Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: H3T ที่ มิถุนายน 07, 2014, 09:47:20
-
ถ้าดูเฉพาะที่เป็น flat torque
1. 1KD-FTV 360 nm / 1400 - 3200 rpm และ 2KD-FTV 343 nm / 1600 - 2800 rpm
มีช่วงแรงบิดสูงสุดถึง 1800 รอบ และ 800 รอบ
2. 4JJ-TCX 380 nm / 1800 - 2800 rpm และ 4JJ-TCY 400 nm / 1400 - 2000 rpm
มีช่วงแรงบิดสูงสุดถึง 1000 รอบ และ 600 รอบ
3. Duratorg TDCi 2.2 375 nm / 1500 - 2500 และ 3.2 470 nm / 1750 - 2500
มีช่วงแรงบิดสูงสุดถึง 1000 รอบ และ 750 รอบ
แต่ค่ายที่เหลือ
XLD28 , 4D56T , YD25 ทำไมถึงไม่จูนให้เป็น flat torque ซึ่งสามารถเรียกใช้ได้ง่ายกว่า กลับจูนให้แรงบิดสูงสุดมากๆไว้ก่อน แต่เป็นแค่ช่วงรอบใดรอบหนึ่งเท่านั้น
เช่น กรณี Navara ใหม่ที่จะเปิดตัว ให้มาถึง 450 nm / 2000 rpm
ถ้าหากจูนแรงบิดใหม่ให้ลดลงแต่เป็น flat torque อาจจะแค่ 400 nm และมีช่วงกว้างซัก 1000 - 1500 รอบก็ได้ น่าจะดีกว่า สามารถเรียกใช้งานได้ง่ายกว่า และรู้สึกสนุกกว่า ในช่วงที่รอบกวาดขึ้นไปในช่วงแรงบิดสูงสุด มีแรงดึงต่อเนื่อง
แต่การตลาดในบ้านเราแข่งกันที่ตัวเลขแรงม้าและแรงบิด ใครให้มากกว่าถือว่าดีกว่า ไม่สนใจเรื่อง flat torque ซึ่งถ้าจูนลดลงมาแล้วทำให้แรงม้าลดลงอาจจะมองว่ามีผลต่อการตลาดก็เป็นได้
-
อาจจะเป็นเพราะกระบะเน้นเอาไว้บรรทุกหรือเปล่าครับเลยต้องเน้นแรงบิดและแรงม้าโหดๆ ครับ
-
คิดว่าเป็นจิตวิทยา+การตลาด ที่ต้องทำตัวเลขให้สูงๆ หรือดูดีไว้ก่อน
ลูกค้าส่วนมากไม่ทราบด้วยซ้ำว่า flat torque คืออะไร มีข้อดียังไง
แต่ลูกค้าหลายคนพอเห็นตัวเลขแรงบิดสูงกว่า ก็อาจมีใจเอนเอียงมาทางรถคันที่มีตัวเลขสวยกว่า
ส่วน flat torque นั้น ผู้ผลิตอาจทำเพื่อให้เข้ากับเกียร์ก็ได้ครับ
เพราะเกียร์บางตัวรับแรงบิดได้ไม่มาก เลยต้องจงใจลดทอนแรงบิดลงมาเป็น flat torque แทน เพื่อให้เกียร์รับได้
ถ้าจะพัฒนาเกียร์ขึ้นมาใหม่ให้รับแรงบิดมากๆได้ ก็อาจเพิ่มต้นทุน เลยเลือกที่จะลดแรงบิดให้เป็น flat torque แทน
-
รอนาวาร่า เปิดตัวเต็มๆก่อนค่อยวิจารณ์ดีเปล่าครับพี่
-
ผมว่าดูกราฟด้วยน่าจะดีกว่านะคับ อาจไม่แฟต แต่ถ้ามีช่วงกำลังที่มีแรงบิดสูงตั้งแต่ที่รอบต่ำ และกว้างมากพอ ผมก็ว่าขับง่ายแล้วคับ
(http://i1308.photobucket.com/albums/s608/Superb_Lake/Mazda2_Engine19_zps23d84927.jpg) (http://s1308.photobucket.com/user/Superb_Lake/media/Mazda2_Engine19_zps23d84927.jpg.html)
อันนี้เครื่องเบ็นซิน มีช่วงที่มีแรงบิด 90% กว้างเกือบ 4000 รอบ ผมก็ว่าโอแล้วแหละ
-
เห็นด้วยกับ จขกท ที่สุดครับ เพราะแรงบิดดีเซลในรถกระบะเหลือเฟือแต่ควรมาในรอบต่ำยันรอบสุง ไม่งั้นมันก็จะดีแค่ทางลุยกับบรรทุกหนักแต่พอรอบหมดก็งั้นๆกลายเป็นแบบรถดีเซลยุคเก่า สังเกตจากวีโก้กับดีแมคซ์สิครับตัวเลขในโบรชัวร์ไม่สวยแต่วิ่งจริงแรงไม่แพ้ใครแถมประหยัดกว่าด้วยเพราะแรงบิดมันดึงได้ยาวยันรอบสูงทำให้ฉุดลากดีในรอบต้นแต่ก็ยังแรงบิดไม่หมดในรอบสูงทำให้รอบสุงวิ่งดีซึ่งฟอร์ดตอนหลังก็เอาอย่างบ้าง แต่จริงๆอยากให้ทุกค่ายเอากราฟแรงม้าแรงบิดมาเปรียบให้ดูครับเพราะบางเจ้ารอบต่ำมามากพอรอบสูงแรงบิดหมดแต่บางเจ้าแรงบิดไม่สุงมากแต่ดึงได้ยาวจนรอบสูง
-
ข้อมูลบางยี่ห้อมั่วนะครับ เขียนแค่ 2000 รอบไรงี้ แต่ที่จริงมันมีต่อครับ แต่เค้าลงไม่หมด เช่นที่จริง 2000-2750 แต่ลงแค่ที่ 2000 ผมก็เคยปล่อยไก่ไปแล้วทีนึงครับ เข้าใจว่าม่ีแค่ 2000 อย่างเดียว
-
เค้าไม่ได้จูนให้มันเรียบ เค้าแค่ขลิปกราฟส่วนที่มันเกินออก
ดูเส้นประสีส้มของคุณ superb19
-
มันแล้วแต่จะจูนยังไง ถึงไม่ peak ไม่ได้แปลว่าหายหมด
จะให้ละเอียด ต้องมานั่งดูกราฟทุกยี่ห้อหรอครับ
นี่ก็แค่จากเครื่อง เจอเกียร์อีก จะดูยังไงครับ มี 5 เกียร์ ดูแรงลงล้อไปเลย
ทำ sensitivity อีกซัก 2 เส้น ลองดูแล้วได้ยังไง สรุปให้ด้วยนะครับ ว่ายี่ห้อไหนเทพสุด
-
ผมขอโฟกัสไปที่เครื่องยนต์อย่างเดียวนะครับ เอาแค่กำลังที่ Flywheel มาวิเคราะห์ดู
ส่วนตัวผมอยากได้เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงประมาณนึงในรอบต่ำๆ และยังอยู่ต่อไปอีกช่วงนึงของรอบเครื่องยนต์ จึงต้องใช้ระบบอัดอากาศเข้ามาช่วย เป็นหลักการเดียวกันของทั้งเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน
ผู้ผลิตแต่ละรายน่าจะพัฒนาเครื่องยนต์มาเป็นอย่างดีแล้ว เพียงแต่ให้ความสำคัญเรื่องความกว้างของแรงบิดมากน้อยแตกต่างกันไปหรือเปล่า การที่จะทำให้แรงบิดยืนอยู่ประมาณ 90% ของแรงบิดสูงสุดกว้างมากที่สุด หรือต้องการทำให้กว้างกว่านี้ ทำได้ยากง่ายแค่ไหน เห็นได้จากบางค่ายที่กราฟไม่ได้กว้างเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
1. ทำได้ แต่ผู้ผลิตไม่ให้ความสำคัญตรงจุดนี้ สู้ทำให้ตัวเลขสูงๆไว้ก่อน เอาไว้โฆษณาดีกว่า
2. ทำได้ แต่ต้องเพิ่มเทคโนโลยีเข้าไป ซึ่งมีผลทำให้ต้นทุนสูงขึ้น จึงเลือกที่จะไม่ทำ
3. ทำได้เต็มที่แล้ว ได้เท่านี้
ขอบคุณอีกครั้งที่แลกเปลี่ยนกันนะครับ
-
ถ้ากรณีpeak450 แต่380+ มาตั้งแต่1500-2500 แบบนี้มันก็ยังโอเคนะครับ ต้องเอากราฟมาดูกันจริงๆ แล้วเรื่องเกียร์อีก ผมว่าโตโยต้า อีซุูซุ ทำเครื่องกับเกียร์ได้เต็มประสิทธิภาพดีจริงๆ
-
ผมว่าตามหลักการนะคับ แต่ละแบรนมีเอกลักษณ์ของตัวเองนะคับ บางค่ายเขาเน้นประหยัด บางค่ายเน้นดูสปอร์ท บางค่ายเน้นกำลังดี(บันทุกหนัก ขึ้นเขา) มันเลยสะท้อนออกมาให้เห็นจากการเซ็ทเครื่องนี้แหละ สมมุตินะถ้าเน้นประหยัด แล้วฉันจะทำให้มีแรงเยอะในรอบสูงเพื่ออะไรมีกำลังพอประมาณพอได้รอบจะได้รีบๆเปลี่ยนเกียร์ ถ้าเน้นกำลังดีบันทุกหนัก/ขึ้นเขาก็ต้องเซ็ทเครื่องกะเกียร์ให้มีกำลังในรอบต่ำความเร็วไม่สูงชิ้นส่วนอาจทำให้แข็งแรงทนงานหนัก ถ้าเน้นซิ่งก็ต้องใช้รอบให้เป็นประโยชน์ลดน้ำหนักชิ้นส่วนรอบจะได้ขึ้นเร็วและใช้รอบสูงได้ไส้ไม่แตก 555
ผมว่าเรื่องต้นทุนเป็นสิ่งที่เขาคำนึงถึงอันดับแรกๆ เทคโนโลยีที่ใส่เข้าไปแทบทุกอย่างล้วนมีต้นทุนคับ ทั้งเรื่องวัสดุคุณภาพดีๆที่ใช้ เช่น ชิ้นส่วนที่ลดน้ำหนัก เพิ่มความลืน ลดแรงเสียดทาน หรืออุปกรณ์ที่ใส่เพิ่มเข้าไป เช่น เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ปรับปรุงระบบหล่อลื่นและระบายความร้อน ต่อไปก็เพิ่มเทอร์โบอีกตัว เป็นซีเควนเชียล ทำงานแบบรอบต่ำ/สูง
โรงงานผลิตรถถ้าเขาจะทำให้เครื่องให้มีกำลังในรอบที่สูงขึ้น(ลากได้ยาวขึ้น)เขาต้องปรับปรุงในหลายจุดมาก ต้องคำนึงถึงความทนทานด้วย ไม่เหมือนเราแต่งรถ ใส่กล่องใบเดียวแรงสะใจ ;D ;D ;D
จากราคารถกระบะตอนนี้สูงขึ้นๆ อีกไม่นานโบคู่มาแน่
-
เพิ่งนึกได้ว่า นาวาร่าตัวใหม่Twin Turboหรือเปล่า จากspyshot ถ้าเป็นTwinแรงบิดก็น่าจะมาต่อเนื่องนะครับ แต่คงมีในรุ่นท๊อปๆ
-
ต้องดูกราฟ มองอีกมุมหนึ่งเครืีองแฟลตทอร์คก็คือเครื่อง ที่จูนลดน้ำมันหรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อตัดยอดกราฟที่มันพุ่งปรี๊ดขึ้นไปออก. อย่างที่จำปา บอกนั่นแหละ. เทียบแล้วตัวเลขแรงบิดมันจะไม่สูง. และได้ความประหยัดมาทดแทน.