Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: GreenG ที่ มีนาคม 25, 2013, 20:22:13
-
อยากถามดูครับ ในฐานะที่ตนเองเรียนต่อโทสาขาที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อม (สุขศาสตร์อุตสาหกรรม หรือ ความปลอดภัยในการทำงาน)
โดยส่วนตัว ไม่ค่อยเห็นใครขับรถ แรงๆ กัน โดยมากจะเป็น city แบบพี่จิมมี่
แต่ตัวผมเอง ขับ March (ตกรุ่นไปแล้ว)
โดยรวมผมชอบ Hybrid แต่ผมไม่ชอบดีเซลเท่าไร (ผมไม่ชอบตรงสั้น ดัง และไอเสีย)
แล้วเพื่อนๆ ที่เจอ มักจะขับรถอะไรกันครับ :)
-
สงสัยเช่นกันครับ แล้วกลุ่มที่รักโลกมากๆ ขับรถอะไรกันครับ
พวกเขาเหล่านั้นเชื่อจริงๆหรือเปล่าว่า Hybrid / Eco-car ช่วยรักษาโลกหน่ะครับ
:)
-
นั่งรถไฟฟ้าครับ ไม่ซื้อรถ ช่วยโลกประหยัด :D :D
-
อยากถามดูครับ ในฐานะที่ตนเองเรียนต่อโทสาขาที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อม (สุขศาสตร์อุตสาหกรรม หรือ ความปลอดภัยในการทำงาน)
โดยส่วนตัว ไม่ค่อยเห็นใครขับรถ แรงๆ กัน โดยมากจะเป็น city แบบพี่จิมมี่
แต่ตัวผมเอง ขับ March (ตกรุ่นไปแล้ว)
โดยรวมผมชอบ Hybrid แต่ผมไม่ชอบดีเซลเท่าไร (ผมไม่ชอบตรงสั้น ดัง และไอเสีย)
แล้วเพื่อนๆ ที่เจอ มักจะขับรถอะไรกันครับ :)
เห็นควันดำแบบนั้น แต่จริงๆ ผมว่าความเป็นพิษในไอเสียของดีเซลน้อยกว่าเบนซินนะครับ
มลพิษไอเสียที่มักเป็นที่พูดถึง จะมีอยู่ก็คือ
-CO คาร์บอนมอนออกไซด์ สัตว์มีเลือดรับก๊าซนี้เข้าไปตายเกือบทันที เกิดขึ้นจากการฉีดเชื้อเพลิงหนา และการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
มลพิษตัวนี้ เบนซินปล่อยมากกว่าดีเซล 2-3 เท่า
-NOx ไนโตรเจนออกไซด์ รับก๊าซนี้เข้าไปตาย แต่ช้ากว่าCO หลายเท่าตัว มีอันตรายทางอ้อมจากการเกิดฝนกรด มาจากอุณหภูมิเผาไหม้สูงเกินไป
ตัวนี้ ดีเซลปล่อยมากกว่าเบนซิน 3 เท่า
-เขม่าควันดำ เกิดจากการผสมน้ำมันอากาศที่ไม่สม่ำเสมอ ระยะสั้นคือระคายเคืองจมูก ระยะยาวคือมะเร็ง ไม่สามารถทำให้ตายทันทีได้
ดีเซลปล่อยมากกว่าเบนซินหลายเท่ามาก
-Unburned HydroCarbon สาเหตุจากการใช้เชื้อเพลิงหนา และการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ไม่ตาย แต่ทำให้เกิดฝนกรด
เบนซินปล่อยมากกว่าดีเซลหลายเท่ามาก
-CO2 คาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ใช่แก๊สพิษแต่ทำให้โลกร้อน ขึ้นกับประสิทธิภาพการเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์
เบนซินปล่อยมากกว่าดีเซล 10-50%
เทียบๆ กันแล้ว ผมว่าดีเซลจะปล่อยมลพิษที่มีพิษทางอ้อม และสามารถติด EGR และจูน ECU ลดมลพิษจากการเผาไหม้ต้นทางได้
แต่เบนซิน ปล่อยมลพิษที่มีพิษโดยตรง ฆ่าสิ่งมีชีวิตได้เร็ว และเกิดจากการสันดาปภายในซึ่งทำได้เพียงการติดCat กรองที่ปลายทางเท่านั้น
(การลดไอเสียที่ต้นทางจะกระทบซึ่งอาจทำให้เครื่องเบนซินเดินไม่เรียบ จึงทำได้เพียงติด Cat)
เครื่องดีเซล สั่น และ ดังครับ แต่ไอเสียมัน มีพิษน้อยกว่าเบนซิน ควันดำนั่นแค่หลอกตาครับ
ผมไม่ได้เรียนด้านสิ่งแวดล้อม แต่ขออนุญาตแสดงมุมมองไว้แบบนี้ครับ
-EcoCar ประหยัดได้เพราะขนาด ไม่ใช่เพราะการปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้ ถ้าส่องไฟขยายส่วนโดเรมอนลงไปมันก็จะกินพอๆ กับรถทั่วไป
-Hybrid เบนซิน ประหยัดเพราะลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะการขับในเมือง และบางยี่ห้อจูนให้เครื่องทำงานเฉพาะในย่านที่มีประสิทธิภาพสูง
แล้วก็เพิ่มประสิทธิภาพเกียร์อีกหน่อย แต่ไม่ได้ไปยุ่งกับเครื่องมาก
-GAS ประหยัดเพราะราคาเชื้อเพลิง ไม่ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพใดๆ ทั้งสิ้น
-Diesel คือหนึ่งเดียวที่ประหยัดมาจากประสิทธิภาพการเผาไหม้ในห้องเครื่อง การใช้งานในสภาวะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นแบบใดดีเซลประหยัดกว่าเสมอ
ไอเสียไม่เป็นพิษเท่าเบนซิน รถใครที่เป็นดีเซลแล้วเปลืองน้ำมัน ต้องมองอีกมุมว่าถ้ารถคันนั้นเป็นเบนซินมันจะหนักกว่านี้
นี่คือรถที่รักษ์โลกจริงๆ คิดดูว่า F30 320d คันเบ้อเริ่มปล่อย CO2 117g/km ในขณะที่อีโคคาร์ปล่อย 120g/km
แต่ดีเซลหนีการสูญเสียที่ไม่จำเป็นอย่างพวกรถติดไม่พ้น ตอนนี้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ ผมเห็นว่ามีแต่ Diesel Hybrid ครับผม
-
ใช้รถตามที่เราชอบครับ
ปล.ผมเองก็อยากช่วยโลกนะครับ อยากขับพรีอุส อยากขับพวกรถไฮบริด แต่ก็แพงเสียเหลือเกินรักโลกไม่ไหวเลยขับแค่ EXพอครับ 555+
-
ผมขับ civic FD ครับ
และเป็นนักวิจัยด้าน มลพิษไอเสียจากยานพาหนะ
ผมจะบอกว่า "รถยนต์ทุกคัน ยังไงก็ต้องปล่อยไอเสีย แต่มากน้อยต่างกัน"
ถ้าเกิดว่ามีรถ ที่สะอาดรักโลกจริงๆ --->> ผมคงตกงาน อ่ะครับ (ฮา)
ปล. เผื่อมีคนสนใจ ตัวอย่างมาตรฐานไอเสีย ยูโร 4 (ตอนนี้บ้านเราใช้ตัวนี้อยู่ครับ)
ที่มา: http://aqnis.pcd.go.th/node/2084 (http://aqnis.pcd.go.th/node/2084)
-
อยากถามดูครับ ในฐานะที่ตนเองเรียนต่อโทสาขาที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อม (สุขศาสตร์อุตสาหกรรม หรือ ความปลอดภัยในการทำงาน)
โดยส่วนตัว ไม่ค่อยเห็นใครขับรถ แรงๆ กัน โดยมากจะเป็น city แบบพี่จิมมี่
แต่ตัวผมเอง ขับ March (ตกรุ่นไปแล้ว)
โดยรวมผมชอบ Hybrid แต่ผมไม่ชอบดีเซลเท่าไร (ผมไม่ชอบตรงสั้น ดัง และไอเสีย)
แล้วเพื่อนๆ ที่เจอ มักจะขับรถอะไรกันครับ :)
เห็นควันดำแบบนั้น แต่จริงๆ ผมว่าความเป็นพิษในไอเสียของดีเซลน้อยกว่าเบนซินนะครับ
มลพิษไอเสียที่มักเป็นที่พูดถึง จะมีอยู่ก็คือ
-CO คาร์บอนมอนออกไซด์ สัตว์มีเลือดรับก๊าซนี้เข้าไปตายเกือบทันที เกิดขึ้นจากการฉีดเชื้อเพลิงหนา และการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
มลพิษตัวนี้ เบนซินปล่อยมากกว่าดีเซล 2-3 เท่า
-NOx ไนโตรเจนออกไซด์ รับก๊าซนี้เข้าไปตาย แต่ช้ากว่าCO หลายเท่าตัว มีอันตรายทางอ้อมจากการเกิดฝนกรด มาจากอุณหภูมิเผาไหม้สูงเกินไป
ตัวนี้ ดีเซลปล่อยมากกว่าเบนซิน 3 เท่า
-เขม่าควันดำ เกิดจากการผสมน้ำมันอากาศที่ไม่สม่ำเสมอ ระยะสั้นคือระคายเคืองจมูก ระยะยาวคือมะเร็ง ไม่สามารถทำให้ตายทันทีได้
ดีเซลปล่อยมากกว่าเบนซินหลายเท่ามาก
-Unburned HydroCarbon สาเหตุจากการใช้เชื้อเพลิงหนา และการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ไม่ตาย แต่ทำให้เกิดฝนกรด
เบนซินปล่อยมากกว่าดีเซลหลายเท่ามาก
-CO2 คาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ใช่แก๊สพิษแต่ทำให้โลกร้อน ขึ้นกับประสิทธิภาพการเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์
เบนซินปล่อยมากกว่าดีเซล 10-50%
เทียบๆ กันแล้ว ผมว่าดีเซลจะปล่อยมลพิษที่มีพิษทางอ้อม และสามารถติด EGR และจูน ECU ลดมลพิษจากการเผาไหม้ต้นทางได้
แต่เบนซิน ปล่อยมลพิษที่มีพิษโดยตรง ฆ่าสิ่งมีชีวิตได้เร็ว และเกิดจากการสันดาปภายในซึ่งทำได้เพียงการติดCat กรองที่ปลายทางเท่านั้น
(การลดไอเสียที่ต้นทางจะกระทบซึ่งอาจทำให้เครื่องเบนซินเดินไม่เรียบ จึงทำได้เพียงติด Cat)
เครื่องดีเซล สั่น และ ดังครับ แต่ไอเสียมัน มีพิษน้อยกว่าเบนซิน ควันดำนั่นแค่หลอกตาครับ
ผมไม่ได้เรียนด้านสิ่งแวดล้อม แต่ขออนุญาตแสดงมุมมองไว้แบบนี้ครับ
-EcoCar ประหยัดได้เพราะขนาด ไม่ใช่เพราะการปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้ ถ้าส่องไฟขยายส่วนโดเรมอนลงไปมันก็จะกินพอๆ กับรถทั่วไป
-Hybrid เบนซิน ประหยัดเพราะลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะการขับในเมือง และบางยี่ห้อจูนให้เครื่องทำงานเฉพาะในย่านที่มีประสิทธิภาพสูง
แล้วก็เพิ่มประสิทธิภาพเกียร์อีกหน่อย แต่ไม่ได้ไปยุ่งกับเครื่องมาก
-GAS ประหยัดเพราะราคาเชื้อเพลิง ไม่ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพใดๆ ทั้งสิ้น
-Diesel คือหนึ่งเดียวที่ประหยัดมาจากประสิทธิภาพการเผาไหม้ในห้องเครื่อง การใช้งานในสภาวะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นแบบใดดีเซลประหยัดกว่าเสมอ
ไอเสียไม่เป็นพิษเท่าเบนซิน รถใครที่เป็นดีเซลแล้วเปลืองน้ำมัน ต้องมองอีกมุมว่าถ้ารถคันนั้นเป็นเบนซินมันจะหนักกว่านี้
นี่คือรถที่รักษ์โลกจริงๆ คิดดูว่า F30 320d คันเบ้อเริ่มปล่อย CO2 117g/km ในขณะที่อีโคคาร์ปล่อย 120g/km
แต่ดีเซลหนีการสูญเสียที่ไม่จำเป็นอย่างพวกรถติดไม่พ้น ตอนนี้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ ผมเห็นว่ามีแต่ Diesel Hybrid ครับผม
ถูกใจครับ
-
เพื่อนผมเรียนโทสิ่งแวดล้อม ขับยาริสครับ >_<
อยากถามดูครับ ในฐานะที่ตนเองเรียนต่อโทสาขาที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อม (สุขศาสตร์อุตสาหกรรม หรือ ความปลอดภัยในการทำงาน)
โดยส่วนตัว ไม่ค่อยเห็นใครขับรถ แรงๆ กัน โดยมากจะเป็น city แบบพี่จิมมี่
แต่ตัวผมเอง ขับ March (ตกรุ่นไปแล้ว)
โดยรวมผมชอบ Hybrid แต่ผมไม่ชอบดีเซลเท่าไร (ผมไม่ชอบตรงสั้น ดัง และไอเสีย)
แล้วเพื่อนๆ ที่เจอ มักจะขับรถอะไรกันครับ :)
เห็นควันดำแบบนั้น แต่จริงๆ ผมว่าความเป็นพิษในไอเสียของดีเซลน้อยกว่าเบนซินนะครับ
มลพิษไอเสียที่มักเป็นที่พูดถึง จะมีอยู่ก็คือ
-CO คาร์บอนมอนออกไซด์ สัตว์มีเลือดรับก๊าซนี้เข้าไปตายเกือบทันที เกิดขึ้นจากการฉีดเชื้อเพลิงหนา และการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
มลพิษตัวนี้ เบนซินปล่อยมากกว่าดีเซล 2-3 เท่า
-NOx ไนโตรเจนออกไซด์ รับก๊าซนี้เข้าไปตาย แต่ช้ากว่าCO หลายเท่าตัว มีอันตรายทางอ้อมจากการเกิดฝนกรด มาจากอุณหภูมิเผาไหม้สูงเกินไป
ตัวนี้ ดีเซลปล่อยมากกว่าเบนซิน 3 เท่า
-เขม่าควันดำ เกิดจากการผสมน้ำมันอากาศที่ไม่สม่ำเสมอ ระยะสั้นคือระคายเคืองจมูก ระยะยาวคือมะเร็ง ไม่สามารถทำให้ตายทันทีได้
ดีเซลปล่อยมากกว่าเบนซินหลายเท่ามาก
-Unburned HydroCarbon สาเหตุจากการใช้เชื้อเพลิงหนา และการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ไม่ตาย แต่ทำให้เกิดฝนกรด
เบนซินปล่อยมากกว่าดีเซลหลายเท่ามาก
-CO2 คาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ใช่แก๊สพิษแต่ทำให้โลกร้อน ขึ้นกับประสิทธิภาพการเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์
เบนซินปล่อยมากกว่าดีเซล 10-50%
เทียบๆ กันแล้ว ผมว่าดีเซลจะปล่อยมลพิษที่มีพิษทางอ้อม และสามารถติด EGR และจูน ECU ลดมลพิษจากการเผาไหม้ต้นทางได้
แต่เบนซิน ปล่อยมลพิษที่มีพิษโดยตรง ฆ่าสิ่งมีชีวิตได้เร็ว และเกิดจากการสันดาปภายในซึ่งทำได้เพียงการติดCat กรองที่ปลายทางเท่านั้น
(การลดไอเสียที่ต้นทางจะกระทบซึ่งอาจทำให้เครื่องเบนซินเดินไม่เรียบ จึงทำได้เพียงติด Cat)
เครื่องดีเซล สั่น และ ดังครับ แต่ไอเสียมัน มีพิษน้อยกว่าเบนซิน ควันดำนั่นแค่หลอกตาครับ
ผมไม่ได้เรียนด้านสิ่งแวดล้อม แต่ขออนุญาตแสดงมุมมองไว้แบบนี้ครับ
-EcoCar ประหยัดได้เพราะขนาด ไม่ใช่เพราะการปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้ ถ้าส่องไฟขยายส่วนโดเรมอนลงไปมันก็จะกินพอๆ กับรถทั่วไป
-Hybrid เบนซิน ประหยัดเพราะลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะการขับในเมือง และบางยี่ห้อจูนให้เครื่องทำงานเฉพาะในย่านที่มีประสิทธิภาพสูง
แล้วก็เพิ่มประสิทธิภาพเกียร์อีกหน่อย แต่ไม่ได้ไปยุ่งกับเครื่องมาก
-GAS ประหยัดเพราะราคาเชื้อเพลิง ไม่ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพใดๆ ทั้งสิ้น
-Diesel คือหนึ่งเดียวที่ประหยัดมาจากประสิทธิภาพการเผาไหม้ในห้องเครื่อง การใช้งานในสภาวะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นแบบใดดีเซลประหยัดกว่าเสมอ
ไอเสียไม่เป็นพิษเท่าเบนซิน รถใครที่เป็นดีเซลแล้วเปลืองน้ำมัน ต้องมองอีกมุมว่าถ้ารถคันนั้นเป็นเบนซินมันจะหนักกว่านี้
นี่คือรถที่รักษ์โลกจริงๆ คิดดูว่า F30 320d คันเบ้อเริ่มปล่อย CO2 117g/km ในขณะที่อีโคคาร์ปล่อย 120g/km
แต่ดีเซลหนีการสูญเสียที่ไม่จำเป็นอย่างพวกรถติดไม่พ้น ตอนนี้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ ผมเห็นว่ามีแต่ Diesel Hybrid ครับผม
คุณเข้าใจผิดแล้วครับ มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 เป็นต้นมา ดีเซลกับเบนซินสเปคจะใกล้ๆกัน
ไอเสียต่างๆ ทั้ง CO NOX SOX มันโดนแคตฯ รีดิวส์กับออกซิไดส์ จนกลายเป็น CO2 กับน้ำ ไปหมดแล้ว ประเด็นนี้ตัดไปได้เลย
ส่วนของดีเซลจะมีพิษจาก Small particle หรือเขม่า เสมอ เพราะงั้น ต่อให้เป็นโคตร Series 0.001 ตัวเล็กสุดๆ จาก BMW ยังไงมันก็มีเขม่า ซึ่งเบนซินไม่มีครับ เพราะงั้น โดยสากลถือว่าดีเซลมีมลพิษต่อรางกายมากกว่าครับ
น้ำมันยิ่งเบายิ่งสะอาด ลองเทียบกับ NGV ไปเลยจะยิ่งชัดครับ ยังไงเครื่องโคตรดีเซลไฮบริดยังไง ไอเสียมันก็มีมลพิษมากกว่า NGV (แต่เรื่อง CO2 มันอีกเรื่อง อย่าเอามาปนกันครับ)
ดีเซลมีประสิทธิภาพสูงกว่าเบนซินจริง แต่ที่มันดูเยอะเพราะเราไปเทียบ ต่อลิตร ซึ่งตรงนี้ไม่ยุติธรรมกับเบนซินเท่าไร ต้องเทียบต่อมวล ถึงจะพบว่าความแตกต่างไม่ได้มากมายอะไรนักครับ
-
รู้สึกว่าWHOประกาศว่าไอเสียจากดีเซลเป็นสารก่อมะเร็งเมื่อหลายเดือนก่อนนะครับ
ความเห็นส่วนตัว อย่าไปคิดอะไรมากเลยครับ ;D
-
ผมกลัวเขม่ามากกว่าครับ ซึ่งอยู่ในไอเสีย
สารก่อมะเร็ง ครับ
แต่ไม่มาก เท่า สั่นและดัง
อันนี้ไม่ไหวจริงๆ
-
เสริมให้นะครับ
ไอเสียจากรถยนต์ เบนซินกับดีเซล ---> มีตัวมลพิษต่างกัน 1 ตัว ที่เด่นๆ
คือ เครื่องยนต์ดีเซล จะปลดปล่อย *ฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก (Particulate Matter, PM) และควันดำ (Black Smoke) เมื่อเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
*ฝุ่นละอองขนาดเล็ก --->> จะลอยในอากาศได้นาน --->> คนอยู่ริมถนน สูดเข้าปอด+อาจป่วย เป็นโรคทางเดินหายใจ
*ฝุ่นละอองขนาดเล็ก --->> มีสารก่อมะเร็ง เกาะอยู่ --->> ชื่อ Benzo(a)pyrene (จากงานวิจัยของ WHO)
ปล. คนในรถน่ะ ไม่เป็นไร ...แต่คนอยู่ริมถนน น่ะเสี่ยง ครับ
-
เห็นทั้งคนเรียนและคนสอน ทั้ง 3 ระดับ คือ ป.ตรี โท และเอก
ก็ขับรถธรรมดาๆ ตลาดๆ ครับ
-
ปั่นจักรยาน
-
ผม วิศวกรสิ่งแวดล้อม
ใช้รถเก่าๆ ครับ Sunny B-14 สำหรับเดินทางข้ามจังหวัดกลับบ้าน ที่ตจว.
ตอนนี้ก็เล็งๆไว้อยู่ครับ ว่าจะหารถที่ใช้งานได้ครอบคลุมการใช้งานหน่อย ประมาณ Ertiga นี่แหละ พอดีๆ
ส่วนการเดินทางใกล้ๆ 5 กม. 8 กม. ปั่นจักรยานครับ
-
เพื่อนผมอยู่ศูนย์วิจัยเกี่ยวกะพืช ต้นไม้นี่ละครับ
รักษ์โลกของจริง ปั่นจักรยาน ข้ามจังหวัด -*-
แต่ตอนนี้มีลูกเมียแล้วก็ขับ รถยนต์
-
พ่อผมปั่นจักรยาน เป็นว่าเล่นครับ
-
PM หรือ Particulate Matter นั้น มีในทั้งเครื่องยนต์ดีเซล และ เบนซินนะครับ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ในเครื่องดีเซล :)
ซึ่งถ้าจะขยายความให้ลึกขึ้นในเครื่องเบนซินนั้นจะมี PM เกิดขึ้นในเครื่องยนต์แบบ GDI หรือ Gasoline Direct Injection นั่นเองครับ เนื่องจากเครื่องที่เป็น DI นั้นเชื้อเพลิงบริเวณหัวฉีดนั้นจะหนากว่าค่าเฉลี่ยในห้องเผาใหม้เลยทำให้เกิดเขม่าบริเึวณนี้นั่นเอง
จะเห็นได้จากมาตรฐานไอเสีย EURO EMISSION: EURO V นั้น
กำหนดให้เครื่องยนต์เบนซินในตัวถังรถยนต์นั่ง (Passenger Car) มีค่ามาตรฐานของ PM เข้ามาด้วยนั่นเอง ;D
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards (http://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards)
-
if you need a Real Eco-Car, You don't need a car..... :)
-
PM หรือ Particulate Matter นั้น มีในทั้งเครื่องยนต์ดีเซล และ เบนซินนะครับ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ในเครื่องดีเซล :)
ซึ่งถ้าจะขยายความให้ลึกขึ้นในเครื่องเบนซินนั้นจะมี PM เกิดขึ้นในเครื่องยนต์แบบ GDI หรือ Gasoline Direct Injection นั่นเองครับ เนื่องจากเครื่องที่เป็น DI นั้นเชื้อเพลิงบริเวณหัวฉีดนั้นจะหนากว่าค่าเฉลี่ยในห้องเผาใหม้เลยทำให้เกิดเขม่าบริเึวณนี้นั่นเอง
จะเห็นได้จากมาตรฐานไอเสีย EURO EMISSION: EURO V นั้น
กำหนดให้เครื่องยนต์เบนซินในตัวถังรถยนต์นั่ง (Passenger Car) มีค่ามาตรฐานของ PM เข้ามาด้วยนั่นเอง ;D
อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards (http://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards)
ขอบคุณครับ
ทำให้รู้เลยว่า ปัจจุบัน ไทยยังใช้ มาตรฐานยูโร4 อยู่ (เริ่มใช้ปี 2555)
--->> (ในส่วนรถยนต์เบนซิน ยังไม่กำหนดค่า ฝุ่น PM)
ซึ่งผมคิดว่า อีกหลายปี ไทยถึงจะขยับขึ้นเป็น ยูโร5
รถยนต์ที่ออกใหม่ๆ ในบ้านเรา จึงยังไม่เปลี่ยนเทคโนโลยีเครื่องยนต์ เพราะต้นทุนจะสูงขึ้น
--->> คือ ขายเครื่องแค่ผ่าน ยูโร 4 เท่านั้นเอง!
-
ข้อมูลด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับ Diesel Exhaust ครับ
http://www.cancer.org/cancer/cancercauses/othercarcinogens/pollution/diesel-exhaust (http://www.cancer.org/cancer/cancercauses/othercarcinogens/pollution/diesel-exhaust)
http://www.un.org/apps/news/story.asp?NewsID=42204&Cr=cancer&Cr1#.UVESFxeLBDQ (http://www.un.org/apps/news/story.asp?NewsID=42204&Cr=cancer&Cr1#.UVESFxeLBDQ)
http://www.iarc.fr/en/media-centre/pr/2012/pdfs/pr213_E.pdf (http://www.iarc.fr/en/media-centre/pr/2012/pdfs/pr213_E.pdf)
ยืนยันแล้วว่า Diesel Exhaust เป็น Carcinogen นะครับ
ผู้ขับรถ Diesel ไม่ได้รับผลโดยตรงครับ แต่ผู้สัมผัสควันบนท้องถนนบ่อยๆ ก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพอยู่บ้างครับ
-
นั่งรถไฟฟ้าครับ ไม่ซื้อรถ ช่วยโลกประหยัด :D :D
อาผมคนหนึ่งก็ทำเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมครับ ขับแอคคอร์ด 2.0 gen ก่อน แต่คอนโดก็ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน จึงสลับกันใช้ตามสมควร
ส่วนอาอีกคน ทำงานใกล้เคียงกัน ก็เคยเจอที่ป้ายรถเมล์ครับ
-
ผมวิศวกรไฟฟ้าครับ ทำด้านพลังงานทดแทนอยู่ รถขับประจำก็พรีอุสครับ ผมชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ชอบอะไรที่มันไฮเทค น่าค้นหา อยากรู้ว่ามันทำงานยังไง ถ้ารถที่ทำงานก็ขับวีโก้ครับ เอาพรีอุสไปลุยดินลูกรังไม่ไหว เอารถบริษัทไปลุยมันส์กว่าเยอะ ตอนนี้จะถอยซีวิคอีกคันมาให้แฟนขับ
-
คุณเข้าใจผิดแล้วครับ มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 เป็นต้นมา ดีเซลกับเบนซินสเปคจะใกล้ๆกัน
ไอเสียต่างๆ ทั้ง CO NOX SOX มันโดนแคตฯ รีดิวส์กับออกซิไดส์ จนกลายเป็น CO2 กับน้ำ ไปหมดแล้ว ประเด็นนี้ตัดไปได้เลย
ส่วนของดีเซลจะมีพิษจาก Small particle หรือเขม่า เสมอ เพราะงั้น ต่อให้เป็นโคตร Series 0.001 ตัวเล็กสุดๆ จาก BMW ยังไงมันก็มีเขม่า ซึ่งเบนซินไม่มีครับ เพราะงั้น โดยสากลถือว่าดีเซลมีมลพิษต่อรางกายมากกว่าครับ
น้ำมันยิ่งเบายิ่งสะอาด ลองเทียบกับ NGV ไปเลยจะยิ่งชัดครับ ยังไงเครื่องโคตรดีเซลไฮบริดยังไง ไอเสียมันก็มีมลพิษมากกว่า NGV (แต่เรื่อง CO2 มันอีกเรื่อง อย่าเอามาปนกันครับ)
ดีเซลมีประสิทธิภาพสูงกว่าเบนซินจริง แต่ที่มันดูเยอะเพราะเราไปเทียบ ต่อลิตร ซึ่งตรงนี้ไม่ยุติธรรมกับเบนซินเท่าไร ต้องเทียบต่อมวล ถึงจะพบว่าความแตกต่างไม่ได้มากมายอะไรนักครับ
ความแตกต่างของ CO NOx ระหว่างเบนซินและดีเซลยังเยอะอยู่ครับ ยังตัดไม่ได้ ดูได้จากมาตรฐานไอเสียยูโร 4-5
http://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards (http://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards)
เริ่มจาก CO ด้วยเกณฑ์ปัจจุบัน EUTO5 กำหนดลิมิตในเบนซินไว้สองเท่าของลิมิตดีเซล ถ้าประเด็นเรื่อง CO ถูกแคตกรองสามารถตัดได้
คงไม่กำหนดลิมิตไว้ต่างกันเช่นนี้ พูดง่ายๆ ผมคิดว่าถึงแม้เบนซินมีแคต ก็ยังปล่อย CO สูงเป็นสองเท่าของดีเซลหรือมากกว่าครับ
เพราะอย่างแรกคือดีเซลมี CO น้อยมาจากกระบวนการสันดาปที่ต้นทาง และแคต ไม่สามารถกรอง CO ได้ในกรณีการทำงานแบบดีเซล
แคตของดีเซลจึงไม่ได้กรอง CO แต่ดีเซลยังปล่อย CO น้อยกว่า เพราะลักษณะกระบวนการสันดาป
นอกจากนี้ มองไปลึกกว่านั้น แคต คือแผ่นธาตุที่ช่วยเปลี่ยน CO เป็น CO2 ที่ปลายทาง ไม่ได้ไปปรับปรุงที่กระบวนการสันดาปต้นทาง
แผ่นธาตุ มีเสื่อมอายุ ซึ่งเสื่อมแล้วเสื่อมเลย ประสิทธิภาพของแคตลดลง ช่องว่างก็กว้างขึ้น ถ้าคุณเคยเดินท่อไอเสียใหม่ทั้งหมดหลังจากใช้รถมา 15 ปี
ท่อเก่าผุทั้งหมด คุณเห็นสภาพแคต แล้วจะรู้ว่าทำไมผมพูดแบบนี้ครับ
ตามด้วย NOx ลิมิตของดีเซลเป็นสามเท่าของลิมิตเบนซิน เพราะอุณหภูมิการเผาไหม้ที่สูงของดีเซลทำให้เกิด NOx ได้ง่าย
การแก้ไขของดีเซลคือใส่ EGR ซึ่งเปลี่ยนส่วนผสมไอดีมาจากต้นทาง ลดอุณหภูมิการเผาไหม้
ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่ต้นทาง การเก่า เสื่อม สามารถปรับปรุงได้ ต่างจากกรณีของแคต
ดังนั้น CO NOx ยังไม่ใช่ประเด็นที่ตัดทิ้งได้ครับ และที่สำคัญ เบนซิน ปล่อยไอเสียที่อันตรายกว่าดีเซล และมีแนวโน้มจะปล่อยเพิ่มขึ้นตามอายุด้วย
เขม่า PM เบนซินปกติไม่มีครับ ยกเว้นเบนซินฉีดตรง แบบ Focus 2.0 นะ เพราะเขม่า มันเกิดจากส่วนผสมไม่สม่ำเสมอ
เครื่องที่เป็นฉีดตรงทั้งเบนซินและดีเซล ผสมไม่ทันแน่นอนครับ เขม่าออกมาเหมือนกัน แต่ว่า มันไม่อันตรายมากนัก
มันสะสมก่อให้เกิดมะเร็ง แต่คุณนั่งขับอยู่นะครับ สตาร์ตเครื่อง ยันถึงที่หมาย รับเขม่าไปนิดเดียวเองครับ
ในแง่สิ่งแวดล้อม เขม่าก็ทำให้บุคคลรอบข้างเกิดมะเร็งได้ แต่เทียบกับฝนกรดจาก NOx และก๊าซพิษCOที่ชอบไปแย่งที่ออกซิเจนในเลือด
อะไรแรงกว่าล่ะครับ เรื่องเขม่านี่ผมมองเป็นเรื่องเล็กไปเลย นี่คือสาเหตุที่ผมยังถือหางดีเซลว่าไอเสียสะอาดกว่า ทั้งๆ ที่บ้านผมไม่มีเครื่องดีเซลสักคัน
ประสิทธิภาพของดีเซล มากกว่าเบนซิน เสมอครับ ไม่ว่าจะเทียบในหน่วยใด
งานที่ได้ เทียบความร้อนจากการเผาไหม้ (จูลต่อจูล) ดีเซลก็สูงกว่า เพราะกระบวนการสันดาปที่กำลังอัดสูงกว่า
งานที่ได้ เทียบมวลน้ำมัน (จูลต่อกิโลกรัม) ดีเซลก็สูงกว่า เพราะดีเซล 1 กิโลกรัมเผาไหม้ได้ความร้อนเท่าเบนซิน 1 กิโลกรัม
งานที่ได้ เทียบปริมาตรน้ำมัน (จูลต่อลิตร) ดีเซลก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก เพราะดีเซลมีความหนาแน่นหนักกว่า หนึ่งลิตรได้มวลมากกว่า จึงหนุนขึ้นไปอีก
ลองเทียบดูก็ได้ครับ ความหนาแน่นเบนซิน 745g/l ดีเซล 832g/l
http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=3463:ford-focus-20-tdci-18-4at-20-5at-320d&catid=64:c-segment-1600-2000-cc&Itemid=76 (http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=3463:ford-focus-20-tdci-18-4at-20-5at-320d&catid=64:c-segment-1600-2000-cc&Itemid=76)
รีวิวฟอร์ด โฟกัส รุ่นเก่า
เบนซิน 1.8 อัตราสิ้นเปลือง 13.66 กิโลเมตรต่อลิตร/0.745=18.34กิโลเมตรต่อกิโลกรัมเบนซิน
เบนซิน 2.0 อัตราสิ้นเปลือง 12.21 กิโลเมตรต่อลิตร/0.745=16.39กิโลเมตรต่อกิโลกรัมเบนซิน
ดีเซล 2.0 อัตราสิ้นเปลือง 17.03 กิโลเมตรต่อลิตร/0.832=20.47กิโลเมตรต่อกิโลกรัมดีเซล
เชฟโรเลต ครูซ เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไม่ว่าจะยี่ห้อใดก็ตาม ประสิทธิภาพเครื่องดีเซลดีกว่าเสมอ ไม่ว่าจะเทียบลิตร กิโลกรัม หรือแม้แต่จูลความร้อนก็ตามครับ
-
เรื่องเขม่านี้พูดยากจริงๆ ครับ แต่อาจารย์ที่สอนผมหลายๆ ท่านก็ยังไม่ตอบเต็มปากเรื่องประเด็นนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องใช้ทุกวัน แต่ก็มีงานวิจัยปรับอันดับขึ้นมา
แต่ยังไง ผมก็เลือก ไม่ใช้ไว้ก่อนครับ ขอเบนซินตัวเล็กๆ ดีกว่า ;)
-
ความชอบส่วนบุคคลผมไม่ขอวิจารณ์นะครับ แต่ละคนมีความจำเป็นต่างๆ กันไป สิ่งที่ผมพูด คือพูดใน
ข้อเท็จจริงผสมความเห็นส่วนตัวลงไป
ความเห็นส่วนตัวก็เช่น เรื่องเขม่า ความร้ายแรงของก๊าซแต่ละตัว แบบนี้เป็นต้น
ข้อเท็จจริงก็คือประสิทธิภาพการเผาไหม้ (ดีเซลสูงกว่าเบนซินทุกกรณี โดยเฉพาะที่รอบเดินเบา) เครื่องอะไรปล่อยก๊าซตัวไหนมาก
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาสาระสำคัญคือ เขม่า เกิดในเครื่องเบนซินได้ ในเบนซินฉีดตรง GDI ซึ่งการเกิดเขม่าแลกมาด้วยด้านดีอื่นๆมหาศาล
จนหลายคนก็พยายามมองหา หรือแสดงความผิดหวังเมื่อรถใหม่ที่เปิดตัวไม่ได้ใช้เครื่อง GDI
เบนซินตัวเล็ก ก็มลพิษน้อยได้ครับ อย่างที่ผมบอก ถึงแม้ประสิทธิภาพต้นทางจะไม่ได้ถูกปรับปรุง แต่ประหยัดได้ด้วยขนาดที่พอเพียงครับ :)
-
ความชอบส่วนบุคคลผมไม่ขอวิจารณ์นะครับ แต่ละคนมีความจำเป็นต่างๆ กันไป สิ่งที่ผมพูด คือพูดใน
ข้อเท็จจริงผสมความเห็นส่วนตัวลงไป
ความเห็นส่วนตัวก็เช่น เรื่องเขม่า ความร้ายแรงของก๊าซแต่ละตัว แบบนี้เป็นต้น
ข้อเท็จจริงก็คือประสิทธิภาพการเผาไหม้ (ดีเซลสูงกว่าเบนซินทุกกรณี โดยเฉพาะที่รอบเดินเบา) เครื่องอะไรปล่อยก๊าซตัวไหนมาก
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาสาระสำคัญคือ เขม่า เกิดในเครื่องเบนซินได้ ในเบนซินฉีดตรง GDI ซึ่งการเกิดเขม่าแลกมาด้วยด้านดีอื่นๆมหาศาล
จนหลายคนก็พยายามมองหา หรือแสดงความผิดหวังเมื่อรถใหม่ที่เปิดตัวไม่ได้ใช้เครื่อง GDI
เบนซินตัวเล็ก ก็มลพิษน้อยได้ครับ อย่างที่ผมบอก ถึงแม้ประสิทธิภาพต้นทางจะไม่ได้ถูกปรับปรุง แต่ประหยัดได้ด้วยขนาดที่พอเพียงครับ :)
ขอบคุณครับ สรุป ง่ายๆ คือ GDI มันก็ทำให้เกิด เขม่า ได้ใช้ไหมครับ
แต่อันนี้คงต้องรอ เพราะตอนนี้ เครื่อง GDI ยังน้อยมากในท้องตลาดครับ
จนยังไม่มีอันดับเรื่อง สารก่อมะเร็งเลย
-
จักรยานครับ
ไม่ใช่เพราะรักโลกอะไรหรอก.......... ไม่มีตังตะหาก
T_T
-
ในแง่สิ่งแวดล้อม --->> คิด แบบ Mass Transport ตามขนาดรถบนถนน -->> ที่ส่งผลต่อคน
ขอเน้นที่ฝุ่นละออง (PM)+ควันดำ นะครับ
ในอดีต...
---->> รถเครื่องยนต์ดีเซล ปล่อยมลพิษสูง กว่าเบนซิน ครับ
...เพราะ "ขนาดเครื่องยนต์"
- รถดีเซล มีทั้ง รถเมล์ดีเซล รถบรรทุกดีเซล รถตู้ดีเซล รถเก๋งดีเซล (มีหลาย Segment + จำนวนมากกว่า รถเบนซิน)
- ขนาดความจุกระบอกสูบ ประมาณ 2500-12000 cc.
- ตรวจวัดไอเสีย ด้วยวิธีมาตรฐาน คือ วัดไอเสียที่ปลายท่อ โดยห้องปฏิบัติการ + จำลองการขับขี่จริง
*ตอนน้ำมันดีเซล ราคาถูก
การควบคุมไอเสียไม่ค่อยดี เพราะรถมันเก่า ครับ -->> ปล่อยไอเสียสูง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*ในปัจจุบัน น้ำมันดีเซลราคาแพง -->> รถดีเซล เปลี่ยนมาใช้ Bi-fuel คือ ก๊าซ NGV เพื่อลดต้นทุน
พบว่า ไอเสียสะอาดขึ้น เพราะเผาก๊าซ NGV (แทนน้ำมัน) -->> ฝุ่นน้อยลง (อย่างมีนัยสำคัญ)
แต่....บ้านเรา ก็ยังคงใช้รถเมล์เก่า เครื่องยนต์เดิม บิ้วหลายรอบ (คงเป็นเครื่องยนต์ ไม่เกินมาตรฐาน ยูโร-3)
...รถเมล์ไทยเรา จะเน้นสะอาดต้องเครื่องยนต์ ยูโร-4 ขึ้นไป สำหรับน้ำมันดีเซล (หรือ ใช้ระบบ Gas NGV เป็นอย่างน้อย) ครับ
" แก๊ส NGV นี่พระเอกเลยครับ ทำให้รถขนาดใหญ่ๆ (ที่ไม่ใช่รถบ้าน) ปล่อยมลพิษตัวที่อันตราย เช่น ฝุ่น PM ลดน้อยลง"
-
อยู่ที่ความชอบส่วนบุคคล และกำลังเงินที่มีมากกว่า ส่วนตัวไม่ได้เรียนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่ก็รักโลกนะ ใช้พลังงานเท่าที่จำเป็น อย่างไปทำงานก็นั่งบีทีเอส วันหยุดถึงจะขับรถ แต่ถ้าไปแค่ห้างแถวบ้านก็นั่งรถกระป๋อง สบายไม่ต้องหาที่จอด
-
ความแตกต่างของ CO NOx ระหว่างเบนซินและดีเซลยังเยอะอยู่ครับ ยังตัดไม่ได้ ดูได้จากมาตรฐานไอเสียยูโร 4-5
http://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards (http://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standards)
เริ่มจาก CO ด้วยเกณฑ์ปัจจุบัน EUTO5 กำหนดลิมิตในเบนซินไว้สองเท่าของลิมิตดีเซล ถ้าประเด็นเรื่อง CO ถูกแคตกรองสามารถตัดได้
คงไม่กำหนดลิมิตไว้ต่างกันเช่นนี้ พูดง่ายๆ ผมคิดว่าถึงแม้เบนซินมีแคต ก็ยังปล่อย CO สูงเป็นสองเท่าของดีเซลหรือมากกว่าครับ
เพราะอย่างแรกคือดีเซลมี CO น้อยมาจากกระบวนการสันดาปที่ต้นทาง และแคต ไม่สามารถกรอง CO ได้ในกรณีการทำงานแบบดีเซล
แคตของดีเซลจึงไม่ได้กรอง CO แต่ดีเซลยังปล่อย CO น้อยกว่า เพราะลักษณะกระบวนการสันดาป
นอกจากนี้ มองไปลึกกว่านั้น แคต คือแผ่นธาตุที่ช่วยเปลี่ยน CO เป็น CO2 ที่ปลายทาง ไม่ได้ไปปรับปรุงที่กระบวนการสันดาปต้นทาง
แผ่นธาตุ มีเสื่อมอายุ ซึ่งเสื่อมแล้วเสื่อมเลย ประสิทธิภาพของแคตลดลง ช่องว่างก็กว้างขึ้น ถ้าคุณเคยเดินท่อไอเสียใหม่ทั้งหมดหลังจากใช้รถมา 15 ปี
ท่อเก่าผุทั้งหมด คุณเห็นสภาพแคต แล้วจะรู้ว่าทำไมผมพูดแบบนี้ครับ
ตามด้วย NOx ลิมิตของดีเซลเป็นสามเท่าของลิมิตเบนซิน เพราะอุณหภูมิการเผาไหม้ที่สูงของดีเซลทำให้เกิด NOx ได้ง่าย
การแก้ไขของดีเซลคือใส่ EGR ซึ่งเปลี่ยนส่วนผสมไอดีมาจากต้นทาง ลดอุณหภูมิการเผาไหม้
ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่ต้นทาง การเก่า เสื่อม สามารถปรับปรุงได้ ต่างจากกรณีของแคต
ดังนั้น CO NOx ยังไม่ใช่ประเด็นที่ตัดทิ้งได้ครับ และที่สำคัญ เบนซิน ปล่อยไอเสียที่อันตรายกว่าดีเซล และมีแนวโน้มจะปล่อยเพิ่มขึ้นตามอายุด้วย
เขม่า PM เบนซินปกติไม่มีครับ ยกเว้นเบนซินฉีดตรง แบบ Focus 2.0 นะ เพราะเขม่า มันเกิดจากส่วนผสมไม่สม่ำเสมอ
เครื่องที่เป็นฉีดตรงทั้งเบนซินและดีเซล ผสมไม่ทันแน่นอนครับ เขม่าออกมาเหมือนกัน แต่ว่า มันไม่อันตรายมากนัก
มันสะสมก่อให้เกิดมะเร็ง แต่คุณนั่งขับอยู่นะครับ สตาร์ตเครื่อง ยันถึงที่หมาย รับเขม่าไปนิดเดียวเองครับ
ในแง่สิ่งแวดล้อม เขม่าก็ทำให้บุคคลรอบข้างเกิดมะเร็งได้ แต่เทียบกับฝนกรดจาก NOx และก๊าซพิษCOที่ชอบไปแย่งที่ออกซิเจนในเลือด
อะไรแรงกว่าล่ะครับ เรื่องเขม่านี่ผมมองเป็นเรื่องเล็กไปเลย นี่คือสาเหตุที่ผมยังถือหางดีเซลว่าไอเสียสะอาดกว่า ทั้งๆ ที่บ้านผมไม่มีเครื่องดีเซลสักคัน
ประสิทธิภาพของดีเซล มากกว่าเบนซิน เสมอครับ ไม่ว่าจะเทียบในหน่วยใด
งานที่ได้ เทียบความร้อนจากการเผาไหม้ (จูลต่อจูล) ดีเซลก็สูงกว่า เพราะกระบวนการสันดาปที่กำลังอัดสูงกว่า
งานที่ได้ เทียบมวลน้ำมัน (จูลต่อกิโลกรัม) ดีเซลก็สูงกว่า เพราะดีเซล 1 กิโลกรัมเผาไหม้ได้ความร้อนเท่าเบนซิน 1 กิโลกรัม
งานที่ได้ เทียบปริมาตรน้ำมัน (จูลต่อลิตร) ดีเซลก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก เพราะดีเซลมีความหนาแน่นหนักกว่า หนึ่งลิตรได้มวลมากกว่า จึงหนุนขึ้นไปอีก
ลองเทียบดูก็ได้ครับ ความหนาแน่นเบนซิน 745g/l ดีเซล 832g/l
http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=3463:ford-focus-20-tdci-18-4at-20-5at-320d&catid=64:c-segment-1600-2000-cc&Itemid=76 (http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=3463:ford-focus-20-tdci-18-4at-20-5at-320d&catid=64:c-segment-1600-2000-cc&Itemid=76)
รีวิวฟอร์ด โฟกัส รุ่นเก่า
เบนซิน 1.8 อัตราสิ้นเปลือง 13.66 กิโลเมตรต่อลิตร/0.745=18.34กิโลเมตรต่อกิโลกรัมเบนซิน
เบนซิน 2.0 อัตราสิ้นเปลือง 12.21 กิโลเมตรต่อลิตร/0.745=16.39กิโลเมตรต่อกิโลกรัมเบนซิน
ดีเซล 2.0 อัตราสิ้นเปลือง 17.03 กิโลเมตรต่อลิตร/0.832=20.47กิโลเมตรต่อกิโลกรัมดีเซล
เชฟโรเลต ครูซ เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไม่ว่าจะยี่ห้อใดก็ตาม ประสิทธิภาพเครื่องดีเซลดีกว่าเสมอ ไม่ว่าจะเทียบลิตร กิโลกรัม หรือแม้แต่จูลความร้อนก็ตามครับ
เอาทีละประเด็นนะครับ ผมขอเป็นคำถามแล้วกัน จากที่คุณ Ji.Cl. บอกเลย ว่า ดีเซลให้ NOx มากกว่าสามเท่า
- แล้ว CO อันตรายกว่า NOx อย่างไรเหรอครับ? ยิ่งถ้านึกถึงโลกร้อน ตาม GWP CO แทบไม่เป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำ
- สารพิษที่บอกว่าเบนซินปล่อยมากกว่าคือตัวไหนเหรอครับ? สารก่อมะเร็งในเบนซินคืออะโรมาติก แต่หลังๆ อะโรมาติกในเบนซินต่ำมากๆ ยิ่งหลังจากมี เอทานอลแล้ว ยิ่งต่ำเข้าไปใหญ่
ส่วนเขม่า ผมมองว่า จะมาคิดว่าอยู่ในรถ รับไปนิดเดียวไม่ได้ครับ เพราะมลพิษ มันหมายถึงอากาศโดยรวม ไม่ใช่อากาศในรถ
ในเมื่อคุณ Ji.Cl. บอกเองว่า NOx อันตราย แต่เครื่องดีเซลสุดเทพยังไง ก็ยังปล่อย NOx มากกว่า แล้วอย่างนี้ดีเซลปลอดภัยกว่าอย่างไรเหรอครับ?
อย่าลืมว่า ที่เขาบอกว่า เขม่าดีเซลเป็นปัญหา เพราะมันสะสมอยู่ในบรรยากาศบริเวณที่เราอยู่อาศัย ไม่ได้กระจายขึ้นไปสุดฟากฟ้าเหมือน NOx CO
- ดีเซลประสิทธิภาพดีกว่า อันนี้เรื่องธรรมดาครับ แต่ไม่ใช่เพราะกำลังอัด Thermal Efficiency ขึ้นกับ อุณหภูมิ ไม่ใช่ความดันครับ
- ส่วนหน่วย จูลต่อจูล คือหน่วยอะไรเหรอครับ ไม่เคยได้ยิน อ้างอิงจากอะไร? เคยเห็นแต่ เทียบต่อมวล ต่อโมล ต่อปริมาตร
โดยสรุป
- ผมไม่ได้เห็นต่างเรื่องดีเซลประหยัดกว่าเบนซิน แต่ในทางน้ำหนักแล้ว มันไม่ได้ต่างกันมากอะไร ถ้า Convert มาเป็น CO2 ต่อ กิโล
- ผมยังหาไม่เจอว่า สรุปสารพิษอะไรในเบนซิน ที่คุณบอกว่ามันร้ายแรงกว่าในดีเซลครับ ขอให้ช่วยบอกให้ชัดเจน จะได้ Discuss กันได้ตรงประเด็นครับ
- ค่า NOx ที่กำหนดไว้นั้น มันรวมการมี EGR แล้วครับ
และที่สำคัญ เรื่องประเด็นที่ว่า ดีเซล ถูกมองว่าก่อปัญหามากกว่า มันเป็น "ข้อเท็จจริง" ไม่ใช่ "ความเห็น" ครับ ต้องแยกให้ถูก เพราะ
1. สัดส่วนความต้องการของดีเซล ต่อ เบนซิน ทั่วโลกสูงขึ้น (ยกเว้นอินเดีย ซึ่งเป็นที่เดียวในโลก ที่ความต้องการเบนซิน เพิ่มมากกว่าดีเซล)
2. เขม่าไม่สามารถ Convert ต่อได้
3. NOx ทำปฎิกิริยากับไฮโดรคาร์บอนอื่นๆ และแสงแดด ทำให้เกิด urban smog ขึ้น ซึ่งมันเห็นได้ชัด และทั้งหมดนี้มาจากดีเซล
CO ไม่เคยเป็นปัญหาอะไรกับทั้งผู้ผลิตน้ำมันและผู้ผลิตเครื่องยนต์ะครับ
ค่า Emission ที่ถูกพูดถึงหลักๆคือ CO2 NOx และ PM ซึ่งทั้งหมดนี้ ดีเซลมันเยอะกว่า ค่าอื่นๆมันถือว่าเล็กน้อย และแทบไม่มีผลอะไร เพราะถ้ามันจะลดลงได้เอง ถ้าสามตัวแรกลดลงได้
- ถ้าเป็นเครื่องยนต์ มันทำให้อยู่ในสเปคไม่ยาก ไม่ต้องลงทุนมาก
- ถ้าเป็นน้ำมัน พูดถึงแค่ Sulfur content (เพราะทำยากที่สุด ต้นทุนสูงที่สุด)
-
ไม่ได้จบหรือทำงานด้านนี้เลยนะคับ แต่ถ้าไปไหนมาไหนใกล้ๆจักยานดีคับ แต่ถ้นต้องขับรถผมเลือก prius คับ อาจจะแพงหน่อย แต่ได้ประหยัด เงียบ รักโลกก็โอเคนะคับ
-
ต้องขออภัยคุณ 6162002ที่มาช้า เพิ่งย้อนกลับมาดูแล้วเพิ่งเห็นว่ามี ต้องขอดีเบตกันต่อนะครับ
เอาทีละประเด็นนะครับ ผมขอเป็นคำถามแล้วกัน จากที่คุณ Ji.Cl. บอกเลย ว่า ดีเซลให้ NOx มากกว่าสามเท่า
- แล้ว CO อันตรายกว่า NOx อย่างไรเหรอครับ? ยิ่งถ้านึกถึงโลกร้อน ตาม GWP CO แทบไม่เป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำ
- สารพิษที่บอกว่าเบนซินปล่อยมากกว่าคือตัวไหนเหรอครับ? สารก่อมะเร็งในเบนซินคืออะโรมาติก แต่หลังๆ อะโรมาติกในเบนซินต่ำมากๆ ยิ่งหลังจากมี เอทานอลแล้ว ยิ่งต่ำเข้าไปใหญ่
มาเทียบความแตกต่างกันต่อนะครับ CO และ NOx มีอันตรายทั้งคู่
NOx ทำให้เกิดฝนกรด แต่ฆ่าสิ่งมีชีวิตยาก และสลายตัวเมื่อกลายเป็นฝนกรดหรือ SMOG
แต่ CO ไม่เกิดฝนกรด ไม่สะสมตัวในร่างกาย แต่ฆ่าสิ่งมีชีวิตอย่างง่ายดาย และสะสมในชั้นบรรยากาศ เกือบไม่สลายตัว
ตรงจุดนี้ผมกลับมองว่า NOx อันตรายจากการดื่มสารพิษ และการสัมผัสสารกัดกร่อน แต่ CO อันตรายจากการหายใจ และเสียชีวิตได้
ผมมองว่าโอกาสที่สิ่งมีชีวิตจะรับอันตรายจาก CO มากกว่าจาก NOx มาก จึงพูดไปว่า "ผมคิดว่ามันอันตรายกว่า"
ดีเซลปล่อย NOx มากกว่า (แม้จะมี EGR) แต่เบนซินปล่อย CO มากกว่า (แม้มี CAT) ณ มุมมองนี้ผมจึงมองไอเสียเบนซินอันตรายกว่า
ส่วนเขม่า ผมมองว่า จะมาคิดว่าอยู่ในรถ รับไปนิดเดียวไม่ได้ครับ เพราะมลพิษ มันหมายถึงอากาศโดยรวม ไม่ใช่อากาศในรถ
ในเมื่อคุณ Ji.Cl. บอกเองว่า NOx อันตราย แต่เครื่องดีเซลสุดเทพยังไง ก็ยังปล่อย NOx มากกว่า แล้วอย่างนี้ดีเซลปลอดภัยกว่าอย่างไรเหรอครับ?
อย่าลืมว่า ที่เขาบอกว่า เขม่าดีเซลเป็นปัญหา เพราะมันสะสมอยู่ในบรรยากาศบริเวณที่เราอยู่อาศัย ไม่ได้กระจายขึ้นไปสุดฟากฟ้าเหมือน NOx CO
เขม่าดีเซล เป็นตัวดีที่สะสมในร่างกายให้เกิดมะเร็ง อันนี้ชัดเจนว่าเป็นข้อด้อยของดีเซล
กระบวนการลดค่า NOx ของดีเซล คือ EGR มันเป็นการออกแบบระบบไอดีที่ต้นทาง มีความคงทนถาวร
กระบวนการลดค่า CO ขงองเบนซินคือ CAT ซึ่งเป็นแผ่นธาตุเร่งปฏิกิริยาเคมีที่ปลายทาง มีการเสื่อมอายุ
ผมกำลังคิดว่า ถ้าคุณซื้อครูซเบนซิน กับครูซดีเซลมาพร้อมกัน
ในวันนี้ ครูซดีเซล ปล่อยน็อกซ์ 3 เท่า ครูซเบนซิน ปล่อยซีโอ 2 เท่า
10 ปีผ่านไป ครูซดีเซล ก็ยังปล่อยน็อกซ์ 3 เท่า แต่ครูซเบนซิน อาจจะปล่อยซีโอ 4-5 เท่า จนกว่าจะซื้อแคตใหม่มาลง
ซึ่งเจ้าของส่วนใหญ่ไม่
ดังนั้นในระยะยาว ดีเซลจะปล่อยไอเสียคงที่ ต่างจากเบนซินที่จะเพิ่มปล่อยซีโอเพิ่มขึ้น ซึ๋งตัวซีโอ ผมมองว่าตันตรายกว่าดังย่อหน้าบน
- ดีเซลประสิทธิภาพดีกว่า อันนี้เรื่องธรรมดาครับ แต่ไม่ใช่เพราะกำลังอัด Thermal Efficiency ขึ้นกับ อุณหภูมิ ไม่ใช่ความดันครับ
- ส่วนหน่วย จูลต่อจูล คือหน่วยอะไรเหรอครับ ไม่เคยได้ยิน อ้างอิงจากอะไร? เคยเห็นแต่ เทียบต่อมวล ต่อโมล ต่อปริมาตร
สูตรการคำนวณ Thermal Efficiency ขึ้นกับความดันนะครับ แต่สูตรที่เป็นเกี่ยวกับอุณหภูทิเป็นการสมมติว่าเป็นอุดมคติ
หน่วยจูลต่อจูล จริงๆ ก็คือ Thermal Eff คือ พลังงานขับเคลื่อนที่ได้ต่อพลังงานความร้อนจากการเผาไหม้ครับ
คือเผาไหม้น้ำมันได้ความร้อน 100J ถ้าเป็นเครื่องเบนซิน จะมีการเสียไปสิ่งต่างๆ มากกว่า เหลือพลังงานขับล้อ 30J แต่ดีเซลจะเหลือ 35J ประมาณนี้ครับ
วัดประสิทธิภาพดีเซลสูงกว่ามาตั้งแต่ขั้นนี้แล้ว (จูลต่อจูล)
ทีนี้ถ้าเทียบกัน การเผาเบนซินกับดีเซล 1kg. ให้ความร้อนเท่ากัน เพราะฉะนั้น ดีเซลก็ยังมีประสิทธิภาพ (จูลต่อกิโลกรัมเชื้อเพลิง) มากกว่า
ดีเซล 1 ลิตร มีมวลมากกว่าเบนซิน 1 ลิตร ก็ยิ่งดันถ่างส่วนต่างของประสิทธิภาพเมื่อมองในหน่วย จูลต่อลิตรเชื้อเพลิง
การวิ่งรถหนึ่งกิโลเมตร ใช้พลังงานจูลเท่ากัน (ถ้ามวลเท่ากัน และขับไปพร้อมกัน) เพราะฉะนั้น กิโลเมตรต่อลิตร ของดีเซลจึงมากกว่าจากการดันถ่างสองต่อครับ
- ผมไม่ได้เห็นต่างเรื่องดีเซลประหยัดกว่าเบนซิน แต่ในทางน้ำหนักแล้ว มันไม่ได้ต่างกันมากอะไร ถ้า Convert มาเป็น CO2 ต่อ กิโล
- ผมยังหาไม่เจอว่า สรุปสารพิษอะไรในเบนซิน ที่คุณบอกว่ามันร้ายแรงกว่าในดีเซลครับ ขอให้ช่วยบอกให้ชัดเจน จะได้ Discuss กันได้ตรงประเด็นครับ
- ค่า NOx ที่กำหนดไว้นั้น มันรวมการมี EGR แล้วครับ
ไม่ว่าจะเทียบประสิทธิภาพในหน่วยใด ถ้ารถรุ่นเดียวกัน หนักเท่ากัน ดีเซลประหยัดกว่าเบนซินอย่างมีนัยสำคัญเสมอ
เพียงแต่การขายเป็นลิตรและราคาน้ำมันที่เป็นอยู่ทำให้ส่วนต่างความประหยัดดูสูงขึ้นไปอีก
ข้อสอง ตอบไปแล้วในย่อหน้าแรก
ข้อสาม ค่า CO ของเบนซิน ก็รวมการมีแคตไว้เช่นกัน แต่หลังผ่านการใช้งานไป คงจะไม่ได้ตามมาตรฐานนั้น
และที่สำคัญ เรื่องประเด็นที่ว่า ดีเซล ถูกมองว่าก่อปัญหามากกว่า มันเป็น "ข้อเท็จจริง" ไม่ใช่ "ความเห็น" ครับ ต้องแยกให้ถูก เพราะ
1. สัดส่วนความต้องการของดีเซล ต่อ เบนซิน ทั่วโลกสูงขึ้น (ยกเว้นอินเดีย ซึ่งเป็นที่เดียวในโลก ที่ความต้องการเบนซิน เพิ่มมากกว่าดีเซล)
2. เขม่าไม่สามารถ Convert ต่อได้
3. NOx ทำปฎิกิริยากับไฮโดรคาร์บอนอื่นๆ และแสงแดด ทำให้เกิด urban smog ขึ้น ซึ่งมันเห็นได้ชัด และทั้งหมดนี้มาจากดีเซล
ข้อแรก เป็นเรื่องของการบริหารจัดการ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผมก็ยอมรับว่าดีเซลก่อปัญหาในการบริหารมากกว่าเบนซิน
ข้อสอง คาร์บอนมอนออกไซด์จากเบนซินก็ยากที่จะแปรสภาพนะครับ ดูอย่างแคตครับ ต้องใช้ทั้งอุณหภูมิสูงและแผ่นธาตุกระตุ้น
ยังแปรสภาพเป็น CO2 ไม่หมด เหลือออกมาบาน แล้วเมื่อออกมาแล้วจะแปลงต่อยังไง ข้อเสียนี้เกิดทั้งดีเซลและเบนซิน ยกเป็นข้อได้เปรียบไม่ควรครับ
ข้อสาม เมื่อ NOx ทำให้เกิดสม็อกแล้วก็สลายตัวไปเป็นสม็อก แต่ CO จะสลายตัวได้เมื่อจับกับฮีโมโกลบินในเลือดเท่านั้น
ในสองสถานการณ์นี้ผมมองว่า CO อันตรายกว่า เพราะการสลายตัวของมันก่ออันตรายต่อสิ่งมีชีวิตโดยตรง
CO ไม่เคยเป็นปัญหาอะไรกับทั้งผู้ผลิตน้ำมันและผู้ผลิตเครื่องยนต์ะครับ
ค่า Emission ที่ถูกพูดถึงหลักๆคือ CO2 NOx และ PM ซึ่งทั้งหมดนี้ ดีเซลมันเยอะกว่า ค่าอื่นๆมันถือว่าเล็กน้อย และแทบไม่มีผลอะไร เพราะถ้ามันจะลดลงได้เอง ถ้าสามตัวแรกลดลงได้
- ถ้าเป็นเครื่องยนต์ มันทำให้อยู่ในสเปคไม่ยาก ไม่ต้องลงทุนมาก
- ถ้าเป็นน้ำมัน พูดถึงแค่ Sulfur content (เพราะทำยากที่สุด ต้นทุนสูงที่สุด)
เทียบรถกระบะกับอีโคคาร์หรือเปล่าครับ ถึงได้ค่า CO2 สูงกว่า รถกระบะเครื่องใหญ่ๆ หรือพวก PPV ปล่อยค่า CO2 ประมาณรถ DSeg
ในขณะที่เก๋งดีเซลบางรุ่น ปล่อย CO2 น้อยกว่าอีโคคาร์ ที่เขาว่ารักษ์โลกหนักหนาด้วยซ้ำนะครับ
อย่างไรก็ตาม การที่เบนซินมี CO2 สูงกว่าก็ไม่ส่งผลมากนักครับ ไม่ใช่ก๊าซอันตราย
เช่นเดียวกับ NOx และ PM ซึ่งไม่ก่ออันตรายมากเท่าที่ CO ก่อ
ส่วนวลีที่ว่า มลพิษตัวอื่นจะลดลงถ้าสามตัวแรกลดลงได้ อันนี้ผมมองเป็นการพัฒนาแยกสายของแต่ละเครื่องยนต์นะครับ
ดีเซลรุ่นใหม่ พัฒนาจนสามตัวแรกน้อยลง ค่ามลพิษตัวอื่นก็ลดลงต่ำกว่าดีเซลรุ่นเก่า
เบนซินรุ่นใหม่ สามตัวแรกลดลง ตัวอื่นก็ลงต่ำกว่าเบนซินรุ่นเก่า
แต่ยกมาเทียบข้ามค่ายคงยากครับ เพราะอย่างที่บอกไปว่ายังไงๆ ดีเซลก็ปล่อย NOx มากกว่า และเบนซินปล่อย CO มากกว่าอยู่ดีครับ
ส่วนเรื่องมลพิษซัลเฟอร์ อันนี้เป็นข้อได้เปรียบของเบนซินโดยตรง เพราะซัลเฟอร์เป็นพิษ และดีเซลปล่อยมากกว่า แต่เป็นเพราะน้ำมันและน้ำมันเครื่อง
ซึ่งปัจจุบันก็มีการคุมระดับซัลเฟอร์ในดีเซลจนไม่ต่างจากเบนซินครับ