Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: xtrarach ที่ พฤศจิกายน 13, 2013, 11:50:45
-
รบกวนช่วยกันวิเคราะห์ความแตกต่างของ 2.5G, 2.2D หน่อยนะครับ เพื่อความคุ้มค่า
(ไม่จำเป็นต้องมีตัวไหน win เป็นข้อๆนะครับ)
1. อัตราเร่ง/ feeling ความสนุกในการขับ
2. ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
3. ความทนทานของตัวเครื่อง และ ความจุกจิกในระยะยาว รวมถึงความสิ้นเปลืองในการดูแลระยะยาวด้วย
4. ถ้าจะเรียกม้าเพิ่มจากเครื่อง อันไหนง่ายกว่า ใช้งบน้อยกว่า พังยากกว่า (step สบายๆพอนะครับ ไม่ได้จะเอาแบบยิ่งใหญ่พังกันไปข้าง)
5. ความรื่นรมย์ แบบ smooth กว่า เสียงเงียบอะไรแบบเนี้ย
ถ้าการตั้งกระทู้แยกมาใหม่ไม่เหมาะสมก็ขอโทษด้วยนะครับ :-*
เพิ่ม P.S. ถ้าเทียบ2เครื่องนี้ก็คล้ายกับเทียบ 28i กับ 20d ของ BMW ทำไมเจ้านั้น 20d ถึงถูกกว่า
-
เทียบแบบนี้แล้วกันครับ
1. เครื่อง2.5 ถ้าวัดฟีลลิ่ง ผมขับ Altis 1.8G รู้สึกดึงกว่า แรงกว่า ขนาดเป็น CVT (อาจต้องยกความดีความชอบให้คนที่เซทเกียร์ของอัลติสด้วย)
ส่วน2.2 ฟิลลิ่ง กระชากกว่าชัดเจน
2. สิ้นเปลือง ดีเซลดีกว่าอยู่แล้วครับ อ้างอิงจากตัวเลขที่มาสด้าให้มาก็ได้ครับ (หมายถึง เทียบความต่างเป็น % ได้ครับ อย่าไปดูตัวเลขเพียวๆ)
3 4 ไม่ทราบครับ
5. เอาจริงๆ เบนซินเงียบจริง ดีเซลก็เงียบเกินพอครับ ไม่รู็สึกว่าเสียงเครื่อง รบกวนอะไรเท่าไรครับ
-
เทียบแบบนี้แล้วกันครับ
1. เครื่อง2.5 ถ้าวัดฟีลลิ่ง ผมขับ Altis 1.8G รู้สึกดึงกว่า แรงกว่า ขนาดเป็น CVT (อาจต้องยกความดีความชอบให้คนที่เซทเกียร์ของอัลติสด้วย)
ส่วน2.2 ฟิลลิ่ง กระชากกว่าชัดเจน
2. สิ้นเปลือง ดีเซลดีกว่าอยู่แล้วครับ อ้างอิงจากตัวเลขที่มาสด้าให้มาก็ได้ครับ (หมายถึง เทียบความต่างเป็น % ได้ครับ อย่าไปดูตัวเลขเพียวๆ)
3 4 ไม่ทราบครับ
5. เอาจริงๆ เบนซินเงียบจริง ดีเซลก็เงียบเกินพอครับ ไม่รู็สึกว่าเสียงเครื่อง รบกวนอะไรเท่าไรครับ
ขอบคุณครับ. ที่2.5รู้สึกไม่แรงอาจเป็นเพราะเครื่องเกียร์สมูทจนไม่รู้สึกดึงเป็นได้รึเปล่า
-
เทียบแบบนี้แล้วกันครับ
1. เครื่อง2.5 ถ้าวัดฟีลลิ่ง ผมขับ Altis 1.8G รู้สึกดึงกว่า แรงกว่า ขนาดเป็น CVT (อาจต้องยกความดีความชอบให้คนที่เซทเกียร์ของอัลติสด้วย)
ส่วน2.2 ฟิลลิ่ง กระชากกว่าชัดเจน
2. สิ้นเปลือง ดีเซลดีกว่าอยู่แล้วครับ อ้างอิงจากตัวเลขที่มาสด้าให้มาก็ได้ครับ (หมายถึง เทียบความต่างเป็น % ได้ครับ อย่าไปดูตัวเลขเพียวๆ)
3 4 ไม่ทราบครับ
5. เอาจริงๆ เบนซินเงียบจริง ดีเซลก็เงียบเกินพอครับ ไม่รู็สึกว่าเสียงเครื่อง รบกวนอะไรเท่าไรครับ
ขอบคุณครับ. ที่2.5รู้สึกไม่แรงอาจเป็นเพราะเครื่องเกียร์สมูทจนไม่รู้สึกดึงเป็นได้รึเปล่า
เป็นไปได้แน่นอนครับ ช่วงล่างก็มีส่วนเยอะ ดูในปัจจุบันมีหลายคันเลยครับที่สเปคแรงบิดเยอะแต่ขับไม่สนุก ไม่รู้สึกกระชาก มีเยอะครับ
-
1.แรงดึงดีเซลมากกว่า อัตราเร่งวัดเป็นตัวเลขผมว่าพอกัน แต่เวลาใช้งานจริงกดพอๆกันดีเซลจะให้ความรู้สึกว่าพุ่งกว่า รอบต่ำกว่า
2.อัตราสิ้นเปลือง แน่นอนครับ ดีเซลประหยัดกว่า ค่าน้ำมันต่อลิตรก็ถูกกว่าครับ
3.ความทนทาน ดีเซล ขึ้นชื่อว่าทนกว่าอยู่แล้ว รวมถึงความสามารถในการลุยน้ำก็ดีกว่า
4.ถ้าจะเพิ่มกำลังต่อ ดีเซลก็ทำง่ายกว่า แค่ remap ก็แรงขึ้นแบบเห็นได้ชัด ส่วนเบนซินNA ต้องทำเยอะครับกว่าจะได้แรงม้าเพิ่ม
5.ความ smooth ในการขับ เบนซินดีกว่า เงียบกว่า นิ่งกว่า เสียงดังน้อยกว่าครับ
เจ้าของกระทู้เองกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกเบนซิน หรือ ดีเซล ดี สำหรับ CX5 ใช่ไหมครับ
ถ้าเป็นเครื่องเบนซิน turbo กับ ดีเซล turbo อันนี้เลือกยากกว่าครับ เพราะ อัตราเร่ง แรงดึง มันพอๆกันเลย ต่างกันที่ความประหยัด กับ เสียงเครื่องยนต์ เผลอๆเบนซิน turbo วิ่งดีกว่านิดๆด้วย
แต่สำหรับผม ผมมองว่า เบนซินNA กับ ดีเซลturbo ถ้างบถึง ออกดีเซลเลยครับ แถมน้ำมันดีเซลบ้านเราถูกกว่าเบนซินอีก
(Ps. ลองไปขับดูครับ ไปกันนั่งเต็มคันเลย แล้วลองวิ่งดู แรงบิดที่มากกว่าจะให้ความรู้สึกในกรณีนี้แบบเห็นชัดครับ)
-
1. ถ้าลากยาว 2.5 สนุกกว่า ปลายไหลกว่า 2.2 จะออกแนวประชาก ดึง เร่งแซงได้ดี
2. ดีเซลประหยัดกว่า
3. ดีเซลทนกว่า
4. ดีเซลง่ายกว่า
5. 2.5 Skyactiv-G
ถ้าเทียบ2เครื่องนี้ก็คล้ายกับเทียบ 28i กับ 20d ของ BMW ทำไมเจ้านั้น 20d ถึงถูกกว่า
28i เทอร์โบแบบ twin power turbo(ไม่ใช่เทอร์โบคู่)
20d Turbo ธรรมดา ไม่ใช่ระบบเดียวกับ 28i
แต่ถ้าเป็น 25d จะแพงกว่า 28i
-
เท่าที่ผมลองมา 2.2D ดีกว่า 2.5G เกือบทุกด้าน ยกเว้นเสียงเครื่อง แต่ดีเซลก็เงียบมากแล้ว
ผมจ้อง2.2D อยู่นะ แต่รอสีดำ
-
1.แรงดึงดีเซลมากกว่า อัตราเร่งวัดเป็นตัวเลขผมว่าพอกัน แต่เวลาใช้งานจริงกดพอๆกันดีเซลจะให้ความรู้สึกว่าพุ่งกว่า รอบต่ำกว่า
2.อัตราสิ้นเปลือง แน่นอนครับ ดีเซลประหยัดกว่า ค่าน้ำมันต่อลิตรก็ถูกกว่าครับ
3.ความทนทาน ดีเซล ขึ้นชื่อว่าทนกว่าอยู่แล้ว รวมถึงความสามารถในการลุยน้ำก็ดีกว่า
4.ถ้าจะเพิ่มกำลังต่อ ดีเซลก็ทำง่ายกว่า แค่ remap ก็แรงขึ้นแบบเห็นได้ชัด ส่วนเบนซินNA ต้องทำเยอะครับกว่าจะได้แรงม้าเพิ่ม
5.ความ smooth ในการขับ เบนซินดีกว่า เงียบกว่า นิ่งกว่า เสียงดังน้อยกว่าครับ
เจ้าของกระทู้เองกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกเบนซิน หรือ ดีเซล ดี สำหรับ CX5 ใช่ไหมครับ
ถ้าเป็นเครื่องเบนซิน turbo กับ ดีเซล turbo อันนี้เลือกยากกว่าครับ เพราะ อัตราเร่ง แรงดึง มันพอๆกันเลย ต่างกันที่ความประหยัด กับ เสียงเครื่องยนต์ เผลอๆเบนซิน turbo วิ่งดีกว่านิดๆด้วย
แต่สำหรับผม ผมมองว่า เบนซินNA กับ ดีเซลturbo ถ้างบถึง ออกดีเซลเลยครับ แถมน้ำมันดีเซลบ้านเราถูกกว่าเบนซินอีก
(Ps. ลองไปขับดูครับ ไปกันนั่งเต็มคันเลย แล้วลองวิ่งดู แรงบิดที่มากกว่าจะให้ความรู้สึกในกรณีนี้แบบเห็นชัดครับ)
ขออนุญาตเสริมนะครับ
ประโยคสุดท้ายนี่ชัดเจนเลยครับ
ดีเซลเทอร์โบจะรองรับทุกๆสถานการณ์ได้ค่อนข้างดีและพร้อมกว่าครับ
โดยเฉพาะกรณีบรรทุกคนหรือของเยอะ จะชัดเจนเลยครับ
ถ้างบไม่ใช่ปัญหาแล้วคุณจะได้คำตอบครับ ;)
-
2.5 กับ 2.2D จากที่ได้ไปลองขับ อัตราเร่งใกล้เคียงกันมาก
เบนซิน ดีกว่าตรงการตอบสนอง กดคันเร่งแล้วมาทันที ลากยาวๆ สนุกกว่า เสียงเพราะกว่า
ดีเซล มีรอรอบช่วงแรกที่กดคันเร่งนิดหน่อย แต่ดึงหนักกว่า และคิดว่าถ้ากดคันเร่งครึ่งๆ กลางๆ น่าจะเร่งดีกว่าเบนซิน
ประหยัดยังไงก็ดีเซล น้ำมันถูกกว่า อัตราสิ้นเปลืองก็ดีกว่า
ถ้าจะเอาไปทำแรงต่อ ดีเซลเทอร์โบง่ายกว่าอยู่แล้ว จูน ECU นิดหน่อยน่าจะเสกม้ามาได้อีกหลาย
สรุปก็คือ ถ้าสนขับมันส์อย่างเดียวเบนซิน แต่ถ้ามองทั้งหมดแล้วดีเซลดีกว่า
แต่สำหรับยังไม่ดีพอให้จ่ายส่วนต่าง 230,000 อ่ะครับ กว่าดีเซลจะคืนส่วนต่างราคาก็ต้องวิ่ง 200,000+ กิโล เลยจอง 2.5 ไป
-
ผมว่าตัวดีเซลได้เปรียบทุกข้อ ยกเว้นข้อ 5 และความเร็วปลาย เท่าที่ดู Youtube ทดสอบความเร็วสูงสุด 2.5 เบนซิน กับ 2.2 ดีเซล เบนซินจะไหลได้ 230+ ส่วนดีเซลไหลได้ 220+ กรณี CX5 หากตัวดีเซลมี Moonroof เป็นออฟชั่นที่มีมากกว่าตัวเบนซิน กับราคาที่ต่างกัน 200,000 + อันนี้ตัดสินใจไปดีเซลได้ง่าย ให้ตัดสินใจตอนนี้คงยาก แต่โชคดีที่รอตัดสินใจในตัว Mazda 6
สิ่งที่ดีเซลเทอร์โบล่อตาล่อใจผมก็คือ ทำม้าเพิ่มได้มากกว่าในราคาย่อยเยา ;)