Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: 0% ที่ กันยายน 03, 2013, 17:55:43
-
คิดว่าจะได้เห็นกันไหมครับ eco car diesel
BOI เร่งโครงการ Eco Car 2 ขยายกำลังผลิตรถรับโครงสร้างภาษีใหม่
Prev1 of 1Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 03 ก.ย. 2556 เวลา 15:37:28 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีมติเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา เปิดให้การส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือรถยนต์ Eco Car เป็นรุ่นที่ 2 หลังจากที่เปิดให้การส่งเสริม Eco Car รุ่นที่ 1 ในปี 2550 การเปิดให้การส่งเสริมในครั้งนี้เกิดขึ้นจากเหตุผลที่ว่า ต้องการให้ขนาดกำลังการผลิตรถ Eco Car ภายในประเทศสูงเกินกว่า 585,000 คัน/ปีขึ้นไป หลังจาก 3 ปีที่เริ่มโครงการ Eco Car รุ่น 1 ปรากฏมีรถยนต์ประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 100/ปี (เริ่มผลิตรถ Eco Car คันแรกในเดือนมีนาคม 2553)
ทั้งนี้ โครงการผลิตรถยนต์ Eco Car รุ่นที่ 1 มีผู้ผลิตเข้าร่วมเพียง 5 ราย ประกอบด้วย นิสสัน, ฮอนด้า, ซูซูกิ, มิตชูบิชิ และโตโยต้า นับถึงปี 2555 ผู้ผลิตทั้ง 5 รายข้างต้นมีการผลิตรถยนต์ออกมา 6 รุ่น ได้แก่ Nissan March/Nissan Almera, Honda Brio/Honda Brio Amaze, Suzuki Swift และ Mitsubishi Mirage ยกเว้นบริษัทโตโยต้าที่จะผลิต Toyota Yaris Eco Car ออกสู่ตลาดในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (ตัวเลขการผลิตรถยนต์แต่ละค่ายตามตารางประกอบ)
ประกอบกับกระทรวงการคลังได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์การให้สิทธิลดหย่อนอัตราภาษีมาเป็นรถยนต์ที่มีความ "สะอาด-ประหยัด-ปลอดภัย" มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 ประกอบด้วย 1) รถยนต์ Eco Car ที่มีอัตราการปล่อยก๊าซ Co2 ไม่เกิน 120 กรัม/กม. เสียภาษี 17% 2) รถยนต์ Eco Car ที่มีอัตราการปล่อยก๊าซ Co2 ไม่เกิน 100 กรัม/กม. พร้อมระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety) เสียภาษี 14% และ 3) รถยนต์ Eco Car
ที่มีอัตราการปล่อยก๊าซ Co2 ไม่เกิน 100 กรัม/กม. พร้อมระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety) และสามารถใช้น้ำมัน E85 ได้ จะเสียภาษี 12%โดยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ครั้งนี้ จะมีผลต่อการแข่งขันของผู้ประกอบการรถยนต์ครั้งสำคัญ
ทั้งผู้ผลิต Eco Car เดิมทั้ง 5 ราย กับ ผู้ผลิตที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ Eco Car ดังนั้น BOI จึงตัดสินใจที่จะเปิดให้มีการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ Eco Car รุ่นที่ 2 เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบการทั้งรายเก่ารายใหม่ทบทวนแผนการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานอย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้หลักการที่ว่า ผู้ผลิตรถยนต์ Eco Car รุ่นที่ 1 ยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่เสียเปรียบผู้ประกอบการผลิตรถ Eco Car รุ่มที่ 2 ที่กำลังจะเปิดให้การส่งเสริม โดยผู้ผลิตรุ่น 1 สามารถยื่นขอรับการส่งเสริมในการผลิตรถยนต์ Eco Car รุ่นที่ 2 ได้ด้วย
นอกจากนี้ การผลิตรถ Eco Car รุ่นที่ 2 ยังเปิดโอกาสให้มีการผลิตรถประหยัดพลังงานที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่มีขนาดความจุของกระบอกสูงได้เกินกว่า 1,400 ซีซีเป็นครั้งแรก โดยเงื่อนไขผู้ผลิตรถ Eco Car รุ่นที่ 2 ประกอบไปด้วย
1) ผู้ผลิตจะต้องเสนอแผนงานรวมแบบ Package ประกอบด้วย โครงการประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ การผลิต/จัดหาชิ้นส่วน
2) จะต้องมีปริมาณการผลิตไม่น้อยกว่า 100,000 คัน/ปี ตั้งแต่ปีที่ 4 ไปจนถึงปีที่ 6
3) รถยนต์ที่ผลิตเพื่อขายภายในประเทศจะต้องมีคุณสมบัติการประหยัดพลังงาน สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย อาทิ การประหยัดเชื้อเพลิงไม่เกิน 4.3 ลิตรต่อ 100 กม., มาตรฐานมลพิษ Euro 5 ปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียไม่เกิน 100 กรัม/1 กม. และการป้องกันผู้โดยสารจากการชนด้านหน้า-ด้านข้างของตัวรถ มีระบบห้ามล้อแบบ ABS และระบบควบคุมรถแบบ ESC
4) จะต้องมีขั้นตอนผลิตชิ้นส่วนหลักของเครื่องยนต์อย่างน้อย 4 ใน 5 ชิ้น ได้แก่ Cylinder Head, Cylinder Block, Crankshaft, Camshaft, Connecting Rod และจะต้องมีขั้นตอน Machinning Cylinder Head, Cylinder Block และ Crankshaft เป็นอย่างน้อย
5) จะต้องมีขนาดการลงทุนของโครงการไม่รวมค่าที่ดิน-ทุนหมุนเวียนของโครงการรวม (Package) ได้แก่ การประกอบรถยนต์, การผลิตเครื่องยนต์, การผลิตชิ้นส่วน ทั้งของตัวเองและผู้ผลิตชิ้นส่วนรวมกันไม่น้อยกว่า 6,500 ล้านบาท
หมุดหมายการประกอบ/ผลิตรถยนต์ของไทย
ปี 2503 BOI เริ่มส่งเสริมให้มีการประกอบรถยนต์ในประเทศด้วยการ "ยกเว้น" ภาษีนำเข้าเครื่องจักร กับลดหย่อนภาษีนำเข้าวัตถุดิบกึ่งหนึ่ง
ปี 2512 งดให้การส่งเสริมการประกอบรถยนต์ เนื่องจากมีผู้ผลิตหลายราย และผู้ผลิตสามารถขยายกำลังการผลิตโดยไม่ได้รับส่งเสริมการลงทุนได้
ปี 2537 BOI เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนขึ้นใหม่เพื่อสนับสนุนการส่งออก ด้วยการ "ยกเว้น" หรือ "ลดหย่อน" ภาษีนำเข้าเครื่องจักรตามที่ตั้งโรงงาน (เขต 1-2-3) และ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้เฉพาะส่วนการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออก
ปี 2543 ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้เป็นตามกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) ด้วยการ "ยกเว้น" หรือ "ลดหย่อน" ภาษีนำเข้าเครื่องจักรตามที่ตั้งโรงงาน แต่ไม่ให้ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้ เพื่อไม่ให้ขัดกับหลักเกณฑ์ของ WTO
ปี 2546 BOI ให้การส่งเสริมการผลิตประกอบรถยนต์ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ โดยให้การส่งเสริมประกอบรถยนต์เป็นลักษณะของ "โครงการรวม (Package)" เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในลักษณะของ Cluster ที่มีขนาดการลงทุนทั้งผู้ประกอบรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนโดยรวมไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท
ให้ "ยกเว้น" ภาษีนำเข้าเครื่องจักรทุกเขต รวมทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนในโครงการรวม (Package) นั้น ๆ แต่ไม่ให้ได้รับการ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ปี 2548 เริ่มให้การส่งเสริมกิจการประกอบรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เพื่อส่งเสริมนโยบายการใช้พลังงานทดแทนของรัฐบาลด้วยการ "ยกเว้น" ภาษีนำเข้าเครื่องจักรกลทุกเขต แต่ไม่ให้ได้รับ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ปี 2550 BOI ให้การส่งเสริมการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car) เพื่อให้เกิดการลงทุนสร้างฐาน
การผลิตรถยนต์ประเภทใหม่ที่สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรม
ยานยนต์โลก มีการกำหนดเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนแบบพิเศษด้วยการ "ยกเว้น" ภาษีนำเข้าเครื่องจักรทุกเขต, "ยกเว้น" ภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกเขตเป็นเวลา 8 ปี, ลดหย่อนภาษี
นำเข้าวัตถุดิบไม่เกินร้อยละ 90 และในปีเดียวกันนี้ BOI ยังให้การส่งเสริมการประกอบรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เพื่อให้เกิดการสร้างฐานการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มีขนาดการผลิตขนาดใหญ่ ด้วยการกำหนดเงื่อนไขพิเศษ ได้แก่ "ยกเว้น" ภาษีนำเข้าเครื่องจักรทุกเขต กับ "ยกเว้น" ภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกเขตเป็นเวลา 5 ปี
ปี 2551 เริ่มนโยบายปีแห่งการลงทุน (2551-2552) เพื่อเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เปิดให้มีการขอรับการส่งเสริมการผลิตรถยนต์โดยสารหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) ด้วยการ "ยกเว้น" ภาษีนำเข้าเครื่องจักรทุกเขต (ยกเว้นกรุงเทพฯ), "ยกเว้น" ภาษีเงินได้ เป็นเวลา 8 ปีทุกเขต (ยกเว้นกรุงเทพฯ) โดยไม่กำหนดวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้, ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี, อนุญาตให้หักค่าขนส่ง-ค่าไฟฟ้า-ค่าประปาเป็น 2 เท่า และอนุญาตให้หักค่าติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกร้อยละ 25
ปี 2556 BOI เปิดให้มีการส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (Eco Car) รุ่นที่ 2 เพื่อมุ่งพัฒนายานยนต์ไทยไปสู่ทิศทาง "Sustainable Mobility" ตามอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่ผลักดันให้รถยนต์มีความสะอาด ประหยัด และปลอดภัย ประกอบกับต้องการขยายกำลังการผลิตรถยนต์ประเภทนี้ให้สูงกว่า 585,000 คัน/ปี ซึ่งเป็นขนาดกำลังการผลิตเดิมของ Eco Car รุ่นที่ 1 อีกทั้งให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ด้วย
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1378197169 (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1378197169)
-
อะไรคือ ESC นะครับ ใส่มาทำไม :'(
-
อะไรคือ ESC นะครับ ใส่มาทำไม :'(
Electronic Stability Control ระบบช่วยรักษาการทรงตัว ระบบความปลอดภัยแบบนี้น่าจะใส่มาให้ได้แล้ว
น่าสนใจนะครับ Eco Car มีระบบ ESC แล้วรุ่นอื่น ตั้งแต่ B-Segment ขึ้นไปก็จะมีให้เหมือนกัน ( อาจจะไม่มีทุกรุ่นย่อยก็ตาม )
-
ECO Car phase 2 ล๊อกมาเพื่อ Ford โดยเฉพาะเลยนะตรง ESC เนี่ย
-
อะไรคือ ESC นะครับ ใส่มาทำไม :'(
มันไม่มีไม่ได้แล้วครับ พี่เต้ เพราะความปลอดภัยของเราทั้งนั้น พี่เต้อาจจะมองว่าไม่จำเป็น แต่คนที่มีตังซื้อรถแบบนี้ควรจะได้ของที่ดี แล้วก็ปลอดภัยไม่ใช่หรือครับ ใช่เราประมาทก้ตายอยู่ดีแต่ผมคิดว่ามันก็ช่วยได้เยอะมากนะครับ นอกนั้นก็สติของเราเอง
-
เป็นแนวโน้มที่ดีนะในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้รถและมลพิษที่จะปล่อยออกมาน้อยลง
แต่ปัญหาบ้านเรามันอยู่ที่ รถใหม่ก็ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วรถเก่าที่วิ่งอยู่บนถนนละจะทำอย่างไร ปริมาณสะสมรถยนต์มันมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกอย่างรถเก่ามันก็ปล่อยมลพิษมากกว่ารถรุ่นใหม่ๆ
หลายคนที่ใช้เราเก่าอยู่ ก็คงอยากเปลี่ยนมาใช้ใหม่ๆ แต่อาจจะติดขัดอะไรก็แล้วแต่
รัฐน่าจะออกนโยบาย รถเก่าแลกรถใหม่ จะให้เป็นส่วนลดหรืออะไรก็ว่ากันไป
เผื่อปริมาณมลพิษที่ปล่อยออกมาโดยรวมมันจะลดลง ปริมาณการใช้น้ำมันมันโดยรวมมันจะลดลงบ้าง
-
ECO Car phase 2 ล๊อกมาเพื่อ Ford โดยเฉพาะเลยนะตรง ESC เนี่ย
มีกันทุกยี่ห้อนั่นแหละ แต่ไม่ยอมเอามาใส่ให้เท่านั้นเอง
-
ดีเซลนี่ เป็นแค่เงื่อนไขหนึ่งโครงการใ่่ช่ไหมครับ ไม่ได้หมายถึงว่าค่ายรถต้องผลิตเครื่องดีเซลด้วย ?
-
มันเด็ดสุดก็ตรงนี้แหละ และเป็นข้อเดียวในหลายๆข้อที่คนซื้อได้ประโยชน์ตรงๆ
3) รถยนต์ที่ผลิตเพื่อขายภายในประเทศจะต้องมีคุณสมบัติการประหยัดพลังงาน สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย อาทิ การประหยัดเชื้อเพลิงไม่เกิน 4.3 ลิตรต่อ 100 กม., มาตรฐานมลพิษ Euro 5 ปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียไม่เกิน 100 กรัม/1 กม. และการป้องกันผู้โดยสารจากการชนด้านหน้า-ด้านข้างของตัวรถ มีระบบห้ามล้อแบบ ABS และระบบควบคุมรถแบบ ESC
-
ดีใจครับ ที่คำนึงเรื่องความปลอดภัยบังคับใส่ ESC เหมือนประเทศที่เจริญแล้วรถทุกคันบังคับให้มีระบบจำพวกนี้หมด !!
เว้นแต่ประเทศไทย เอามาเป็น opt เป็น น้ำจิ้มให้ ตัว top grade
บนท้องถนน เราระวัง คนอื่นอาจไม่ระวัง ครับ เราไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ครับ
ถ้าเกิดเหตหรือสถานการคับขัน ได้ใช้ครั้งเดียวก็คุ้มแล้ว Safe ชีวิต หรือช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้...
-
4.3 L/100 km
CO2 <100 g/km
Euro 5 โหดตรงนี้ ขนาด Euro 4 ยังแทบไม่มีใครผ่าน
ABS ต้องมี ESC ต้องมี!! Vios เงิบเลยนะแบบนี้(แต่ถึงเวลานั้น Vios คงมี ABS ทุกรุ่นย่อยแล้ว)
แต่ก็ดีแล้วละ เพราะ ECO-Car ทุกวันนี้มีบางรุ่นทำเนียนตัด ABS ออกในรุ่นต่ำ(บางคันรุ่นกลางยังตัด) แต่ ESC นี่น่าสนใจ เพราะรถผมยังไม่มีเลย ;D
-
4) จะต้องมีขั้นตอนผลิตชิ้นส่วนหลักของเครื่องยนต์อย่างน้อย 4 ใน 5 ชิ้น ได้แก่ Cylinder Head, Cylinder Block, Crankshaft, Camshaft, Connecting Rod และจะต้องมีขั้นตอน Machinning Cylinder Head, Cylinder Block และ Crankshaft เป็นอย่างน้อย
ตรงนี้มันคือยังไงอ่าครับ รบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อย
-
3) รถยนต์ที่ผลิตเพื่อขายภายในประเทศจะต้องมีคุณสมบัติการประหยัดพลังงาน สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย อาทิ การประหยัดเชื้อเพลิงไม่เกิน 4.3 ลิตรต่อ 100 กม., มาตรฐานมลพิษ Euro 5 ปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียไม่เกิน 100 กรัม/1 กม. และการป้องกันผู้โดยสารจากการชนด้านหน้า-ด้านข้างของตัวรถ มีระบบห้ามล้อแบบ ABS และระบบควบคุมรถแบบ ESC
:Dการป้องกันผู้โดยสารจากการชนด้านหน้า-ด้านข้างของตัวรถ = front-side-curtain airbags :D
:D ABS+ ESC :D
:Dบอกได้คำเดียวว่า เริ่ดมากครับ รอมานานแระ :D
-
4) จะต้องมีขั้นตอนผลิตชิ้นส่วนหลักของเครื่องยนต์อย่างน้อย 4 ใน 5 ชิ้น ได้แก่ Cylinder Head, Cylinder Block, Crankshaft, Camshaft, Connecting Rod และจะต้องมีขั้นตอน Machinning Cylinder Head, Cylinder Block และ Crankshaft เป็นอย่างน้อย
ตรงนี้มันคือยังไงอ่าครับ รบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อย
ผมเชียนแชร์แบบงูๆปลาๆ ละกันนะครับ ไม่ใช่ผู้รู้อะไร
คือ อาจจะเป็นลักษณะบังคับกลายๆว่า ต้องผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้ในประเทศ และต้องแจกแจงรายละเอียด หรือ ขั้นตอนการผลิตของชิ้นส่วนเหล่านี้
ฝาสูบ เสื้อสูบ ข้อเหวี่ยง เพลาแคม ก้านสูบ
ซึ่งเป็นชิ้นส่วนหลัก อะไรแบบนี้แหละครับ
ถูกผิด รอท่านอื่นมาช่วยแจมกันนะครับ
-
ราคาแพงขึ้นแต่คุณภาพดีขึ้นครับ
เพราะมีถุงลม ม่าน ควบคุมการทรงตัว คือเอา spec ยุโรป อเมริกันมาสู้
กับโครงการของอินโด ไม่ fix
สรุป บ้านเราฉลาดมากครับ เน้นว่าข้าทำตลาด Global ส่วนอินโดมาขายบ้านเราก็ยากเพราะยังไงต้องโดนภาษี 25% แน่ๆ
-
ECO Car phase 2 ล๊อกมาเพื่อ Ford โดยเฉพาะเลยนะตรง ESC เนี่ย
ผมว่า จะกลายเป็นฟอร์ดเสียเปรียบแทนนะครับ เพราะปัจจุบัน ฟอร์ดเป็นเจ้าเดียวที่ใส่ ESC
ต่อไปเจ้าอื่นก็ใส่ ตัวเองยิ่งเสียจุดเด่นไป อิอิ
ป.ล. นี่ผมจะได้ขับ อีโคคาร์ ประหยัดน้ำมัน เกียร์ MT ที่มีระบบความปลอดภัยครบครันแล้วใช่ไหม???
-
ESC!!
ดีใจมากครับ บอกตรงๆ....เพราะรถรุ่นสูงกว่าจะได้ใส่มาด้วข เป็นมาตราฐานสักที :)
-
พอรู้ว่า ESC กำลังมา....
ชูจักแร้สองมือว่า เห็น "ควรด้วย" อย่างแรงครับ
ทีนี้คุณภาพการใช้รถของคนไทยจะได้สมกับฐานการผลิตเสียทีครับ :)
-
ชอบตรง Euro5, ESC จิงๆเลย รถเล็กๆจะได้มีระบบความปลอดภัยมากขึ้น
-
อย่างงี้ Ford Fiesta Facelift ecoboost 1.0
ก็เข้าเกณฑ์ ecocar2 ก่อนเพื่อนเลย
;D
-
แต่ผมเห็นต่างครับ
esc ไม่น่าจะมีความจำเป็นมาก เพราะข้อกำหนดหลายอย่างน่าจะทำให้ eco phase 2 ยิ่งใช้เครื่องเล็ก
คงจะเน้นใช้ในเมือง วิ่งอืดๆ หน่อย
ในเมื่อรถไม่แรง esc แทบไม่ได้ทำงานหรอกครับ
แค่มี abs ebd ba ก็เพียงพอแล้ว
-
ESC เป็นเงื่อนไขที่จะได้อัตราภาษีสรรพสามิตที่ต่ำกว่าปกติ ในปี 59 ด้วยครับ รอใช้ได้เลย
ดีเซลนี่ เป็นแค่เงื่อนไขหนึ่งโครงการใ่่ช่ไหมครับ ไม่ได้หมายถึงว่าค่ายรถต้องผลิตเครื่องดีเซลด้วย ?
ทางเลือกครับ ว่าใช้เครื่องเบนซิน หรือดีเซลก็ได้
4) จะต้องมีขั้นตอนผลิตชิ้นส่วนหลักของเครื่องยนต์อย่างน้อย 4 ใน 5 ชิ้น ได้แก่ Cylinder Head, Cylinder Block, Crankshaft, Camshaft, Connecting Rod และจะต้องมีขั้นตอน Machinning Cylinder Head, Cylinder Block และ Crankshaft เป็นอย่างน้อย
ตรงนี้มันคือยังไงอ่าครับ รบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อย
คร่าวๆ คือรัฐอยากให้มีการลงทุนการผลิตชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ในประเทศครับ เลยบังคับว่าต้องมีการผลิตชิ้นส่วนหลัก 4 ใน 5 ชิ้นที่ว่า
และการผลิต ต้องมีขั้นตอนที่มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ด้วย ไม่ใช่แค่นำเข้ามาประกอบน่ะครับ
ปล. ยูโร 4 ปลายปีนี้ต้องผ่านหมดทุกเจ้าครับ เพราะหมดระยะเวลาผ่อนผันแล้ว
-
มันน่าสนใจจนอยากจะรอจริงๆ รอสอยรถใหม่มานาน แต่อย่างต่ำคงอีก 1 ปีขึ้นไป ท่านอื่นคิดว่าไงกันบ้างคับ
-
แต่ผมเห็นต่างครับ
esc ไม่น่าจะมีความจำเป็นมาก เพราะข้อกำหนดหลายอย่างน่าจะทำให้ eco phase 2 ยิ่งใช้เครื่องเล็ก
คงจะเน้นใช้ในเมือง วิ่งอืดๆ หน่อย
ในเมื่อรถไม่แรง esc แทบไม่ได้ทำงานหรอกครับ
แค่มี abs ebd ba ก็เพียงพอแล้ว
ไม่ได้ใช้ ดีแล้วครับ
แต่มีไว้ก่อน มันก็ดี(ต้นทุนมันไม่ได้แพงอะไรด้วย ดูจากซิตี้ใส่VSA เพิ่มแค่หมื่นเดียว)
และผมว่าด้วยสภาพถนน และการขับขี่ในสังคมไทย ได้ใช้แน่นอน
เช่นพวกเหินน้ำ แล้วไปเหยียบเบรก พวกเก๋งเล็กอยากเปรี้ยว เข้าโค้งแบบไม่เบรก จนหลุดโค้ง ไหลออกนอกเลนไปชนเลนอื่นเค้า อะไรงี้
มีไว้มันก็ดีครับ อย่างน้อยเวลาขับอุ่นใจว่ายังมีระบบพวกนี้ให้พึ่งได้บ้าง
-
อยากให้เงื่อนไขความประหยัดน้ำมัน ให้ประหยัดกว่านี้ครับผม ต่ำกว่า 4 จะได้ไหมครับ เพราะพลังงานใกล้จะหมดแล้ว
ระบบอื่นๆ ผมไม่ค่อยคิดอะไรมากเพราะขับแบบปลอดภัยอยู่แล้ว
เน้นประหยัดน้้ำมันมากกว่านี้ แต่ขออย่าให้ประหยัดต้นทุนวัสดุนะครับ เพราะคิดว่ารถราคาสี่แสนกว่าๆ คุณทำได้ดีกว่านี้อีเยอะครับ
:)
-
แต่ผมเห็นต่างครับ
esc ไม่น่าจะมีความจำเป็นมาก เพราะข้อกำหนดหลายอย่างน่าจะทำให้ eco phase 2 ยิ่งใช้เครื่องเล็ก
คงจะเน้นใช้ในเมือง วิ่งอืดๆ หน่อย
ในเมื่อรถไม่แรง esc แทบไม่ได้ทำงานหรอกครับ
แค่มี abs ebd ba ก็เพียงพอแล้ว
ผมคิด แบบนี้นะครับ
คือ
ถ้ารถระดับราคาล่างๆ มี ESC แล้วล่ะก็ มันจะเป็นมาตรฐานให้รถพวก C-seg D-Seg ระดับถูกสุด ก็ต้องมี ระบบความปลอดภัยพวกนี้ด้วยเหมือนกัน
ถึงผมจะไม่ได้ซื้อรถ ECO Car เพราะ ที่นั่งไม่พอสำหรับรถใหญ่ แต่ก็มั่นใจได้เลยว่า รถขนาดใหญ่กว่านี้ ก็ต้องใส่เป็นมาตรฐาน เพราะเดี๋ยวจะน้อยหน้าพวกรถเล็ก
ผมเห็นด้วยครับว่า มีตามกฎเกณฑ์ เจ๋งกว่าแน่นอนครับ
-
ทำถนนเพิ่มก่อนดีกว่ามั้ยครับ
รถมีแต่ไม่มีถนนจะวิ่งแล้ว
รถติดสุดๆ
-
Euro 5 นอกจากรถแล้วน้ำมันก็ต้อง euro5 ด้วยไม่ใช่หรือครับ เพราะถ้าเติมน้ำมัน euro4 เข้าไปค่าไอเสียก็เกินมาตรฐาน euro5 อยู่ดี
-
Euro 5 นอกจากรถแล้วน้ำมันก็ต้อง euro5 ด้วยไม่ใช่หรือครับ เพราะถ้าเติมน้ำมัน euro4 เข้าไปค่าไอเสียก็เกินมาตรฐาน euro5 อยู่ดี
เข้าใจว่ารถ Euro 5 ใช้น้ำมันยูโร 4 ได้นะครับ
คืออย่างน้อยค่ากำมะถันไม่เกิน -> อุปกรณ์บำบัดไม่มีปัญหา
แต่ค่าไอเสียขอเช็คอีกที
แต่ที่แน่ๆ ไอเสียหลักๆ ในปัจจุบัน มาจากรถเก่าที่ขาดการควบคุม มากกว่ารถใหม่อยู่แล้วครับ
-
แต่ผมเห็นต่างครับ
esc ไม่น่าจะมีความจำเป็นมาก เพราะข้อกำหนดหลายอย่างน่าจะทำให้ eco phase 2 ยิ่งใช้เครื่องเล็ก
คงจะเน้นใช้ในเมือง วิ่งอืดๆ หน่อย
ในเมื่อรถไม่แรง esc แทบไม่ได้ทำงานหรอกครับ
แค่มี abs ebd ba ก็เพียงพอแล้ว
อย่าคิดว่าจะไม่ได้ใช้ครับ ในเมืองนี่แหละตัวดีหักหลบรถลงคลองบ่อยๆเลยหละ หรือไม่ก็ไปฟาดเสาไฟฟ้า ของแบบนี้ควรให้ทุกคันทุกแบบทุกยี่ห้อ
-
เน้นความปลอดภัยเยอะๆก็ดีค่ะ แต่ขอราคาอย่าพุ่ง หล่ะกัน
-
รอบหน้ารับรองว่า Ecocar MT จะเกิด !!
-
ตอนนี้รอลุ้นกับทางสามห่วงอย่างเดียวเลยครับ ว่าริซซี่อโค่คาร์จะออกมายังไง ส่วนอนาคตค่อยว่ากัน อีกอย่างอย่าเพิ่งหวังอะไรกับโปรเจคมากนะคับ เพราะถนนก้อยังมีเท่านี้
-
ขอสอบถามต่อยอดจากประเด็นนะครับ
ตามข้อบังคับนี้แล้ว ถ้ายังงั้น Yaris Eco Car ตัวที่จะออกนี้ ก็จะติดตั้ง ระบบ ESC มาแล้วใช่มั้ยครับ
แอบสนใจตัวนี้ ^^
-
Diesel มาสักทีเถอะๆๆๆ