Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: north ที่ ตุลาคม 24, 2013, 14:57:35
-
มีความสนใจในรถยุโรปครับ ทั้ง BM และ MB
ตอนแรกกะจะรอ C class ตัวใหม่ครับ เพราะของ MB สามารถซื้อเพิ่มได้
คล้ายๆ BSI ของ BM คือ Star Choice ได้ service and maintenance ฟรี 3 ปีไม่จำกัดระยะทาง
แต่ต้องจัดไฟแนนท์กับทาง MB เท่านั้น และดอกเบี้ยจะแพงกว่าปกติด้วย (อันนี้ถามเซลมาครับ)
แต่พอเห็นราคา 316i แล้วมันโดนมากเลยครับ ราคาไม่เกิน 2 ล้าน
แต่ติดอยู่ที่ว่าผมขับรถเยอะครับ ปีนึงประมาณ 50,000 กิโลครับ
คิดว่าถ้าใช้ 2 ปีก็คงถึงแสนกิโล และก็คงหมด BSI แล้วครับ
เลยกลัวว่าจะมีปัญหาจุกจิกตามมาครับ และจะได้ไม่คุ้มกับเสียครับ
คือผมคงกันเงินสำหรับซ่อมไว้ปีละไม่เกิน 70,000 ครับ (หมายถึงถ้าหมด BSI หลังจาก2ปี)
ถ้าเกินกว่านี้ผมว่าเปลี่ยนรถใหม่ง่ายกว่าครับ หรือว่าผมควรจะขับรถญี่ปุ่นต่อไป
ปกติผมขับรถไม่เกิน 4 ปีก็เปลี่ยนแล้วครับ
ถ้าผมขับรถครบ 100,000 กิโลภายใน 2 ปี หลังจาก 2 ปีจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกเยอะไหมครับ
-
ขับวิ่งเยอะแบบนี้ ผมแนะนำ ยี่ห้อไหนก็ได้ แต่เอาเครื่องดีเซล แทนเบนซิน
-
ไม่เกิน 4ปี เปลี่ยนก็ได้อยู่นะครับ แต่จะต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงแพงพอสมควร สำหรับ BMW ถ้าเลยหลักแสนไป
-
BMW อายุ 3-4 ปี ผมว่าถึงไม่มี BSI 70,000 บาทต่อปี ก็ น่าจะเอาอยู่นะ ถ้าใช้รถถนอมๆหน่อย คือ อะไหล่แพง แต่รายการซ่อมก็ยังไม่เยอะ
แต่ปัญหาต่อไปคือ พอหลุด BSI ราคาจะร่วงอย่างน่าใจหายมากๆ
วันนี้ลองเอา E60 ของพ่อ ที่พึ่งหมด BSI มา 1 ปีให้เค้าตีราคาเล่นๆ..... จึงรู้ว่า ซื้อมือสอง ก็ยังเจ็บหนักพอสมควรอยู่ดี ซื้อตั้งแต่ ก่อนหมด BSI
อาจจะเป็นผลมาจาก นโยบายรถคันแรกด้วย
แต่ผมว่า ถ้าใช้เยอะมากๆ แล้วกลัวรถจะช้ำ ซื้อเพิ่มอีกคัน หรือไม่ก็ เก็บคันเก่าไว้ก็ได้ครับ
-
ไม่ลองดู ยี่ห้อที่ ประกัน X ปี ไม่จำกัดระยะทางดูหล่ะครับ น่าจะคุ้มนะครับ
เท่าที่ทราบมี Lexus เนี่ยแหละครับ (แต่รถแพงไปนิด)
-
เอาแค่ค่ายาง2ปี100,000กิโลต้องมีเปลี่ยน3รอบ ค่ายางต้องมี60,000-80,000บาทแล้ว
น้ำมันเครื่องอีก 100,000กิโล เปลี่ยนน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ น่าจะประมาณ10รอบ น้ำมันเกียร์น่าจะมีเปลี่ยนประมาณ 3รอบ
อันนี้ราคาผมไม่แน่ใจเพราะไม่รู้ว่ามันเติมกี่ลิตร หรือใช้ยี่ห้อไหน กะคร่าวๆน่าจะกันงบไปซัก30,000 บาทละกัน
เท่ากับคุณหมดงบต้องที่เสียแน่ๆไปแล้วประมาณ 100,000บาท เหลือแค่40,000บาท
ยังไม่รวมค่าประกัน ถ้าเจอซ่อมหนัก หรือพวกซ่อมพวกอุปกรณ์เสริมต่างๆ ผมเกรงว่าจะไม่พอเอา
และที่วิ่งเยอะขนาดนี้ แสดงว่าต้องออกต่างจังหวัดบ่อยแน่ๆ บางทีไปบางจังหวัด เกิดเสียกลางทางอาจจะต้องรออะไหล่นานรึเปล่า ผมว่าเล่นรถญี่ปุ่นดีกว่าสะดวกกว่า
-
เผื่อหลายท่านยังไม่ทราบ BSI ซื้อเพิ่มได้นะครับ
-
เผื่อหลายท่านยังไม่ทราบ BSI ซื้อเพิ่มได้นะครับ
ถ้ามันจำกัดที่กิโลเมตร ผมซื้อไงก็ไม่คุ้มครับ
เท่าที่ผมทราบคือ 20,000 หรือ 25,000 ภายใน 1 ปีใช่ไหมครับ แล้วเราซื้อสูงสุดได้เท่าไหร่ครับ
งี้ถ้าผมจะซื้อเพิ่มอีก 1 แสนกิโล จะได้ไหมครับ
-
316i ดีกว่าครับ ค่าซ่อมคงไม่แพงมาก
-
เอาแค่ค่ายาง2ปี100,000กิโลต้องมีเปลี่ยน3รอบ ค่ายางต้องมี60,000-80,000บาทแล้ว
น้ำมันเครื่องอีก 100,000กิโล เปลี่ยนน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ น่าจะประมาณ10รอบ น้ำมันเกียร์น่าจะมีเปลี่ยนประมาณ 3รอบ
อันนี้ราคาผมไม่แน่ใจเพราะไม่รู้ว่ามันเติมกี่ลิตร หรือใช้ยี่ห้อไหน กะคร่าวๆน่าจะกันงบไปซัก30,000 บาทละกัน
เท่ากับคุณหมดงบต้องที่เสียแน่ๆไปแล้วประมาณ 100,000บาท เหลือแค่40,000บาท
ยังไม่รวมค่าประกัน ถ้าเจอซ่อมหนัก หรือพวกซ่อมพวกอุปกรณ์เสริมต่างๆ ผมเกรงว่าจะไม่พอเอา
และที่วิ่งเยอะขนาดนี้ แสดงว่าต้องออกต่างจังหวัดบ่อยแน่ๆ บางทีไปบางจังหวัด เกิดเสียกลางทางอาจจะต้องรออะไหล่นานรึเปล่า ผมว่าเล่นรถญี่ปุ่นดีกว่าสะดวกกว่า
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ
คือด้วยอารมณ์อยากขับรถยุโรปบ้างครับ >> พอเราเห็นคนอื่นขับเราก็อยากได้ครับ ต้องมองตามทุกๆครั้ง
ด้วยเหตุผลก็ควรจะเป็นรถญี่ปุ่นอะครับ เพราะผมใช้รถเยอะ >> ปัจจุบันผมก็ขับ D seg. อยู่ครับ
ผมวิ่งแต่ทางเดิมๆครับ คือไปทำงานต่างจังหวัดไปเช้าคำ่ๆกลับครับ ขึ้นมอเตอร์เวย์ครับถนนดีมากๆ
-
ไม่ลองดู ยี่ห้อที่ ประกัน X ปี ไม่จำกัดระยะทางดูหล่ะครับ น่าจะคุ้มนะครับ
เท่าที่ทราบมี Lexus เนี่ยแหละครับ (แต่รถแพงไปนิด)
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
Lexus เงินไม่ถึงและไม่ชอบครับ
ก็ดูของ MB ที่จะทำเป็น Star choice ไว้ด้วยครับ
-
ขับวิ่งเยอะแบบนี้ ผมแนะนำ ยี่ห้อไหนก็ได้ แต่เอาเครื่องดีเซล แทนเบนซิน
เครื่องดีเซลถ้าวิ่งเยอะๆจะมีปัญหาน้อยกว่าใช้ไหมครับ
-
ไม่เกิน 4ปี เปลี่ยนก็ได้อยู่นะครับ แต่จะต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงแพงพอสมควร สำหรับ BMW ถ้าเลยหลักแสนไป
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
-
กลัวเหมือนกันเลยครับ ขับประมาณ 50,000 กม.ต่อปีเหมือนกันครับ
ผมเลยจบที่รถญี่ปุ่นเจ้าตลาดแทน ที่จริงก็ตังค์ไม่ถึงแหละครับ 55
-
BMW อายุ 3-4 ปี ผมว่าถึงไม่มี BSI 70,000 บาทต่อปี ก็ น่าจะเอาอยู่นะ ถ้าใช้รถถนอมๆหน่อย คือ อะไหล่แพง แต่รายการซ่อมก็ยังไม่เยอะ
แต่ปัญหาต่อไปคือ พอหลุด BSI ราคาจะร่วงอย่างน่าใจหายมากๆ
วันนี้ลองเอา E60 ของพ่อ ที่พึ่งหมด BSI มา 1 ปีให้เค้าตีราคาเล่นๆ..... จึงรู้ว่า ซื้อมือสอง ก็ยังเจ็บหนักพอสมควรอยู่ดี ซื้อตั้งแต่ ก่อนหมด BSI
อาจจะเป็นผลมาจาก นโยบายรถคันแรกด้วย
แต่ผมว่า ถ้าใช้เยอะมากๆ แล้วกลัวรถจะช้ำ ซื้อเพิ่มอีกคัน หรือไม่ก็ เก็บคันเก่าไว้ก็ได้ครับ
ผมเคยมีความคิดว่าจะใช้รถ 2 คันครับ แต่ถ้าเอาจริงๆไปไหนผมจะใช้ 1 คันมากกว่าครับ คือคันเดียวจบเลยครับ
คือถ้าซื้อรถยุโรปละก็คงจะใช้แค่คันเดียวคงไม่อยากจะขับรถคันเก่าแล้วครับ
-
ขับวิ่งเยอะแบบนี้ ผมแนะนำ ยี่ห้อไหนก็ได้ แต่เอาเครื่องดีเซล แทนเบนซิน
เครื่องดีเซลถ้าวิ่งเยอะๆจะมีปัญหาน้อยกว่าใช้ไหมครับ
เครื่องดีเซลโอกาสเสียมันน้อยกว่าเครื่องเบนซินครับ แต่ถ้าซ่อมทีก็ซ่อมหนักเลย
-
กลัวเหมือนกันเลยครับ ขับประมาณ 50,000 กม.ต่อปีเหมือนกันครับ
ผมเลยจบที่รถญี่ปุ่นเจ้าตลาดแทน ที่จริงก็ตังค์ไม่ถึงแหละครับ 55
55 ผมก็ดูได้แค่C class กับซีรี่3 ครับ อันอื่นก็เกินงบครับ
เคยเป็นเหมือนผมไหมครับ เราขับรถ D seg แต่พอเห็นรถยุโรปแล้วเรามองตามและเราอยากได้มาก
พอรถยุโรปใหม่ๆที่เปิดตัวก็อยากได้และติดตามข่าวสารอยู่ตลอด
แต่พอมาคิดถึงเหตุผลก็รู้ว่าเราขับรถเยอะไม่เหมาะกับยุโรปกลัวค่าซ่อม
-
พอหมด bsi จับติดแก๊สเลยครับ 555 แซวเล่นนะครับ
-
กลัวเหมือนกันเลยครับ ขับประมาณ 50,000 กม.ต่อปีเหมือนกันครับ
ผมเลยจบที่รถญี่ปุ่นเจ้าตลาดแทน ที่จริงก็ตังค์ไม่ถึงแหละครับ 55
55 ผมก็ดูได้แค่C class กับซีรี่3 ครับ อันอื่นก็เกินงบครับ
เคยเป็นเหมือนผมไหมครับ เราขับรถ D seg แต่พอเห็นรถยุโรปแล้วเรามองตามและเราอยากได้มาก
พอรถยุโรปใหม่ๆที่เปิดตัวก็อยากได้และติดตามข่าวสารอยู่ตลอด
แต่พอมาคิดถึงเหตุผลก็รู้ว่าเราขับรถเยอะไม่เหมาะกับยุโรปกลัวค่าซ่อม
ผมก็คิดหนักเรื่องนี้เหมือนกันครับ
แต่ตัดใจซื้อรถยุโรปครับ
แพงจิงเอาเรื่องความปลอดภัยมาเป็นข้ออ้างครับ
-
เข้าใจดีครับ เพราะผมก็เป็นมาก่อน
ซีรีย์ 3 เป็นรถในฝัน มองตามตลอด
ผมว่าถ้าใช้รถเยอะ ต้องคิดแบบนี้ครับ
1. ถ้าอยากใช้รถยุโรปและมีงบพอไม่เดือดร้อน ซื้อเถอะครับไม่ต้องลังเล
เมื่อหมด BSI มีทางเลือกตามนี้
- ขายทิ้ง เอามาดาวน์ BM หรือ MB คันใหม่
- ซื้อ BSI เพิ่ม แต่เท่าที่ทราบ เพิ่มได้ปีเดียวหรือ 30000 กิโลถ้าจำไม่ผิด
- หาอู่นอกที่ไว้ใจได้ จบได้ครับ
2. ถ้าไม่ได้อยากขับยุโรปมาก แนะนำใช้โตโยต้าครับ อะไหล่หาง่าย ถูก ประหยัด
เหมาะกับการใช้รถแบบหนักหน่วง
-
กลัวเหมือนกันเลยครับ ขับประมาณ 50,000 กม.ต่อปีเหมือนกันครับ
ผมเลยจบที่รถญี่ปุ่นเจ้าตลาดแทน ที่จริงก็ตังค์ไม่ถึงแหละครับ 55
55 ผมก็ดูได้แค่C class กับซีรี่3 ครับ อันอื่นก็เกินงบครับ
เคยเป็นเหมือนผมไหมครับ เราขับรถ D seg แต่พอเห็นรถยุโรปแล้วเรามองตามและเราอยากได้มาก
พอรถยุโรปใหม่ๆที่เปิดตัวก็อยากได้และติดตามข่าวสารอยู่ตลอด
แต่พอมาคิดถึงเหตุผลก็รู้ว่าเราขับรถเยอะไม่เหมาะกับยุโรปกลัวค่าซ่อม
ผมก็คิดหนักเรื่องนี้เหมือนกันครับ
แต่ตัดใจซื้อรถยุโรปครับ
แพงจิงเอาเรื่องความปลอดภัยมาเป็นข้ออ้างครับ
55 ใช่เลยผมก็จะอ้างเรื่องความปลอดภัยเหมือนกันครับ
เออ ผมรบกวนถามหน่อยครับว่าพอหมดพวกbsiแล้วเป็นไงบ้างครับ
-
มีความสนใจในรถยุโรปครับ ทั้ง BM และ MB
ตอนแรกกะจะรอ C class ตัวใหม่ครับ เพราะของ MB สามารถซื้อเพิ่มได้
คล้ายๆ BSI ของ BM คือ Star Choice ได้ service and maintenance ฟรี 3 ปีไม่จำกัดระยะทาง
แต่ต้องจัดไฟแนนท์กับทาง MB เท่านั้น และดอกเบี้ยจะแพงกว่าปกติด้วย (อันนี้ถามเซลมาครับ)
แต่พอเห็นราคา 316i แล้วมันโดนมากเลยครับ ราคาไม่เกิน 2 ล้าน
แต่ติดอยู่ที่ว่าผมขับรถเยอะครับ ปีนึงประมาณ 50,000 กิโลครับ
คิดว่าถ้าใช้ 2 ปีก็คงถึงแสนกิโล และก็คงหมด BSI แล้วครับ
เลยกลัวว่าจะมีปัญหาจุกจิกตามมาครับ และจะได้ไม่คุ้มกับเสียครับ
คือผมคงกันเงินสำหรับซ่อมไว้ปีละไม่เกิน 70,000 ครับ (หมายถึงถ้าหมด BSI หลังจาก2ปี)
ถ้าเกินกว่านี้ผมว่าเปลี่ยนรถใหม่ง่ายกว่าครับ หรือว่าผมควรจะขับรถญี่ปุ่นต่อไป
ปกติผมขับรถไม่เกิน 4 ปีก็เปลี่ยนแล้วครับ
ถ้าผมขับรถครบ 100,000 กิโลภายใน 2 ปี หลังจาก 2 ปีจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกเยอะไหมครับ
ไม่แน่ใจว่าจขกทชอบเจ้า 316i เพราะว่าการขับขี่ของมันหรือว่าเพราะมันเป็น BMW เป็นหลักครับ แต่ถ้าชอบเรื่องการขับขี่ผมแนะนำให้ลองไปชำเลืองมองดู Subaru XV หน่อยก็ดีครับ ผมเพิ่งไปลองขับมาเมื่อวาน โดยรวมช่วงล่าง เบรค และพวงมาลัยผมชอบมากกว่าตัว F30 ครับ อัตราเร่งระหว่าง 316i กับ XV ไม่แน่ใจว่าใครแรงกว่ากัน ลองสลาลมและก็โยนเข้าโค้งยูเทิรน์แบบไม่หนักมากก็ใช้ได้เลยครับ เข้าใจว่าจขกทน่าจะวิ่งทางไกลเป็นหลัก ใช้รถสูงหน่อยแถมเป็นขับสี่ก็น่าจะโอเคน่ะครับ
อุปกรณ์ที่ให้มาก็ไม่ขี้เหร่น่ะครับไม่มีระบบไฟฟ้าอะไรที่ไม่จำเป็นต้องใช้มากมาย มีติแค่เรื่องเดียวสำหรับผมคือ ฟิลลิ่งในการเปิดปิดประตูรู้สึกว่ากระป๋องไปนิดหน่อย
ตอนนี้เท่าที่ทราบเรื่องการเซอร์วิส มีฟรีค่าแรง 3 ปีให้ด้วยครับ ตอนนี้มีโปรโมชั่นโซว์รูมแค่ละคันเดียวสำหรับสีน้ำเงิน คันล่ะ 1.29 ล้าน แถม แรคหลังคาของ Thule ให้ด้วยครับ
ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ Subaru น่ะครับ ส่วนตัวใช้ F30 320D อยู่ เผอิญเมื่อวานขับผ่านโชว์รูม Subaru และถนนโล่งๆก็เลยขอลองรถดู รู้สึกว่าถ้าเป็นคนชอบรถฟิลลิ่งออกแนวสปอรต์หน่อย คันนี้เทียบกับราคาเป็นตัวเลือกท่ี่น่าสนใจใช้ได้เลยครับ
-
เข้าใจดีครับ เพราะผมก็เป็นมาก่อน
ซีรีย์ 3 เป็นรถในฝัน มองตามตลอด
ผมว่าถ้าใช้รถเยอะ ต้องคิดแบบนี้ครับ
1. ถ้าอยากใช้รถยุโรปและมีงบพอไม่เดือดร้อน ซื้อเถอะครับไม่ต้องลังเล
เมื่อหมด BSI มีทางเลือกตามนี้
- ขายทิ้ง เอามาดาวน์ BM หรือ MB คันใหม่
- ซื้อ BSI เพิ่ม แต่เท่าที่ทราบ เพิ่มได้ปีเดียวหรือ 30000 กิโลถ้าจำไม่ผิด
- หาอู่นอกที่ไว้ใจได้ จบได้ครับ
2. ถ้าไม่ได้อยากขับยุโรปมาก แนะนำใช้โตโยต้าครับ อะไหล่หาง่าย ถูก ประหยัด
เหมาะกับการใช้รถแบบหนักหน่วง
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
ถ้าข้อ 1 ผมต้องขาย เปลี่ยนรถตอน 2 ปีครึ่งเองครับ
ข้อ 2 ตอนนี้ผมขับเทียน่า j32 อยู่ครับ ไม่คิดจะไปหาแคมรี่ครับ ถ้ายังกักออฟชั่นอยู่
แต่ต้องยอมรับครับ ว่าโตโยต้าทนจริงๆ ผมเคยขับวีออส วิ่งไปจะ 3 แสนกิโลเครื่องยังดีอยู่เลยครับ
-
มีความสนใจในรถยุโรปครับ ทั้ง BM และ MB
ตอนแรกกะจะรอ C class ตัวใหม่ครับ เพราะของ MB สามารถซื้อเพิ่มได้
คล้ายๆ BSI ของ BM คือ Star Choice ได้ service and maintenance ฟรี 3 ปีไม่จำกัดระยะทาง
แต่ต้องจัดไฟแนนท์กับทาง MB เท่านั้น และดอกเบี้ยจะแพงกว่าปกติด้วย (อันนี้ถามเซลมาครับ)
แต่พอเห็นราคา 316i แล้วมันโดนมากเลยครับ ราคาไม่เกิน 2 ล้าน
แต่ติดอยู่ที่ว่าผมขับรถเยอะครับ ปีนึงประมาณ 50,000 กิโลครับ
คิดว่าถ้าใช้ 2 ปีก็คงถึงแสนกิโล และก็คงหมด BSI แล้วครับ
เลยกลัวว่าจะมีปัญหาจุกจิกตามมาครับ และจะได้ไม่คุ้มกับเสียครับ
คือผมคงกันเงินสำหรับซ่อมไว้ปีละไม่เกิน 70,000 ครับ (หมายถึงถ้าหมด BSI หลังจาก2ปี)
ถ้าเกินกว่านี้ผมว่าเปลี่ยนรถใหม่ง่ายกว่าครับ หรือว่าผมควรจะขับรถญี่ปุ่นต่อไป
ปกติผมขับรถไม่เกิน 4 ปีก็เปลี่ยนแล้วครับ
ถ้าผมขับรถครบ 100,000 กิโลภายใน 2 ปี หลังจาก 2 ปีจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกเยอะไหมครับ
ไม่แน่ใจว่าจขกทชอบเจ้า 316i เพราะว่าการขับขี่ของมันหรือว่าเพราะมันเป็น BMW เป็นหลักครับ แต่ถ้าชอบเรื่องการขับขี่ผมแนะนำให้ลองไปชำเลืองมองดู Subaru XV หน่อยก็ดีครับ ผมเพิ่งไปลองขับมาเมื่อวาน โดยรวมช่วงล่าง เบรค และพวงมาลัยผมชอบมากกว่าตัว F30 ครับ อัตราเร่งระหว่าง 316i กับ XV ไม่แน่ใจว่าใครแรงกว่ากัน ลองสลาลมและก็โยนเข้าโค้งยูเทิรน์แบบไม่หนักมากก็ใช้ได้เลยครับ เข้าใจว่าจขกทน่าจะวิ่งทางไกลเป็นหลัก ใช้รถสูงหน่อยแถมเป็นขับสี่ก็น่าจะโอเคน่ะครับ
อุปกรณ์ที่ให้มาก็ไม่ขี้เหร่น่ะครับไม่มีระบบไฟฟ้าอะไรที่ไม่จำเป็นต้องใช้มากมาย มีติแค่เรื่องเดียวสำหรับผมคือ ฟิลลิ่งในการเปิดปิดประตูรู้สึกว่ากระป๋องไปนิดหน่อย
ตอนนี้เท่าที่ทราบเรื่องการเซอร์วิส มีฟรีค่าแรง 3 ปีให้ด้วยครับ ตอนนี้มีโปรโมชั่นโซว์รูมแค่ละคันเดียวสำหรับสีน้ำเงิน คันล่ะ 1.29 ล้าน แถม แรคหลังคาของ Thule ให้ด้วยครับ
ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ Subaru น่ะครับ ส่วนตัวใช้ F30 320D อยู่ เผอิญเมื่อวานขับผ่านโชว์รูม Subaru และถนนโล่งๆก็เลยขอลองรถดู รู้สึกว่าถ้าเป็นคนชอบรถฟิลลิ่งออกแนวสปอรต์หน่อย คันนี้เทียบกับราคาเป็นตัวเลือกท่ี่น่าสนใจใช้ได้เลยครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ซูบารุ XV เป็นรถที่คุณภาพดีเกินราคาเลยครับ
โดยส่วนตัวไม่ชอบรถยกสูงและ 5 ประตูครับ ถ้าผมจะเปลี่ยนจาก D seg. ก็คงไปทางฝั่งยุโรปเลยครับ
ผมชอบแบรน ยุโรปและมีกำลังตรงพอแค่ C class กับ ซีรี่ 3 ครับ
-
มีความสนใจในรถยุโรปครับ ทั้ง BM และ MB
ตอนแรกกะจะรอ C class ตัวใหม่ครับ เพราะของ MB สามารถซื้อเพิ่มได้
คล้ายๆ BSI ของ BM คือ Star Choice ได้ service and maintenance ฟรี 3 ปีไม่จำกัดระยะทาง
แต่ต้องจัดไฟแนนท์กับทาง MB เท่านั้น และดอกเบี้ยจะแพงกว่าปกติด้วย (อันนี้ถามเซลมาครับ)
แต่พอเห็นราคา 316i แล้วมันโดนมากเลยครับ ราคาไม่เกิน 2 ล้าน
แต่ติดอยู่ที่ว่าผมขับรถเยอะครับ ปีนึงประมาณ 50,000 กิโลครับ
คิดว่าถ้าใช้ 2 ปีก็คงถึงแสนกิโล และก็คงหมด BSI แล้วครับ
เลยกลัวว่าจะมีปัญหาจุกจิกตามมาครับ และจะได้ไม่คุ้มกับเสียครับ
คือผมคงกันเงินสำหรับซ่อมไว้ปีละไม่เกิน 70,000 ครับ (หมายถึงถ้าหมด BSI หลังจาก2ปี)
ถ้าเกินกว่านี้ผมว่าเปลี่ยนรถใหม่ง่ายกว่าครับ หรือว่าผมควรจะขับรถญี่ปุ่นต่อไป
ปกติผมขับรถไม่เกิน 4 ปีก็เปลี่ยนแล้วครับ
ถ้าผมขับรถครบ 100,000 กิโลภายใน 2 ปี หลังจาก 2 ปีจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกเยอะไหมครับ
ไม่แน่ใจว่าจขกทชอบเจ้า 316i เพราะว่าการขับขี่ของมันหรือว่าเพราะมันเป็น BMW เป็นหลักครับ แต่ถ้าชอบเรื่องการขับขี่ผมแนะนำให้ลองไปชำเลืองมองดู Subaru XV หน่อยก็ดีครับ ผมเพิ่งไปลองขับมาเมื่อวาน โดยรวมช่วงล่าง เบรค และพวงมาลัยผมชอบมากกว่าตัว F30 ครับ อัตราเร่งระหว่าง 316i กับ XV ไม่แน่ใจว่าใครแรงกว่ากัน ลองสลาลมและก็โยนเข้าโค้งยูเทิรน์แบบไม่หนักมากก็ใช้ได้เลยครับ เข้าใจว่าจขกทน่าจะวิ่งทางไกลเป็นหลัก ใช้รถสูงหน่อยแถมเป็นขับสี่ก็น่าจะโอเคน่ะครับ
อุปกรณ์ที่ให้มาก็ไม่ขี้เหร่น่ะครับไม่มีระบบไฟฟ้าอะไรที่ไม่จำเป็นต้องใช้มากมาย มีติแค่เรื่องเดียวสำหรับผมคือ ฟิลลิ่งในการเปิดปิดประตูรู้สึกว่ากระป๋องไปนิดหน่อย
ตอนนี้เท่าที่ทราบเรื่องการเซอร์วิส มีฟรีค่าแรง 3 ปีให้ด้วยครับ ตอนนี้มีโปรโมชั่นโซว์รูมแค่ละคันเดียวสำหรับสีน้ำเงิน คันล่ะ 1.29 ล้าน แถม แรคหลังคาของ Thule ให้ด้วยครับ
ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับ Subaru น่ะครับ ส่วนตัวใช้ F30 320D อยู่ เผอิญเมื่อวานขับผ่านโชว์รูม Subaru และถนนโล่งๆก็เลยขอลองรถดู รู้สึกว่าถ้าเป็นคนชอบรถฟิลลิ่งออกแนวสปอรต์หน่อย คันนี้เทียบกับราคาเป็นตัวเลือกท่ี่น่าสนใจใช้ได้เลยครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ซูบารุ XV เป็นรถที่คุณภาพดีเกินราคาเลยครับ
โดยส่วนตัวไม่ชอบรถยกสูงและ 5 ประตูครับ ถ้าผมจะเปลี่ยนจาก D seg. ก็คงไปทางฝั่งยุโรปเลยครับ
ผมชอบแบรน ยุโรปและมีกำลังตรงพอแค่ C class กับ ซีรี่ 3 ครับ
ถ้ายังงั้นผมคิดว่า 316i น่าจะเหมาะครับ จริงๆแล้ว รถ BMW เป็นรถที่ไม่ค่อยจุกจิกน่ะครับ เท่าที่ผมใช้มาคันนี้เป็นคันที่สี่แล้ว ทุกคันเป็นมือหนึ่ง โอกาสที่จะใช้ BSI นอกจากการเปลี่ยนผ้าเบรคและน้ำมันเครื่องแล้วก้อไม่ค่อยจะมีโอกาสหรอกครับ ส่วนใหญ่อะไหล่ที่ไม่ได้คุณภาพที่จะต้องเปลี่ยนจริงๆก็จะมีจดหมายจากทาง BWM เรียกให้เข้าไปเปลี่ยนเองครับ
ผมไม่แน่ใจว่า C Class ใหม่จะทำราคาหรือออกตัวที่จะลงมาสู้กับ 316i ตั้งแต่ต้นเลยหรือเปล่า ซึ่งผมคิดว่าไม่
เพราะฉะนั้น ราคาส่วนต่างของ C Class ใหม่กับ 316i ก็น่าจะมากอยู่พอสมควร จริงๆเอาส่วนต่างตรงนี้ไว้เป็นค่า Maintenance ของ 316i ไปได้สักสองปีหลังจากหมด BSI แบบสบายๆเลยครับ
-
หากไม้ได้ติดว่าจะต้องยุโรป ใช้เยอะขนาดนี้ ผมก็คงแนะนำไปญี่ปุ่นท่าจะดีกว่านะครับ เซฟกว่า
แต่หากไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก (ซึ่งคุณก็เตรียมไว้ 70000 บาทต่อปี) ก็ไม่น้อยนะ
หาอู่ไว้ใจซ่อม BM สักอู่ ดูเอาตาม web คอมเมนท์ต่างๆ แล้วก็ลองเข้าไปดู ซ่อมจบ ก็สบาย วิ่งกี่แสนก็ไม่มีปัญหา รถแม่ผมวิ่งจะ 3 แสนโลแล้ว ก็ยังใช้ได้ BM ขอให้ซ่อมให้ถึง และซ่อมให้จบ ใช้ได้ยาวๆ อย่างคุณ ก็ 5 ปี 250000 โล สบายๆ ครับ
แต่ก็นะ อย่าไปมองเรื่องขายต่อ เพราะวิ่งขนาดนี้ ขายต่อ คงต้องทำใจจริงๆ นะครับ
-
คือถ้ากังวลเรื่องซ่อม ค่าดูแล ผมว่าเพื่อความสบายใจ ออกรถญี่ปุ่น น่าจะสบายใจ และ สบายกระเป๋ากว่าครับ
แต่ถ้าเน้นความมั่นคง ความมั่นใจ ในการขับขี่ และ รับกับค่าดูแลที่แพงกว่าได้ ไปที่ BMW ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
-
สงสัยอย่างนึง
ใช้รถเยอะๆ ทำไมไม่คิดว่าซื้อแล้วคุ้ม ได้ใช้เยอะๆ คุ้ม
ใช้รถยุโรปต้องใช้น้อยๆถึงจะซื้อหรอครับ แทนที่จะคิดว่ารถแพงๆ ใช้เยอะๆ ยิ่งคุ้มกับสมรรถนะและความปลอดภัยที่มีให้
ใช้น้อยๆสิ ซื้ออะไรก็ได้ เพราะอยู่กับมันน้อย
-
สงสัยอย่างนึง
ใช้รถเยอะๆ ทำไมไม่คิดว่าซื้อแล้วคุ้ม ได้ใช้เยอะๆ คุ้ม
ใช้รถยุโรปต้องใช้น้อยๆถึงจะซื้อหรอครับ แทนที่จะคิดว่ารถแพงๆ ใช้เยอะๆ ยิ่งคุ้มกับสมรรถนะและความปลอดภัยที่มีให้
ใช้น้อยๆสิ ซื้ออะไรก็ได้ เพราะอยู่กับมันน้อย
ของผมที่กลัวคือกลัวว่าหลังจากหมดBSI แล้วมันจะเสียค่าซ่อมเยอะมาก
คำว่าคุ้มของคุณกับของผมมันเหมือนกันหรือเปล่าครับ
ไม่ทราบว่าคุณใช้รถปีละกี่กิโลครับ
-
จากที่เคยใช้ E46 หลังหมด BSI มา คิดว่าปีละ 70000 น่าจะพอแค่บางปี
ประมาณว่าเวลาเสียมันจะเสียติดๆกันชุดใหญ่ ปีนั้นจะโดนเป็นแสน
แต่พอซ่อมหมดมันจะหายไปซักปีสองปี แต่ก็หนักอยู่
ถ้าใช้รถเยอะและอย่างได้ BM/MB แนะนำเกรย์ดีกว่า
หาที่ถูกกว่าศุนย์เยอะๆหน่อยไม่เน้น BSI น่าจะคุ้มกว่า
ไม่งั้นคงต้องเล่นรถยุ่นต่อไป เก็บเงินต่อซักพักให้มากพอที่จะไม่คิดเรื่องซ่อมค่อยซื้อ
-
ใช้ ญี่ปุ่น เจ้าตลาด ดีกว่า
เป็นผมซื้อ PPV ซักคัน วิ่งมัน วิ่งยาวเลย
-
ยิ่งวิ่งเยอะๆแล้วผมว่าใช้รถยุโรปน่าจะยิ่งคุ้มนะ ปลอดภัยด้วย
ค่าซ่อมปีละ70,000ผมว่าเยอะแล้วนะ อาจจะมีบางปีเกินถ้าเป็นซ่อมใหญ่แต่รถยุโรปถ้าซ่อมถึงมันจะไม่จุกจิกอย่างที่คิดนะครับ
ผมใช้ VW Passat อยู่สิบกว่าปีแล้วยังไม่มีปีไหนซ่อมเกิน70,000เลยครับ
-
จากประสพการณ์ที่เคยใช้ e60 มานะครับ ถ้าจะวิ่งปีละ 50000 km. สิ่งที่จะต้องจ่าย
1.เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง 3 ครั้งครั้งละ 6,500 บาท = 19500 บาท
2.เปลี่ยนยาง 4 เส้นประมาณ 25,000 บาท
3.ผ้าเบรคถ้าเปลี่ยน หน้าหลังอยู่ประมาณ 20,000 บาท(รวมสายเซ็นเซอร์) ถ้าเปลี่ยอู่นอกก็ประมาณ 7,000
4.ค่าน้ำมันเบรค น้ำมันเกียร์ ประมาณ 10,000 บาท(ไม่รวมน้ำมันเฟืองท้ายนะครับ)
5.และมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก เช่น กรองแอร์ ใบปัดน้ำฝน อีกหลายอย่างที่จะตามมา กันไว้ 20,000 บาท
แค่นี้ก็เกิน 70,000 บาทต่อปีแล้วครับ ถ้าใช้แล้วกะจะขายต่อต้องทำใจครับ รถยุโรปยิ่งวิ่งเยอะยิ่งขายยาก
แต่ถ้าเราคิดถึงเรื่องการขับขี่ ความปลอดภัยยังไงก็ดีกว่ารถญี่ปุ่นหลายรุ่นครับ
-
ถ้าไม่ซื้อยุโรปป้ายแดง
เป็นผมคนเลือกD-Segmentชอบๆสักคัน หรือไม่ก็ยุโรปมือสองรุ่นใหม่ๆที่นิยมๆดูสภาพดีดีหน่อย หาอู่ดีดีทำเอาครับถ้ามีอะไรเสีย
ภาพลักษณ์ควบคู่ไปกับงบแหละครับ สบายใจคันไหน ลองคิดยาวๆถ้าไหวก็ซื้อเลย
-
Teana L33 2.0XL (ใช้ J32 ผมว่า ตัวนี้ต่อเลยครับ ^_^)
Mazda CX-5 2.2D
X-Trail (มาปีหน้า)
Collora ปีหน้า
MZ3 (อาจจะ ปีหน้า)
ถ้าไม่รีบ รอดูก็ได้ครับ
116i นำเข้า ก็ดีนะครับ เล็กดี ^_^
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนตัวผม
ถ้ารอไม่ได้
ถ้าใช้รถเยอะ ต้องการช่วงล่างดีๆ นุ่มๆ ผมเลือก L33 //ถ้าเบื่อนุ่ม ก็ไป G9 ครับ
ถ้าจำเป็นต้องดีเซลกับขายต่อแถมวิ่งเยอะ 2ปีแสนโล ผมอาจจะดู MU-X เพราะ ขายต่อดี แน่ๆครับ (กำลังเปิดตัว)
ถ้ารอได้ ผมก็รอ X-trail (7seats) ว่าจะมีหรือเปล่า มีเครื่องดีเซลหรือเปล่า (เขาว่าจะมามีนาคมปีหน้า)
-
ปัญหานี้ เป็นผมจะตัดใจเลยครับ ไม่เอารถยุโรปเลย ถ้าวิ่งขนาดนี้
เป็นผมไป PPV เลยครับ วิ่งยาว วิ่งดี นั่งพอใช้ สบายใจ ;D หรืออาจจะ SUV Diesel อย่าง Captiva LTZ ก็ไม่เลวครับ รถดีมาก แต่ 1.7 ล้าน แพงกว่า PPV ทุกรุ่นในไทย
หรือถ้าตัดใจไม่ลงจริงๆ BSI 1ปี มันอยู่ได้แค่ 20000 โลเองครับ แล้วคุณใช้ถึงปีละ 50000 คุณใช้ 3.5เดือน ก็หมดแล้วครับ 555 / 5-6 หมื่นบาท/ปี
-
เป็นผม ผมซื้อยุโรปครับ
ใช้ไปเถอะครับ แต่พอหมดประกัน อาจจะต้องกันเงินไว้มากหน่อย อย่างความเห็นก่อนหน้านี้
ถ้าใจรัก ก็เล่นไปเถอะครับ
ถ้าไม่ไหวก็ค่อยขายไป อนาคตเป็นอย่างไรไม่รู้ คุณอาจจะรวยขึ้น มีงบบำรุงรักษารถมากขึ้นก็ได้
บางอย่างก็ต้องลองใช้ลองมีประสบการณ์ดูถึงจะรู้ครับว่าไหวไม่ไหว
-
รถยุโรปบทจะพังไม่วิ่งเยอะก็พังได้นะครับ
W203 คันเก่า ใช้มา8ปี วิ่งไป70000เอง เริ่มน้ำมันรั่วตั้งแต่ปีที่3 :-X
คือถ้าราคารถมันอื้มถึง ผมไม่แนะนำนะ ราคารถต้องกำลังสบายกระเป๋าจะดีกว่าครับ
-
รถยุโรป ผมก็ลังเลครับ สุดท้ายก็ไปจบที่ D-seg เจ้าตลาด
หากซื้อBM ก็จะได้คำว่า รถ บีเอ็ม .... จุดประสงค์ที่จะซ์้อก็คือ วิ่งออกงาน วิ่งวันหยุด ผมว่าเพียงพอแล้วครับ
ส่วนขับทำงานก็จัด PPV วิ่งสักคัน เหตุผลที่ไม่เลือก BM เพราะ BSI เนี่ยแหละ กับชื่อเสียงคำล่ำลือตอน BSI หมด
จะไปซ์้อ Benz C Class W204 ก็ใกล้อวสารแล้ว เลยไปจบที่ D-Seg เจ้าตลาด สะงั้น ...
-
รักเอย.. จริงหรือ ที่ว่าหวาน
หรือ
ทอระมานใจคน--
......
ผู้รู้ พึงรู้ได้ เฉพาะตน (ไม่ฮา-- แต่บีเอ็มเท่านั้น อิ อิ)
ต้องลองครับ ถึงจะรู้
ว่า.. รักเป็นเช่นนี้ 55
-
เข้าใจดีครับ เพราะผมก็เป็นมาก่อน
ซีรีย์ 3 เป็นรถในฝัน มองตามตลอด
ผมว่าถ้าใช้รถเยอะ ต้องคิดแบบนี้ครับ
1. ถ้าอยากใช้รถยุโรปและมีงบพอไม่เดือดร้อน ซื้อเถอะครับไม่ต้องลังเล
เมื่อหมด BSI มีทางเลือกตามนี้
- ขายทิ้ง เอามาดาวน์ BM หรือ MB คันใหม่
- ซื้อ BSI เพิ่ม แต่เท่าที่ทราบ เพิ่มได้ปีเดียวหรือ 30000 กิโลถ้าจำไม่ผิด
- หาอู่นอกที่ไว้ใจได้ จบได้ครับ
2. ถ้าไม่ได้อยากขับยุโรปมาก แนะนำใช้โตโยต้าครับ อะไหล่หาง่าย ถูก ประหยัด
เหมาะกับการใช้รถแบบหนักหน่วง
พี่หมอ อู่นอกซ่อมได้เหรอครับ เห็นคุณจิมมี่บอกว่า BMW รุ่นใหม่ๆ มีการล็อคระบบคอมไว้ มีแต่ศูนย์ของประเทศนั้นๆ ที่จะ service ได้นะครับ ลองหาๆ กระทู้เก่าๆ ของพี่จิมมี่ดูได้ครับ
-
ขอบคุณทุกคำแนะนำ ขอบคุณทุกคอมเม้นนะครับ
ผมจะนำไปเป็นข้อมูลในการตัดสินใจอีกครั้งครับ
:) :) :) :) :)
-
รถวิ่งเยอะๆไม่จำเป็นที่มันจะต้องเสียเยอะนะครับ ถ้าบำรุงรักษามันปกติ มันก็ไม่ได้ต่างจากรถญี่ปุ่น
ไม่ได้กระแทกคันเร่งเป็นชีวิตจิตใจ เจอหลุมบ่อหลบ หยอดมันบ้าง ผมว่าสบายๆ ซื้อไปเลยครับ
-
วิ่งเยอะขนาดนี้ สำหรับผมเลือกรถยุโรปมาก่อน ในแง่ความปลอดภัยครับ ระบบเบรค ระบบป้องกันการชน ทั้งก่อนและหลัง ผมว่ายังห่างกับรถญี่ปุ่นเยอะครับ
และรถดีเซล ก็น่าจะตอบโจทย์เรื่องประหยัดกว่า และทนถึกกว่าเยอะครับ เพราะโดยเทคโนโลยีของดีเซลแล้ว มันใช้ชิ้นส่วนน้อยชิ้นกว่า ชิ้นใหญ่กว่า มันก็ทนกว่าโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
ส่วนที่จะไม่ทนก็คือระบบไฟฟ้า ซึ่งเมืองไทยเราปราบเซียนเรื่องนี้ เพราะอากาศร้อนชื้น
-
ใช้รถเยอะขนาดนี้เป็นผมเลือก Cruze 2.0 ดีเซล ครับ ประหยัด อึด ไม่เสียดายรถ
-
Benz มีประกัน5ปี ไม่จำกัดระยะทาง ติดต่อได้ที่ศูนย์ใกล้บ้านท่านครับ
ยืนยันเพราะใช้อยู่
-
แต่ละปี ที่บ้านผมจะใช้รถทำงานประมาณ 65,000 กม .
(แต่มีสลับใช้ 2-3 คัน)
กรุงเทพ - ทั่วภาคเหนือ (เยี่ยมลูกค้า เก็บบัญชี)
คุณพ่อจะยืนพื้น "ต้องรถยุโรป เพื่อความปลอดภัย
และภาพลักษณ์" โดยใช้ E สลับ ซีรีย์ 5 มาตลอด
แต่เดิม ก้ไม่เคยสนใจ ขับไปเรื่อย บำรุงรักษาอย่างดี
พอมาถึง e60 เป็นครั้งแรกที่มี BSI.. ก็อุ่นใจดีครับ
แต่... มันเป็นดาบสองคม มันสร้างความกังวลในการใช้
(ถ้าใครใช้รถเยอะๆ จะเข้าใจ)
100,000 โล จากที่ไม่สนใจ ...ทำไมตอนนี้มันหมดไว
จัง (วะ) ขับไป นั่งนับถอยหลังไป BSI จะหมดแล้วๆ
จนทนไม่ไหว ต้องถอย H1 มากอบกู้ ผมกลับมีความสุข วิ่งแหลก ขับมันส์ คลายกังวล ปีเดียว 60,000 (ไม่มี BSI มาค้ำคอและราคารถไม่สูงมากนัก)
ตอนนี้ e60 ใช้ไป 130,000 แต่ก็ยังไม่มีอะไรเสีย
หรือจุกจิกเลยครับ แต่ผมเอาไว้ใช้ระยะสั้น ไปงานแต่ง
ไม่เอาไปลุยไกลๆ (เพราะ BSI หมด กลัวแจ๊คพอต)
สรุปสำหรับ คุณ north จขกท. (ในความคิดผม)
รถยุโรป ขับดี ปลอดภัย ภูมิใจ ลูกค้าเกรงใจ
ไม่ได้จุกจิกอะไรมากหรอกครับ ยิ่งดีเซล สุดยอด!
แต่... อาจจะยังไม่คุ้มสำหรับ จขกท. ในตอนนี้
ถ้าใช้เยอะขนาดนี้ ยังไงก็ควรมีอีกคันมาเสริม
แล้วจะใช้อย่างมีความสุขครับ
-
แล้วแต่ครับ
ผมเข้าใจนะว่าโจทย์เหมาะกับรถยุ่น
แต่พออกยุ่นมา แล้วเจอยุโรปที่เราเล็งไว้ป้ายแดง ใจมันก็อดคิดไม่ได้
เป็นผมคงไป BMW ครับ
-
Benz มีประกัน5ปี ไม่จำกัดระยะทาง ติดต่อได้ที่ศูนย์ใกล้บ้านท่านครับ
ยืนยันเพราะใช้อยู่
รับประกันนี่รวมถึงพวกเซอวิสต่างๆด้วยไหมครับ เช่นพวกเปลี่ยนถ่ายของเหลว ผ้าเบรคอะไรอย่างนี้ครับ