะเลือกใช้วิธีไหนครับ เคลือบแก้ว หรือ ลงแว๊กส์ หรือ อื่นๆครับ
เคลือบแก้วเหมาะกับคนไม่มีเวลาดูแลมากกว่าครับ
ถ้าให้ร้านล้าง และเราไม่เดือดร้อนกับการรอนานๆที่จะลงแว็ก เคลือบสี ผมว่าไม่ต้องเคลือบแก้วครับ
ปีละ 30000นี่ตกเดือนละ 2500 ดูและรถได้ดีระดับนึงเลยครับ แต่อาจจะต้องเสียเวลาหน่อย
-
คือผมไม่ได้มองเรื่อว่าล้างคาร์แคร์ กับ เคลือบแก้วอันไหนคุ้มกว่าเลยอ่ะครับ
แต่กลับมองที่สิ่งที่ดีที่สุดให้รถ
คือการเคลือบเนี่ยะ ถ้ามันจะอยู่นานกว่าแว็กซ์ ปกป้องนานกว่า
ผมก็พร้อมที่จะเสีย
ในความคิดของผมที่บอกว่าอยากเคลือบ ไม่ได้ตามเทรนด์นะครับ
แต่ถ้าเทคโนโลยีมันพาเราไปเจอสิ่งที่ดีกว่า ผมก็พร้อมที่จะเปิดรับ
มุมมองของผม...
การเคลือบแก้วเหมือนเราใส่เคสมือถือให้กับรถ ให้ความเงา ให้การป้องกันแสงแดด ยูวี ฝุ่นละอองอะไรก็แล้วแต่
ถ้าการลงแว็กซ์ เดือนละครั้ง มันมีอายุ 1 เดือนจริงๆ ผมก็อาจจะสนใจแว็กซ์มากกว่า
คือเท่าที่รู้เนี่ยะ แว๊กซ์เนี่ยะ เคลือบแล้ว เจอฝนถี่ๆ ก็หลุด แต่เคลือบแก้วไม่ (ไม่รู้เข้าใจถูกเปล่า)
ผมมองไปที่ "สิ่งที่ดีที่สุด" ครับ
ยังไงก็ขอคำแนะนำเพื่อนๆ พี่ๆ ชาว HLM ด้วยละกันนะครับ
ปล. แต่ติดฟิล์มใสป้องกันรถ อันนั้นผมรู็สึกไม่ชอบแหะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เหอๆ