Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: question ที่ สิงหาคม 15, 2013, 10:31:51
-
ทำไมรถยุโรป/อเมริกันหรูๆถึงมีปัญหาจุกจิกบ่อยมากกว่ารถญี่ปุ่นเมื่อเทียบ segment และราคาใกล้เคียงกัน
(กรณีรถดูแลอย่างดี) รถยุโรป/อเมริกันเข้าอู่ซ่อมก่อนในระยะเวลาเพียง 1 ปีแรกรถใหม่
เคยไปดูระบบไฟในรถ ferrari...ตกใจ....alternator ใน ferrari เป็นของ nippon denso!!!!!! ซึ่งรุ่นเก่าๆไม่ใช่
-
ผมว่า มันเป็นความเชื่อโบราณรึเปล่าไม่แน่ใจนะครับ หรือบ้านผมโชคดีกับรถรึเปล่าไม่รู้ แต่รถที่บ้าน ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยนะครับ
E Coupe 3ปี
F10 2ปีครึ่ง
E90 3ปี
CLS 1ปี (มีปัญหา ที่ท่อหล่อเย็นรั่ว พอแก้ ก็ไม่มีปัญหาอีกเลย)
-
เมื่อก่อนอาจจะใช่ครับ แต่สมัยนี้ มันน้อยลง ลดลง เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้นครับ
-
อยากทราบเหมือนกันครับ
ผมเคยได้ยินบางคนก็บอกถ้ารถยุโรปโบราณ น่ะไม่ใช่ โดยเฉพาะ Benz ตาเหลี่ยม ทนมาก
แต่อ่าน Comment ทั้ง 2 บอกว่าเพราะเทคโนโลยีใหม่ขึ้นรถเลยทนขึ่้น
ยิ่งตอนดูคลิป F30 ที่คุณแพนแต่งเพลงสรรเสริญให้ "เป็น BSI ให้คุณ ที่ทะลึ่งมาซื้อรถกุ" ผมยิ่งเหวอ.. :o
ประเด็นน่าสนใจ ขอปูเสื่อรอฟังนะครับ ;D
-
มาปูเสื่อรอด้วยคน
ทิ้งประเด็นไว้ด้วย
1. ระบบไฟฟ้าภายในรถ มากน้อยแค่ไหน
2. ต้องโยงไปถึง Principle ของทัศนคติการใช้รถของลูกค้าเลยทีเดียว
ว่าแต่ละชาติเป็นยังไง เปลี่ยนรถกันบ่อยแค่ไหน
ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายในการสร้างรถยนต์ ว่าจะให้ทนๆ หรือให้เปลี่ยนบ่อยๆ
แล้วมันจะไปสัมพันธ์กับค่าครองชีพและราคาของรถยนต์อีก
บอกตรงๆ พูดเรื่องนี้ ยาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ๆ ครับ
-
จุกจิกนี้คือประมาณไหนอ่ะครับ?
ผมว่าที่หลายๆคนว่ามันจุกจิกเพราะ เวลาซื้อรถยุโรปแล้วเราไปเกิดอาการ over expectation น่ะ
ด้วยราคารถยุโรปในโลกอื่นมันไม่ได้แพงกว่ารถญี่ปุ่นไปเยอะมาก แต่บ้านเรามันแพงกว่าหลายขุม คนที่จ่ายสองเท่าก็คงต้อง Expect 2 เท่าน่ะแหล่ะ
ผมว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ product น่ะ มันอยู่ที่ price มากกว่าครับ เลยทำให้เรารู้สึกว่ารถพวกนี้มันน่าจะดีกว่านี้
ส่วนรถเมกันขอผ่านไปน่ะครับ ผมมองว่ารถเมกันมันตามหลังรถญี่ปุ่นน่ะครับ อาจจะเหนือเกาหลีเล็กน้อย
-
สภาพอากาศความร้อนความชื้น รถติด ถนน ในบ้านเราก็เป็นส่วนหนึ่งครับ
-
ส่วนใหญ่ใช้วิธีเปลี่ยน ถ้าซ่อมมันไม่ค่อยหายแฮะ จากประสบการณ์
-
มันหลายปัจจัยครับ เจ้าของรถเองก็มีส่วน อย่าง GTI เอง ใช้ๆไปน้ำมันเครื่องหายไปเป็นลิตรก็มี ต้องไปเติมที่ศูนย์ บางคนศึกษาข้อมูลก่อนก็ซื้อมาเติมเอง แต่ส่วนใหญ่ซื้อมาขับอย่างเดียวไม่เคยเชคเลย อันนี้ก็สมควรใช้รถรุ่นที่ไม่ค่อยมีปัญหาและทนๆดีกว่าครับ
-
อันนี้ลองแชร์สิ่งที่ได้ยินมาจากท่านๆนึง แต่เมื่อนานมาแล้วนะครับ
เค้าพูดในเชิงเปรียบเทียบดังนี้ครับ
1. ถ้าลองเปิดหลอดไฟของที่ผลิตโดยญี่ปุ่น 1,000 ดวง ที่ทางโรงงานกำหนดอายุการใช้งาน 10,000 ชม. พร้อมๆกัน เมื่อถึงกำหนด 10,000 ชม. ปุ๊ป หลอดไฟเกือบทั้งหมด ก็จะดับลงในเวลาไล่เลี่ยกัน
2. ถ้าลองเปิดหลอดไฟของที่ผลิตโดยประเทศยุโรป 1,000 ดวง ที่ทางโรงงานกำหนดอายุการใช้งาน 10,000 ชม. พร้อมๆกัน จะพบว่าหลอดไฟ จำนวนนึงดับไปก่อนที่จะครบอายุการใช้งาน (ทั้งแป๊ปเดียวดับ และ ครึ่งอายุการใช้งานดับ) และ จำนวนนึงสามารถใช้ได้ยาวนานกว่า10,000 ชม. ไปมากๆ
ผมคิดว่าเป็นการพูดเปรียบเทียบถึงมาตรฐานการผลิตของญี่ปุ่นที่มีมาตรฐานสูง แต่ไม่ได้เปรียบเทียบในเชิงวิศวกรรมว่าใครเก่งกว่าใครนะครับ
น่าจะประมาณนี้นะคับ แต่นี่เป็น perception ของในอดีต แต่ปัจจุบันอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้คับ
-
รถยุโรป+อเมริกัน สมัยก่อนเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่ารถญี่ปุ่นมาก
40กว่าปีที่แล้ว เกียร์ออโต้ในอเมริกาถือเป็นเรื่องปกติ รถญี่ปุ่นสมัยนั้นยังไม่รู้จักเกียร์ออโต้เลย
30กว่าปีที่แล้ว benzเริ่มใส่absในรถ w123 มีเครื่องหัวฉีด ดิสเบรคสี่ล้อ แอร์แบค ในขณะที่รถญี่ปุ่นทั่วไปในสมัยนั้น ยังเป็นเครื่องคาบูเรเตอ ดรัมเบรค
ไม่มีระบบความปลอดภัยอื่นนอกจาก safety belt แม้กระทั่งtoyota crown สุดยอดของtoyotaสมัยนั้น ระบบความปลอดภัยดีสุดก็แค่ safety belt
พอระบบพวกนี้เสีย สมัยนั้นช่างไม่มีความสามารถ เจอเทคโนโลยีใหม่ๆละซ่อมไม่เป็น ซ่อมไป มั่วไป พอซ่อมไม่เป็นก็บอกมันจุกจิก อะไหล่ตัวนี้ชอบเสีย ทั้งๆ
ที่ซ่อมไม่ถูกจุด ซ่อมไม่เป็น เลยทำให้คนคิดว่ารถยุโรปมันจุกจิก เพราะ ออพชั่นมันดันเยอะกว่ารถญี่ปุ่น
พอมาสมัยนี้ช่างมีความสามารถมากขึ้น abs airbags เป็นเรื่องจิ๊บๆสำหรับช่างไปแล้ว ลองดูได้ benz w123 w124 bmw e30 วิ่งกันให้เต็มเมือง
มีแต่คนบอก benz ตาเหลี่ยม มันถึก ทน อะไหล่ที่คนบอกว่าแพงก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่โดนช่างฟันซะมากกว่าที่มันแพง
บางคนเคยเจอ ค่าแรงเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ถ้ารถญี่ปุ่น 400 แต่ถ้าเป็นเบนซ์บวกเพิ่มอีกเป็น600 ถามว่าทำไมต่างกันเพราะมันเป็นเบนซ์ งงเลย
คนเลยมีความเชื่อสะสมกันมาว่า รถยุโรปมันจุกจิก อะไหล่แพง ค่าซ่อมแพง ทั้งๆที่ถ้าเทียบอัตราส่วนค่าอะไหล่จากราคารถมันก็ไม่ได้น่าเกลียด
สมมุติ bmw ราคา1,000,000บาท ถ้าเกียร์พัง เปลี่ยนใหม่ราคา 200,000บาท คิดอัตราส่วน 20%ของตัวรถ
Honda ราคา500,000บาท ค่าเกียร์100,000 ก็ประมาณ20%ของตัวรถ คนก็จะบอกเกียร์bmwมันแพง ทั้งๆที่ไม่คิดว่ารถใหม่ราคามันแพงกว่ากัน2เท่า
จะให้เกียร์มันราคาใกล้เคียงกันได้ยังไง
สรุป ผมคิดว่ามันเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ไม่เท่ากัน กับความเชื่อของคนสมัยก่อน ลองมาดูสมัยนี้เทคโนโลยีมันใกล้เคียงกัน
ลองเอา benz e200 cgi เทียบกับ camry hybrid ดูอีก10ปี ผมว่ามันจุกจิกพอกัน
หรือไม่ถ้าระบบhybridของtoyotaเสีย แล้วคุณจะเอาให้อู่ข้างทางซ่อม คนจะพูดกันอยู่ไหมว่าtoyotaใครก็ซ่อมได้
-
อยากได้รถที่มันเป็นลูกครึ่งครับ
ภายนอกเป็น Benz
ภายในเป็น Toyota หรือ Nissan จบเลย
-
มันไม่ใช่เรื่งรถยุโรป อเมริกันมีปัญหาจุกจิก
แต่ fact คือ รถอะไรก็ตามที่มีระบบเยอะ ฟังก์ชั่นเยอะ มันก็ต้องมีจุดให้เสียเยอะเป็นธรรมดา
เทียบกับรถสมัยก่อนที่มีจุดเสียแค่ เครื่องเกีย ไม่มีสมองกลมาควบคุมอะไรเยอะ มันก็ต้องทนเป็นธรรมดา
ต้องทำใจนะ ถ้าอยากได้ฟังก์ชั่นเยอะ ก็ต้องพร้อมซ่อมมันด้วยถ้ามันจะเสียขึ้นมา
-
ผมว่าน่าจะคิดไปเองนะครับ จากประสบการณ์ส่วนตัวผมว่ามันไม่ค่อยต่างกันมาก ถ้าเสียแล้วเปลี่ยนชิ้นนั้นไปเลยมันก็จะไม่ไปกวนให้เกิดปัญหาอื่นตามมาเท่าไหร่
ปล. ทำไม BMW ที่บ้านพอ 7 ปีมันทะยอยเปลี่ยนหลายชิ้นจัง ทนไม่ไหวขายทิ้งเอาค่าดูแลต่อเดือนไปผ่อนเซฟโลเร็ตได้ 1 คันเลย
-
รถ BMW มีระบบไฟฟ้าเยอะ เช่นระบบเกียร์ไฟฟ้า ระบบเบรคเท้า/มือไฟฟ้า ระบบปรับเบาะนั่งไฟฟ้า (รถญี่ปุ่นดีๆ ก็มีหมดแล้ว)
ทำให้โอกาสเสียมันสูงกว่ารถญี่ปุ่นที่เป็นระบบแมนนวล ดังนั้น ถ้ามันเสียขึ้นมา คนคงจะพูดว่ามันจุกจิกว่ารถญีปุ่นกระมัง
-
ผมว่าไม่จริงเสมอไป ปัจจัย...
1. ระบบ .และเทคโนฯ... หากระบบเยอะมากต้องดูแลมาก
2. พฤติกรรมการขับขี่ อันนี้มีผลเยอะเหมือนกัน
3. ถนอมรถมากไป ไม่ค่อยวิ่งกลัวเสีย ..ส่วนที่เป็นอิเล็คฯ หากไม่ใช้นาน ๆ มีปัญหาง่าย ยกตัวอย่าง saab 9000 cse ผมซื้อมือสองมาแสนสอง ซ่อมไปสี่หมื่น พร้อมแก๊ส วิ่งยังไม่ได้พันโล พี่ชายขอใช้ ...สองปี วิ่งไปแสนเจ็ด มีเปลี่ยนคลัชคอมแอร์ 3 ชุด เบรค 4 ชุด น้ำมันเครื่องตามระยะ ฝาแดง 1อัน และเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมชุดดูแลประมาณ ห้าหมื่น ผมว่ามันไม่จุกจิกนะ แต่เทียบกับคนที่วิ่ง เสาร์ อาทิตย์ แล้วจอด กลับเข้าอู่บ่อยกว่า...
4. กลัวมันจะเสีย พอมีเสียงก็อกแก็กหน่อยรีบเข้า 0 .. เข้าตำราปลอดภัยไว้ก่อน
5. ใช้รถไม่เป็น ..ไม่อธิบายครับ
-
สภาพอากาศ ( คอนโซล w203 ผมแตกกรอบไปเลย )
สภาพถนน
ปัจจัยระบบไฟฟ้าอีกหลายๆอย่างทำให้ ดูจุกจิก
แต่ true story คือถ้าคนมีตังเหลือๆแล้วรถยุโรป อาจจะไม่รู้สึกจุกจิกนะ เพราะมีอำนาจการซื้อ
จะเปลี่ยนจะซ่อมจะเข้าศูนย์อะไรมันก็เฉยๆ
รถญี่ปุ่นก็พอๆกันแหละครับเดี๋ยวนี้ บางรุ่นบางคันไม่ได้มี optionอะไร มีแค่รถ เครื่อง วิทยุ มันก็ไม่มีอะไรให้พัง ;D ;D
-
.
.
.
สมัยก่อนน่ะใช่ครับ เหตุผลคือ เพราะสภาพอากาศ
รถยุโรปในสมัยก่อนไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่ออากาศร้อนรถติดนรก
แบบในบ้านเรา แถมระบบไฟฟ้าต่างก็เยอะมากกว่ารถญี่ปุ่น
อะไรที่มีเยอะกว่า โอกาศเสียก็เยอะกว่า
ต่างกับรถญี่ปุ่นที่ออกแบบมาเพื่อขายในแถบเอเซียอยู่แล้ว
รู้ดีว่าสภาพอากาศเป็นยังไง อย่างผมเคยใช้ volvo 850 turbo
ใช้ไปประมาณ 3 ปี สายไฟห้องเครื่องกลายสภาพเป็นปลากรอบ
เอามือจับแทบจะกลายเป็นผง เพราะอากาศบ้านเรามันร้อนมาก
พอสายไฟกรอบและระบบไฟฟ้ามีมาก มันก็รวนอย่างไม่ต้องสงสัยครับ
แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว เค้ามีการปรับสเป็คของรถ
ให้เข้าประเทศที่นำเข้ามาขายมากขึ้น และนี่คืออีกเหตุผลนึง
ที่ผมไม่ซื้อรถเกรย์
-
รถยุโรปอุปกรณ์มันเยอะครับ
แค่จะสตาร์ทรถ กล่องรูกุญแจEZSของเบนซ์ กับรูกุญแจบิดสตาร์ทธรรมดาของ Toyota มันก็ต่างกันฟ้ากับเหวแล้ว อุปกรณ์เยอะของก็มีให้เสียเยอะ ถึงเวลาเสียพร้อม ๆ กันมันก็เลยดูจุกจิกครับ
-
อยากได้รถที่มันเป็นลูกครึ่งครับ
ภายนอกเป็น Benz
ภายในเป็น Toyota หรือ Nissan จบเลย
มีนะครับ แต่ข้างนอกเป็น Ferrari เครื่องเป็น 1J-VVTi เห็นออกข่าวที่ต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ละ
-
ปล
รถญี่ปุ่นสมัยนี้ซ่อมทีไม่ใช้น้อยๆนะครับ
ทั้ง Accord ทั้ง Camry ที่ซ่อมไปหลังจากใช้มา7-8ปีก็ 4-5หมื่น (เข้า0 เน้นเปลี่ยนไม่ซ่อม)
มีพี่คนนึงเคยบอกไว้ camry Hybrid Brake Actuator เสีย ค่าอะไหล่ 110,000
ผมว่ารถแพง = ซ่อมแพง
จะพี่ยุ่นหรือยุโรป ถ้าดูเป็น % มันไม่ได้ต่างกันมากอะครับ
-
จริงๆ แล้วพวกเทคโนโลยีต่างๆ นะ
มันมาจาก ยุโรษ และ อเมริกาทั้งนั้นนะครับ
ผมว่าปัญหาจุกจิก น่าจะเกิดจากการใส่เทคโนโลยีเข้าไปมากเกินความจำเป็นมากกว่า
เช่นพวกรถหรู ๆ อุปกรณ์เพียบ เบาะไฟฟ้าเอย รีโมทเอย มากมาย
ในขณะรถ ญี่ปุ่น แทบไม่มีอะไรเลย
-
ที่คนมองว่าจุกจิก ผมมองว่าเป็นเพราะเวลาซ่อมมากกว่า
รถยุโรปซ่อมจบยาก เพราะมีน้อยกว่า ช่างก็ได้ซ่อมไม่มาก
เวลาซ่อมไม่จบ ก็โดนบ่นว่ารถยุโรปมันจุกจิก ทั้งๆที่มันคือควาชำนาญของช่างที่ไม่อาจไปเทียบกับพวกอู่แท็กซี่ ที่แทบจะหลับตาเปลี่ยนอะไหล่ได้อยู่แล้ว
ถ้าถามว่าซ่อมเยอะไหม สมัยก่อนเยอะกว่าก็จริง เพราะระบบไฟฟ้าต่างๆมีมากกว่า แล้วไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเมืองร้อนโดยตรง
ตอนนี้ ระบบไฟฟ้าพอๆกันแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ไม่มีเสียนะครับ
ACV30 ที่บ้านมีเสียงกึกๆ ตั้งแต่2เดือนแรก หาจนขายไปปีที่8 ก็ยังหาไม่เจอ
แถมเครื่องเล่นซีดีใส่แผ่นไปซักพัก 2-3เดือน ต้องเอาแผ่นออกมาเช็ด มีคราบเหมือนไอน้ำเกาะ
แต่ที่ทนได้เพราะรักรถคันนั้นมาก แล้วทำใจได้กับจุดนี้
F10 ใช้มา 2ปีได้แล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไรมากวนใจเลย เช็คระยะก็ฟรีเพราะ BSI
F30 ออกมาไม่นานเท่าไหร่ ยังไม่เจอปัญหาอะไร แต่สังเกตว่าเสียงลมเข้าเยอะพอสมควร
ไม่ทราบว่าเป็นปัญหาเฉพาะคันหรือเป็นข้อด้อยของรุ่นนี้อยู่แล้ว(ดังพอให้รู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ แต่ไม่ได้ดังขนาดรำคาญ)
-
ไม่จริ๊ง ไม่จริง อะไรจุกจิกล่ะ แยกก่อนระหว่าง Mechanic หรือ Electronic
Mechanic ของยุโรปมันทนจริงๆ อากาศร้อนๆก็สู้ไหว
Electronic อันนี้ก็ขึ้นกับรถคันนั้นมี Sensor, Control มากน้อย ช่างซ่อมก็เป็นช่างยนต์ ไม่ใช่ช่างอิเล็กหรือช่างไฟซะหน่อย ซ่อมกันก็ไม่ค่อยเป็นซะด้วย จะเช็คยังไม่ชัวร์เลย แต่มันก็ทนพอกันกับเอเซียนี่แหละ เดี๋ยวนี้ Board Electronic มันก็ Made in China กันเยอะ ;D
-
จุกจิก แบบ เมียที่บ้านหรือเปล่าครับ...
ผมเบื่อความเชื่อ ของคนไทยมากๆ
รวมทั้งชอบบอกว่า คนนั้นว่ามา เค้าบอกมา มากๆ
และอีกอย่าง อย่าไปเปรียบเทียบ ยี่ห้อโน่นดีกว่ายี่ห้อนี้
เป็นอะไรที่ไม่จบ ของทุกอย่างมันมีดี และเสียอยู่ในตัวของมันเองทุกอย่าง
ไม่มีอะไรที่ดีหมด และไม่มีอะไรที่เสียหมด
บางครั้ง คำถามบางอย่างไม่จำเป็นต้องถามก็ได้ครับ พวกความเชื่อแบบนี้ ไม่จบ
-
จากหัวข้อกระทู้ ไม่ใช่ข้อสรุป แต่คือคำถาม
ในหนึ่งยี่ห้อ อาจจะมีบางรุ่นดี บางรุ่นไม่ดี
ในประเทศ อาจจะมีบางยี่ห้อดี บางยี่ห้อไม่ดี
ในกลุ่มประเทศ อาจจะมีบางประเทศที่คุณภาพดี และ ไม่ดีผสมกันไป
การตลาด กฏหมาย บังคับให้เป็นอย่างนั้น ครับ
การลดต้นทุน
การใช้วัสดุรีไซเคิล
ข้อสังเกตุ
ถ้ารถอะไร ที่มีกลไกล หรือ ระบบอิเลคทรอนิคส์ มากกว่า ก็จะมีโอกาสเสียมากกว่า
เช่น
รถคันหนึ่ง มีระบบ ต่างๆ 100 รายการ ให้ระบบเสีย 10% เท่ากับต้องซ่อม 10 รายการ
รถอีกคันหนึ่ง มีระบบ ต่างๆ 50 รายการ ให้ระบบเสีย 10% เท่ากับต้องซ่อม 5 รายการ
เท่านั้นยังไม่พอ
รถยังต้องมีระบบตรวจสอบว่าระบบต่างๆ นั้น คงสภาพดีหรือเปล่าด้วย
เช่น
ความร้อน ในห้องเครื่องยนต์ สูงมาก จนทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
รถคันที่มีระบบสมบูรณ์ เซนเซอร์แจ้งเตือนเป็นเสต็บๆ ให้ผู้ใช้ได้วิตกกังวลแล้ว
อีกคันหนึ่ง เครื่องยนต์ฮีทจนจะพังแล้ว มารู้ตัวอีกทีตอนที่ ไฟหรือเข็มที่หน้าปัดโชว์เตือน เป็นต้น
แม้กระทั่ง แรงดันลมยาง บางคันเตือน บางคันไม่เตือน เพราะไม่มี
-
ขี่อูฐ กับ ขี่ม่้า คุณเลือกอะไร
ถ้าขี่อูฐ แน่นอนไม่มีทางเร็วกว่าม้า แต่รับรองได้ ว่ามันจะไม่ผยศ
แต่ถ้าขี่ม้า มันวิ่งเร็วกว่าอูฐแน่นอน แต่มันจะผยศตอนไหนเราก้ไม่รู้
แล้วแต่ครับ ว่าจะเลือกอะไร ไม่มีอะไรถูกไม่มีอะไรผิด แต่ที่มันผิด ก้คืออความอคติของคนครับ ^^
-
เซ็ง น่าจะมีรถเบนซ์ บีเอ็ม สั่งทำพิเศษสำหรับคนไทย
ให้มีระบบไฟฟ้าน้อยที่สุด แบบ toyota สามห่วงไปเลย จะได้ไม่ต้องทนซ่อมไม่จบ