Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Frontiere ที่ พฤษภาคม 07, 2013, 20:42:25
-
ขอเกริ่นสักนิด .. เห็นในคลับรถต่างๆบางส่วนก็อุดบางส่วนก็ไม่อุด ที่อุดก็บอกว่าอยากให้รถสะอาด แรง ประหยัด ส่วนที่ไม่อุดก็บอกว่ารักษ์โลก วิศวะเขาทำมาดีแล้ว พอเจอแบบนี้ผมก็ลังเลว่าจะเอาไงดีกับรถตัวเองก็เลยพยายามหาข้อมูล คร่าวๆที่รู้คือเจ้าEGRมันคือตัวที่เอาไอเสียกลับมาเผาซ้ำเพื่อลดNOx ดีตรงที่มลพิษลดลงแต่มันทำให้เครื่องไม่สะอาดแถมทำให้แคตตันเร็วอีก แต่ประเด็นที่ผมสงสัยคือเจ้าแคตตาไลติคก็สามารถกรองNOxได้เหมือนกันตามข้อมูลที่ได้มา ผมควรอุดEGRดีไหมเพราะมันก็มีแคตช่วย แต่ที่แน่ๆผมจะไม่ทะลวงแคตอย่างที่เขาทำๆกันแน่นอน
-
อุดแล้วช่วยรถแต่ไม่ช่วยตัวเราเองและคนรอบข้างครับ
-
ไอเสียเหม็นมากครับ ถึงขึ้นปวดหัว
ถ้าอยู่คนเดียวอุดสบายใจ
ถ้าหลายคนไม่ควรอุด .... สงสารคนที่ดม
-
การพยามทำให้ไอเสียของรถเรา สะอาด หมดจด ปราศจากมลพิษ มากที่สุด
เป็นผลดี ทั้งต่อตัวเรา ที่ไอเสีย รถเราอาจ เล็ดลอดเข้ามาในรถเราได้ และ ดี ต่อเพื่อร่วมถนนครับ
-
อย่าอุด เลยครับ ไอเสีย รถดีเซลมันเหม็นมากเลยนะ ขนาดบางคันที่ไม่อุด เช่น Pajero sport นี่ไอเสียเหม็นจน แสบจมูกอะครับ
-
อย่าอุดเลยครับ เพราะ พิษของ NOx มากกว่า เครื่องไม่สะอาด
-
อุดแล้วช่วยรถแต่ไม่ช่วยตัวเราเองและคนรอบข้างครับ
ก็ตาม Anonymous หท่านว่านะครับ
ขยายผลเป็นดังนี้
อุดแล้ว ผลสำหรับเครื่องยนต์
-เครื่องสะอาด
-อัตตราเร่งดี
-ยืดอายุเครื่องได้อีกนาน
-ยืดอายุ นมค
อุดแล้ว ผลสำหรับตัวคุณและคนรอบข้าง
-คุณจะได้รับไอ่เสียที่สกปรกมากขึ้น
ก็อยู่ที่คุณเลือกแล้วหละครับว่าจะเอาแบบใหน
รถพัง ซื้อใหม่ได้ ซ่อมได้ (ไม่ได้พังง่าย)
ตัวคุณและคนรอบข้างพัง หาซื้อไม่ได้นะครับ ;) เรื่องรักโลก รักสภาพสิ่งแวดล้อม เริ่มที่ตัวเราดีที่สุดครับ
ปล.เครื่องแคตตัน ถ้าได้เร่งเครื่องสั๊ก 3000-4000 รอบเขม่าก็หลุดออกไปแล้วครับ รถยุโปรบางคันจะมี เซ็นเซ้อ คอยตรวจจับเขม่า เมื่อมันตันจะมีข้อความแจ้งหรือไฟแจ้งให้เราเร่งเครื่องเพื่อไล่เขม่า
อย่าอุด เลยครับ ไอเสีย รถดีเซลมันเหม็นมากเลยนะ ขนาดบางคันที่ไม่อุด เช่น Pajero sport นี่ไอเสียเหม็นจน แสบจมูกอะครับ
เคยเจอ PJS ที่เอา Cat อกกจะบอกว่า นรก เลยครับเหม็นมาก และรถอีกหลายๆคันที่เอาออก ก็เหม็นนรกเช่นกัน ผมเคยถอด สุดท้ายผมต้องหามาใส่คืน
-
ที่สำคัญ อาจจะโดนเพื่อนร่วมถนน ด่าหรือแช่งเอาได้นะคับ ;) ;) ;)
-
ข้อดี ข้อเสีย ของทั้งอุดและไม่อุด มีคนบอกไปแล้วด้านบน
ในคลับรถกระบะทุกยี่ห้อเถียงกันไม่จบไม่สิ้น
แต่บอกไว้เฉยๆว่ารถผมไม่อุดครับ
-
กระทู้เรื่องEGR นี่ดังมากสมัยผมเข้าวงการรถกระบะครั้งแรกๆจนบัดเดี่ยวนี้ยังฮิตอยู่
มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
คนอุดมาแล้วเค้าก็ว่ามันดี
คนไม่อุดเค้าก็ว่ามันดีอยู่แล้วไปอุดกันทำไม
สมัยก่อนเถียงกันแทบตาย ทั้งฝ่ายค้านและสนับสนุน
แต่เท่าที่เห็นส่วนมากคำตอบที่ชัดเจนก็คือ
อยากเป็นคนรักษ์โลก ก็อย่าอุด
อยากเป็นคนสนใจแต่ตัวเองอนาคตจะเป็นไงช่างมัน ก็จงอุด
ถ้ามันไม่ดีจริง วิศวะกรคนออกแบบเค้าคงอุดมาให้จากโรงงานแล้วครับ
มันย่อมมีเหตุและผลของมัน ที่ว่าทำไมวิศวกรเค้าถึงไม่อุด ส่วนผมใช้กระบะมาหลายคันละ
ไม่อุดครับ เข้า0เช็คตามระยะที่คู่มือกำหนด รถผมภายในเครื่องสะอาดเอี่ยมทะลุแสนโลไปสองคันละยังฝิตปั๋ง
ไม่มีซ่อมเครื่องเลยและรถผมไม่ใช่รถตลาดด้วยปัจจุบันยังได้ที่ 165กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งๆที่กำลังจะเข้า6ปีแล้วโดยไม่อุดอีจีอาร์ ไปแสนกว่าโลแล้วครับ รอครบ6ปี จะไปล้างหัวฉีดของบอสมาโชว์ว่าฝิตขนาดไหน
-
เครื่องดีเซลที่ใช้กันในที่ทำงานผมมี EGR หมดแล้วก็ทำงานกันตลอดเวลายังไม่เห็นพังเลยครับ
ส่วนเครื่องที่บริษัทผมใช้เป็น CAT C6.6 ก็ยังมี EGR แ้ล้วก็ใช้งานกันหลักนับหมื่นชั่วโมงก็ยังทำงานได้ปกติดี
ที่ดูจากรูปที่สกปรกกัน เดาว่าน่าจะใช้งานไม่ปกติครับ การมีเขม่าเยอะเกิดจากเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ที่นี้การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของดีเซลมักเกิดจากการฉีดนํ้ามันมากเกินไป
ทางแก้ก็มีครับเช่น อย่าไปดันราง กดคันเร่งแบบค่อยๆกดไม่ใช่กดให้มีควันดำออกมาเยอะ ฯลฯ
-
ที่ว่า "อุด EGR แล้วรถสะอาด แรงประหยัด" นี่ผมว่า ไม่ส่งผลดีต่อคนอื่น อ่ะครับ
วิธีลดไอเสียรถยนต์ดีเซล คือ การใช้ระบบหมุนเวียนไอเสีย Exhaust Gas Recirculation (EGR)
จะลดก๊าซ NOX ลง เพราะเป็นอันตรายต่อปอดและระบบทางเดินหายใจของมนุษย์
ในต่างประเทศ เช่น USA (ปี2002) ได้กำหนดให้ลด NOX ลงอีก 50 % (เทียบจากปี 1998)
(เช่น จาก 4.0 เป็น 2.0 g /Break Horse-hr.)
และมาตรฐานมลพิษของประเทศอื่นๆ ก็มีแนวโน้มในการลด NOX มากขึ้น
จึงทำให้ผู้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซลส่วนใหญ่จำเป็นต้องติดตั้งระบบ EGR มากขึ้น
เพราะเค้าอยากให้คนบ้านเค้าที่อยู่ริมถนน มีอากาศที่สะอาด + ควบคุมไอเสียจากรถยนต์ หรือโรงงานต่างๆ ให้มีน้อยๆ
แต่บ้านเรา กลับอุด EGR เพื่อการตกแต่งรถ และตอบโจทย์ด้านสมรรถนะ
-
ผมเป็นคนเลวอุดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ถอด cat ออกเพราะไม่จำเป็น ข้อดีที่ผมได้รับจากการอุด egr คือ
- ลิ้นปีกผีเสื้อสะอาดไม่มีคราบเขม่าเกาะ
- รถควันไม่ดำ ถ้าไม่อุดกดคันเร่งเร็วหน่อยนี่ควันเป็นลูกๆเลย
- น้ำมันเครื่องดำและหนืดช้าลง ผมทดสอบด้วยน้ำมันเครื่อง castrol edge 5w30 ก่อนอุด egr ถ่ายออกที่หมื่นโลน้ำมันเป็นสีดำเข้มและหนืดพอสมควร หลังจากอุดแล้วที่หมื่นโลน้ำมันเป็นสีน้ำตาลดำเปิดจุกถ่ายออกนี่พุ่งพรวดออกมาเลย อีกรอบนึงลองลากยาวจนถึง2หมื่นโลค่อยถ่ายออกพบว่าน้ำมันเครื่องเป็นสีดำและมีความหนืดเล็กน้อย แต่ไม่หนืดเท่าก่อนอุดแน่นอน น้ำมันเครื่องซื้อจากเจ้าประจำที่เป็นตัวแทน castrol โดยตรง ดังนั้นไม่เจอน้ำมันเครื่องปลอมแน่นอน
-
รถพังซ่อมได้ปอดเป็นมะเร็งซ่อมไม่ได้นะครับลองคิดเอา
ถ้าใช้งานทั่วๆไปก็ได้หลายแสนโลหรือเป็น10ปีไม่ต้องอุดก็ไม่พังหรอกครับส่วนใหญ่ก็คงขายออกไปก่อนที่มันจะพัง
แล้วEGR วาล์ลไม่ได้เปิดเอาไอเสียกลับมาเผาไหม้ตลอดเวลานะครับจะเปิดเฉพาะเวลาเรากดคันเร่งหนักๆจนน้ำมันเผาไหม้ไม่หมดวาล์วถึงจะเปิดให้ละอองน้ำมันในไอเสียกลับมาเผาไหม้อีกครั้ง
-
เคยคิดจะอุด แต่เคยไปดมไอเสียของคันที่อุดแล้วไม่ไหวเลยเลิกความคิดที่จะอุดไป
-
ขอเถอะครับ ปกติรถกระบะดีเซลควันก็เหม็นจะแย่อยู่แล้ว
ผมทรมานทุกครั้งที่ต้องต่อหลังกระบะ จ่ายเงินทางด่วน ไม่รู้ทำไมต้องออกตัวแรงด้วย ยิ่งเหม็นไปใหญ่ ไม่คิดบ้างว่าคนที่อยู่ข้างหลังต้องดม
ไอ้เรายังโดนแค่ 2-3 นาทีที่ควันเข้าในรถ แต่พนักงานทางด่วนล่ะ รปภ.ล่ะ ตำรวจล่ะ คุณกำลังทำให้คนเหล่านี้ตายเร็วขึ้นนะครับ
อุตส่าห์หนีไปใช้ Easy Pass แล้วก็มิวาย ทางที่ต้องวิ่งส่วนใหญ่ดันเป็น Motor way ซะงั้น เฮ้อ
สิ่งเหล่านี้ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Externalities ครับ คือ เอาขยะไปทิ้งบ้านคนอื่น หรือที่สาธารณะ เพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ มันไม่แฟร์เลยครับ
ปล. ไม่ต้องรักษ์โลกก็ได้ครับ แต่รักเพื่อนร่วมโลกบ้างก็พอ
-
นโยบายของ Headlightmag.com เรา
ไม่สนับสนุน พฤติกรรมอะไรก็ตาม ที่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
แน่นอนว่า เราไม่เห็นด้วยกับการอุด EGR ครับ
เรื่องนี้เคยมีการถกเถียงในกระทู้เก่าๆมาเรื่อยๆ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
ลองย้อนเสริชหากระทู้เก่าๆดูได้ครับ จะมีการพูดถึงข้อดีและข้อเสียของทั้ง 2 ฝ่ายกันมาตลอด
-
ข้อเสียครับ
1. เสียงเครื่องดังขึ้นกว่าเดิมชัดเจนในรอบเดินเบา และรอบต่ำๆครับ โดยเฉพาะตอนเครื่องเย็น
2. เครื่องจะร้อนได้ช้ากว่ารถที่ไม่ได้อุด ง่ายๆครับ คือรถใช้เวลาในการวอร์มเครื่องจนถึงอุณหภูมิปกตินานกว่า วาว์ลน้ำเปิดช้ากว่า อาจทำให้รถของพวกที่ไม่รอให้อุณหภูมิรถถึงจุดปกติ แล้วซัดเลย สึกหรอเร็ว
3. เข็มความร้อนของอุณภูมิปกติจะขึ้นมาอีกนิดหน่อย ง่ายๆครับ คือ ถ้าไปอุดมา เข็มความร้อนมันจะขึ้นอีกนิดนึงจากปกติครับ
4. หายใจไม่ออกถ้าได้สูดไอเสียจากรถที่อุด อีจีอาร์
เสริมอีกนิดครับ อีจีอาร์วาว์ลเปิดเป็นเปอร์เซนต์นะครับ ยิ่งรอบต่ำยิ่งเปิดมาก เดินเบานี่เปิดแทบสุด ถ้ารอบสูงๆ อีจีอาร์จะเปิดน้อยลงครับ หรือปิดไปเลยครับ
อุดอีจีอาร์เขาทำกันทำไม
1. เพื่อลดควันดำ ถ้ารถที่ไปอุดมาควันดำที่ลูกๆ จะหายไปครับ
2. เพื่อน้ำมันเครื่องมีอายุยาวนานกว่า
3. เพื่อลิ้นปีกผีเสื้อสะอาด
4. เพื่อมอเตอร์อีจีอาร์จะอยู่ได้นานขึ้น
5. เพื่อผละกำลังเพิ่มขึ้นนิดเดียว
การสร้างกระแสของช่างรับอุดอีจีอาร์ (ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าอีจีอาร์เป็นต้นเหตุของปัญหาเหล่านี่หรือไม่ ใน ISUZU DMAX คอมมอนเรลรุ่นใหม่ของโลก-โกล์ดซีรีส์)
1. ทำให้หัวฉีดทะลุ แหวนรองหัวฉีดรั่ว เปิดผาครอบวาล์วขึ้นมาเป็นรอยไหม้ตามตำแหน่งของหัวฉีด
2. น้ำมันเครื่องหาย
3. มีอยู่หนึ่งสูบที่อยู่ติดกับอีจีอาร์คูลเลอร์ ต้องรับภาระด้านความร้อนมากกว่าอีกสามสูบ รอยไหม้บนฝาสูบชัดเจนและหนักกว่าเพื่อน
4. เป็นสาเหตุของเครื่องโอเวอร์รัน (เครื่องเผาไหม้ไอน้ำมันเครื่องแทนที่จะเผาไหม้น้ำมัน ทำให้เครื่องเร่งเอง จนเครื่องพัง)
4. น้ำมันเครื่องยังไม่ถึงจุดเปลี่ยนถ่าย เสื่อมสภาพ หนึด ข้น
5. ขม่ำรวมตัวกับไอน้ำมันเครื่องจับตัวเป็นก้อนๆที่ลิ้นปีผีเสื้อ ทำให้ดูสกปรกมาก และน่ากลัวมาก ทำให้เจ้าของรถวิตกจริตเกินเหตุ
6. มอเตอร์อีจีอาร์ได้รับความร้อนจากไอเสีย ทำให้เสีย ไฟเครื่องโชว์
เปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้เร็วขึ้นกว่าเดิม และลิ้นปีกผีเสื้อก็สามารถถอดเอามาล้างได้ครับ ถ้าเป็นคนเท้าหนักขับออกต่างจังหวัดบ่อยๆ ไม่จอดรถติดเครื่องไว้นานๆ ไม่ค่อยได้เข้าเมือง เรื่องลิ้นปีกผีเสื้อแทบไม่สกปรกเลยครับ
-
คห.บน ข้อเสียต่างๆที่เอ่ยมา ไม่ได้เป็นกับรถทุกคันนี่ครับ
อย่างน้อยๆรถที่ทำงานผม จะสองแสนกม.ละ ก็ไม่ได้อุดอะไร ใช้งานเดิมๆ เข้า0ทุกหมื่นโล รถก็ปกติดีนี่นา
-
ไม่อุดแน่นอนครับ แต่จะให้ช่างถอดล้างตอน 60,000 กิโล
-
ถ้ารักคนในครอบครัว
อย่าอุดครับ
รถแรงขึ้นจริง แต่ไอเสียเหม็น อันตรายกับคนรอบข้าง
ใช้รถซัก 2 ปี เอาไปล้างเขม่าทีนึงก็ได้ครับ อย่าอุดเลย
รถ ล้างเขม่าได้ แต่คน ล้างเขม่าในปอดไม่ได้นะครับ
-
เคยเทียบกันครับ
Fortuner 3.0V ตัวแรก
Vigo 3.0G Auto ตัวแรก
Fortuner 3.0V 2WD Apeto Minor Change ครั้งแรก
ไม่อุด EGR
กับ Vigo 3.0G 4WD Auto อุด EGR
3 คันที่ไม่อุดไอเสียไม่เหม็น ส่วนคันที่อุดกลิ่นปวดหัวจนห้ามสตาร์ทรถในบ้านเลยครับ ไปที่ไหนต้องรีบดับเครื่อง
-
แล้วพวกมังกรทองที่วิ่งๆกันเต็มถนนเมืองไทย ไม่เห็นจะมี EGR นี่ครับ
ถ้าเป็นเบนซินก็พวก อัลติส ยารีส วีออส แคมรี่ ก็ไม่มี EGR ครับ
ยิ่ง อัลติส วิ่งเต็ม กทม. เลย
แล้วถ้าแคตตันละครับ
จะมีสักกี่คนที่เบิกของ 0 ใหม่ มาใส่แทน ราคาโคตรแพง เลย
-
ขอบคุณทุกท่านครับ สรุปผมจะปล่อยมันไว้อย่างนั้นล่ะครับ ไม่มีความคิดจะไปอุดมันอีกแล้ว
-
ปล.เครื่องแคตตัน ถ้าได้เร่งเครื่องสั๊ก 3000-4000 รอบเขม่าก็หลุดออกไปแล้วครับ รถยุโปรบางคันจะมี เซ็นเซ้อ คอยตรวจจับเขม่า เมื่อมันตันจะมีข้อความแจ้งหรือไฟแจ้งให้เราเร่งเครื่องเพื่อไล่เขม่า
เร่งเครื่องนี่เราต้องเร่งค้างไว้นานเท่าไหร่ครับ หรือไม่ต้องค้าง?
-
แล้วพวกมังกรทองที่วิ่งๆกันเต็มถนนเมืองไทย ไม่เห็นจะมี EGR นี่ครับ
ถ้าเป็นเบนซินก็พวก อัลติส ยารีส วีออส แคมรี่ ก็ไม่มี EGR ครับ
ยิ่ง อัลติส วิ่งเต็ม กทม. เลย
แล้วถ้าแคตตันละครับ
จะมีสักกี่คนที่เบิกของ 0 ใหม่ มาใส่แทน ราคาโคตรแพง เลย
รถรุ่นเก่า มันก็มาจากมาตรฐานเมื่อคราวที่มันยังเป็นรุ่นใหม่ครับ ทำไงได้ เราไม่มีกฎหมายให้ทำลายรถเก่า
หากจะอุด เมื่อรถครบ 7 ปี การต่อทะเบียน "ต้องผ่านการตรวจวัดค่าไอเสีย" ด้วย
ถึงตอนนั้น ถ้าค่าไอเสียไม่ผ่าน ก็อย่าพาลโทษ "กฎระเบียบ" นะครับ
-
รถไม่แรง vs โอกาสเป็นมะเร็ง เลือกอะไร ?
ถ้าคิดว่าชีวิตตัวเองมีค่าน้อยกว่าความแรงรถ ก็ทำไป :D
-
;D ;D ;D...................ที่จริงคำว่า EGR มันมีคำตอบอยู่ในตัวมันเองแล้วว่า Exaust Gas Recirculation เอาไอเสีย วนกลับไปเผาไหม้ แล้วพ่นทิ้งขั้นสุดท้ายไร้ไอพิษ แล้วจะไปอุดมันทำไมกันเล่า :-\
-
เคยคิดจะอุด แต่เคยไปดมไอเสียของคันที่อุดแล้วไม่ไหวเลยเลิกความคิดที่จะอุดไป
ของผมไม่อุดครับติดเครื่องในบ้าน(ที่จอดรถ)ยังหายใจสบาย คันไหนอุดเหม็นจนเวียนหัวเลยครับ
-
อย่าอุดเลยครับ ผมก็เคยคิดจะอุด แต่ไม่ดีกว่า
Fortuner 3.0 4WD เดิมๆครับ
-
แล้วรถ March ผมเบนซินมันมี EGR ไปทำไมนะครับ สงสัยจริงๆ
เพราะ NOX คงไม่มาก ถ้าจะมีคงเป็น CO2 มากกว่า :D
-
นโยบายของ Headlightmag.com เรา
ไม่สนับสนุน พฤติกรรมอะไรก็ตาม ที่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
แน่นอนว่า เราไม่เห็นด้วยกับการอุด EGR ครับ
เรื่องนี้เคยมีการถกเถียงในกระทู้เก่าๆมาเรื่อยๆ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
ลองย้อนเสริชหากระทู้เก่าๆดูได้ครับ จะมีการพูดถึงข้อดีและข้อเสียของทั้ง 2 ฝ่ายกันมาตลอด
เห็นด้วยแหละครับ ว่าการเห็นแก่ตัวโดยเอาเปรียบส่วนรวมเป็นอะไรที่ไม่ดีเอามากๆ
-
ถ้าอุดแล้ววิ่งในกรุงเทพฯ ด้วยนี่ยิ่งเพิ่มมลพิษที่มีมากอยู่แล้วให้มากกว่าเดิมอีกนะครับ
ลองสังเกตเวลาขับกลับจากต่างจังหวัดดูว่าเมื่อเริ่มเข้าเขตกรุงเทพแล้วจะเห็นสีมลพิษบนท้องฟ้าตัดกันชัดเจนเลย
-
EGR ไม่อุดเดี๋ยวเครื่องเป็นมะเร็งนะ
แคท คือเนื้อร้ายตัดออกยิ่งเร็วยิ่งดีต่อเครื่องที่สุด
เรื่องแคทกรองไอเสีย สำหรับผมนะซีเรียสมาก
ถึงกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยละ ถ้าไม่ได้ตัดออก
รถที่ซื้อใช้ทุกคันรถใหม่ออกจากโชว์รูมก่อนถึงบ้าน
ผมเข้าร้านท่อตัดแคทก่อนเลยสบายใจละ
ไม่สนวารันตี3ปีช่างมันตัดทิ้งแล้วเราสบายใจ
เครื่องไม่อั้นไม่ร้อน ถ้ากระบะก็อุดEGRด้วยเลย
vigoผมก็ตัดแคทอุดEGRตั้งแต่วันแรกที่รับรถ
จนทุกวันนี้จัดเต็มวิ่งจะ13วิละไม่เคยมีปัญหาเลย
ญาติกันออกมาแต่ไม่ตัดไม่อุดแบบที่ผมแนะนำ
ใช้เดิมๆปัญหาสารพัดเร่งไม่ออกกินน้ำมันวูบดับ
สุดท้ายขายไปแล้ว แคทมันเหมือนเนื้อร้ายเราตัดทิ้ง
ยิ่งเร็วยิ่งดีต่อสุขภาพเครื่องครับ เชื่อผมตัดทิ้งเลย
จะได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน
-
แล้วพวกมังกรทองที่วิ่งๆกันเต็มถนนเมืองไทย ไม่เห็นจะมี EGR นี่ครับ
ถ้าเป็นเบนซินก็พวก อัลติส ยารีส วีออส แคมรี่ ก็ไม่มี EGR ครับ
ยิ่ง อัลติส วิ่งเต็ม กทม. เลย
แล้วถ้าแคตตันละครับ
จะมีสักกี่คนที่เบิกของ 0 ใหม่ มาใส่แทน ราคาโคตรแพง เลย
รถรุ่นเก่า มันก็มาจากมาตรฐานเมื่อคราวที่มันยังเป็นรุ่นใหม่ครับ ทำไงได้ เราไม่มีกฎหมายให้ทำลายรถเก่า
หากจะอุด เมื่อรถครบ 7 ปี การต่อทะเบียน "ต้องผ่านการตรวจวัดค่าไอเสีย" ด้วย
ถึงตอนนั้น ถ้าค่าไอเสียไม่ผ่าน ก็อย่าพาลโทษ "กฎระเบียบ" นะครับ
แล้วรุ่นเก่าที่วิ่งอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้ผ่านการตรวจสภาพก่อน ต่อภาษีเหรอครับ
ไม่เห็นจะมีคันไหนไม่ผ่าน ที่วิ่งบนถนนทุกคันของประเทศไทย
หรือ ขนส่งเค้าแยกว่ารถปีนี้ ให้ค่าไอเสียเท่านี้ ถึงจะผ่าน ::)
แล้วรถที่ผมว่าข้างต้นไม่มี EGR ทำไมไม่มีใครเดือดร้อนมั่งละครับ วิ่งกันเต็ม กทม.
-
EGR ไม่อุดเดี๋ยวเครื่องเป็นมะเร็งนะ
แคท คือเนื้อร้ายตัดออกยิ่งเร็วยิ่งดีต่อเครื่องที่สุด
เรื่องแคทกรองไอเสีย สำหรับผมนะซีเรียสมาก
ถึงกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยละ ถ้าไม่ได้ตัดออก
รถที่ซื้อใช้ทุกคันรถใหม่ออกจากโชว์รูมก่อนถึงบ้าน
ผมเข้าร้านท่อตัดแคทก่อนเลยสบายใจละ
ไม่สนวารันตี3ปีช่างมันตัดทิ้งแล้วเราสบายใจ
เครื่องไม่อั้นไม่ร้อน ถ้ากระบะก็อุดEGRด้วยเลย
vigoผมก็ตัดแคทอุดEGRตั้งแต่วันแรกที่รับรถ
จนทุกวันนี้จัดเต็มวิ่งจะ13วิละไม่เคยมีปัญหาเลย
ญาติกันออกมาแต่ไม่ตัดไม่อุดแบบที่ผมแนะนำ
ใช้เดิมๆปัญหาสารพัดเร่งไม่ออกกินน้ำมันวูบดับ
สุดท้ายขายไปแล้ว แคทมันเหมือนเนื้อร้ายเราตัดทิ้ง
ยิ่งเร็วยิ่งดีต่อสุขภาพเครื่องครับ เชื่อผมตัดทิ้งเลย
จะได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน
แน่ใจเหรอครับว่าไอ่ที่ทำเป็น จะไม่เป็นภาระต่อลูกหลาน...
-
EGR ไม่อุดเดี๋ยวเครื่องเป็นมะเร็งนะ
แคท คือเนื้อร้ายตัดออกยิ่งเร็วยิ่งดีต่อเครื่องที่สุด
เรื่องแคทกรองไอเสีย สำหรับผมนะซีเรียสมาก
ถึงกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยละ ถ้าไม่ได้ตัดออก
รถที่ซื้อใช้ทุกคันรถใหม่ออกจากโชว์รูมก่อนถึงบ้าน
ผมเข้าร้านท่อตัดแคทก่อนเลยสบายใจละ
ไม่สนวารันตี3ปีช่างมันตัดทิ้งแล้วเราสบายใจ
เครื่องไม่อั้นไม่ร้อน ถ้ากระบะก็อุดEGRด้วยเลย
vigoผมก็ตัดแคทอุดEGRตั้งแต่วันแรกที่รับรถ
จนทุกวันนี้จัดเต็มวิ่งจะ13วิละไม่เคยมีปัญหาเลย
ญาติกันออกมาแต่ไม่ตัดไม่อุดแบบที่ผมแนะนำ
ใช้เดิมๆปัญหาสารพัดเร่งไม่ออกกินน้ำมันวูบดับ
สุดท้ายขายไปแล้ว แคทมันเหมือนเนื้อร้ายเราตัดทิ้ง
ยิ่งเร็วยิ่งดีต่อสุขภาพเครื่องครับ เชื่อผมตัดทิ้งเลย
จะได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน
แน่ใจเหรอครับว่าไอ่ที่ทำเป็น จะไม่เป็นภาระต่อลูกหลาน...
ผมเข้ามาอ่านแล้วตอบต่อไม่ถูกเลย ไม่รู้พี่เค้าพูดจริงหรือประชด :D
-
ปล.เครื่องแคตตัน ถ้าได้เร่งเครื่องสั๊ก 3000-4000 รอบเขม่าก็หลุดออกไปแล้วครับ รถยุโปรบางคันจะมี เซ็นเซ้อ คอยตรวจจับเขม่า เมื่อมันตันจะมีข้อความแจ้งหรือไฟแจ้งให้เราเร่งเครื่องเพื่อไล่เขม่า
เร่งเครื่องนี่เราต้องเร่งค้างไว้นานเท่าไหร่ครับ หรือไม่ต้องค้าง?
เร่งจนกว่าที่ควันดำๆเป็นลูกๆจะออกหมดครับ ตอนที่ผมทำคือ ผมจะออกไปทีโลงๆ แล้วไปเร่งทิ่้งให้หายมีควัน หรือ บางครั้งก็ขับไปธรรมดานี้แหละครับแต่ลากเกียร์ สัก 3000-4000 รอบครับ ผมก็ทำมาแบบนี้มาตลอด ครับ ตอนนี้ แสนกว่าโลแคทก็ไม่ตันนะ เคยให้ช่างถอดออกมาดูอยู่ครับ โลงๆดีเหมือนเดิม
แล้วพวกมังกรทองที่วิ่งๆกันเต็มถนนเมืองไทย ไม่เห็นจะมี EGR นี่ครับ
ถ้าเป็นเบนซินก็พวก อัลติส ยารีส วีออส แคมรี่ ก็ไม่มี EGR ครับ
ยิ่ง อัลติส วิ่งเต็ม กทม. เลย
แล้วถ้าแคตตันละครับ
จะมีสักกี่คนที่เบิกของ 0 ใหม่ มาใส่แทน ราคาโคตรแพง เลย
รถรุ่นเก่า มันก็มาจากมาตรฐานเมื่อคราวที่มันยังเป็นรุ่นใหม่ครับ ทำไงได้ เราไม่มีกฎหมายให้ทำลายรถเก่า
หากจะอุด เมื่อรถครบ 7 ปี การต่อทะเบียน "ต้องผ่านการตรวจวัดค่าไอเสีย" ด้วย
ถึงตอนนั้น ถ้าค่าไอเสียไม่ผ่าน ก็อย่าพาลโทษ "กฎระเบียบ" นะครับ
แล้วรุ่นเก่าที่วิ่งอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้ผ่านการตรวจสภาพก่อน ต่อภาษีเหรอครับ
ไม่เห็นจะมีคันไหนไม่ผ่าน ที่วิ่งบนถนนทุกคันของประเทศไทย
หรือ ขนส่งเค้าแยกว่ารถปีนี้ ให้ค่าไอเสียเท่านี้ ถึงจะผ่าน ::)
แล้วรถที่ผมว่าข้างต้นไม่มี EGR ทำไมไม่มีใครเดือดร้อนมั่งละครับ วิ่งกันเต็ม กทม.
ผมว่ามันเหมือนเป็นช่องว่างที่ยังไม่ครอบคลุมครับ แต่สุดท้ายแล้วรถเก่าๆเหล่านั่นก็ต้องพังและเสียไปในที่สุด อาจจะมีพวกที่เค้าสะสมอยู่บ้าง ผมถึงพูดกับตัวเอง เสมอว่า "ให้เริ่มที่ตัวเราก่อน"(ไม่ใช่แค่เรื่องรถนะครับ น้ำ ไฟ ต้นไม้ และทุกๆอย่างที่ช่วยรักษาธรรมชาติและตัวเราได้) เพราะถ้าเรามัวแต่ไปมองคนอื่น "เห้ย คนนั่นยังทำได้ คนนี้ยังทำได้" ผมว่าสิ่งดีๆก็คงจะไม่เกิดขึ้นครับ
-
รถเดิมๆ spec โรงงาน มันก็วิ่งกันได้เป็น 10 ปีอยู่แล้ว
อุด EGR อาจจะทำให้รถที่มีอายุ 20 ปี กลายเป็น 22 ปี แต่ถามว่า มันคุ้มกับการทำลายสภาพอากาศหรือครับ
-
แล้วรถ March ผมเบนซินมันมี EGR ไปทำไมนะครับ สงสัยจริงๆ
เพราะ NOX คงไม่มาก ถ้าจะมีคงเป็น CO2 มากกว่า :D
ผมขอร่วมแจมด้วยนะครับ เพราะเท่าที่อ่านดูยังไม่มีประเด็นที่ผมได้ข้อมูลมา ต้องยกความรู้ทั้งหมดนี้ให้กับ อ. ศิริบูรณ์ เนาว์ถิ่นสุข ที่ถ่ายทอดความรู้นี้ไว้ให้ลูกๆ หลานๆ
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกับเรื่อง Lean-Burn กับ Rich-Burn ก่อน Lean-Burn แปลกันง่ายๆ ก็คือส่วนผสมบาง ตั้งแต่ 14.7:1 ขึ้นไป
หมายความว่าในห้องเผาไหม้มีอากาศ (ที่ติดไฟได้) 14.7 กรัม ต่อ 1 กรัมของน้ำมันเพื่อรอจุดสันดาป อันนี้สำหรับเครื่องที่ใช้เชื้อเพลิงแบบก๊าซโซลีนนะครับ
ถ้าน้อยกว่านี้ก็ Rich-Burn
ผมขอยกตัวอย่างในเครื่องดีเซลแล้วกัน เพราะในเครื่องยนต์ดีเซล เป็น Lean-Burn โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ในรอบเดินเบาฉีดน้ำมันเข้าไปนิดเดียว ก็ได้ม้านิดเดียว
เพราะมีการเผาไหม้น้อย ควันดำไม่มี ฉีดน้ำมันมากขึ้นอีก ก็เผาไหม้ได้มากขึ้น มีแรงดันลูกสูบมากขึ้น แรงม้าก็มากขึ้น ถ้าฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีก
เผาไหม้จนออกซิเจนที่มีอยู่หมดเกลี้ยงก็ได้แรงม้าสูงสุดเท่าที่เครื่องนั้นทำได้
แต่ถ้ายังฉีดน้ำมันเพิ่มเข้าไปอีก แต่ออกซิเจนหมดไม่เหลือแล้ว ก็มีควันดำออกมาทางท่อไอเสีย อย่างที่นักจูนลูกทุ่งชอบใช้ตาดู ใช้จมูกดม ถ้ามีควันดำแสดงว่าแรงได้ที่
แต่นั่นคือใช้เชื้อเพลิงเกินความจำเป็นเพราะไม่มีออกซิเจนเหลือให้เผาไหม้แล้ว
แต่อย่าเป็นห่วงไปครับ ยังโชคดีที่เครื่องยนต์มันมีสมอง (ECU) มันจะใช้ค่าแลมด้าในท่อไอเสียเป็นตัวตัดสิน ถ้ามากกว่า 1.0 แสดงว่า Lean-Brun
คือมีอ๊อกซิเจนค้างอยู่ในท่อไอเสียจำนวนหนึ่ง แต่ถ้าค่าแลมด้าน้อยกว่า 1.0 แสดงว่า Rich-Brun ครับ ซึ่งจริงๆ
ในการทำงานของเครื่องยนต์ก็สามารถ Lean-Burn และ Rich-Burn ได้ อยู่ที่การตั้งโปรแกรมให้เรียกแรงม้าออกมาในช่วงไหน และขนาดไหน
สรุปง่ายๆ Lean ก็ประหยัด ถ้า Rich ก็แรงจะว่าอย่างนั้นก็คงได้
แต่ข้อเสียของ Lean-Brun ก็คือเรื่องความร้อนครับ เมื่อส่วนผสม Lean หมายความว่ามีออกซิเจนมากจนเหลือเฟือ เมื่อเกิดการเผาไหม้จะมีความร้อนสูง
เป็นความร้อนที่เกิดขึ้นในรอบสันดาปนั้นๆ นอกจากนั้นยังเผาไหม้ได้ช้าอีกด้วย ไฟอาจแล่บออกจากวาล์วไอเสีย เพราะวาล์วไอเสียเปิดแล้วยังเผาไหม้ไม่หมด
ถ้าส่วนผสม Lean มากๆ เครื่องยนต์ที่ว่าทนว่าอึด โดยเฉพาะวาล์วไอเสียนี่ถ้าระบายความร้อนไม่ดีมันก็นรกดีๆ นี่เอง
วิธีแก้ก็คือ การนำไอเสียที่วิ่งออกไปแล้วให้ย้อนกลับมาในห้องเผาไหม้ ในการเผาไหม้รอบต่อไป ไอดีก็จะผสมกับไอเสีย (ซึ่งไม่มีออกซิเจน)
ที่ป้อนกลับเข้ามาจากรอบที่แล้วไปแทนที่อ๊อกซิเจนบางส่วนเผาไหม้แล้วอุณหภูมิจะไม่สูงเกินไป หรือเรียกว่า Exhaust Gas Recirculation (EGR) นั่นแหละครับ
เพราะฉะนั้นที่บอกว่าอุด EGR แล้วเครื่องทนขึ้น ก็คงได้คำตอบแล้วนะครับ
แล้วไอ้ที่ว่าประหยัดขึ้นนี่คงคิดไปเองเพราะเมื่อเครื่องไม่ต้องการแรงม้า (อยู่ในรอบเดินเบา) จะ Lean จนมีออกซิเจนเหลือออกมามาก
เครื่องก็สั่งให้ฉีดน้ำมันเพิ่มเข้าไปอีกซึ่งมันเสียทิ้งไปเสียเปล่าๆ (ในกรณีที่อุด EGR)
แต่ควรจะแรงขึ้นเพราะเครื่องจะสั่งน้ำมันเข้าไปรอเผาไหม้อยู่เพิ่มขึ้น
เรื่อง Oxides of Nitrogen ผมคงไม่เขียนถึงนะครับ เพราะมีคนเขียนอยู่เยอะแล้ว เรื่องโลกสวยนี่พูดยาก ถ้าเทียบรถดีเซลที่อุด EGR
กับแท็กซี่ติดแก๊ซที่ส่วนผสมปาเข้าไป 16:1 นี่ คิดดูว่าใครปล่อยมลพิษมากกว่ากัน แท็กซี่อยู่ในเมือง รถกระบะบางครั้งวิ่งในป่า ผมว่าก็ช่างเขาเถอะ
ยาวไปก็ขออภัยนะครับ พยายามย่อได้เท่านี้จริงๆ
-
วิศวกรเค้าทำมาดีแล้วครับ เดิม ๆ ดีกว่าอย่าอุดเลย
-
อย่าอุดเลย เค้าออกแบบมาดีแล้ว