Headlight Magazine : community
General => Relax & Photoshop Room => ข้อความที่เริ่มโดย: sukhontha ที่ มีนาคม 31, 2014, 09:43:41
-
คือเวลารับคนเข้าทำงาน ผมมักจะถามเข้าเรื่องส่วนตัวไปบ้างเช่น
ใช้โทรฯ ยี่ห้ออะไร? ราคาเท่าไร?
เล่นไลน์หรือเปล่?
เล่นเฟสฯหรือเปล่า?
เพื่อนในเฟสเยอะไหม?
ประมาณนี้...แล้วใช้สี่หัวข้อนี้ในการตัดสินใจว่ารับ หรือไม่รับ....
โทรศัพท์แพง...ไม่รับ
สามข้อหลัง ตอบทางปฏิเสธ ผมรับ ....
คุณว่าผมเห็นแก่ตัวไหม ในเมื่องาน ต้องการสมาธิสูง เพื่อความปลอดภัย และเพื่อประสิทธิภาพของงาน.....
-
โทรศัพย์แพง ไม่รับผมว่ามันมากไปนะ :D
ส่วนข้ออื่นๆถ้างานต้องใช้สมาธิเยอะมากๆ ควรออกกฏห้ามเล่นดีกว่า
ห้ามเล่นขณะทำงาน นอกเวลางาน เบรคพัก ก็ตามใจเค้าเถอะ ช่วงพักของเค้า
ขอตอบในมุมอดีตลูกจ้างนะครับ ตอนนี้เป็นนายตัวเอง
เห็นพนักงานบางคนในยุคนี้ ห้ามเล่นเฟรชเล่นไลน์เหมือนจะขาดใจตาย
ยังแอบคิดเลยว่า ถ้าเฟชบุคปิดบริษัท และไลน์หายไป เค้าจะลงแดงกันไหม ;D
-
ถ้าถามแค่นี้ตอบ yes no แล้วรับไม่รับ ผมว่ามากไปมว๊ากกก ครับ :)
-
ถ้านั่นคือเกณฑ์ที่คุณใช้รับคนเข้ามาทำงาน
ตอบได้ว่า.. คุณ ไม่ใช่นายจ้างที่ดี
เพราะคุณได้เข้าไปรุกล้ำสิทธิส่วนตัวเค้ามากเกินไป
และเป็นคนมโนอะไรไปเอง โดยไม่มีการมองถึงความสามารถในด้านการงานจริงๆ
หรือถ้าผมเป็นเจ้านายคุณ ผมจะมองคุณว่าเป็นคนที่วิชั่นค่อนข้างแคบ
แต่ถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัท นั่นก็คือสิทธิ์ของคุณ
ถามตรงตอบตรงนะครับ ^__^
-
ถ้าถามว่ามากไปไหม ผมว่าคุณสมบัติไม่กี่ข้อตรงนั้นบอกอะไรเกี่ยวกับคนหนึ่งคนไม่ได้มากหรอกครับ
คนเฝ้าบ้านผม น่าจะเข้าคุณสมบัติตามที่คุณว่ามา
ใช้โทรฯ ยี่ห้ออะไร? ราคาเท่าไร? เขาใช้ Samsung รุ่นเก่าเครื่องละพันกว่าบาทครับ
เล่นไลน์หรือเปล่า ก็เปล่า เพราะเขาเล่นไม่เป็นครับ เล่นเฟสฯหรือเปล่า?ไม่มีครับ
ดูแล้วน่าจะดี แต่แม่คุณทูนหัวแกโทรศัพท์บ่อยจนน่ากลัวจะเป็นมะเร็งสมองแทน
เสียงก็แปร๋นๆแสบแก้วหูสิ้นดี ของพวกนี้วันสมัครงานกับวันสัมภาษณ์ลายไม่ออกหรอกครับ
ต้องเข้ามาทำงานสักพักแล้วจะเห็น
ผมว่าการจะมีSocial Network อะไรบ้าง อันนั้นเรื่องส่วนตัวเขาครับ ผมไม่เคยคิดจะถาม
แต่คุณสามารถสร้างกฏได้ว่าห้ามทำอะไรบ้าง ซึ่งคุณสามารถแจ้งให้เขาทราบตอนสัมภาษณ์เลย
ถ้าทำไม่ได้ก็อย่ามาทำงานด้วยกัน
-
ของพวกนี้ไม่มีใครเอามาวัดประสิทธิภาพของคนกันหรอกครับ ขอให้คุณได้คนที่คุณต้องการนะครับ ...
-
ถ้ามีตัวเลือกมากก็แล้วแต่คุณครับ แต่ผมมองว่า ถ้าคิดจะไม่รับใครสักคนเข้าทำงาน
ข้อ 1.แค่ 2%
ข้อ 2.แค่ 5%
ข้อ 3.แค่ 10%
ข้อ 4.แค่ 10%
ผมมองว่าตอบอะไรไม่ได้มากครับ ข้อเสียมากกว่านี้น่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ เกมส์ มากกว่า
-
หัวข้อที่ถาม ไม่เกี่ยวกับงาน 100%
กำหนดกติกาตอนทำงานดีกว่าครับ
1. ห้ามรับโทรศัพท์ขณะทำงาน
2. ห้ามเล่น social network ขณะทำงาน
ถ้าฝ่าฝืน ตักเตือน ครั้งที่ 1 อะไรก็ว่าไป
ปัจจุบันเราปฏิเสธการเปลื่ยนแปลงไม่ได้
-
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ (อาจจะเป็นกระทู้ล่อเป้า.....)
สำหรับผมเอง ยอมรับว่าไม่ชอบใจกับการเดินมองจอตลอดเวลาจนไม่เป็นทำอะไร...มันมากไป จริงอยู่การสร้างข้อห้ามข้อกำหนด... ทำได้ แต่ผมเชื่อว่าทำอย่างไรก็ไม่อยู่หรอกครับ แอบเล่นให้เสียความรู้สึกเปล่า ๆ สู้ไม่รับเข้าทำงานเสียตั้งแต่แรกน่าจะดีกว่า....
แต่ถามว่าในกลุ่มนี้ มีคนที่เก่งดี และรับผิดชอบแบ่งเวลาได้หรือเปล่า ตอบได้เลยว่า มีครับ แต่การคัดเลือก เพื่อที่จะให้ได้คนที่ต้องการนั้นผมว่ามันยาก โอกาสที่จะเลือกผิดมีห้าสิบห้าเสิบ...
ผมคงไม่บอกเขาว่าไม่รับเพราะเหตุนี้....สิ่งเหล่านี้เป็นตัวประกอบในการตัดสินใจร่วมกับความรู้และทักษะมากกว่า...
ถามว่าผมใจดำไหม? ผมคิดว่าไม่นะ.. ผมมีห้องพักให้ฟรี น้ำ ไฟ ฟรี มีเน็ต ให้ให้... เด็กที่ผมรับเข้ามาทำงาน ไม่มีใครที่ถูกไล่ออก..แต่ออกเองมี......ถามว่าผมควบคุมการทำงานไหม? ไม่ครับแทบทั้งวันไม่ดู ทุกคนจะดูแลและรับผิดชอบด้วยตัวเอง ยกเว้นมีปัญหาต้องตรวจสอบ หรือตรวจสอบชิ้นงาน... ผมประเมินผลงานเป็นองค์รวมเท่านั้น... ดรรชนีเพิ่มหรือลด....
...หากหลาย ๆ ท่านคิดว่านี่คือการกระทำที่ใจดำ ...(เกินร้อยละเก้าสิบเก้า)...ต่อไปผมก็คงต้องปรับปรุงตัวเอง......ขอบคุณครับ
-
เหมือนคุณพยายามหาช้างเผือกในป่าคอนกรีตอยู่เลยนะครับ ;D
ไม่มากหรอก แต่คงหาไม่น่าเจอ
เพราะผมก็เคยหาแบบนี้แหละ เด็กๆไม่มี มีแต่วัยทำงาน 35+
-
ถ้า รง. เล็กๆ เงินเดือนไม่เกินหมื่น ก็ตามนั้นเห็นด้วยครับ แต่ถ้าเป็นผม จะไม่ห้าม แต่จะทำล๊อกเกอร์ก่อนเข้าบริเวณงานแทน แล้วออกกฏห้ามนำมือถือ,อุปกรณ์สื่อสาร และ กล้องถ่ายรูปเข้าบริเวรทำงาน ส่วนนอกเวลาทำงาน หรือช่วงพักก็แล้วแต่เค้าครับ
แต่ถ้าพนักงานนั่งโต๊ะทั่วๆไป(ยกเว้นพนักงานต้อนรับ) เงินเดือน 1-2 หมื่นขึ้นไป ผมว่าคุณเยอะเกินครับ
-
ผมว่ามันมากเกินไป
มันวัดอะไรแทบไม่ได้เลย
และถ้าผมเป็นคนสมัครงาน ถ้าต้องมาเจอกฏขนาดนี้
ผมยินดีที่จะขอสละสิทธิ์ที่จะทำงานที่นี่
เพราะเชื่อว่าในปัจจุบันยังมีงานที่พร้อมจะรับบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีกฏเกณฑ์อันเป็นที่ยอมรับทางสากลมากกว่าที่ตั้งอยู่นี้ครับ
ปล.ผมอาจจะหัวสูง และไม่ค่อยง้อบริษัทนะครับ
ปล.2 ถ้าเรามีความสามารถพอ บริษัทต้องมาง้อเราเอง
ปล.3 ถ้าเจ้านายมี vision ประมาณนี้ ตัดสินและมโนจากราคามือถือ และ Social network ผมคงตอบไปตั้งแต่สัมภาษณ์ละครับ ว่าคุณไม่แฟร์ โลกทัศน์คุณแคบเกินไป โลกาภิวัฒน์ก้าวไปข้างหน้า เราก็ก้าวไปพร้อมกับโลกาภิวัฒน์ แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่นำเวลางานมาใช้เล่น Social network ถามว่ากฏที่คุณตั้งมาจะมีประโยชน์อะไรหรือไม่
ปล.4 ต้องขอโทษ ถ้าผมอาจจะใช้คำที่ตรงเกินไป แต่อยากให้มองในมุมของลูกจ้างที่หอบ Resume มาสมัครงานบ้าง
-
4 ข้อนี้ยังไม่น่าจะสามารถตัดสินตัวคนที่จะเข้ามาได้นะครับ
-
ไม่มากไปหรอกครับ
ในฐานะคนทำงานบั
บางที เห็นนั่งเล่นเฟสบุ๊คกันทั้งวัน งานการไม่ทำ แล้วมาเบิกโอทีตอนค่ำๆ วันล่ะ 3-4 ชั่วโมง
ตอนนี้ผมเสนอ CFO ให้บล๊อค FB, Pantip และ Youtube แล้วครับ IT กำลังจัดการ
บอกเลยว่า มันเสีย Productivity มากๆครับ
ผมเอางบมาแตกไล่ดู คนๆนึงที่นั่งเล่นตลอดแล้วมาเบิกโอ เดือนๆนึงมีค่าใช้จ่ายราวๆ 3-4 พันบาท
ยังไม่นับค่าไฟ ค่าเสียโอกาศ ที่คนไร้ประโยชน์พวกนี้มานั่งอยู่อีก
บางที ขั้นตอนการสัมภาษ มันกรองได้ระดับนึงครับ
ถ้าพี่ผมเจอว่าคนมาทำสัมภาษนั่งเล่นมือถือระหว่างอยู่ใน Process การสัมภาษ พี่แกเขี่ยทิ้งเลย
แต่หลังจากเข้ามาแล้ว บางคนก็เพิ่งออกลาย
แนะนำว่า จำกัดวงให้แคบลง บล๊อคช่องทาง ถึงเค้าจะเล่นผ่านมือถือได้ แต่เราก็ Monitor ได้ครับ
-
เงินเดือนเท่าไหร่ครับผมได้ครบเลยนะ ;D ;D ;D มือถือแค่ 2 พันเล่นไลน์ไม่ได้ เล่น FB บ้างแต่ส่วนใหญ่เล่น HLM กับหาอ่านเรื่องรถและประวัติศาสตร์โลก
ถ้าตามหัวข้อก็อาจมากไปนิดนึงเพราะเอาแค่นี้มาตัดสินคนๆนึงน้อยเกินไปที่จะวัดค่าได้ แต่การสัมภาษณ์นั้นเรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกันน้อยมากในการรับเข้าทำงานไม่สามารถมานั่งคุยหรือเปิดใจทำความรู้จักกัน คนเป็นแฟนกันคบ 7 ปียังเลิกกันได้เล้ยด้วยเหตุผลเราเข้ากันไม่ได้นับประสาอะไรคุยกันไม่ถึง 30 นาทีอะไรที่เราไม่มั่นใจก็ตัดออกไปก่อน ผมเลยถือว่ามากไปหน่อยแต่ไม่แปลกหรือผิดอะไรครับ แต่ถ้าเป็นการบอกกฎระเบียบข้อบังคับตั้งแต่สัมภาษณ์แล้วจะเป็นการดีกว่านะครับ หลายๆที่แก้ปัญหาด้วยการห้ามเอามือถือเข้าที่ทำงาน บางทีห้ามเฉพาะที่ถ่ายรูปได้ (ที่ถ่ายรูปไม่ได้ก็แสดงว่าไม่มีไลน์ไม่มีเน็ตแน่ๆ)
-
ตัดสินอะไรไม่ได้เลย เค้าอาจชอบเล่น แต่แบ่งเวลาได้
กรองคนด้วยคำถามอะไร ก็จะได้คนแบบนั้นมา
คำถามที่ถามทั้งหมด เรื่องส่วนตัวทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับงานซักนิด จริงๆ เขาไม่ต้องตอบคุณยังได้
ถ้าคุณโดนสัมภาษเข้า รร แล้วบ้านแพง ไม่รับ จะว่ายังไงครับ
-
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับข้อคิดเห็น... น่าจะหมดความคิดเห็นแล้วขอสรุปก็แล้วกัน
ร้อยละ99 เห็นว่าไม่ถูกต้อง .... ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวเขา...
ว่าแต่ทำไมผมเขียนหัวข้อนี้ขึ้นมา......เพราะหากเขียนแบบนี้ต้องโดนแน่ ๆ....จริงไหม?....
ที่ผมเขียน ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่เป็นเจ้าของกิจการน่าจะคิดแบบนี้....คงไม่มีเจ้าของคนไหนหรอกที่ไม่มองเมื่อเห็นลูกน้องไลน์ อย่างขมักเขม้น..เอาเป็นเอาตาย....
สิ่งที่ผมต้องการเตือน ก็คือ คนรุ่นใหม่ ๆ หางานทำให้ระมัดระวังให้มากสำหรับกรณีเหล่านี้.....สิ่งที่มีคุณ...ก็ย่อมมีโทษ.....
แล้วหากใครเคยอ่านข้อเขียนของผม(เก่า) จะรู้ว่าผมทำมาหากินอะไร(ปัจจุบัน) แล้วก็วิเคราะห์ต่อว่าผมมีศักยภาพที่จะทำอย่างที่ผมเขียนได้หรือไม่ด้วยตัวคุณเองครับ...
สุดท้าย ใครมีอารมณ์หงุดหงิดใจเมื่อได้อ่าน... ผมขอโทษครับ....
-
คือเวลารับคนเข้าทำงาน ผมมักจะถามเข้าเรื่องส่วนตัวไปบ้างเช่น
ใช้โทรฯ ยี่ห้ออะไร? ราคาเท่าไร?
เล่นไลน์หรือเปล่?
เล่นเฟสฯหรือเปล่า?
เพื่อนในเฟสเยอะไหม?
ประมาณนี้...แล้วใช้สี่หัวข้อนี้ในการตัดสินใจว่ารับ หรือไม่รับ....
โทรศัพท์แพง...ไม่รับ
สามข้อหลัง ตอบทางปฏิเสธ ผมรับ ....
คุณว่าผมเห็นแก่ตัวไหม ในเมื่องาน ต้องการสมาธิสูง เพื่อความปลอดภัย และเพื่อประสิทธิภาพของงาน.....
ในข้อ 1 ผมว่าอันนี้แล้วแต่คนนะครับเพื่อมผมใช้ไอโฟนบางคนวันๆแทบจะไม่ค่อยได้ใช้โทรศัพท์ก็มีแต่ซื้อมาเป็นเครื่องประดับ
บางคนใช้แค่มาทโฟนรุ่นล่างๆกลางๆเล่นตะบี้ตะวันทั้งวัน
อารมคงประมาณว่าเจอเฟอรารี่กับบริโอ้อะครับ
เราคงคิดว่าคนขับเฟือรารี่ต้องซิ่งแน่ๆเพราะใช้รถระดับซุปเปอร์คาร์
แต่ที่ไหนได้บริโอ้เซ็ทกล่องทำท่อขับแว๊นมากคนขับเฟอรารี่ขับช้าๆแบบถนอมรถเพราะมันแพงแต่บริโอ้รถมันถูกยำอะไรก็ได้ (ยกตัวอย่างเฉยๆนะครับ)
ในข้อ 2-4 น้นผมว่า 90% ของคนสมัยนี้ใช้งานพวกนี้ทั้งนั้นครับ
แต่ใน 90% นั้นผมว่ามีคนแยกแยะออกนะครับว่าควรเล่นในระหว่างการทำงานไหม
ถ้าคนไหนแยกไม่ได้ก็มควรโดนลงโทษตามกฏระเบียบครับ
ถ้าจะหาคนที่ไม่เล่นเลยคงยากพอๆกับคนที่ไม่ใช้โทรัพท์มือถือในปัจจุบันครับ
"คุณว่าผมเห็นแก่ตัวไหม ในเมื่องาน ต้องการสมาธิสูง เพื่อความปลอดภัย และเพื่อประสิทธิภาพของงาน.... "
ข้อนี้ผมยังบอกไม่ได้ว่าคุณเห็นแก่ตัวไหมเพราะผมไม่ทราบว่าตำแหน่งงานที่คุณจะรับเข้าทำงานของคุณคืออะไร ::)
ผมว่า4ข้อที่คุณตั้งคำถามมาน่าจะเอาไปเป็นกฏระเบียบในการทำงานมากกว่าเป็นเกณ์ในการรับคนมากกว่าครับ ;D
แต่เท่าที่ดูแล้วผมว่างานของคุณน่าจะำคัญมากๆครับ
ผมว่าเอามาเป็นข้อบังคับในการทำงานดีกว่าไม่ก็มีล๊อคเกอรืให้พนักงานเก็บของ่วนตัวของเขาเวลาพักถึงเอาของพวกนี้ไปใช้ได้เวลางานเอามาเก็บไว้
่วนเรื่องใช้คอมที่ทำงานในการเล่นเวปหรืออื่นๆตรงนี้ก็คงต้องทำข้อตกลงกันขึ้นมา
เพราะที่ทำงานผมก็ไล่บ๊อคหมดหลังๆปล่อยเลยครับ
เอาความซื้อสัตจากตัวพนักงานเอง
ดูประวัติย้อนหลังในการใช้งานคอมได้ครับ
ไล่ดูแล้วก็ถามตรงๆเลยครับว่าได้เล่นไหมซึ่งแทบทุกคนสำนึกผิดและปรับปรุงตัวครับ
ส่วนคนที่ยังไม่สำนึกก็ว่าตามข้อตกลงกันไปครับ
คนไทยนิสัยส่วนใหญ่เดื้อครับบังคับมักไม่ทำแต่คุยกันดีๆกลับทำให้ง่ายๆ
ที่ทำงานผมนี่แหละครับห้ามนู้นนี่นั่นพนักงานส่วนใหญ่ก็เด็กสายช่าง
เรื่องสูบบุหรี่ในที่ทำงานนี่แหละครับทำป้ายห้ามทำข้อบังคับยึดบุหรี่ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ
หลังๆมาผมไม่นใจครับอยากูบตรงไหนตอนไหนตามสบายพอเลิกงานให้เด็กพวกนั้นมากวาดมาเก็บ
มันก็บ่นๆกันแต่หลังๆมาไม่ต้องพูดอะไรกันยมากครับเริ่มๆไปสูบตรงจุดที่ผมเตรียมไว้ให้นั่งลมเย็นๆมีที่ทิ้งก้นบุหรี่ให้
สูบเสร็จตอนเย็นเลิกงานเด็กๆก็ช่วยกันจัดพื้นที่ของเขาอย่างดีเลยแหละ
รู้สึกเขาจะชอบใจด้วยนะที่เราจัดพื้นที่ให้เขากวาดเช้าเย็นสะอาดกว่าจุดทำงานของพวกเขาะอีก อิอิ
ยาวหน่อยนะครับแต่ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดกันครับผมก็ลูกจ้างทั่วๆไปอยากทราบความคิดความรู้สึกของนายจ้างเช่นกันครับ ;D