Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: nong1300 ที่ เมษายน 16, 2013, 10:27:39
-
ผมสงสัยกับเครื่องยนต์ 2000 cc.มี turbo แรงม้ามากกว่า เครื่องยนต์ 3000 cc.ไม่มี turbo ในรถขนาดเดียวกัน
โดยภาพรวมแล้ว คันไหนประหยัดน้ำมันกว่ากัน อัตราเร่ง ความเร็วปลาย ต่างกันไม๊
-
ขอ 2000 เทอโบคับ ต่อยอดใช้งบไม่เยอะ ขับในเมืองประหยัดกว่า
อัตราเร่งดีกว่า เทียบโดยทั่วๆไปนะ Accord V6 กับ Scirocco
-
เป็นผมเลือก2000CC. Turbo เท่านั้นครับ แน่นอนว่าประหยัดกว่าถ้าวิ่งในเมือง แค่จูนกล่องหรือใส่กล่องเพิ่มก็เพิ่มม้าเพิ่มแรงบิดได้สบายๆ ครับ ;D
-
2.0 ผูกโบจากโรงงาน
-
2.0 turbo ดีกว่า ทั้งอัตราเร่ง และ ความประหยัด อาจจะแพ้ที่ตีนปลาย กับ ความนิ่ง เท่านั้น
-
2000 turbo
-
2000 cc. turbo ส่วนใหญ่จะ4สูบ น้อยมากที่จะเป็น6สูบ ถ้าขับแบบกระชาก เหยียบปล่อยเหยียบปล่อย เทอโบทำงานหนักก็จะกินน้ำมันมากกว่าเครื่อง3000cc. แต่ถ้าขับธรรมดากินน้ำมันน้อยกว่า ไว้ขับในเมืองกำลังดี รถหน้าเบาคล่องแคล่ว
3000cc. ส่วนใหญ่จะ6สูบ เครื่องเดินเรียบกว่าเครื่อง4สูบ กินน้ำมันกว่า เวลาเหยียบไม่ค่อยกระชากเหมือนเครื่องเทอโบ ขับทางไกลสบายกว่า ไว้ใช้ขับทางตรงยาวๆ ขับนานๆเครื่องไม่เหนื่อยไม่ค่อยกินแรงเครื่อง แต่รถหน้าจะหนักเข้าโค้งไม่ดีเท่า2000cc.
สรุป 2000cc. turboอัตราเร่งในช่วงแรกจะดีกว่ามาไวมีเทอโบช่วย แต่ถ้าช่วงปลาย3000cc.ดีกว่า 2000cc.กินน้ำมันน้อยกว่า ยกเว้นพวกเท้าหนักชอบเร่งปู๊ด ป๊าดก็จะกินกว่า
เปรียบเหมือนคนตัวเล็กทำงานคล่องแคล่วแต่ยกของหนักๆไม่ไหว แต่คนตัวใหญ่ไม่คล่องแคล่วแต่ขนของหนักได้สบายๆ
เป็นผมเลือก3000cc. ชอบเครื่องN/Aมากกว่า ไม่ชอบเครื่องเทอโบตรงมันกระชาก ขับไม่สนุก และมีความรู้สึกเหมือนมันทำงานหนักกว่าเพราะต้องรอรอบสูงเพื่อให้เทอโบทำงาน
-
2,000 + Turbo ครับ
แรงดี ประหยัด
-
ดูแรงม้าที่ทำได้ ครับ
ถ้าม้าเท่ากัน ดูการกินน้ำมันครับ
ถ้าให้เลือก เอา หกสูบเรียง 3000 cc ครับ ขับ 330 ci เสียงเพราะมาก
-
ต้องลองขับอ่ะครับ ;D
-
ต้องดูม้า ดูแรงบิด ดูน้ำหนัก และที่สำคัญ ดูราคาอีกทีครับ
ถ้าราคาพอกัน ผมเลือก 3พันครับ น่าจะได้หกสูบ และผมไม่ชอบเครื่องเทอร์โบตรงที่ ตอนยังไม่บูสมันเบา แต่ตอนมันบูสแล้วบางทีมันแรงไป บางทีอยู่ในโค้ง กดแรงมากๆ แถเฉยเลย T^T
-
2000 โบ เท่านั้นครับ
-
ต้องดู Spec เครื่องยนต์ อีกทีครับ....
ถ้าผมเทียบแบบนี้จะเป็นไงหว่า.......ที่บ้านมี Hyundai H1 อยู่
ซึ่ง เครื่อง 2.5 CRDI มันมีม้ามากกว่า 170 ตัว แรงบิดมหาศาล กดเป็นพุ่ง เร่งเป็นมา เทห์ หล่อ แต่ เวลาเดินทางใกล้ ถ้าผมขับเอา ผมเลือกที่จะขับ Toyota Hiace ปี 89 มากกว่านะครับ
คันนี้ เครื่อง เปลี่ยนใหม่เป็น 2.8D ฝาเหล็ก (ไม่แน่ในว่าใช่ 2L หรือเปล่า) แรงม้า ที่แปะไว้หน้าเครื่องมีอยู่ 123 ตัว
แรงบอดมี 280 NM ถ้าจำไม่ผิด เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆ ทั้งนั้น แต่......ความต่างมันอยู่ที่ เกิน 120 ไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง
แน่นอนว่า H1 น่ะ มันไหลไปเรื่อยๆ ยาวๆ ถึง 160-180 ก็สบายๆ แต่อาการที่มันไหลคือ ต้องเติมคันเร่งแบบ วีดๆ ให้ Turbo มันทำงานซึ่ง พอปล่อยคันแรงที ก็มีวืดแบบรู้สึกได้......(ไม่ได้เป็นที่เกียร์แน่นอน เพราะ Dmax 3.0 เกียร์ธรรมดาก็เป็นเหมือนกัน) ซึ่ง มันไม่ง่ายเลยที่จะแช่นิ่งๆ นานๆ ได้......แต่ อาการของ Hiace คือ วิ่งไปเรื่อยๆ เกิน120 แล้วมันก็ไหลมาเทมา เกิน140 มันก็ยังไหลมาเทมาอยู่ ช่วงล่างน่ะรับได้ แต่มันเป็นพวงมาลัย.....โบราณไม่มีเบาเวอร์ เลยมีเสี้ยวๆ หน่อย ความเร็วเดินทางที่เหมาะสมคือ 140 ถ้าเกินกว่านั้น ไม่ค่อยดีแล้ว แต่ ที่140 ผมสามารถ กดปล่อย กดปล่อย ได้ แบบ ชิวๆ รถไม่วืด ไม่กระตุก แถม มันมีความรู้สึกที่ไหลลื่นกว่ามาก แบบเห็นได้ชัด......
ถ้าไปไหนมาไหนเกิน 500 กม แล้วไม่ค่อยมีภูเขา (ลงใต้) ผมเลือก Hiace นะ แต่ถ้าขึ้นเหนืออะไรแบบนี้ ผมไป H1 ดีกว่า เหตุผลเดียวเลยคือเรื่องแรงม้าและแรงบิด ครับผม
-
ต้องดู Spec เครื่องยนต์ อีกทีครับ....
ถ้าผมเทียบแบบนี้จะเป็นไงหว่า.......ที่บ้านมี Hyundai H1 อยู่
ซึ่ง เครื่อง 2.5 CRDI มันมีม้ามากกว่า 170 ตัว แรงบิดมหาศาล กดเป็นพุ่ง เร่งเป็นมา เทห์ หล่อ แต่ เวลาเดินทางใกล้ ถ้าผมขับเอา ผมเลือกที่จะขับ Toyota Hiace ปี 89 มากกว่านะครับ
คันนี้ เครื่อง เปลี่ยนใหม่เป็น 2.8D ฝาเหล็ก (ไม่แน่ในว่าใช่ 2L หรือเปล่า) แรงม้า ที่แปะไว้หน้าเครื่องมีอยู่ 123 ตัว
แรงบอดมี 280 NM ถ้าจำไม่ผิด เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆ ทั้งนั้น แต่......ความต่างมันอยู่ที่ เกิน 120 ไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง
แน่นอนว่า H1 น่ะ มันไหลไปเรื่อยๆ ยาวๆ ถึง 160-180 ก็สบายๆ แต่อาการที่มันไหลคือ ต้องเติมคันเร่งแบบ วีดๆ ให้ Turbo มันทำงานซึ่ง พอปล่อยคันแรงที ก็มีวืดแบบรู้สึกได้......(ไม่ได้เป็นที่เกียร์แน่นอน เพราะ Dmax 3.0 เกียร์ธรรมดาก็เป็นเหมือนกัน) ซึ่ง มันไม่ง่ายเลยที่จะแช่นิ่งๆ นานๆ ได้......แต่ อาการของ Hiace คือ วิ่งไปเรื่อยๆ เกิน120 แล้วมันก็ไหลมาเทมา เกิน140 มันก็ยังไหลมาเทมาอยู่ ช่วงล่างน่ะรับได้ แต่มันเป็นพวงมาลัย.....โบราณไม่มีเบาเวอร์ เลยมีเสี้ยวๆ หน่อย ความเร็วเดินทางที่เหมาะสมคือ 140 ถ้าเกินกว่านั้น ไม่ค่อยดีแล้ว แต่ ที่140 ผมสามารถ กดปล่อย กดปล่อย ได้ แบบ ชิวๆ รถไม่วืด ไม่กระตุก แถม มันมีความรู้สึกที่ไหลลื่นกว่ามาก แบบเห็นได้ชัด......
ถ้าไปไหนมาไหนเกิน 500 กม แล้วไม่ค่อยมีภูเขา (ลงใต้) ผมเลือก Hiace นะ แต่ถ้าขึ้นเหนืออะไรแบบนี้ ผมไป H1 ดีกว่า เหตุผลเดียวเลยคือเรื่องแรงม้าและแรงบิด ครับผม
รถตู้ Toyota ถ้าไม่ได้ทำช่วงล่างมา อย่าวิ่ง 140 เลยครับ --"
อันตรายน่ะครับ 120 ก็พอแล้ววว ถ้ารถว่างก็เฉยๆ แต่ถ้ารถเยอะ วิ่งเร็ว ผมเคยนั่ง มันหวาดเสียวเกินนะครับ :-\
**ไม่ได้ต่อว่านะครับ แค่หวังดี สำหรับท่านคนขับ อาจจะมองไม่ออก แต่คนเคยนั่ง หรือขับรถตามหรือโดนแซง มันน่าหวาดเสียวครับ ::)
ลืมตอบเจ้าของกระทู้... เป็นผม ผมเลือก 2.0 Turbo เพราะไม่เคยมีรถ Turbo เลยอยากขับ เคยขอเพื่อนขับ ชอบจุงเบย แต่ก็นะ ดูแลยากกว่า N/A
-
ผมชอบเครีอง3.0ลิตรมากกว่าครับกินกว่าถ้าอยู่ในเมีองถ้าออกนอกเมีองประหยัดกว่าหละครับ
-
2000 turbo ครับ
-
ต้องดู Spec เครื่องยนต์ อีกทีครับ....
ถ้าผมเทียบแบบนี้จะเป็นไงหว่า.......ที่บ้านมี Hyundai H1 อยู่
ซึ่ง เครื่อง 2.5 CRDI มันมีม้ามากกว่า 170 ตัว แรงบิดมหาศาล กดเป็นพุ่ง เร่งเป็นมา เทห์ หล่อ แต่ เวลาเดินทางใกล้ ถ้าผมขับเอา ผมเลือกที่จะขับ Toyota Hiace ปี 89 มากกว่านะครับ
คันนี้ เครื่อง เปลี่ยนใหม่เป็น 2.8D ฝาเหล็ก (ไม่แน่ในว่าใช่ 2L หรือเปล่า) แรงม้า ที่แปะไว้หน้าเครื่องมีอยู่ 123 ตัว
แรงบอดมี 280 NM ถ้าจำไม่ผิด เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆ ทั้งนั้น แต่......ความต่างมันอยู่ที่ เกิน 120 ไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง
แน่นอนว่า H1 น่ะ มันไหลไปเรื่อยๆ ยาวๆ ถึง 160-180 ก็สบายๆ แต่อาการที่มันไหลคือ ต้องเติมคันเร่งแบบ วีดๆ ให้ Turbo มันทำงานซึ่ง พอปล่อยคันแรงที ก็มีวืดแบบรู้สึกได้......(ไม่ได้เป็นที่เกียร์แน่นอน เพราะ Dmax 3.0 เกียร์ธรรมดาก็เป็นเหมือนกัน) ซึ่ง มันไม่ง่ายเลยที่จะแช่นิ่งๆ นานๆ ได้......แต่ อาการของ Hiace คือ วิ่งไปเรื่อยๆ เกิน120 แล้วมันก็ไหลมาเทมา เกิน140 มันก็ยังไหลมาเทมาอยู่ ช่วงล่างน่ะรับได้ แต่มันเป็นพวงมาลัย.....โบราณไม่มีเบาเวอร์ เลยมีเสี้ยวๆ หน่อย ความเร็วเดินทางที่เหมาะสมคือ 140 ถ้าเกินกว่านั้น ไม่ค่อยดีแล้ว แต่ ที่140 ผมสามารถ กดปล่อย กดปล่อย ได้ แบบ ชิวๆ รถไม่วืด ไม่กระตุก แถม มันมีความรู้สึกที่ไหลลื่นกว่ามาก แบบเห็นได้ชัด......
ถ้าไปไหนมาไหนเกิน 500 กม แล้วไม่ค่อยมีภูเขา (ลงใต้) ผมเลือก Hiace นะ แต่ถ้าขึ้นเหนืออะไรแบบนี้ ผมไป H1 ดีกว่า เหตุผลเดียวเลยคือเรื่องแรงม้าและแรงบิด ครับผม
รถตู้ Toyota ถ้าไม่ได้ทำช่วงล่างมา อย่าวิ่ง 140 เลยครับ --"
อันตรายน่ะครับ 120 ก็พอแล้ววว ถ้ารถว่างก็เฉยๆ แต่ถ้ารถเยอะ วิ่งเร็ว ผมเคยนั่ง มันหวาดเสียวเกินนะครับ :-\
**ไม่ได้ต่อว่านะครับ แค่หวังดี สำหรับท่านคนขับ อาจจะมองไม่ออก แต่คนเคยนั่ง หรือขับรถตามหรือโดนแซง มันน่าหวาดเสียวครับ ::)
ลืมตอบเจ้าของกระทู้... เป็นผม ผมเลือก 2.0 Turbo เพราะไม่เคยมีรถ Turbo เลยอยากขับ เคยขอเพื่อนขับ ชอบจุงเบย แต่ก็นะ ดูแลยากกว่า N/A
เหอๆๆ ต้องบอกว่า ช่วงล่าง ด้านหลังทำมาครับผม (ทำอะไรอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะครับ แต่ ลักษณะของล้อมันจะ แบะๆ ออกเหมือนรถตู้ VW เก่าๆ อ่ะครับ เกาะไหม ผมว่ามันเกาะนะ แต่ต้องอาศัยสมาธินิดนึง ตรงที่ พวกมาลัยนี่ล่ะครับ ^^
-
คำถามนี้เหมือนตอนผมตัดสินใจระหว่าง 525d เครื่องเก่า 3000 6สูบ กับเครื่องใหม่ 2000 twinturbo 4สูบ
จากการลองขับทั้ง2แบบ
เครื่อง 3000 เวลายกคันเร่งแรงขับจะหายไปทันที ยิ่งเวลาขับช้ามากๆเช่นในหมู่บ้าน ถ้าไม่เลี้ยงคันเร่งเหมือนรถไม่มีแรง ตีนต้นผมว่ามาช้าขับในเมือง
แล้วรู้สึกแปลกๆบอกไม่ถูก แต่ขับเกิน 100 ขึ้นไปรู้สึกไหลลื่นไปสบายๆ เหมือนเครื่องค่อยๆเดินไปเรื่อยๆเรียกก็มา ไม่ได้มาแบบเร็วทันใจแต่จะมาแบบเรื่อยๆ ประมาณว่ายังเหลืออีกเยอะ ถ้าขับทางยาวๆจะได้อารมณ์แบบหนักแน่น มั่นคง ไหลลื่นมากความรวดเร็วทันใจ
เครื่อง 2000 อาการยกคันเร่งแล้วหายไม่มี ขับในเมืองหรือความเร็วต่ำเรียบลื่นกว่าตัว 3000 เวลาออกตัวดีกว่าซึ่งน่าจะเกิดจากระบบของtwinturbo ขับรถติดมากๆหยุดนิ่งบ่อยได้ไม่ต่ำกว่า 12.9km/l ขับทางไกลยังทำรอบเครื่องได้ต่ำ ณ ความเร็วสูงซึ่งน่าจะเกี่ยวกับเกียร์ด้วย 100-180 มาได้แบบไม่ต้องลุ้นไม่ต้องรอ เคยไปถึง 200+ ได้ไม่ยากเย็นแต่ใจไม่สู้ต่อ แต่ความรู้สึกไม่ได้ราบเรียบ หนักแน่นและเหลือเฟือเหมือนเครื่อง 3000
ถ้าใช้ชีวิตส่วนมาในเมืองเหมือนผม นานทีจะขับทางไกลผมเลือก 2000 turbo ครับ
-
ถ้ามีเทอโบทั้งคู่เลือก 3000 เทอโบครับ
แต่ถ้าตามตัวเลือก 2000 เทอโบครับ
-
บอดี้เหมือนกัน ออปชั่นเท่ากัน ผมเลือกที่อัตราเร่งครับ คันไหน 0-100 ไวกว่าผมเลือกคันนั้น
-
คำถามนี้เหมือนตอนผมตัดสินใจระหว่าง 525d เครื่องเก่า 3000 6สูบ กับเครื่องใหม่ 2000 twinturbo 4สูบ
จากการลองขับทั้ง2แบบ
เครื่อง 3000 เวลายกคันเร่งแรงขับจะหายไปทันที ยิ่งเวลาขับช้ามากๆเช่นในหมู่บ้าน ถ้าไม่เลี้ยงคันเร่งเหมือนรถไม่มีแรง ตีนต้นผมว่ามาช้าขับในเมือง
แล้วรู้สึกแปลกๆบอกไม่ถูก แต่ขับเกิน 100 ขึ้นไปรู้สึกไหลลื่นไปสบายๆ เหมือนเครื่องค่อยๆเดินไปเรื่อยๆเรียกก็มา ไม่ได้มาแบบเร็วทันใจแต่จะมาแบบเรื่อยๆ ประมาณว่ายังเหลืออีกเยอะ ถ้าขับทางยาวๆจะได้อารมณ์แบบหนักแน่น มั่นคง ไหลลื่นมากความรวดเร็วทันใจ
เครื่อง 2000 อาการยกคันเร่งแล้วหายไม่มี ขับในเมืองหรือความเร็วต่ำเรียบลื่นกว่าตัว 3000 เวลาออกตัวดีกว่าซึ่งน่าจะเกิดจากระบบของtwinturbo ขับรถติดมากๆหยุดนิ่งบ่อยได้ไม่ต่ำกว่า 12.9km/l ขับทางไกลยังทำรอบเครื่องได้ต่ำ ณ ความเร็วสูงซึ่งน่าจะเกี่ยวกับเกียร์ด้วย 100-180 มาได้แบบไม่ต้องลุ้นไม่ต้องรอ เคยไปถึง 200+ ได้ไม่ยากเย็นแต่ใจไม่สู้ต่อ แต่ความรู้สึกไม่ได้ราบเรียบ หนักแน่นและเหลือเฟือเหมือนเครื่อง 3000
ถ้าใช้ชีวิตส่วนมาในเมืองเหมือนผม นานทีจะขับทางไกลผมเลือก 2000 turbo ครับ
525d ตัว 6สูบมีเทอร์โบครับ
-
ถ้าเอาไว้แข่งในสนาม เหมือนฝรั่งทำรายการเปรียบเทียบ
ระหว่าง 370Z NA ธรรมดา กับ Audi TTS เครื่องเทอร์โบ คันไหนดีกว่ากัน
เวลาสับเกียร เวลาใช้เครื่องช่วยถ่ายแรงบิดเวลาเข้าโค้ง หรือเหวี่ยงตัวออกจากโค้ง
รถ NA เกียรธรรมดา คุมรอบ คุมอาการได้ดีกว่ามาก ในขณะที่รถเทอร์โบเดาใจยาก ไม่รู้มันจะมาเมื่อไหร่
ถ้าขับในสนาม เล่นกับโค้ง เล่นกันเป็นวินาที ผมขอเครื่อง 3 พัน NA ครับ
หน้าหนักหน่อย แต่น่าจะเล่นได้นาน ขับได้นาน แช่ได้ เล่นรอบได้ ไม่กลัวร้อน
แต่ถ้าชีวิตจริง ให้เลือกขับไปรับสาว ขับไปห้าง ขับไปเที่ยว เดินทางไกล
ผมขอ 2.0 มีโบล่ะกัน ได้ความประหยัดติดปลายนวม รอบต่ำๆ รถติดไม่กินน้ำมัน
เชื่อว่า คงไม่มีใครแช่บู๊สนานๆเวลาเดินทางไกล
2.0 มีโบจากโรงงาน เซตเหนียวๆหน่อย บู๊สแค่พอประมาน น่าจะขับสนุก
-
สรุปรถเทอร์โบแช่ยาวไม่ได้เหรอครับ สมมติว่าขับ TTS แช่ 200 ตั้งแต่ขึ้นมอเตอร์เวย์จนถึงสุดมอเตอร์เวย์
-
สรุปรถเทอร์โบแช่ยาวไม่ได้เหรอครับ สมมติว่าขับ TTS แช่ 200 ตั้งแต่ขึ้นมอเตอร์เวย์จนถึงสุดมอเตอร์เวย์
แช่ได้ครับ ไม่มีปัญหาเพียงแต่ถนนมันไม่อำนวยให้แช่หรอกครับ ถ้ารถเดิมๆระบบเดิมมันไม่มีปัญหาครับ
เวลาที่แช่จริงๆ บูสต์มันก็ตกลงไปแล้วครับ แช่คันเร่งไว้นิ่งๆบูสต์มันไม่ได้พุ่งขึ้นมาครับ ส่วนรถที่วางเครื่อง
แล้วแช่ๆกันไม่ได้เพราะปัญหาเรื่องความร้อนมันระบายไม่พอไม่ทันครับ ของผมก็แช่ครับ แต่ของผมมีโมไปเยอะ
ก็แช่180-200km/hบ่อยๆครับ แช่ยาวๆเลย เคยลากขึ้นไปถึง260km/h ความร้อนน้ำมันเครื่องก็120กว่าๆปกติ
ความร้อนน้ำอยู่ 83-85Cเองครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอบคำถาม ผมเอา2.0 Turbo รถอะไรก็ได้ขอมีเทอร์โบไว้ก่อน ไอ้เครื่องพิกัด1,8-2.5มีเทอร์โบ เก็บพวก
3.0-4.0L V6-V8 NA มาเยอะแล้วครับ ถ้าเอาแค่ปรู้ดปร้าด แต่ถ้าวัดกันยาวๆ พวกเครื่องเล็กมันจะหอบก่อน
ถอนคันเร่งก่อนครับ ในขณะbig block มันเฆี่ยนกัน240km/h รอบ4,000-4,500 พวกเครื่องเล็กนี่ฟาดกันไปค้างอยู่
กันรอบ6,000ไปแล้ว
-
เหมือนรถกระบะวางเครื่อง
คันนึง SR20DET ฝาดำ เกียร์ธรรมดา 210 ม้า
อีกคัน 2JZ-GE ฝาดำ 220 ม้า ไม่โบ
แหมน่าขับทั้งคู่
-
เลือก 2.0 turbo เหมือนกันครับ ขับมันกว่าประหยัดกว่า มลพิษน้อยกว่า
เดี๋ยวนี้ระบบพัฒนาไปไกลมาก โบลูกเล็กเน้นมาไวรอบต้น ไม่ต้องลากรอบให้เปลืองน้ำมัน
-
แหม่ เครื่องใหญ่ไม่โบ เด๋วนี้ตกเทรนด์ไปแล้วจริงๆ
-
ที่เทียบกันได้ใกล้ๆกันน่าจะ E90 330i กับ F30 328i
จากตัวเลขแล้ว 328i แรงบิดเยอะกว่า มาไวกว่า 0-100 ดีกว่า อัตราสิ้นเปลืองดีกว่า มลพิษน้อยกว่า
ลองดูจากลิงค์ข้างล่างครับ
http://www.autoevolution.com/engine/bmw-3-series-f30-2012-328i.html (http://www.autoevolution.com/engine/bmw-3-series-f30-2012-328i.html)
http://www.autoevolution.com/engine/bmw-3-series-e90-2008-330i.html (http://www.autoevolution.com/engine/bmw-3-series-e90-2008-330i.html)
-
พอดีรถที่ขับอยู่ทั้งสองคันนี่มีเครื่องยนต์ใกล้เคียงกับโจทย์นี้มากครับ แล้วเดิมๆก็แรงม้าใกล้เคียงกันมาก อัตราสิ้นเปลืองก็พอๆกัน จึงขอตอบด้วยความเห็นส่วนตัว
ถ้าเดิมๆ ผมขอเครื่อง na สูบเยอะครับเพราะเสียงหวานกว่า ลากรอบแล้วสนุกกว่าเพราะได้ทั้งเสียง ความนุ่มนวล และปลายที่ไหลลื่นกว่า
ส่วนถ้าโมได้ขอเครื่องเทอร์โบครับ เพราะแรงคนละเรื่องเลย (แต่เครื่องโบแต่ละรุ่นทำได้ไม่เท่ากันนะครับ) ส่วนเสียงเครื่องสี่สูบที่ฟังธรรมดา พอมีเสียงเทอรโบดูดอากาศจากกลองเปลือย เสียงโบล์ออฟวาล์ว เสียงเวสท์เกท แล้วก็ทำให้สนุกไปอีกแบบครับ
-
ผมไม่ฟันธงนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในบอดี้ไหน แต่แนวโน้มจะเป็นแบบนี้ครับ
ถ้าทั้งคู่วางอยูในรถที่คันไม่ใหญ่น้ำหนักไม่มาก เครื่อง 2.0 เทอร์โบ ได้เปรียบกว่าเครื่อง 3.0 ธรมมดา
แต่ถ้าเมื่อใดที่เอาไปวางอยู่ในรถคันที่น้ำหนักมากๆ ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ เครื่อง 3.0 จะยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น ..ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ท่านลองนึกดูว่าถ้า ปาเจโร่ สปอร์ต V6 3.0 เบนซิล เปลี่ยนไปใส่เครื่อง 2.0 เทอโบ บอกได้คำเดียวว่า ทั้งกินน้ำมัน ทั้งขับยาก คลา่นในเมืองเมื่อไหร่หาความแรงแบบนิ่มๆ ไม่ได้แน่ๆ
สรุป ผมมองต่างนิดนึงว่า 3.0 ขับในเมืองถึงจะกินน้ำมันมาก แต่มันออกตัวได้นิ่มกว่า สบายกว่า 2.0 เทอร์โบ ซึ่งจะเหนือกว่า 3.0 ตรงความมันส์และอัตราเร่ง เท่านัั้้้น
-
แนะนำอย่าใช้เครื่องใหญ่ในเมืองครับ ของผม 250XV วิ่งในเมือง 6โลลิตรครับ
เครื่องเล็กติดโบดีกว่าครับ
ปล. ถ้าชอบแรง 3000ติดโบครับ สุดยอดแน่นอน อิอิอิ
-
ความคิดเห็นส่วนตัว
ถ้าให้เลือกคงเป็น 2.0 Turbo ครับ เพราะ ปัจจุบันหลายๆเจ้าพัฒนา 2.0 Turbo ให้ทันสมัยและประหยัดขึ้น(รวมถึงขุนม้าเพิ่มง่ายกว่า)
แต่ 3.0NA ไม่ค่อยได้รับการพัฒนา ถ้า 3.0+ ได้รับการพัฒนาทั้งด้านความประหยัดและความแรงจริงๆน่าใช้มาก เช่น แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้นสักอย่างละ 20% แต่กินน้ำมันลดลงสัก 10%+ จาก 3.0 NA+ ทั่วไปจะน่าสนใจมาก
-
เมื่อก่อนเคยคิดอยากได้เครื่องใหญ่เพราะฟังๆดูแล้วเหมือนจะดี แต่พอศึกษาดูดีๆแล้วเครื่องเล็กแบ้วอัดเทคโนโลยีดีกว่า ตอนนี้ก็ใช้แค่เครื่อง2.0
-
ถนนเมืองไทย ไม่ว่าจะในเมืองหรือต่างจังหวัด ผมก็เลือกรถมีโบครับ
เพราะถนนเมืองไทยต่อให้ต่างจังหวัดหายากมากๆครับที่จะกดกันได้ยาวๆ ถ้าไม่ใช่ทางด่วน ส่วนใหญทางธรรมดาต้องเบรคแล้วเร่งบ่อย
เครื่อง CC ใหญ่กว่ารอบจะมา โดนรถมีหอยสวนหายแล้วครับ แล้วเดี๋ยวนี้เครื่อง 2000 Turbo วิ่ง 220-240 ให้เห็นเยอะแยะ 3000CC ถ้าต้องเดี๋ยวเร่งเดี๋ยวเบรค ตามยากมากๆครับ
แล้วส่วนตัวผมว่ารถมีโบขับทางไกลสบายกว่ามากๆครับ เร่งแซงสบายๆไม่ต้องเค้นรอบสูงๆ ยิ่งทางเขารถมีหอยวิ่งสบายกว่ารถ N/A CC ใหญ่มากครับ
-
เอาอันที่ 6 เม็ดครับ ชอบเสียง ;D
ถ้าไม่คำนึงถึงสูบก็ 2.0t ครับ
-
ความรู้เพียบ
-
2.0T สิครับ
-
รถ turbo เดิมๆจากโรงงานขับยังไงก็ไม่พังคาเท้าหรอกครับถ้าไม่ได้ไปแต่งอะไรมากมาย
คนส่วนมากชอบคิดว่ารถ turbo ขับนานไม่ได้เครื่องพังก่อน อันนั้นเกิดจากที่เราไปจูนทำโน่นนี่นั้นให้มันแรงขึ้นซึ่งมันทำได้เยอะกว่ารถ n/a ทำให้ไปง่ายกว่า
ส่วนรถ n/a แต่งยังไงถ้าไม่ยุ่งใส่turboเพิ่ม ยังไงมันก็ไม่พัง
สำหรับผมถ้ารวยมากเติมน้ำมันฟรี อยู่เมืองนอกถนนยาวแบบอเมริกา เอารถccเยอะ กำลังมันมาต่อเนื่องตลอด
แต่ตอนนี้อยู่เมืองไทย น้ำมันแพง รถติด เอา 2.0 turbo ดีกว่า รถติดก็กินเท่าเครื่อง 2000 อยากมันกระทืบก็กินเยอะหน่อย
ผมใช้ TTS ขับชิวๆไม่เกินร้อย ตจว. ได้ 12.6-12.9 ขับตจว. อัดสุดชีวิต ได้ 8.9 -8.5
-
3000 twin power turbo ของ BMW ได้ไหมอ่ะครับอย่าง 335i 535i ;D ;D
-
3000 twin power turbo ของ BMW ได้ไหมอ่ะครับอย่าง 335i 535i ;D ;D
เอา 3 Active Hybrid ดีกว่าครับญาติผมเพิ่งจองมา 4.xxx เค้าไปลองมาบอกว่ามันแรงกว่า 335 แต่ราคาถูกกว่าอีกนะครับ ;D
-
3000 twin power turbo ของ BMW ได้ไหมอ่ะครับอย่าง 335i 535i ;D ;D
เอา 3 Active Hybrid ดีกว่าครับญาติผมเพิ่งจองมา 4.xxx เค้าไปลองมาบอกว่ามันแรงกว่า 335 แต่ราคาถูกกว่าอีกนะครับ ;D
จริงครับ+มอเตอร์ไฟฟ้า จาก 306ม้า กลายเป็น 345ม้า จะแรงไปไหมครับ ;)
-
ถ้าเป็นรถเก๋ง รถสปอร์ต เลือก 2.0 เทอร์โบ เช่น Mitsubishi Lancer Evolution X เครื่อง 2.0 MIVEC Turbo
ถ้าเป็นรถ SUV เลือก 3.0 ไม่มีเทอร์โบค่ะ เช่น Mitsubishi Pajero V6 3.0
ทั้งนี้เพราะ เครื่องเทอร์โบจะเน้นการทำงานที่รอบสูง ส่วนเครื่องที่มีขนาดใหญ่กว่าแต่ไม่มีเทอร์โบจะให้กำลังในการฉุดลากตอนออกตัวได้ดีกว่าเครื่องเทอร์โบ
-
ถ้าเป็นรถเก๋ง รถสปอร์ต เลือก 2.0 เทอร์โบ เช่น Mitsubishi Lancer Evolution X เครื่อง 2.0 MIVEC Turbo
ถ้าเป็นรถ SUV เลือก 3.0 ไม่มีเทอร์โบค่ะ เช่น Mitsubishi Pajero V6 3.0
ทั้งนี้เพราะ เครื่องเทอร์โบจะเน้นการทำงานที่รอบสูง ส่วนเครื่องที่มีขนาดใหญ่กว่าแต่ไม่มีเทอร์โบจะให้กำลังในการฉุดลากตอนออกตัวได้ดีกว่าเครื่องเทอร์โบ
แต่ทศวรรษนี้ อาจจะไม่เป็นงั้นอ่ะครับ เพราะเทอร์โบมาช่วยรอบต่ำแทน แต่เครื่อง NA ทอร์คมาแท้ๆ รอบสูงๆ
อย่างเช่น Bee-Em 2.5 I6 NA นี่ก็มาเต็มตั้งแต่ 2750 rpm ถือว่าใช้ได้สำหรับเครื่องไม่มีระบบอัดอากาศ
-
ใช้ในชีวิตประจำวัน 2.0 Turbo
ใช้ตามอารมณ์ 3.0 NA เสียงหวานๆครับ
-
ตอนผมอยู่เมืองนอกผมใช้ 4000 ซีซี ขับลื่นเสียงหวานมาก แต่ซดเป็นปล้น
บ้านเราผมใช้2000ทวืนเทอร์โบครับ ;D