Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: eirene ที่ ตุลาคม 14, 2013, 22:56:04
-
วันนี้มาติดต่องานกับลูกค้ารายหนึ่งกับเจ้านาย เขาขับ Mini Cooper เปิดประทุนหลังคาผ้าใบมา เจ้านายผมแอบบ่นงืมงัมกับผมว่า "มาติดต่องานแต่ขับรถแบบนี้มา ดูไม่จริงจังเลย"
ระหว่างพักทานมื้อเที่ยงก็มานั่งคุยเรื่อนี้กับเจ้านาย เจ้านายผมบอกว่า "การติดต่อธุรกิจแล้วต้องการทำให้คนเชื่อถือ อย่างน้อยมันต้อง Camry หรือถ้าจะให้ดีหน่อยก็ต้อง S Class / Series 7" ในใจผมก็คิดว่า ถ้าขับอย่างอื่นมันดูไม่น่าเชื่อถือเหรอวะ -*-
เลยอยากถามว่า รถรุ่นไหน หรือประเภทใดที่เหมาะกับการติดต่อธุรกิจ ที่ทำให้ดูแล้วน่าเชื่อถือบ้างครับ เพราะเท่าที่ผมดู เจ้านายก็สาธยายมาแต่พวก D Segment หรือใหญ่กว่านั้นเท่านั้น
-
จริงๆ แล้วแต่คนมองครับ แต่ถ้าเป็นผม ผมก็คงเอาอะไรที่ดู Formal ละครับ พูดง่ายๆ คือขับแล้วแก่ (แต่ไม่ใช่แก่แบบจนๆ นะครับ เอาแก่แบบมีกะตังค์)
ก็คงต้องเป็นพวก BMW/Benz/Volvo ไม่ก็พวก D-Segment ละครับ
แต่เอาเข้าจริงๆ นะครับ Mini มันก็แพงนะ ถึงแม้มันเป็นรถที่ไม่ค่อยสุภาพ แต่มันก็แสดงฐานะคนขับได้พอสมควรแล้วนะครับ หรือเจ้านายคุณเคร่งขนาดห้ามแต่ง Casual (เช่นเสื้อ shirt แขนสั้น เข้า office?)
-
ในสังคมทั่วๆ ไป จะมองกันที่ตาเห็นเท่านั้นนะสิครับ :(
แต่ถ้าจะเอาอย่างนั้นจริงๆ
เอา S Class W140 หรือ 7 Series E38 เลยครับงบเท่าๆ กับ B Segment เอง (ถูกกว่า Mini ตั้งหลายเท่าตัวเลย)
ถ้าดูแต่ภาพลักษณ์แทบไม่มีใครสู้ได้เลยนะครับ... ยกเว้น
เพิ่มงบเป็นราวๆ C Class หรือ 3 Series ป้ายแดง แต่ได้เจ้านี่นะครับ
http://one2car.com/ROLLS-ROYCE_SILVER%20SPUR%20II%20/G17130421 (http://one2car.com/ROLLS-ROYCE_SILVER%20SPUR%20II%20/G17130421)
-
ผมยอมรับนะว่าอย่างผู้หญิงที่ขับพวก benz bmw ผมมองว่าจะเป็นพวกลูกคุณหนู ขาว สวย น่ารัก
ซึ่งพอลงจากรถมันเป็นอย่างนั้นจริงๆขาวน่ารักมากๆ เปะเว่อร์ ยิ่งพอลงมาจากรถพวกนี้แล้วดูมีชาติตระกูลไฮโซสุดๆ โอ้วว ชาติหน้าก็คงไม่ได้เป็นแฟน
หมาเห่าเครื่องบินชัดๆ
ซึ่งรถพวกนี้ทำให้ดูดีมีระดับ เพิ่มความน่าเชื่อถือได้ระดับหนึ่งเลยละ
-
ผมว่า d-segment ดูมีภูมิฐานดีครับ
-
มองแบบเป็นเหตุเป็นผล
มีบางส่วน อาจเป็นเพราะบริษัทใหญ่ๆ มักจะซื้อs7กันเพื่อเป็นรถประจำตำแหน่ง
หักค่าใช้จ่ายบริษัทหรือเพื่อเหตุผลด้านภาษี
พอปลายปีใกล้ปิดปีภาษี การเงินคำนวณมา เลยไปซื้อรถดีกว่า
ซึ่งบริษัทที่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีฐานะพอสมควร เลยได้ลุคว่าน่าเชื่อถือมั้งครับ
บางทีการที่คนนั้นขับcooper convertible อาจซื้อในนามส่วนตัวเงินส่วนตัวมา
-
ขึ้นอยู่กับอายุด้วย
ถ้าช่วง ไม่เกิน 30 พวก BMW 3 Series หรือ Benz C จะดูโอเคพอสมควร (แต่ถ้าขับ Z4,SLK อาจจะมองว่าเป็นวัยรุ่นมากไป)
ถ้าเกิน 30 แต่ไม่เกิน 50 พวก E-class 5 Series
ถ้าเกิน 50+ ขึ้นไป พวก S ,7-Series ,Rolls, Jaguar อะไรอย่างนี้ที่หรูจริงๆ
ผมว่าน่าจะประมาณนี้นะ
ถ้าเป็นพวกรถญี่ปุ่น คงต้องเป็นพวก Camry Accord Lexus อะไรอย่างนี้ก็พอได้
ส่วนตัวผมมองว่าที่ เจ้านายคุณมองคนขับมินิอย่างนั้น อาจจะเพราะว่า ภาพลักษณ์ของ Mini มันคือความเป็นวัยรุ่น ความเป็นเด็กๆ (คล้ายๆภาพลักษณ์ที่ รถเปิดประทุนเป็น)ด้วยแหละ ลองให้เค้าขับพวก BMW หรือ Benz ที่ราคาพอๆกัน ผมก็ว่าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแหละ ;D
-
แล้วแต่อารมณ์คนจริงๆนะครับ
แต่งงกับเจ้านายคุณมาก ที่ไม่รู้ว่ามินิตัวนี้ราคาแพงกว่าแคมมี่เอ้ยแคมรี่
เจ้านายบางคนก็บอกว่าการขับรถยุโรปมา บางครั้งก็อวดรวยก็มี
แต่ผมเคยเห็นเจ้านายอยู่คนนึงชมอาเสี่ยร้านคอมพิวเตอร์ที่มาเสนอขายของให้ว่า นี่สิรวยจริง
แกใช้วอลโว่เอส80 ค่าซ่อมแพงมากๆ
-
ผมว่าคนยุคเก่าจะมีความเชื่อว่าต้องนั่งรถใหญ่ถึงจะดูน่าเชื่อถือ
แบบvolkตู้ benz bmw volvo jaguar
แต่เดี๋ยวนี้คนยุคใหม่ผมว่าคิดแบบนั้นกันน้อยลงแล้วหละครับ
สงสัยminiเปิดประทุน มันคงออกแนววันรุ่นอังกฤษหละมั้ง
-
มันทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนเก่าๆ เรื่องนึงเลยนะครับ ฮ๋าๆ
นาย A คือคนที่สัมภาษณ์ และรับพนังงานเข้าทำงาน
นาย B คือผู้สมัครที่พ่อซื้อเบนซ์ ให้ขับ
นาย C คือผู้สมัครที่มี มอเตอร์ไซค์ Honda Wave
นาย B และ นาย C ไปสมัครงานบริษัท เดียวกันคือบริษัทขายตรงอุปกรณ์ในบ้านยี่ห้อนึง
A ถามนาย B และ C
A คุณ 2 คนมีมอเตอร์ไซค์ไว้ใช้ขับส่งของไหม
B ไม่มีครับ
C มีครับ
A งั้นผมขอพิจารณาคนที่มีมอเตอร์ไซต์ก่อนนะครับ
นาย B เงียบไป ซักพักก็มีโทรศัพท์มาหานาย B เป็นโทรศัพท์จากพ่อของเขา
พ่อ สมัครงานเป็นไงบ้าง
B เพราะพ่อนั่นล่ะทำให้ผมไม่ได้งาน บอกให้ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้หน่อยก็ไม่ยอมซื้อให้ ซื้อมาทำไม เบนซ์น่ะ
นาย A และ C เงิบครับ ฮ๋าๆๆๆๆ นอกเรื่องล่ะ เข้าประเด็นดีกว่า
มุมมองของผม จะขับอะไรมา ถ้าคุณมีความสามารถ (มาเหนือเมฆซะอย่าง) ก็มีชัยไปกว่าครึ่งล่ะครับ
เพื่อนผมเคยยืม Citroen GS เก่าๆ ผมไปรับพ่อมันที่เป็น นายก อบต ที่งานอะไรซักอย่าง....แล้วตอนจอดมันดันดับเครื่อง...โดยหารู้ไหมกว่า การที่จะสตาร์ด มันได้นั้น ต้องลงมาควงที่หน้ารถ....ทำไงได้ล่ะครับ นายก อบต คนนั้นก็เดินลงมาอย่างหล่อเลย ขึ้นรถปุ๊ป ปิดประตู....เพื่อนผมก็เดินลงจากรถ ไปสตาร์ด แล้วก็ขับออกไปตามปกติ....
2-3 วันต่อมา...พ่อมันก็มีข่าวเลยว่าเป็นคนติดดิน OoO เอิ่ม....ฮ๋าๆๆๆๆๆ
อีกครั้งก็ตอนผมไปสัมภาษณ์เข้าค่ายที่ รังสิต ล่ะครับ.....ที่บ้านขับ Kb ไปส่ง....ลงจากรถ....ท่ามกลางคนอื่นที่แบบว่า D seg C Seg ทั้งนั้น...แบบว่า...ยอมรับว่าอาย....แต่พอถึงคราวผมขึ้น Present จัดเต็มเลย....เป็นไงล่ะ ไอ้พวก บ้านรวมแต่ฝีมือการทำงานกาก....ตกรอบไม่เป็นท่า เอิ๊กๆๆ
ฉนั้น อยู่ที่ความสามารถครับ ความสามารถมากกว่า ภาพลักษณ์ นะครับ
ปลลอจุด...ความเห็นส่วนตัวนะครับ ฮ๋าๆ
-
ที่ผมเห็นจากบริษัทผมนะ เป็นรถตู้โฟล์ค ครับ
ผู้บริหารชอบนั่งไป ประมูลงาน/โครงการ / รับแขกไปทานข้าว/ ประชุม
-
Alphard หรือ Caravell โอเคเลยนะครับ อรรถประโยชน์เลย แต่จริงๆผมกลับมองว่า ติดต่องานเอารถอะไรไปมันก็พอได้แหละ แต่ควรจะดูแลสภาพภายนอกและภายในหน่อยละกันครับ ทำให้รถสะอาดๆไว้ พยายามอย่ามีรอยขีดข่วน ชน เป็นต้น
-
ถ้าตอบสำหรับคำถามนี้นะครับ
รถ Toyata Fortuner กับ Honda CRV ครับ
-
จริงๆก็แอบเห็นด้วยกับเจ้านายคุณนะครับ
มาดีลงาน แต่ขับมินิ ซึ่งมันดูไม่เป็นการเป็นงาน
ว่าง่ายๆก็เหมือนคนที่อยากโดดเด่นแต่ไม่เป็นทางการ บ่งบอกถึงตัวผุ้ขับหนะครับ
ถ้าจะทำงานที่ต้องดีลงานบ่อยๆ หรือที่ต้องพบผู้ใหญ่กว่า
D-segment ก็เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลครับ
แต่ถ้ามีงบที่มากกว่านั้น S60 C-class 3-series ก็เป็นทางเลือกที่ดี
-
จะว่าไปสังคม(ประเทศไทยสมัยนี้มันก็มองกันที่ตรงนี้จริงแหละนะ)
ลองคิดเล่นๆนะครังระหว่างติดต่องาน นาย ก ขับแค่ civic altis ไม่ก็ vigo
กับ นาย ค ขับ s 3 e-class แต่ทั้งสองคนทำงานหรืออะไรต่างๆเท่ากัน คนก็มักจะมองแบบว่าภายนิกไว้ก่อนไม่เข้าใจจริงๆ
เข้าเรื่อง เอาพวก D-segment ก็ได้ครับ
-
คำถามแบบนี้ นานาจิตตัง ถาม100คน ตอบไม่เหมือนกันซักคน
แต่ในเมืองไทย รถยนต์ คือหน้าตา เป็นใบเบิกทางดีๆชนิดหนึ่ง
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ของแต่งรถจึงขายดี
-
มันก็จริงนะครับ ขับมินิมา เหมือนมันไม่ค่อยใส่ใจงานเรา ยังไงไม่รู้
ส่วนตัวผมก็มองว่า D-Seg น่าเชื่อถือกว่าเช่นกันครับ
-
คนไทยยึดติดนะครับ เวลาคุยงานไม่ได้คุยกันในรถ หรือยืนคุยกันหน้ารถ หรือขับรถเข้าไปในออฟฟิศคุยงานเลย
คนเขาจะขับอะไรผมก็ว่าเรื่องของเขา ควรมองที่ความเป็นมืออาชีพ ความซื่อสัตย์มากกว่า
-
ผมไม่แปลกใจเรื่องรถกับภาพลักษณ์เลย เจอจากคนใกล้ตัว เพราะอากู๋ผมแกเปนนักธุรกิจ มีรถหลายคัน
เคยแอบถามด้วยความซื่อ(บื้อ)ว่ากู๋ซื้อรถหลายคันจังเลย ขับหมดหรอ แกบอกว่ากู๋ทำธุรกิจ
ความน่าเชื่อถือ ความภูมิฐาน และภาพลักษณ์สำคัญมาก แกบอกมันคือด่านแรกของการพูดคุยธุรกิจ
อย่างเวลาไปติดต่อธุรกิจแกจะใช้ series7หรือ mb250จำพวกนี้ ผมฟังไปก็งงไปเพราะว่ายังเด็ก
แต่ตอนเข้าไปตรวจงานก่อสร้างคอนโดแกก็ขับ ppvมั่งmpvมั่ง ตัวผมเองพอมาอยู่ในสังคมการทำงาน
ก็พอเข้าใจได้ว่ามันก็จิงในส่วนนึงเลย การติดต่องาน รถที่ขับ ภาพลักษณ์ กลายเปนส่วนประกอบสำคัญไปแล้ว
-
ผมในฐานะที่ทำธุรกิจ ผมกลับไม่ได้มองแบบนั้นครับ
เอาง่ายๆ มีผู้รับเหมา มาติดต่องานกับผม สามเจ้า
เจ้าที่ 1 ขับ S-Class มา
เจ้าที่ 2 ขับรถกระบะเก่าๆ มา
เจ้าที่ 3 ขับ BT50 ป้ายแดงมา
ผมถามคุณว่า ถ้าเป็นคุณ จะเชื่อถือเจ้าไหนมากที่สุด?
คำตอบของผมคือ ผมเชื่อถือ เจ้าที่ 3 มากที่สุด เพราะผมมองว่า เขาเป็นคนทำงานและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เขาจึงใช้รถที่เหมาะกับหน้าที่การงาน ขนของได้ ขนคนได้ สามารถใช้ในงานที่เราจะจ้างให้เขาทำได้
ทำไมไม่เลือกเจ้าที่ 1 หรือ 3
เจ้าที่ 1 เล่นรถหรูมาขนาดนี้ แล้วมันจะมาฟันผมขนาดไหน....(ส่วนมากไม่คุมงานเองหรอก ไปจ้างคนอื่นมาทำอีกที)
เจ้าที่ 2 รถเก่ามากขนาดนี้ มันจะทำงานให้ผมได้ดีขนาดไหน...
ทุกอย่างมีสองมุมมองเสมอครับ ผมเชื่อแบบนั้น ตัวผมจึงขับ Subaru Impreza ไปดิวงานซื้อขายตึก กับลูกค้า
สิ่งที่ลูกค้าทักคือ คุณอาร์ต รถสวยจัง ยี่ห้อนี้คนเล่นน้อยนะ ต้องรักกันจริงถึงใช้ แถมกินน้ำมันดุด้วย...
คำตอบที่ผมให้ลูกค้า คือ ผมรักและชอบในสิ่งที่ผมเป็น พอๆ กับที่ผมรักและชอบในธุรกิจที่ผมทำครับ
คำตอบนี้...ทำให้เมื่อวานผมรับเช็คเงินสด 2,xxx,000 มาครับ
จริงๆ มันไม่เกี่ยวกับรถหรอก....แต่สิ่งที่เราทำมันบ่งบอกว่าเราคิดแบบไหนมากกว่า
ผมจะบอกว่า คนไทยน่ะ ยึดติดกับภาพมากเกินไป จนไม่เห็นข้อเท็จจริง หรือ ความเป็นจริงของสิ่งที่คุณกำลังเผชิญกับมันอยู่
มันก็เหมือนกับ เวลาคุณไปออกงานอะไรสักอย่างแล้วเจอสาวน้อยใส่ชุดแดง เฉิดฉายเดินเข้ามาในงาน สิ่งที่คุณคิดคือ สวยว่ะ
แต่สิ่งที่อยู่ข้างหลัง อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะคลำลงไปอาจจะเจอตอ...ก็เป็นได้
ผมเกลียดที่สุดคือ การมองแต่ภาพลักษณ์ภายนอก จนไม่ได้มองจิตใจของคนคนนั้น (ซึ่งเอาหล่ะมันมองยากกว่ามาก)
ในทางธุรกิจก็เช่นกัน ผมไม่ได้มองแค่เขาขับรถอะไรมา แต่มองให้ทะลุถึงจิตใจคนนั้นๆ ว่า ทำไมเขาถึงขับรถคันนี้ มากกว่า
-
เห็นด้วยสุดๆว่า ให้มัน formal คือขับแล้วแก่
พอขับแล้วแก่ ผู้ใหญ่ดูแล้วชอบ ผมก็นึกถึง camry ทุกโฉมเลย
จริงๆ แล้วแต่คนมองครับ แต่ถ้าเป็นผม ผมก็คงเอาอะไรที่ดู Formal ละครับ พูดง่ายๆ คือขับแล้วแก่ (แต่ไม่ใช่แก่แบบจนๆ นะครับ เอาแก่แบบมีกะตังค์)
ก็คงต้องเป็นพวก BMW/Benz/Volvo ไม่ก็พวก D-Segment ละครับ
แต่เอาเข้าจริงๆ นะครับ Mini มันก็แพงนะ ถึงแม้มันเป็นรถที่ไม่ค่อยสุภาพ แต่มันก็แสดงฐานะคนขับได้พอสมควรแล้วนะครับ หรือเจ้านายคุณเคร่งขนาดห้ามแต่ง Casual (เช่นเสื้อ shirt แขนสั้น เข้า office?)
-
ผมเห็นด้วยกับเจ้านายคุณนะ
รถที่ดูเหมาะสมกับการติดต่อธุรกิจที่สำคัญระดับนึง
รถที่ใช้ควรเป็น d-segment ขึ้นไป มันคล้ายๆกับการแต่งตัวเลยล่ะสำหรับผม
ขับ Mini convertible มา มันคล้ายๆกับใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นมา
ถึงเสื้อและกางเกงเหล่านั้นจะมีราคาแพงมากก็ตาม
-
ดีลงานทางด้านออกแบบใช้มินิก็ OK นะ
ถ้าเทียบกับ camry ผมสนใจคนขับมินิก่อน
ของแบบนี้ขึ้นกับมุมมองรายบุคคลมากกว่า ขับรถดี แต่ทำงานห่วยแตก ก็มีไม่น้อย
สังคมของงานนั้นๆ ก็น่าจะเป็นอีกส่วนประกอบนึง
ผมมองว่าแค่รถที่ไม่ใช่ ecocar b-segment เพราะอาจจะดูเป็นมือใหม่ อ่อนประสบการณ์
สำคัญคือต้องดูแลรักษารถให้มีสภาพดี ล้างรถก่อนไปพบลูกค้า ห้ามแต่งซึ่งเด็ดขาด
แค่นี้ก็ดู OK แล้วมังครับ
-
คลิกจะตอบอยู่สองที แต่กลัวเป็น มาม่า แหะๆ คันนน
ชอบคำตอบคุณ SignifeR มากครับ
ผมยอมรับนะว่าทุกวันนี้ รถมันก็มีผลกับเรื่องหน้าตาในสังคมบ้าง แต่มันไม่ควรจะเอามามีผลกับเรื่องธุรกิจมากจนเกินไปหรือป่าวครับ
เข้าใจว่า มินิ คงจะดูน่าหมั่นไส้ (มั๊ง) แต่สังคมที่ผมอยู่ (คน office) เค้าไม่เห็นต้องเอาเรื่องพวกนี้มาพูดเลย อาจมีบางคนคิด แต่คงไม่ถึงกับต้องพูดมั้งครับ
ผมว่ามากไป มันก็ทำให้สังคมเป็นทุนนิยมไปซะหมด ขับรถผู้ใหญ่ แต่งตัวดี บ้านรวย กลายเป็นน่าเชื่อถือ?!
maturity มันไม่ใช่ต้อง ดูแก่ นะครับ มันน่าจะมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกเยอะ
แค่อยากให้มีเส้นกั้นระหว่าง character (ความชอบที่เค้าจะเป็น) กับ ภาพลักษณ์ เท่านั้นแหล่ะครับ
เกรงว่า เรื่องภาพลักษณ์ มากเกินไปมันจะกลายเป็นเปลือกไปซะหมด
ผมเคยเจอผู้ใหญ่ที่เค้าเน้นภาพกันเยอะๆ เห็นคุยเรื่องรถกันที ต้องมาสาธยาย อวด option อวดความใหญ่ ภาพลักษณ์ รวยจน
สุดท้ายลับหลัง ก็แอบมาบ่นรถตัวเอง .. :)
คือผมงงจริงๆ นะ ขับมินิ มาติดต่องาน แล้วบอกว่าเค้าไม่จริงจัง (ถ้ามองแค่รถที่เค้าขับ) นี่มัน logic ไหน?
-
เห็นด้วยกับคุณ Signifer ครับ คนไทยโดนความคิดวัตถุนิยมมาควบคุมชีวิตตัวเองจนเกินไป เงินตัวเองชีวิตตัวเองแต่เลือกใช้ตามใจไม่ได้ แล้วพวกที่สร้างค่านิยมพวกนี้ขึ้นมาก็ค่ายรถทั้งหลายนั่นแหละที่วางแผนมรสะกดจิตให้คนต้องซื้อสินค้าที่วางแผนไว้ เจอมาเยอะเหมือนกันครับประเภทท่าดีท่ามากแต่ทำงานไม่ได้เรื่อง หรือทำภูมิฐานแต่โกงชิบหายวายป่วง ต้องทำตัวหรูต้องเบนซ์เท่านั้น ใครไม่ใช่ไม่คบหาไม่ทำการค้า มันก็ไม่ต่างจากคบหาคนที่หน้าตาดูคนทึ่รูปภายนอกนั่นเอง
-
รถก็เหมือนการแต่งตัวครับ
ถ้ามันเข้ากับสภาพแวคล้อมมันก็จะเหมาสมเอง
ไปงานก่อสร้างใส่สูทรถึงจะดูดีแต่มันดูแปลก
ไปติดต่องานก่อสร้างขับรถสปอร์ตไปก็ดูเว่อเกิน
-
เอาถูกสุด ต้อง Sylphy กับ Jazz HB ครับ
ภาพลักษณ์ดี คันนึงหรู ราคาประหยัด อีกคัน รักโลก ;)
-
ธุรกิจผมกลับตรงกันข้ามครับ เวลาไปคุยกับลูกค้า90%เอาh-1ไป ส่วน5เอาไว้สำหรับไปไหนในครอบครัว สิ่งที่ต่างคือธุรกิจผมต้องlow profileครับ
-
อย่าลืม Alphard แล้วก็สุดๆคือ รถตู้ VW สีดำ
ที่สำคัญ ห้ามขับเองครับ 8)
ส่วนรถใหม่ที่เนียนเทพต้องคันนี้
ภาพลักษณ์เกินราคา ถ้าหาตรา RR มาแปะหน้าจะหรูขึ้นอีก 1 เท่าตัว แต่ห้ามพาผู้ใหญ่ขึ้นรถนะครับ เดี๋ยวท่านจะรู้ว่าเป็น Teana ;D
-
ธุรกิจผมกลับตรงกันข้ามครับ เวลาไปคุยกับลูกค้า90%เอาh-1ไป ส่วน5เอาไว้สำหรับไปไหนในครอบครัว สิ่งที่ต่างคือธุรกิจผมต้องlow profileครับ
ทำไมถึงต้อง low profile ครับ :D
-
"What When Where Why Who How"
มันอยู่ที่ว่างานอะไร ติดต่อที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไม กับใคร อย่างไร
ไปติดต่องาน ขายโปรเจคสร้างโรงงาน ให้บริษัทฮอนด้า กับผู้บริหารฮอนด้าระดับสูง ๆ ที่ตึกฮอนด้า จอดรถหน้าตึก ลองขับ Camry ไปสิครับ ผมว่า แค่นี้ก็คุยกันยากแล้ว
-
บ่องตงนะ ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้เลย จะขับกระบะมาหรือBenz มา
สุดท้ายมันจะอยู่ที่ "ข้อตกลงทางธุรกิจร่วมกัน"มากกว่า ผมว่าแต่งตัวให้ถูกกาละเทศะยังเกี่ยวมากกว่าอีกอ่ะ
-
ผมในฐานะที่ทำธุรกิจ ผมกลับไม่ได้มองแบบนั้นครับ
เอาง่ายๆ มีผู้รับเหมา มาติดต่องานกับผม สามเจ้า
เจ้าที่ 1 ขับ S-Class มา
เจ้าที่ 2 ขับรถกระบะเก่าๆ มา
เจ้าที่ 3 ขับ BT50 ป้ายแดงมา
ผมถามคุณว่า ถ้าเป็นคุณ จะเชื่อถือเจ้าไหนมากที่สุด?
คำตอบของผมคือ ผมเชื่อถือ เจ้าที่ 3 มากที่สุด เพราะผมมองว่า เขาเป็นคนทำงานและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เขาจึงใช้รถที่เหมาะกับหน้าที่การงาน ขนของได้ ขนคนได้ สามารถใช้ในงานที่เราจะจ้างให้เขาทำได้
ทำไมไม่เลือกเจ้าที่ 1 หรือ 3
เจ้าที่ 1 เล่นรถหรูมาขนาดนี้ แล้วมันจะมาฟันผมขนาดไหน....(ส่วนมากไม่คุมงานเองหรอก ไปจ้างคนอื่นมาทำอีกที)
เจ้าที่ 2 รถเก่ามากขนาดนี้ มันจะทำงานให้ผมได้ดีขนาดไหน...
ทุกอย่างมีสองมุมมองเสมอครับ ผมเชื่อแบบนั้น ตัวผมจึงขับ Subaru Impreza ไปดิวงานซื้อขายตึก กับลูกค้า
สิ่งที่ลูกค้าทักคือ คุณอาร์ต รถสวยจัง ยี่ห้อนี้คนเล่นน้อยนะ ต้องรักกันจริงถึงใช้ แถมกินน้ำมันดุด้วย...
คำตอบที่ผมให้ลูกค้า คือ ผมรักและชอบในสิ่งที่ผมเป็น พอๆ กับที่ผมรักและชอบในธุรกิจที่ผมทำครับ
คำตอบนี้...ทำให้เมื่อวานผมรับเช็คเงินสด 2,xxx,000 มาครับ
จริงๆ มันไม่เกี่ยวกับรถหรอก....แต่สิ่งที่เราทำมันบ่งบอกว่าเราคิดแบบไหนมากกว่า
ผมจะบอกว่า คนไทยน่ะ ยึดติดกับภาพมากเกินไป จนไม่เห็นข้อเท็จจริง หรือ ความเป็นจริงของสิ่งที่คุณกำลังเผชิญกับมันอยู่
มันก็เหมือนกับ เวลาคุณไปออกงานอะไรสักอย่างแล้วเจอสาวน้อยใส่ชุดแดง เฉิดฉายเดินเข้ามาในงาน สิ่งที่คุณคิดคือ สวยว่ะ
แต่สิ่งที่อยู่ข้างหลัง อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะคลำลงไปอาจจะเจอตอ...ก็เป็นได้
ผมเกลียดที่สุดคือ การมองแต่ภาพลักษณ์ภายนอก จนไม่ได้มองจิตใจของคนคนนั้น (ซึ่งเอาหล่ะมันมองยากกว่ามาก)
ในทางธุรกิจก็เช่นกัน ผมไม่ได้มองแค่เขาขับรถอะไรมา แต่มองให้ทะลุถึงจิตใจคนนั้นๆ ว่า ทำไมเขาถึงขับรถคันนี้ มากกว่า
เป็นผมคิดว่าแบบนี้เหมือนกันครับ เพราะผมมีญาติเป็นผู้รับเหมาถมที่ต่างๆ เวลาไปเก็บเงินเค้ามันจะใช้รถกะบะยกสูงสี่ประตูไปเก็บเงินหลักล้านเช่นกัน ทั้งที่เข้ามีรถ Benz, Cayenne, หรือMiNi ก็ตาม และสุดท้ายผมชอบคำๆนี้ครับ
"ผมรักและชอบในสิ่งที่ผมเป็น พอๆ กับที่ผมรักและชอบในธุรกิจที่ผมทำครับ"
-
ผมว่าอะไรก็ตามครับ ตอนนี้ มุมมอง D-Segment เหมาะสุด ราคา, ภาพลักษณ์, มุมมองของคนใช้รถ, ไม่ล่างจนเกินไป และไม่แพงมากไป พร้อมเปลี่ยน เทินได้ใน 2-4 ปี
CAMRY HB, TERNA, ACCORD ก็ OK แล้ว เพราะถ้าเป็นพนักงานใน Channel SALE, Maketing, FIN, PLANNING ที่ออกไปพบลูกค้า, vender, customer ต้องเปลี่ยนรถบ่อยอยู่แล้ว เชื่อผมดิ
-
ไม่รู้นะ ผมมองว่าไม่ผิดที่จะดูคนจากการแต่งกาย รถยนต์
ในเมื่อเราไม่รู้จักกันมากขนาดที่ว่ารู้นิสัยกันดีแล้ว
เราก็ต้องเอาข้อมูลเท่าที่เรามี นั่นคือรูปลักษณ์ภายนอกมา assume ตัดสินก่อน
กาละเทศะก็เลยยังเป็นสิ่งสำคัญ
การที่ใช้ Mini ในการติดต่องานเนี่ย ผมก็เห็นว่ามันไม่ถูกกาละเทศะจริง
รถที่สมควรใช้คือ รถที่ไม่แพงจนเกินไป และดูดี น่าเชื่อถือ พวก D-seg กำลังดี
อย่างที่บ้านผม สมัยก่อนคุณพ่อออกไปหาลูกค้าก็จอด F10 ไว้ที่บ้านแล้วเอาแคมรี่ไป
ตอนนี้ขายแคมรี่ไปแล้วก็เอา Fortuner ไปแทน
-
ที่ผมตอบ อาจจะขัดใจ...หลายๆคน พูดแบบนี้แล้วกัน ระดับเจ้าของกิจการ เขาไม่มามองจุดนี้หรอก
คำถามที่ควรจะตั้งนะ คือ รถรุ่นไหน เหมาะกับการติดต่องานแบบไหนมากกว่า คำว่าดูน่าเชื่อถือ
เพราะผมไม่เคยเชื่อถือใครจากการมองแค่รถที่เขาใช้ครับ...แรงแต่ตรงประเด็น
ยกตัวอย่างง่ายๆ จิมมี่ เจ้าของเวปเนี่ย ขับรถอะไร ฮอนด้าซิตี้.... ถ้าบริษัทนิสสันมองว่า เฮ๊ยจิมมี่มันระดับตำนานในเวป
จะปล่อยให้มันขับฮอนด้าซิตี้ รถคู่แข่งแบบนี้ ตูจะยอมได้ไง แล้วบีบให้จิมมี่ เปลี่ยนมาขับพัลซ่า ละกัน
ถ้าจิมมี่ไม่เปลี่ยน จะไม่ซื้อโฆษณา อย่างงั้นหรอ ? มันก็ไม่ใช่อ่ะ นี่ตรงที่สุดแล้วมั๊ง ถ้าคุณมองว่ารถเป็นองค์ประกอบของธุรกิจ
มันก็เหมือนกับคุณปู่ผม บอกว่า เอ๊ยขายซาบารุไปเหอะ แกไปออก CLA ดีกว่า จะได้เหมาะกับอาเสี่ยขายตึก
ผมก็คงไม่ยอมเหมือนกัน (ถ้าไม่ให้ผมฟรีๆ 5 5 5 )
บางทีผมก็ขับนิสสันมาร์ชไปคุยงานกับพวกโฟร์แมน มันก็ไม่เห็นมีใครสักคนจะมาพูดไรมากเรื่องรถ
เพราะผมก็จ่ายตังค์ค่างวดตรงเวลาทุกงวด
อ่อ แล้วที่หลายคนบอกว่า ต้องเบนซ์ หรือ บีเอ็ม เพราะเห็นผู้บริหารส่วนใหญ่ขับ เหตุผลง่ายๆเลยนะ เพราะมันมีผ่อนแบบบอลลูน....
เพราะมันไม่ต้องดาวน์เยอะ และมีข้อตกลงดีๆ ถ้าจะซื้อในนามบริษัท ซึ่งเอาไปหักภาษีได้ จำนวนเยอะพอสมควร
ผู้บริหารอาจจะไม่รู้หรอกว่า รถรุ่นนี้มันดียังไง เจ๋งแค่ไหน เขามองแค่ว่า มันคุ้มสำหรับการลงทุนเพื่อหักภาษีของบริษัทเขานั่นแหละ
เขาถึงซื้อมาใช้ ผมถามจริงๆ เคยคุยกับพวกเสี่ยโรงงานกันบ้างมั๊ย ว่าทำไมเล่นเบนซ์ ? ไปถามสิ 80% บอก อั๊วะ เอาเงินบริษัทซื้อ....
กับอีกข้อ เขาบอกว่า เป็นรถยุโรปราคาขายต่อดี....(ทั้งๆที่ความเป็นจริงก็อาจจะราคาตกพอๆกับยี่ห้ออื่นๆก็ได้แต่เขาไม่ได้สนใจจะหาข้อมูลเหล่านี้)
คุณต้องเปลี่ยนทัศนคติ ในเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว พวกคุณเป็นคนยุคใหม่แล้ว ไม่ใช่ยุคอุตสาหกรรม แล้วครับ
นี่มันยุคข้อมูลข่าวสารแล้ว แป้นพิมพ์ที่คุณเคาะ เวปไซท์ที่คุณเล่น มันคือยุคที่ต้องปฎิเสธ กรอบความคิดเก่าๆ เชยๆได้แล้ว
ความน่าเชื่อถือไม่ได้เกิดจากแค่เรื่องรถที่คุณขับหรอกครับ มันเกิดจากการกระทำที่คุณทำกับคนอื่นมากกว่า
ยกตัวอย่างเล่นๆว่า
ผมเป็นเจ้าของกิจการงานก่อสร้างระดับ 100 ล้าน และขับซูบารุ เข้าไปประมูลงานกับ บ.ฮอนด้า
คู่แข่ง เป็นเจ้าของกิจการงานก่อสร้าง ระดับ 50 ล้าน แล้วขับ ฮอนด้าแอคคอร์ด เข้าไปประมูลงาน กับ บ.ฮอนด้า เช่นกัน
ถามว่าเขาจะเลือกใคร ถ้าทุกอย่างเป็นคอนดิชั่นเดียวกันทั้งหมด ?
เพื่อนบางคนของผมเล่นบีเอ็ม ผ่อนเดือนละ 30,000 ทุกเดือน บ่นแล้วบ่นอีก (ผมยังมาคิดในใจ มันจะบ่นทำไมวะ ก็เลือกเอง)
คำตอบคือ เพื่อภาพลักษณ์ก็เลยต้องยอมซื้อ....
กระทู้นี้ดีมากๆ นะครับ แต่แนวความคิดแบบนี้ ร้ายกาจมากในสังคมแบบทุนนิยมในปัจจุบัน ผมเห็นด้วยกับการตอบกระทู้ของบางท่านว่า
เพราะบริษัทรถ และบริษัทโฆษณา เป็นตัวเอก ที่ทำให้แนวคิดนี้ เป็นที่นิยม และทำให้สังคมเชื่อว่า ต้องขับรถแพงๆ หรูๆ ถึงจะน่าเชื่อถือ
และผมก็ไม่ได้ปฎิเสธความคิดของท่าน ที่แนะนำ รถยี่ห้อต่างๆ เพราะมันคือแนวคิดของแต่ละท่านที่น่าสนใจเช่นกัน
ปล.ขอโทษที่ตอบยาวและอาจจะไม่เป็นที่พอใจของคนในสังคม แต่ในฐานะของ คนที่เป็นเจ้าของกิจการ และก็ทำธุรกิจของตัวเอง
ผมเชื่อว่า การให้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดย่อมทำให้ผลลัพธ์ออกมาถูกต้องเช่นกัน
-
ผมในฐานะที่ทำธุรกิจ ผมกลับไม่ได้มองแบบนั้นครับ
เอาง่ายๆ มีผู้รับเหมา มาติดต่องานกับผม สามเจ้า
เจ้าที่ 1 ขับ S-Class มา
เจ้าที่ 2 ขับรถกระบะเก่าๆ มา
เจ้าที่ 3 ขับ BT50 ป้ายแดงมา
ผมถามคุณว่า ถ้าเป็นคุณ จะเชื่อถือเจ้าไหนมากที่สุด?
คำตอบของผมคือ ผมเชื่อถือ เจ้าที่ 3 มากที่สุด เพราะผมมองว่า เขาเป็นคนทำงานและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เขาจึงใช้รถที่เหมาะกับหน้าที่การงาน ขนของได้ ขนคนได้ สามารถใช้ในงานที่เราจะจ้างให้เขาทำได้
ทำไมไม่เลือกเจ้าที่ 1 หรือ 3
เจ้าที่ 1 เล่นรถหรูมาขนาดนี้ แล้วมันจะมาฟันผมขนาดไหน....(ส่วนมากไม่คุมงานเองหรอก ไปจ้างคนอื่นมาทำอีกที)
เจ้าที่ 2 รถเก่ามากขนาดนี้ มันจะทำงานให้ผมได้ดีขนาดไหน...
ทุกอย่างมีสองมุมมองเสมอครับ ผมเชื่อแบบนั้น ตัวผมจึงขับ Subaru Impreza ไปดิวงานซื้อขายตึก กับลูกค้า
สิ่งที่ลูกค้าทักคือ คุณอาร์ต รถสวยจัง ยี่ห้อนี้คนเล่นน้อยนะ ต้องรักกันจริงถึงใช้ แถมกินน้ำมันดุด้วย...
คำตอบที่ผมให้ลูกค้า คือ ผมรักและชอบในสิ่งที่ผมเป็น พอๆ กับที่ผมรักและชอบในธุรกิจที่ผมทำครับ
คำตอบนี้...ทำให้เมื่อวานผมรับเช็คเงินสด 2,xxx,000 มาครับ
จริงๆ มันไม่เกี่ยวกับรถหรอก....แต่สิ่งที่เราทำมันบ่งบอกว่าเราคิดแบบไหนมากกว่า
ผมจะบอกว่า คนไทยน่ะ ยึดติดกับภาพมากเกินไป จนไม่เห็นข้อเท็จจริง หรือ ความเป็นจริงของสิ่งที่คุณกำลังเผชิญกับมันอยู่
มันก็เหมือนกับ เวลาคุณไปออกงานอะไรสักอย่างแล้วเจอสาวน้อยใส่ชุดแดง เฉิดฉายเดินเข้ามาในงาน สิ่งที่คุณคิดคือ สวยว่ะ
แต่สิ่งที่อยู่ข้างหลัง อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะคลำลงไปอาจจะเจอตอ...ก็เป็นได้
ผมเกลียดที่สุดคือ การมองแต่ภาพลักษณ์ภายนอก จนไม่ได้มองจิตใจของคนคนนั้น (ซึ่งเอาหล่ะมันมองยากกว่ามาก)
ในทางธุรกิจก็เช่นกัน ผมไม่ได้มองแค่เขาขับรถอะไรมา แต่มองให้ทะลุถึงจิตใจคนนั้นๆ ว่า ทำไมเขาถึงขับรถคันนี้ มากกว่า
เป็นผมคิดว่าแบบนี้เหมือนกันครับ เพราะผมมีญาติเป็นผู้รับเหมาถมที่ต่างๆ เวลาไปเก็บเงินเค้ามันจะใช้รถกะบะยกสูงสี่ประตูไปเก็บเงินหลักล้านเช่นกัน ทั้งที่เข้ามีรถ Benz, Cayenne, หรือMiNi ก็ตาม และสุดท้ายผมชอบคำๆนี้ครับ
"ผมรักและชอบในสิ่งที่ผมเป็น พอๆ กับที่ผมรักและชอบในธุรกิจที่ผมทำครับ"
-
เมืองนอกเค้าไม่สนใจว่าใครขับรถอะไร มันขึ้นอยู่ที่ผลงานและประวัติการทำงาน
มีแต่คนไทยที่ชอบตัดสินคนที่ภาพลักษณ์ภายนอก
-
ไม่รู้สินะ ผมอยู่ในเมือง มีแต่คนนั่งรถไฟฟ้ามาติดต่องาน
หรือถ้าขับ รถมาก็ไม่เคยเห็นรถของใครหรอก จอดอยู่ที่จอดรถ
จริง ๆ การจะจ้างบริษัทไหนมาทำงาน ดูที่ประสบการณ์ ผลงานที่ผ่านมามากกว่า รถที่ขับมาให้มันเป็นรถใหม่หน่อยแค่นั้นก็พอ
-
ที่ผมตอบ อาจจะขัดใจ...หลายๆคน พูดแบบนี้แล้วกัน ระดับเจ้าของกิจการ เขาไม่มามองจุดนี้หรอก
คำถามที่ควรจะตั้งนะ คือ รถรุ่นไหน เหมาะกับการติดต่องานแบบไหนมากกว่า คำว่าดูน่าเชื่อถือ
เพราะผมไม่เคยเชื่อถือใครจากการมองแค่รถที่เขาใช้ครับ...แรงแต่ตรงประเด็น
ยกตัวอย่างง่ายๆ จิมมี่ เจ้าของเวปเนี่ย ขับรถอะไร ฮอนด้าซิตี้.... ถ้าบริษัทนิสสันมองว่า เฮ๊ยจิมมี่มันระดับตำนานในเวป
จะปล่อยให้มันขับฮอนด้าซิตี้ รถคู่แข่งแบบนี้ ตูจะยอมได้ไง แล้วบีบให้จิมมี่ เปลี่ยนมาขับพัลซ่า ละกัน
ถ้าจิมมี่ไม่เปลี่ยน จะไม่ซื้อโฆษณา อย่างงั้นหรอ ? มันก็ไม่ใช่อ่ะ นี่ตรงที่สุดแล้วมั๊ง ถ้าคุณมองว่ารถเป็นองค์ประกอบของธุรกิจ
มันก็เหมือนกับคุณปู่ผม บอกว่า เอ๊ยขายซาบารุไปเหอะ แกไปออก CLA ดีกว่า จะได้เหมาะกับอาเสี่ยขายตึก
ผมก็คงไม่ยอมเหมือนกัน (ถ้าไม่ให้ผมฟรีๆ 5 5 5 )
บางทีผมก็ขับนิสสันมาร์ชไปคุยงานกับพวกโฟร์แมน มันก็ไม่เห็นมีใครสักคนจะมาพูดไรมากเรื่องรถ
เพราะผมก็จ่ายตังค์ค่างวดตรงเวลาทุกงวด
อ่อ แล้วที่หลายคนบอกว่า ต้องเบนซ์ หรือ บีเอ็ม เพราะเห็นผู้บริหารส่วนใหญ่ขับ เหตุผลง่ายๆเลยนะ เพราะมันมีผ่อนแบบบอลลูน....
เพราะมันไม่ต้องดาวน์เยอะ และมีข้อตกลงดีๆ ถ้าจะซื้อในนามบริษัท ซึ่งเอาไปหักภาษีได้ จำนวนเยอะพอสมควร
ผู้บริหารอาจจะไม่รู้หรอกว่า รถรุ่นนี้มันดียังไง เจ๋งแค่ไหน เขามองแค่ว่า มันคุ้มสำหรับการลงทุนเพื่อหักภาษีของบริษัทเขานั่นแหละ
เขาถึงซื้อมาใช้ ผมถามจริงๆ เคยคุยกับพวกเสี่ยโรงงานกันบ้างมั๊ย ว่าทำไมเล่นเบนซ์ ? ไปถามสิ 80% บอก อั๊วะ เอาเงินบริษัทซื้อ....
กับอีกข้อ เขาบอกว่า เป็นรถยุโรปราคาขายต่อดี....(ทั้งๆที่ความเป็นจริงก็อาจจะราคาตกพอๆกับยี่ห้ออื่นๆก็ได้แต่เขาไม่ได้สนใจจะหาข้อมูลเหล่านี้)
คุณต้องเปลี่ยนทัศนคติ ในเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว พวกคุณเป็นคนยุคใหม่แล้ว ไม่ใช่ยุคอุตสาหกรรม แล้วครับ
นี่มันยุคข้อมูลข่าวสารแล้ว แป้นพิมพ์ที่คุณเคาะ เวปไซท์ที่คุณเล่น มันคือยุคที่ต้องปฎิเสธ กรอบความคิดเก่าๆ เชยๆได้แล้ว
ความน่าเชื่อถือไม่ได้เกิดจากแค่เรื่องรถที่คุณขับหรอกครับ มันเกิดจากการกระทำที่คุณทำกับคนอื่นมากกว่า
ยกตัวอย่างเล่นๆว่า
ผมเป็นเจ้าของกิจการงานก่อสร้างระดับ 100 ล้าน และขับซูบารุ เข้าไปประมูลงานกับ บ.ฮอนด้า
คู่แข่ง เป็นเจ้าของกิจการงานก่อสร้าง ระดับ 50 ล้าน แล้วขับ ฮอนด้าแอคคอร์ด เข้าไปประมูลงาน กับ บ.ฮอนด้า เช่นกัน
ถามว่าเขาจะเลือกใคร ถ้าทุกอย่างเป็นคอนดิชั่นเดียวกันทั้งหมด ?
เพื่อนบางคนของผมเล่นบีเอ็ม ผ่อนเดือนละ 30,000 ทุกเดือน บ่นแล้วบ่นอีก (ผมยังมาคิดในใจ มันจะบ่นทำไมวะ ก็เลือกเอง)
คำตอบคือ เพื่อภาพลักษณ์ก็เลยต้องยอมซื้อ....
กระทู้นี้ดีมากๆ นะครับ แต่แนวความคิดแบบนี้ ร้ายกาจมากในสังคมแบบทุนนิยมในปัจจุบัน ผมเห็นด้วยกับการตอบกระทู้ของบางท่านว่า
เพราะบริษัทรถ และบริษัทโฆษณา เป็นตัวเอก ที่ทำให้แนวคิดนี้ เป็นที่นิยม และทำให้สังคมเชื่อว่า ต้องขับรถแพงๆ หรูๆ ถึงจะน่าเชื่อถือ
และผมก็ไม่ได้ปฎิเสธความคิดของท่าน ที่แนะนำ รถยี่ห้อต่างๆ เพราะมันคือแนวคิดของแต่ละท่านที่น่าสนใจเช่นกัน
ปล.ขอโทษที่ตอบยาวและอาจจะไม่เป็นที่พอใจของคนในสังคม แต่ในฐานะของ คนที่เป็นเจ้าของกิจการ และก็ทำธุรกิจของตัวเอง
ผมเชื่อว่า การให้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดย่อมทำให้ผลลัพธ์ออกมาถูกต้องเช่นกัน
ผมก้อบริหารโครงการอสังหาเหมือนกันครับ เวลาเข้าไปที่ไซร้งาน หรือไปเจอลูกค้าผมขับ ford ranger ไป ฮ่าๆๆ
ขับรถไปทำงานกระบะยกสูงมันขับสบายสุดๆ ผู้บริหารมักยึดติดกับภาพลักษณ์
แต่เจ้าของกิจการไม่ครับ ปสก ส่วนตัวของผมมันสอนว่า ยิ่งใช้ชีวิตโดยแคร์สายตาคนอื่นน้อยเท่าไหร่
จะยิ่งรวยเร็วเท่านั้น
-
ถ้าเขาเป็นลูกค้าของคุณกะเจ้านายคุณ เจ้านายคุณจะไปยุ่งกะเค้าทำไมว่าขับรถอะไรมา งง
-
ผมก็เห็นด้วยครับ
D segment กำลังดีนะ หรูหรากำลังดี ภาพลักษณ์ในระดับหนึ่ง
ส่วนพวก Mini สปอร์ต คูเป้ต่างๆ ไม่เหมาะเลยครับ เพราะมันดูเด็กๆยังไงไม่รู้
-
ที่ผมตอบ อาจจะขัดใจ...หลายๆคน พูดแบบนี้แล้วกัน ระดับเจ้าของกิจการ เขาไม่มามองจุดนี้หรอก
คำถามที่ควรจะตั้งนะ คือ รถรุ่นไหน เหมาะกับการติดต่องานแบบไหนมากกว่า คำว่าดูน่าเชื่อถือ
เพราะผมไม่เคยเชื่อถือใครจากการมองแค่รถที่เขาใช้ครับ...แรงแต่ตรงประเด็น
ยกตัวอย่างง่ายๆ จิมมี่ เจ้าของเวปเนี่ย ขับรถอะไร ฮอนด้าซิตี้.... ถ้าบริษัทนิสสันมองว่า เฮ๊ยจิมมี่มันระดับตำนานในเวป
จะปล่อยให้มันขับฮอนด้าซิตี้ รถคู่แข่งแบบนี้ ตูจะยอมได้ไง แล้วบีบให้จิมมี่ เปลี่ยนมาขับพัลซ่า ละกัน
ถ้าจิมมี่ไม่เปลี่ยน จะไม่ซื้อโฆษณา อย่างงั้นหรอ ? มันก็ไม่ใช่อ่ะ นี่ตรงที่สุดแล้วมั๊ง ถ้าคุณมองว่ารถเป็นองค์ประกอบของธุรกิจ
มันก็เหมือนกับคุณปู่ผม บอกว่า เอ๊ยขายซาบารุไปเหอะ แกไปออก CLA ดีกว่า จะได้เหมาะกับอาเสี่ยขายตึก
ผมก็คงไม่ยอมเหมือนกัน (ถ้าไม่ให้ผมฟรีๆ 5 5 5 )
บางทีผมก็ขับนิสสันมาร์ชไปคุยงานกับพวกโฟร์แมน มันก็ไม่เห็นมีใครสักคนจะมาพูดไรมากเรื่องรถ
เพราะผมก็จ่ายตังค์ค่างวดตรงเวลาทุกงวด
อ่อ แล้วที่หลายคนบอกว่า ต้องเบนซ์ หรือ บีเอ็ม เพราะเห็นผู้บริหารส่วนใหญ่ขับ เหตุผลง่ายๆเลยนะ เพราะมันมีผ่อนแบบบอลลูน....
เพราะมันไม่ต้องดาวน์เยอะ และมีข้อตกลงดีๆ ถ้าจะซื้อในนามบริษัท ซึ่งเอาไปหักภาษีได้ จำนวนเยอะพอสมควร
ผู้บริหารอาจจะไม่รู้หรอกว่า รถรุ่นนี้มันดียังไง เจ๋งแค่ไหน เขามองแค่ว่า มันคุ้มสำหรับการลงทุนเพื่อหักภาษีของบริษัทเขานั่นแหละ
เขาถึงซื้อมาใช้ ผมถามจริงๆ เคยคุยกับพวกเสี่ยโรงงานกันบ้างมั๊ย ว่าทำไมเล่นเบนซ์ ? ไปถามสิ 80% บอก อั๊วะ เอาเงินบริษัทซื้อ....
กับอีกข้อ เขาบอกว่า เป็นรถยุโรปราคาขายต่อดี....(ทั้งๆที่ความเป็นจริงก็อาจจะราคาตกพอๆกับยี่ห้ออื่นๆก็ได้แต่เขาไม่ได้สนใจจะหาข้อมูลเหล่านี้)
คุณต้องเปลี่ยนทัศนคติ ในเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว พวกคุณเป็นคนยุคใหม่แล้ว ไม่ใช่ยุคอุตสาหกรรม แล้วครับ
นี่มันยุคข้อมูลข่าวสารแล้ว แป้นพิมพ์ที่คุณเคาะ เวปไซท์ที่คุณเล่น มันคือยุคที่ต้องปฎิเสธ กรอบความคิดเก่าๆ เชยๆได้แล้ว
ความน่าเชื่อถือไม่ได้เกิดจากแค่เรื่องรถที่คุณขับหรอกครับ มันเกิดจากการกระทำที่คุณทำกับคนอื่นมากกว่า
ยกตัวอย่างเล่นๆว่า
ผมเป็นเจ้าของกิจการงานก่อสร้างระดับ 100 ล้าน และขับซูบารุ เข้าไปประมูลงานกับ บ.ฮอนด้า
คู่แข่ง เป็นเจ้าของกิจการงานก่อสร้าง ระดับ 50 ล้าน แล้วขับ ฮอนด้าแอคคอร์ด เข้าไปประมูลงาน กับ บ.ฮอนด้า เช่นกัน
ถามว่าเขาจะเลือกใคร ถ้าทุกอย่างเป็นคอนดิชั่นเดียวกันทั้งหมด ?
เพื่อนบางคนของผมเล่นบีเอ็ม ผ่อนเดือนละ 30,000 ทุกเดือน บ่นแล้วบ่นอีก (ผมยังมาคิดในใจ มันจะบ่นทำไมวะ ก็เลือกเอง)
คำตอบคือ เพื่อภาพลักษณ์ก็เลยต้องยอมซื้อ....
กระทู้นี้ดีมากๆ นะครับ แต่แนวความคิดแบบนี้ ร้ายกาจมากในสังคมแบบทุนนิยมในปัจจุบัน ผมเห็นด้วยกับการตอบกระทู้ของบางท่านว่า
เพราะบริษัทรถ และบริษัทโฆษณา เป็นตัวเอก ที่ทำให้แนวคิดนี้ เป็นที่นิยม และทำให้สังคมเชื่อว่า ต้องขับรถแพงๆ หรูๆ ถึงจะน่าเชื่อถือ
และผมก็ไม่ได้ปฎิเสธความคิดของท่าน ที่แนะนำ รถยี่ห้อต่างๆ เพราะมันคือแนวคิดของแต่ละท่านที่น่าสนใจเช่นกัน
ปล.ขอโทษที่ตอบยาวและอาจจะไม่เป็นที่พอใจของคนในสังคม แต่ในฐานะของ คนที่เป็นเจ้าของกิจการ และก็ทำธุรกิจของตัวเอง
ผมเชื่อว่า การให้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดย่อมทำให้ผลลัพธ์ออกมาถูกต้องเช่นกัน
+1 ครับ คือบ้านผมก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับ รับเหมา(เกี่ยวกับประปา) สำหรับงานแบบนี้ผมว่ารถไม่ต้องแพงมากรถบ้านผมก็ Vigo champ smartcab 2.5 G ไปติดต่องานประมูลอะไรนำนองนี้ก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ แต่พ่อแม่ผมก็จะแบบแต่งตัวให้ดูดี ก็พอ และการพูดการจา ถามว่ารถก็อาจจะสำคัญแค่ช่วงที่เจอตอนแรกแต่เมือ่คุยกันแล้ว นั้นแหละครับที่จะตัดสินเองว่า น่าเชื่อถือหรือไม่
ปล.ผมว่าทุกวันนี้ สังคมประเทศเรายืดติดกับเรื่อง ของนอกกาย มากไปนะ
-
ที่ผมตอบ อาจจะขัดใจ...หลายๆคน พูดแบบนี้แล้วกัน ระดับเจ้าของกิจการ เขาไม่มามองจุดนี้หรอก
คำถามที่ควรจะตั้งนะ คือ รถรุ่นไหน เหมาะกับการติดต่องานแบบไหนมากกว่า คำว่าดูน่าเชื่อถือ
เพราะผมไม่เคยเชื่อถือใครจากการมองแค่รถที่เขาใช้ครับ...แรงแต่ตรงประเด็น
ยกตัวอย่างง่ายๆ จิมมี่ เจ้าของเวปเนี่ย ขับรถอะไร ฮอนด้าซิตี้.... ถ้าบริษัทนิสสันมองว่า เฮ๊ยจิมมี่มันระดับตำนานในเวป
จะปล่อยให้มันขับฮอนด้าซิตี้ รถคู่แข่งแบบนี้ ตูจะยอมได้ไง แล้วบีบให้จิมมี่ เปลี่ยนมาขับพัลซ่า ละกัน
ถ้าจิมมี่ไม่เปลี่ยน จะไม่ซื้อโฆษณา อย่างงั้นหรอ ? มันก็ไม่ใช่อ่ะ นี่ตรงที่สุดแล้วมั๊ง ถ้าคุณมองว่ารถเป็นองค์ประกอบของธุรกิจ
มันก็เหมือนกับคุณปู่ผม บอกว่า เอ๊ยขายซาบารุไปเหอะ แกไปออก CLA ดีกว่า จะได้เหมาะกับอาเสี่ยขายตึก
ผมก็คงไม่ยอมเหมือนกัน (ถ้าไม่ให้ผมฟรีๆ 5 5 5 )
บางทีผมก็ขับนิสสันมาร์ชไปคุยงานกับพวกโฟร์แมน มันก็ไม่เห็นมีใครสักคนจะมาพูดไรมากเรื่องรถ
เพราะผมก็จ่ายตังค์ค่างวดตรงเวลาทุกงวด
อ่อ แล้วที่หลายคนบอกว่า ต้องเบนซ์ หรือ บีเอ็ม เพราะเห็นผู้บริหารส่วนใหญ่ขับ เหตุผลง่ายๆเลยนะ เพราะมันมีผ่อนแบบบอลลูน....
เพราะมันไม่ต้องดาวน์เยอะ และมีข้อตกลงดีๆ ถ้าจะซื้อในนามบริษัท ซึ่งเอาไปหักภาษีได้ จำนวนเยอะพอสมควร
ผู้บริหารอาจจะไม่รู้หรอกว่า รถรุ่นนี้มันดียังไง เจ๋งแค่ไหน เขามองแค่ว่า มันคุ้มสำหรับการลงทุนเพื่อหักภาษีของบริษัทเขานั่นแหละ
เขาถึงซื้อมาใช้ ผมถามจริงๆ เคยคุยกับพวกเสี่ยโรงงานกันบ้างมั๊ย ว่าทำไมเล่นเบนซ์ ? ไปถามสิ 80% บอก อั๊วะ เอาเงินบริษัทซื้อ....
กับอีกข้อ เขาบอกว่า เป็นรถยุโรปราคาขายต่อดี....(ทั้งๆที่ความเป็นจริงก็อาจจะราคาตกพอๆกับยี่ห้ออื่นๆก็ได้แต่เขาไม่ได้สนใจจะหาข้อมูลเหล่านี้)
คุณต้องเปลี่ยนทัศนคติ ในเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว พวกคุณเป็นคนยุคใหม่แล้ว ไม่ใช่ยุคอุตสาหกรรม แล้วครับ
นี่มันยุคข้อมูลข่าวสารแล้ว แป้นพิมพ์ที่คุณเคาะ เวปไซท์ที่คุณเล่น มันคือยุคที่ต้องปฎิเสธ กรอบความคิดเก่าๆ เชยๆได้แล้ว
ความน่าเชื่อถือไม่ได้เกิดจากแค่เรื่องรถที่คุณขับหรอกครับ มันเกิดจากการกระทำที่คุณทำกับคนอื่นมากกว่า
ยกตัวอย่างเล่นๆว่า
ผมเป็นเจ้าของกิจการงานก่อสร้างระดับ 100 ล้าน และขับซูบารุ เข้าไปประมูลงานกับ บ.ฮอนด้า
คู่แข่ง เป็นเจ้าของกิจการงานก่อสร้าง ระดับ 50 ล้าน แล้วขับ ฮอนด้าแอคคอร์ด เข้าไปประมูลงาน กับ บ.ฮอนด้า เช่นกัน
ถามว่าเขาจะเลือกใคร ถ้าทุกอย่างเป็นคอนดิชั่นเดียวกันทั้งหมด ?
เพื่อนบางคนของผมเล่นบีเอ็ม ผ่อนเดือนละ 30,000 ทุกเดือน บ่นแล้วบ่นอีก (ผมยังมาคิดในใจ มันจะบ่นทำไมวะ ก็เลือกเอง)
คำตอบคือ เพื่อภาพลักษณ์ก็เลยต้องยอมซื้อ....
กระทู้นี้ดีมากๆ นะครับ แต่แนวความคิดแบบนี้ ร้ายกาจมากในสังคมแบบทุนนิยมในปัจจุบัน ผมเห็นด้วยกับการตอบกระทู้ของบางท่านว่า
เพราะบริษัทรถ และบริษัทโฆษณา เป็นตัวเอก ที่ทำให้แนวคิดนี้ เป็นที่นิยม และทำให้สังคมเชื่อว่า ต้องขับรถแพงๆ หรูๆ ถึงจะน่าเชื่อถือ
และผมก็ไม่ได้ปฎิเสธความคิดของท่าน ที่แนะนำ รถยี่ห้อต่างๆ เพราะมันคือแนวคิดของแต่ละท่านที่น่าสนใจเช่นกัน
ปล.ขอโทษที่ตอบยาวและอาจจะไม่เป็นที่พอใจของคนในสังคม แต่ในฐานะของ คนที่เป็นเจ้าของกิจการ และก็ทำธุรกิจของตัวเอง
ผมเชื่อว่า การให้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดย่อมทำให้ผลลัพธ์ออกมาถูกต้องเช่นกัน
ผมก้อบริหารโครงการอสังหาเหมือนกันครับ เวลาเข้าไปที่ไซร้งาน หรือไปเจอลูกค้าผมขับ ford ranger ไป ฮ่าๆๆ
ขับรถไปทำงานกระบะยกสูงมันขับสบายสุดๆ ผู้บริหารมักยึดติดกับภาพลักษณ์
แต่เจ้าของกิจการไม่ครับ ปสก ส่วนตัวของผมมันสอนว่า ยิ่งใช้ชีวิตโดยแคร์สายตาคนอื่นน้อยเท่าไหร่
จะยิ่งรวยเร็วเท่านั้น
เรื่องจริงครับ คนที่รวยเร็ว คือคนที่คิดไม่เหมือนชาวบ้านชาวโลกทั้งนั้น (แต่ไม่ใช่เรื่องชั่วๆ นะ)
ผมว่ามันเป็นตรรกะง่ายๆ นะ
ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของโลกเป็นคนจน ถ้าคุณคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ของโลก แล้วคุณจะรวยไหม?
-
การถูกมองรถที่ขับเป็นเรื่องปรกติครับ แต่มันมีทั้งสองด้านหมดละครับ หาสูตรตายตัวคงยาก
ที่เราทำได้ก็คืออย่าไปมองคนอื่นเรื่องนี้เป็นเรื่องหลักครับ อย่าไปคิดมาก (อย่างมากก็เรื่องรองก็ยังดี)
จากที่เคยเจอมา มันมีทั้งที่ตรงกับมี่หลุดไปเยอะเลยครับ
ผมว่าถ้าจะดูเรื่องนี้มันต้องดูที่คนที่ติดต่องานด้วยครับ เช่น
จะไปขายของแต่ดันขับรถหรูกว่าลูกค้า อันนี้ผมว่ามันก็ไม่ดี
จะไปซื้อของเอารถที่"คิด"ว่าคนที่มองจะดูดีมีฐานะหน่อยก็จะดีกว่า ก็เหมือนแต่งตัวขาสั้นถึงมีเงิน(แต่คนขายที่ไหนจะรู้) ถ้าเจอเซลเค้าคงดูแลลูกค้าคนอื่นที่ใส่สูทก่อน
จะไปกู้แบงค์แต่เอาเฟอร์ไปก็ตลก ผู้ใหญ่ที่รู้จักยังต้องเอากลางๆเช่น camry ไปเลย
ทั้งนี้สุดท้ายก็ขึ้นกับฝีมือ กับตัวคุณอย่างเดียว
ผมถูกคนมีเบนซ์มีBMW จะเบี้ยวเงินก็ตั้งหลายที
;D
-
การถูกมองรถที่ขับเป็นเรื่องปรกติครับ แต่มันมีทั้งสองด้านหมดละครับ หาสูตรตายตัวคงยาก
ที่เราทำได้ก็คืออย่าไปมองคนอื่นเรื่องนี้เป็นเรื่องหลักครับ อย่าไปคิดมาก (อย่างมากก็เรื่องรองก็ยังดี)
จากที่เคยเจอมา มันมีทั้งที่ตรงกับมี่หลุดไปเยอะเลยครับ
ผมว่าถ้าจะดูเรื่องนี้มันต้องดูที่คนที่ติดต่องานด้วยครับ เช่น
จะไปขายของแต่ดันขับรถหรูกว่าลูกค้า อันนี้ผมว่ามันก็ไม่ดี
จะไปซื้อของเอารถที่"คิด"ว่าคนที่มองจะดูดีมีฐานะหน่อยก็จะดีกว่า ก็เหมือนแต่งตัวขาสั้นถึงมีเงิน(แต่คนขายที่ไหนจะรู้) ถ้าเจอเซลเค้าคงดูแลลูกค้าคนอื่นที่ใส่สูทก่อน
จะไปกู้แบงค์แต่เอาเฟอร์ไปก็ตลก ผู้ใหญ่ที่รู้จักยังต้องเอากลางๆเช่น camry ไปเลย
ทั้งนี้สุดท้ายก็ขึ้นกับฝีมือ กับตัวคุณอย่างเดียว
ผมถูกคนมีเบนซ์มีBMW จะเบี้ยวเงินก็ตั้งหลายที
;D
เรื่องเซลล์ เจอมากับตัวครับพ่อกับแม่ ไปดูรถที่ F เดินเข้าไปฌซลล์ไม่ดูห่าอะไรเลย ก็ใส่ชุดธรรมดาขาสั้นนี้แหละครับ(แต่ก็ไม่ได้น่าเกีลยดอะไรนะ)พ่อกับแม่ก็ยืนอยู่ตั้งนาน พอเรียกเดินมาทำหน้าแบบมองตัวถึงเท้าอ่ะแบบดูถูกอะนะ สุดท้ายก็เลยเดินออกจาก0เลย แม่พูดด้วยว่า ทำแบบนี้น่าหวังว่าจะขายได้เลย แจ่พอไป 0 T เซลล์รีบวิ่งมาถามเลยว่าสนใจรุ่นไหนค่ะแล้วแบบบริการลูกค้า ทุกคนเท่าเทียมกัน สุด้ทายก็เลยจบที่ T
-
ผมในฐานะที่ทำธุรกิจ ผมกลับไม่ได้มองแบบนั้นครับ
เอาง่ายๆ มีผู้รับเหมา มาติดต่องานกับผม สามเจ้า
เจ้าที่ 1 ขับ S-Class มา
เจ้าที่ 2 ขับรถกระบะเก่าๆ มา
เจ้าที่ 3 ขับ BT50 ป้ายแดงมา
ผมถามคุณว่า ถ้าเป็นคุณ จะเชื่อถือเจ้าไหนมากที่สุด?
คำตอบของผมคือ ผมเชื่อถือ เจ้าที่ 3 มากที่สุด เพราะผมมองว่า เขาเป็นคนทำงานและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เขาจึงใช้รถที่เหมาะกับหน้าที่การงาน ขนของได้ ขนคนได้ สามารถใช้ในงานที่เราจะจ้างให้เขาทำได้
ทำไมไม่เลือกเจ้าที่ 1 หรือ 3
เจ้าที่ 1 เล่นรถหรูมาขนาดนี้ แล้วมันจะมาฟันผมขนาดไหน....(ส่วนมากไม่คุมงานเองหรอก ไปจ้างคนอื่นมาทำอีกที)
เจ้าที่ 2 รถเก่ามากขนาดนี้ มันจะทำงานให้ผมได้ดีขนาดไหน...
ทุกอย่างมีสองมุมมองเสมอครับ ผมเชื่อแบบนั้น ตัวผมจึงขับ Subaru Impreza ไปดิวงานซื้อขายตึก กับลูกค้า
สิ่งที่ลูกค้าทักคือ คุณอาร์ต รถสวยจัง ยี่ห้อนี้คนเล่นน้อยนะ ต้องรักกันจริงถึงใช้ แถมกินน้ำมันดุด้วย...
คำตอบที่ผมให้ลูกค้า คือ ผมรักและชอบในสิ่งที่ผมเป็น พอๆ กับที่ผมรักและชอบในธุรกิจที่ผมทำครับ
คำตอบนี้...ทำให้เมื่อวานผมรับเช็คเงินสด 2,xxx,000 มาครับ
จริงๆ มันไม่เกี่ยวกับรถหรอก....แต่สิ่งที่เราทำมันบ่งบอกว่าเราคิดแบบไหนมากกว่า
ผมจะบอกว่า คนไทยน่ะ ยึดติดกับภาพมากเกินไป จนไม่เห็นข้อเท็จจริง หรือ ความเป็นจริงของสิ่งที่คุณกำลังเผชิญกับมันอยู่
มันก็เหมือนกับ เวลาคุณไปออกงานอะไรสักอย่างแล้วเจอสาวน้อยใส่ชุดแดง เฉิดฉายเดินเข้ามาในงาน สิ่งที่คุณคิดคือ สวยว่ะ
แต่สิ่งที่อยู่ข้างหลัง อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะคลำลงไปอาจจะเจอตอ...ก็เป็นได้
ผมเกลียดที่สุดคือ การมองแต่ภาพลักษณ์ภายนอก จนไม่ได้มองจิตใจของคนคนนั้น (ซึ่งเอาหล่ะมันมองยากกว่ามาก)
ในทางธุรกิจก็เช่นกัน ผมไม่ได้มองแค่เขาขับรถอะไรมา แต่มองให้ทะลุถึงจิตใจคนนั้นๆ ว่า ทำไมเขาถึงขับรถคันนี้ มากกว่า
นอกจากมีรถสวยแล้ว ยังมีมุมมองที่หล่อมากด้วยครับ
-
เรื่องแบบนี้ ต่างคน ต่างมุมมองกันจริงๆครับ จะฟันธงว่าแบบไหนดีก็ไม่ใช่ เพราะแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน :)
ในฐานะที่ผมก็เป็นคนขายของ ผมก็เลือกขับรถที่รัก และเหมาะสมในน้ำหนักที่เท่าๆกันครับ หลายครั้งผมเลือกที่จะไม่ขายของให้กับคนที่มองว่า "ทำไมขับรถแบบนี้มาคุยงาน ไม่ขับ a b c นู่นนี้มา" เพราะผมเองก็ไม่สบายใจที่ลูกค้าจะซื้อของที่ผมขายจากการตัดสินใจภายนอกว่า ผมใช้รถอะไร ใช้โทรศัพท์อะไร แต่งตัวอย่างไร
แค่จะสื่อว่า ก็มีคนที่มองทั้งเรื่องภายนอก และมองถึงเนื้อแท้คนๆนั้น มันก้แล้วแต่ว่าเราจะเลือกคบค้าสมาคมกับใครแค่นั้นคร้าบ ;D
-
เข้าใจว่าคนสมัยนี้ส่วนใหญ่มองกันที่ภายนอกมากขึ้น ผมว่าถ้าให้ดูภูมิฐานจริงๆก็คงต้อง d-seg หรืออาจจะ c-seg ถ้าวัยยังไม่เยอะมากนัก
-
ติดต่องาน ต้อง
รถขนาดกลาง- ขนาดใหญ่ ของทุกยี่ห้อ ครับ
แต่ห้ามแต่งซิ่ง
เพราะรถ จะบ่งบอกถึงบุคคลิก เจ้าของ
เหมือนการแต่งกาย..
-
ชอบความเห็น คุณ SignifeR ทั้งสองความเห็นครับ เป็นแนวคิดที่ผมใช้เหมือนกัน
นอกเรื่องนิด ถึงแม้คุณ SignifeR จะตอบแต่ละ reply ยาว แต่ก็เนื้อทั้งนั้น
พิมพ์แบ่งวรรคตอน-เว้นบรรทัด อ่านง่าย ใช้ภาษาไทยถูกต้อง และไม่มีการ edit (ตรวจทานก่อนส่ง)
มันแสดงถึงความละเอียดสุขุม ของคนที่มีความคิดสุขุมเช่นเดียวกันครับ