Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: carenaruk ที่ มิถุนายน 25, 2014, 19:23:55
-
ผมได้มีโอกาสไปแจกหนังสือ สิ่งของ เครื่องนุ่งห่มต่างๆ ที่ อำเภอท่าสองยาง จ.ตาก ซึ่งทางที่ไปนั้น เป็นทางชันซะส่วนมาก และก้อเป็นทางลาดยางสภาพแบบเป็นหลุมเป็นบ่อ สลับกับทางลูกรัง ซึ่งคณะที่เราไป ส่วนใหญ่ก้อมีแต่กะบะยกสูง ที่ไม่ใช่โฟร์วิน รวมถึงมาสด้าบีที50โปรของผมด้วย แต่ละคนก้อไม่ได้มีทักษะในการขับรถขึ้นเขากันเลย ระหว่างที่ขับขึ้นเนินทางลาดชัน ไททันพลัส4ประตู อยู่ๆก้อเบรค และพอจะออกตัวรถไหลเกือบจะชนรถผม แถมตอนออกตัวรถดับอีกต่างหาก ตกใจกันทั้งคนรถ ทั้งรถไททัน และรถผม ผมก้อเลยอยากทราบเทคนิคการขับรถของเพื่อนๆเวลาขับรถขึ้นเขากันอ่ะคับ เพราะเวลาผมขับ ถึงทางลาดชัน ผมจะขับช้าๆเข้าเกียร์1ไว้ ค่อยๆไต่ขึ้นเขาไปครับ ทางบางช่วง เป็นทางชันขึ้นเนิน โค้งหักเป็นรูปตัววี ตอนนั้นหักพวงมาลัยมั่วเรยย มองไม่เห็นทางข้างหน้า เล่นเอาตกใจกันทั้งคัน นึกๆแล้วก้อฮาดีครับ พอถึงที่หมายทุกคนร้องกรี๊ดดดด ด้วยความดีใจ ว่ากูไม่ตายแร้วโว๊ยยยยย 555+
-
เทคนิคมันเยอะน่ะครับขับรถบนเขา หลักเลยคือการใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วครับ เพราะเกียร์จะเป็นตัวช่วยฉุดหรือเพิ่มความเร็วได้ครับ ส่วนผมกลัวทางลงมากกว่าเคยขับจากเส้นพิษณุโลกไปขอนแก่น ทางลงยาวมากๆประมาณ5กม.ได้ ขับวีโก้2.7vvti 4atขนาดใช้เกียร์2ความเร็วไปเกือบ100เบรคยากมากๆ กลัวไหม้อีกหลอนมากๆ
-
ก็ใช้เกียร์ให้เหมาะสม ต้องเลี้ยงความเร็วให้เหมาะสม อย่าชะลอเกิน เดี๋ยวไม่มีแรงขึ้น
ส่วนโค้งที่มองไม่เห็น (blind corner) ก็ให้ใช้ความเร็วเข้าโค้ง เท่าที่เราเห็นเลย คือเข้าช้าๆน่ะแหละ
แต่ขาลงน่ากลัวกว่าเยอะผมเห็นด้วย
-
ทางลูกรังบางช่วง
-
อีกรูปคับ
-
นอกจากใช้เกียร์ที่เหมาะสมแล้วสำหรับเกียร์กระปุก
เหมาะสมตอนไหน ก็ ฟังจากเสียงเครื่องยนต์และสังเกตุกำลังฉุดเอา และดูสภาพเส้นทาง
ถ้าทางส่งได้แบบอ่างกะทะก็ส่งไปเต็มๆเลย
ถ้าทางชันมากๆ ก็ ต้องลาก 1 ให้สุดเสียง อย่าถอน ทางไหน พอที่จะใช้เกียร์สูงขึ้นมาได้ก็ควรใช้ให้เครื่องยนต์ไม่ร้อน
ทิ้งระยะห่างคันหน้า พอสมควรเกิดคันหน้าไปไม่รอด เราออกขวาตียาวได้ ไม่ต้องไปกึกท้ายรถเขา เดี่ยวไหลออกตัวดับๆ มาชนอีก ถ้าดับทางลาดมากๆเบรคมือเอาไม่อยู่ ก็ขาทำเอียงๆ ปลายขาเหยียบเบรคส้นเท้ากดคันเร่ง กดเบรคให้อยู่กึก ส้นเท้ากดคันเร่งให้มิดแล้ว ถอนครัทช์ ถอนเบรค แล้วดึงเบรคมือออก กระชากออกไปเลยเครื่องจะได้ไม่ดับ ก็แล้วแต่ทางชันไม่ชันมากด้วยสำหรับเทคนิคนี้
ขับเก๋ง ถ้ากระบะยกสูงบังทางก็ทิ้งช่วงเอาไว้
ถ้ากลางคืน ก็ ให้รถคันหน้าเป็นรถเรด้าให้เรา
ถ้าขับเที่ยวเขาประจำ เปลี่ยนผ้าเบรคให้ทนความร้อนขึ้นก็น่าจะดี
-
ขึ้นเนินจากรถอยู่กับที่ เบิ้ลเครื่องก่อนแล้วค่อยปล่อยคลัทแต่ปล่อยเร็วกว่าปกตินิดนึง ถ้าเนินชันก็เบิ้ลรอบสูงตาม
ถ้าเคลื่อนที่แต่ดูเครื่องไม่มีแรง ใช้เกียร์ต่ำกว่าเดิม ถ้าเกียร์ต่ำสุดแล้วยังไม่ไหว ใช้วิธีเบิ้ลคลัท โดยอย่าเหยียบคันแร่งสุด ใช้รอบให้พอดีไม่งั้นล้อฟรี
ถ้าขึ้นไม่ไหวเพราะพื้นถนนเป็นดิน อาจต้องใช้วินซ์ ไม่ก็หารถข้างหน้าช่วยฉุดลาก
-
นอกจากใช้เกียร์ที่เหมาะสมแล้วสำหรับเกียร์กระปุก
เหมาะสมตอนไหน ก็ ฟังจากเสียงเครื่องยนต์และสังเกตุกำลังฉุดเอา และดูสภาพเส้นทาง
ถ้าทางส่งได้แบบอ่างกะทะก็ส่งไปเต็มๆเลย
ถ้าทางชันมากๆ ก็ ต้องลาก 1 ให้สุดเสียง อย่าถอน ทางไหน พอที่จะใช้เกียร์สูงขึ้นมาได้ก็ควรใช้ให้เครื่องยนต์ไม่ร้อน
ทิ้งระยะห่างคันหน้า พอสมควรเกิดคันหน้าไปไม่รอด เราออกขวาตียาวได้ ไม่ต้องไปกึกท้ายรถเขา เดี่ยวไหลออกตัวดับๆ มาชนอีก ถ้าดับทางลาดมากๆเบรคมือเอาไม่อยู่ ก็ขาทำเอียงๆ ปลายขาเหยียบเบรคส้นเท้ากดคันเร่ง กดเบรคให้อยู่กึก ส้นเท้ากดคันเร่งให้มิดแล้ว ถอนครัทช์ ถอนเบรค แล้วดึงเบรคมือออก กระชากออกไปเลยเครื่องจะได้ไม่ดับ ก็แล้วแต่ทางชันไม่ชันมากด้วยสำหรับเทคนิคนี้
ขับเก๋ง ถ้ากระบะยกสูงบังทางก็ทิ้งช่วงเอาไว้
ถ้ากลางคืน ก็ ให้รถคันหน้าเป็นรถเรด้าให้เรา
ถ้าขับเที่ยวเขาประจำ เปลี่ยนผ้าเบรคให้ทนความร้อนขึ้นก็น่าจะดี
ผมรู้สึกเกร็งมากเวลาขึ้นเนินชันๆ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
-
ขึ้นไม่ยากเท่าตอนลงครับ.
-
เวลาจอดทางชันมากๆ ผมจะเอามือขวาเอานิ้วกดที่คันเร่งเร่งรอบให้ถึงประมาณ 2พันรอบให้มีแรงบิดซักหน่อยแล้วค่อยปล่อยครัชให้รถจะเคลื่อนตัวแล้วปล่อยเบรคให้รถเคลื่อนตัว ส่วนขาลงใช้เอนจิ้นเบรคเยอะๆอย่าให้รอบเยอะกว่า 3500 รอบ เสี่ยงวาล์วกระทุ้ง
ผมใช้วิธีนี้นะถูกหรือป่าวไม่รู้แต่รอดทุกงาน ฮาๆ
-
หากเป็นทางลาดชันประเภทขึ้นเขา ผมเคยเป็นผู้ขับเฉพาะ TFR เท่านั้น นอกนั้นเวลาขึ้นเขาจะเป็นผู้โดยสารมากกว่า
หากผมขับนั้น ผมไม่เคยรู้สึกเกรง อาจจะเป็นเพราะผมคุ้นชินกับ TFR คันนี้มานานมากๆ แล้ว
จะเรียกว่าเทคนิคมั๊ย อันนี้ผมไม่กล้าพูดได้เต็มปาก เพราะผมใช้ขับอยู่ทุกๆ วัน (ช่วงที่ใช้ TFR นะครับ)
ทางชันๆ ตอนขึ้นห้าง ดวงผมก็มักจะรถไปค้างตรงทางชันประจำ ทางกำลังจะขึ้นน่ะครับ
ผมก็เหยียบเบรคไว้ ตอนจะออกตัวก็แค่ใส่เกียร์ 1 แล้วก็ถอนครัชออกมาครึ่งนึ่ง รถผมก็จะหยุดนิ่งกลางทางลาดชันแล้ว
ทีนี้ก็ปล่อยเท้าจากเบรค มาเติมคันเร่ง รถผมก็ออกจากทางลาดชันแบบเนียนๆ ไม่มีดับ ไม่มีไหลลง ไหลลงแม้แต่กึ๊กเดียวก็ไม่มี
ส่วนตอนลงเขาหรือทางลาดชัน ผมจะใช้เกียร์ต่ำ ซึ่งก็ไม่ได้กำหนดนะครับว่าต้องเกียร์ 1 หรือ 2 หรือ 3 ก็ใช้ตามความเร็วรถที่เหมาะสม
เพราะเราจะรู้ตัวของเราดีว่ารถเรารับได้เท่าไหร่กับความเร็วที่เกิดขึ้นเมื่อใช้เบรค
ปล. ผมคิดว่าที่ผมขับได้ง่ายๆ น่าจะเป็นเพราะเครื่องดีเซลและน้ำหนักรถที่เบาซะมากกว่าครับ
-
ขาขึ้น กำลังของเครื่องดีเซลสมัยนี้ แรงบิดเหลือๆ ครับ ขึ้นอยู่กับจังหวะการใช้เกียร์ + จังหวะส่งให้เหมาะสมครับ พยายามรักษาให้อยู่ในรอบที่แรงบิดออกมาเต็มที่ กำลังก็จะไม่ตกครับ
พยายามอ่านไลน์เส้นทาง แล้วเลือกเกียร์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ก็จะไปได้เรื่อยๆครับ
ขาลง ผมว่าอันตรายกว่า ยิ่งสำหรับพื้นลูกรังแบบนี้ ค่อนข้างลื่น อ่านไลน์ดีๆ เชนจ์เกียร์ช่วย ค่อยๆเชนจ์เกียร์ลง ตามระดับความชันของเส้นทาง
ให้ความเร็วเหมาะสมและปลอดภัยในควบคุม.....ถ้ายังเร็วจนไม่มั่นใจในการควบคุมก็ เบรกยาวๆทีนึงจนถึงจุดที่เรามั่นใจแล้วปล่อย
ค่อยๆไป ไม่ต้องรีบครับ (ที่สำคัญ อย่าเลียเบรกนะครับ)
-
ถ้าหยุดตรงที่ลาดชัน แล้วจะต้องเคลื่อนรถอีกครั้ง ให้ใช้เบรคมือรั้งรถไว้ก่อนครับ
ถ้าใช้รถเกียร์ธรรมดา ใส่เกียร์ 1 แล้วปล่อยคลัทช์ให้รู้สึกว่ารถมีกำลังขับเคลื่่อน เครื่องไม่ดับแล้ว จึงปลดเบรคมือ
ถ้าใช้รถเกียร์ auto ก็ใส่เกียร์ D, เหยียบคันเร่ง แล้วจึงปลดเบรคมือ
ถ้าไม่ใช้เบรคมือช่วย รถเปล่าอาจจะขึ้นได้ครับ แต่ถ้ามีการบรรทุกของด้วยรถก็อาจจะถอยหลังได้
-
ถ้าหยุดตรงที่ลาดชัน แล้วจะต้องเคลื่อนรถอีกครั้ง ให้ใช้เบรคมือรั้งรถไว้ก่อนครับ
ถ้าใช้รถเกียร์ธรรมดา ใส่เกียร์ 1 แล้วปล่อยคลัทช์ให้รู้สึกว่ารถมีกำลังขับเคลื่่อน เครื่องไม่ดับแล้ว จึงปลดเบรคมือ
ถ้าใช้รถเกียร์ auto ก็ใส่เกียร์ D, เหยียบคันเร่ง แล้วจึงปลดเบรคมือ
ถ้าไม่ใช้เบรคมือช่วย รถเปล่าอาจจะขึ้นได้ครับ แต่ถ้ามีการบรรทุกของด้วยรถก็อาจจะถอยหลังได้
ถ้ารถจอดที่ชันก็แบบนี้เลยครับ + 100
-
จากประสบการณ์ ผมเคยเอาฟอร์จูนเนอร์ของพ่อแฟนขึ้นไปบริจาคของบนดอย
บางจุดนี่ต้องตั้งหลักให้ดี ๆ ครับ ถ้าจุดไหนรถเริ่มไม่ไหว ดึงเบรคมือไว้เลย จากนั้นเร่งเครื่องให้ได้รอบ
แล้วค่อยถอนเบรคมือ ขาขึ้นว่ายากแล้ว ขาลงนี่ทรมานยิ่งกว่า ถ้าหาจังหวะไม่ดี มีไหลตกดอยครับ ;D
-
หากเป็นทางลาดชันประเภทขึ้นเขา ผมเคยเป็นผู้ขับเฉพาะ TFR เท่านั้น นอกนั้นเวลาขึ้นเขาจะเป็นผู้โดยสารมากกว่า
หากผมขับนั้น ผมไม่เคยรู้สึกเกรง อาจจะเป็นเพราะผมคุ้นชินกับ TFR คันนี้มานานมากๆ แล้ว
จะเรียกว่าเทคนิคมั๊ย อันนี้ผมไม่กล้าพูดได้เต็มปาก เพราะผมใช้ขับอยู่ทุกๆ วัน (ช่วงที่ใช้ TFR นะครับ)
ทางชันๆ ตอนขึ้นห้าง ดวงผมก็มักจะรถไปค้างตรงทางชันประจำ ทางกำลังจะขึ้นน่ะครับ
ผมก็เหยียบเบรคไว้ ตอนจะออกตัวก็แค่ใส่เกียร์ 1 แล้วก็ถอนครัชออกมาครึ่งนึ่ง รถผมก็จะหยุดนิ่งกลางทางลาดชันแล้ว
ทีนี้ก็ปล่อยเท้าจากเบรค มาเติมคันเร่ง รถผมก็ออกจากทางลาดชันแบบเนียนๆ ไม่มีดับ ไม่มีไหลลง ไหลลงแม้แต่กึ๊กเดียวก็ไม่มี
ส่วนตอนลงเขาหรือทางลาดชัน ผมจะใช้เกียร์ต่ำ ซึ่งก็ไม่ได้กำหนดนะครับว่าต้องเกียร์ 1 หรือ 2 หรือ 3 ก็ใช้ตามความเร็วรถที่เหมาะสม
เพราะเราจะรู้ตัวของเราดีว่ารถเรารับได้เท่าไหร่กับความเร็วที่เกิดขึ้นเมื่อใช้เบรค
ปล. ผมคิดว่าที่ผมขับได้ง่ายๆ น่าจะเป็นเพราะเครื่องดีเซลและน้ำหนักรถที่เบาซะมากกว่าครับ
เหมือนกันครับ ผมขับ Mighty-X ก็ใช้วิธี ทำความคุ้นเคยกับระยะคลัช ของมัน ถอนคลัชขึ้นมารอระดับนึง แล้วยกเท้าออกจากเบรคไปเติมคันเร่ง ไม่มีปัญหาอะไรครับ
ส่วนรถเกียร์ออโต้ เนื่องจาก Mazda2 แรงบิดเกียร์ 1 เยอะเหลือเกิน ไม่เคยไหลลงเลย จอดบางเนิน จะไหลขึ้นด้วยซ้ำ -.-
ส่วนตัวแนะนำว่า ใช้เบรคมือช่วย ในระยะแรก แล้วพยายามปรับตัวให้ชินกับจังหวะเท้าครับ
-
ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาผมก็ใช้วิธีปล่อยครัชครึ่งนึงก่อนถอนเบรคเหมือนกันสว่นเกียร์ออโต้ก็ลงเกียร์Lอย่างเดียวก็สบายๆไม่ไหลแล้ว
ส่วนขาลงก็เกียร์ต่ำเข้าไว้ใช้เบรคเท่าที่จำเป็นกดเบรคให้รถช้าลงมากกว่าที่เราต้องการเช่นอยากลงด้วยความเร็ว40ก็กดเบรคเหลือ20-30แล้วปล่อยพอความเร็วเกิน40ก็เบรคใหม้
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆห้ามเบรคแช่ยาวก็รอดแล้วครับ
ผมลงจากอ่างข่างด้วยmu-Xทำแบบนี้+ใช้เกียร์2 ลงตีนดอยก้มไปดมที่ล้อไม่มีกลิ่นผ้าเบรคเลยครับทั้งที่หลายๆคันแค่ขับผ่านก็กลิ่นเบรคไหม้หึ่งแล้ว
-
ขับห่างๆคันหน้าให้มากๆครับ
;D ;D ;D
-
ถ้าเกียออโต้ไม่เฟนต้องใช้เบรคมือเลย ถ้าหยุดบนทางชันเอาเท้าซ้ายเหยีบเบรคตอนหยุดแล้ว และใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งให้พอมีแรงส่งค่อยๆปล่อยเบรค และเติมคันเร่งเท่านี้รถไม่ไหลละ สำหรับพวกรถคันเร่งหน่วงวิธีนี้ช่วยได้
-
ลองไปนั่ง โฟวีล ขึ้นเขาคิดชกูด ฟังเสียงเครื่อง จับอาการดูครับ นั่งหน้าเลยนะ ผมก็เอาเทคนิคจากเขาแหละมาไช้ ที่สำคัญ
คือ ตำแหน่งเกียร์และสติครับ ขับขี่ปลอดภัยครับผม
ปล.ควรใช้เบรคไห้น้อยที่สุดครับ
-
ขับห่างๆคันหน้าให้มากๆครับ
;D ;D ;D
+1 ;D
-
ของผมใช้แฝดพี่ครับ RANGER 2.2 MT ขึ้นเขาลงเขาบ่อยพอสมควร
ขึ้นเขา ไม่เน้นเร็ว แต่เน้นแรงบิดครับ ช่วงที่แรงบิดไหลเยอะๆคือช่วง 1500-2500รอบ/นาที เกียร์ไม่ตำแหน่งเกียร์1ก็เกียร์2ครับ
รถจอดชะงักตอนขึ้นเขา อันนี้เบรกมือช่วยได้ครับ เลี้ยงคลัชท์ช่วยด้วยเวลาจะออกตัว
ลงเขา ใช้เอนจินเบรกเป็นหลังครับ แต่เสียงจะคำรามดังไปหน่อยก็เบรกร่วมด้วย
-
ผมมีทั้งประสบการณ์ที่ไม่ดีในรอบแรกๆ เช่นเบรคไหม้ ฯลฯ หลังๆต้องศึกษาดีๆ เส้นที่ผมว่านรกสำหรับผม ตอนนั้นก็ ภูทับเบิก (ตอนก่อนขยายถนนนะครับ 3-4ปีละ)
-
เทคนิคตามข้างบนเลย
เจอเขาไหนผมยังไม่เคยกลัวเท่าเขาคิชกูฏครับ สุดๆอะผมเห็นทางแล้วยอมแพ้ไม่กล้าขับ
-
อีกรูปคับ
จากรูปคือขับขึ้นเขาของแท้ครับ
แนะนำคือหลีกเลี่ยงวันฟ้าหลัว เพราะมีโอกาสติดหล่มเย้อะ
ขับช้าๆ ดูไลน์คันข้างหน้า ขับขึ้นตามสันร่อง (ถ้ามี)
-
หากเป็นทางลาดชันประเภทขึ้นเขา ผมเคยเป็นผู้ขับเฉพาะ TFR เท่านั้น นอกนั้นเวลาขึ้นเขาจะเป็นผู้โดยสารมากกว่า
หากผมขับนั้น ผมไม่เคยรู้สึกเกรง อาจจะเป็นเพราะผมคุ้นชินกับ TFR คันนี้มานานมากๆ แล้ว
จะเรียกว่าเทคนิคมั๊ย อันนี้ผมไม่กล้าพูดได้เต็มปาก เพราะผมใช้ขับอยู่ทุกๆ วัน (ช่วงที่ใช้ TFR นะครับ)
ทางชันๆ ตอนขึ้นห้าง ดวงผมก็มักจะรถไปค้างตรงทางชันประจำ ทางกำลังจะขึ้นน่ะครับ
ผมก็เหยียบเบรคไว้ ตอนจะออกตัวก็แค่ใส่เกียร์ 1 แล้วก็ถอนครัชออกมาครึ่งนึ่ง รถผมก็จะหยุดนิ่งกลางทางลาดชันแล้ว
ทีนี้ก็ปล่อยเท้าจากเบรค มาเติมคันเร่ง รถผมก็ออกจากทางลาดชันแบบเนียนๆ ไม่มีดับ ไม่มีไหลลง ไหลลงแม้แต่กึ๊กเดียวก็ไม่มี
ส่วนตอนลงเขาหรือทางลาดชัน ผมจะใช้เกียร์ต่ำ ซึ่งก็ไม่ได้กำหนดนะครับว่าต้องเกียร์ 1 หรือ 2 หรือ 3 ก็ใช้ตามความเร็วรถที่เหมาะสม
เพราะเราจะรู้ตัวของเราดีว่ารถเรารับได้เท่าไหร่กับความเร็วที่เกิดขึ้นเมื่อใช้เบรค
ปล. ผมคิดว่าที่ผมขับได้ง่ายๆ น่าจะเป็นเพราะเครื่องดีเซลและน้ำหนักรถที่เบาซะมากกว่าครับ
เหมือนกันครับ ผมขับ Mighty-X ก็ใช้วิธี ทำความคุ้นเคยกับระยะคลัช ของมัน ถอนคลัชขึ้นมารอระดับนึง แล้วยกเท้าออกจากเบรคไปเติมคันเร่ง ไม่มีปัญหาอะไรครับ
ส่วนรถเกียร์ออโต้ เนื่องจาก Mazda2 แรงบิดเกียร์ 1 เยอะเหลือเกิน ไม่เคยไหลลงเลย จอดบางเนิน จะไหลขึ้นด้วยซ้ำ -.-
ส่วนตัวแนะนำว่า ใช้เบรคมือช่วย ในระยะแรก แล้วพยายามปรับตัวให้ชินกับจังหวะเท้าครับ
ภาษาชาวบ้านคือ เลียครัช ครับ ผมถูกฝึกตั้งกะอายุสิบห้า แล้วครับ โดนเขกหัวไปหลายรอบ ;D ;D
-
ขออนุญาตแนะนำด้วยแต่ละบริบทสั้นๆ
ส่วนภาคปฏิบัติ ฝึกด้วยประสบการณ์เอาเองนะครับ
1.อย่าเลียครัทช์
2.อย่าเหยียบเบรคบ่อย
3.รอบสูงดีกว่ารอบต่ำ(แนะนำอย่างยิ่งว่า ตลอดการขึ้น ไม่ควรให้รอบต่ำกว่าสองพันครับ)
ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ย้ำอีกครั้งว่าจริงๆ อย่าเปลี่ยนเกียร์ขณะที่อยู่บนทางลาดชัน
(เพราะฉะนั้น คุณควรประเมินก่อนขึ้นหรือลง ว่าทางที่อยู่ตรงหน้า คุณควรใช้เกียร์อะไร)
หรือถ้าไม่มั่นใจจริงๆก็ ยัดเกียร์ 1 โลดครับ
รถสมัยนี้ทางชันแค่ไหนเกียร์ 1 ขึ้นได้แน่นอน ถึงขึ้นได้ช้า ก็ดีกว่าไหลตกเขา (15-20 กม./ชม. ก็ขึ้นได้แล้วครับ ค่อยๆไต่ไป)
ทางลงก็เหมือนกันครับ ถ้าไม่มั่นใจก็ใส่เกียร์ 1 ลงเลย จะได้ไม่ต้องเบรคบ่อยด้วย ให้มันไหลไปช้าๆ ไม่ต้องใจร้อนไปเร็ว
ขึ้น-ลงเขา อย่าคิดแค่ว่าไม่ประมาทก็รอดนะครับ
หวังอย่างยิ่งว่า ในทุกทริปคุณจะสนุกกับการขึ้นเขา(เหมือนผม) และได้กลับมาเจอหน้าคนที่คุณรักครับ.
-
ตามความเห็นบนข้อที่ อย่าเปลี่ยนเกียร์ระหว่างทางชัน ข้อนี้สำคัญมากครับโดยเฉพาะทางชัน+หักศอก
เห็นมาเยอะแล้วขึ้นด้วยเกียร์2พอไปถึงทางหักศอกวงในของโค้งจะชันมากๆเกียร์2ขึ้นไม่ไหวสับลงเกียร์1จังหวะสับรถหมดแรงไหลงรถดับเลยครับอันตรายๆมากๆ
-
ผมได้มีโอกาสไปแจกหนังสือ สิ่งของ เครื่องนุ่งห่มต่างๆ ที่ อำเภอท่าสองยาง จ.ตาก ซึ่งทางที่ไปนั้น เป็นทางชันซะส่วนมาก และก้อเป็นทางลาดยางสภาพแบบเป็นหลุมเป็นบ่อ สลับกับทางลูกรัง ซึ่งคณะที่เราไป ส่วนใหญ่ก้อมีแต่กะบะยกสูง ที่ไม่ใช่โฟร์วิน รวมถึงมาสด้าบีที50โปรของผมด้วย แต่ละคนก้อไม่ได้มีทักษะในการขับรถขึ้นเขากันเลย ระหว่างที่ขับขึ้นเนินทางลาดชัน ไททันพลัส4ประตู อยู่ๆก้อเบรค และพอจะออกตัวรถไหลเกือบจะชนรถผม แถมตอนออกตัวรถดับอีกต่างหาก ตกใจกันทั้งคนรถ ทั้งรถไททัน และรถผม ผมก้อเลยอยากทราบเทคนิคการขับรถของเพื่อนๆเวลาขับรถขึ้นเขากันอ่ะคับ เพราะเวลาผมขับ ถึงทางลาดชัน ผมจะขับช้าๆเข้าเกียร์1ไว้ ค่อยๆไต่ขึ้นเขาไปครับ ทางบางช่วง เป็นทางชันขึ้นเนิน โค้งหักเป็นรูปตัววี ตอนนั้นหักพวงมาลัยมั่วเรยย มองไม่เห็นทางข้างหน้า เล่นเอาตกใจกันทั้งคัน นึกๆแล้วก้อฮาดีครับ พอถึงที่หมายทุกคนร้องกรี๊ดดดด ด้วยความดีใจ ว่ากูไม่ตายแร้วโว๊ยยยยย 555+
ขึ้นเขา ทางชันๆ ต้องใช้แรงบิด ใช้รอบเครื่อง ซึ่ง BT-50จะมีแรงบิดสูงสุดในย่านความเร็วรอบ 1500-2500 ต่อนาทีเกียร์ที่ใช้ขึ้นน่าจะใช้เกียร์ 2 เหตุว่าเกียร์ 1 รอบจะหมดเร็ว ลองขับเกียร์ 1แล้วลากรอบดูคับ ถ้ารอบกวาดไปถึงย่าน 1500-2500 รถเราก้อจะมีแรงบิดที่จะช่วยในการปีนป่าย สู้กับทางชันๆ แต่ถ้ารอบไม่ขึ้นถึงช่วงทีมีแรงบิดสูงสุดให้ใช้ แล้วทางยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ รถก้อจะไม่มีแรง เร่งช่วยก้อไม่ไป เตรียมตัวรับมืออาการดับกลางเนิน หลังจากตกอกตกใจกันถั่วถ้วนหน้า [แต่อย่านานนะ เด๋วรถไหลลง] ดึงเบรคมือ สตาร์ทรถเข้าเกียร์ 1ค่อยๆปล่อยคลัทช์ ให้รถขยับตัว ค่อยลดเบรคมือ เติมคันเร่งช่วย ถ้าชันมากๆ ใส่เกียร์ 1ค้างแล้วสตาร์ท ให้ช่วยกระชากให้รถออกตัว
โค้งตัววี หรือโค้งหักศอก เร่งส่งให้พอเหมาะ ให้รอบเครื่องอยู่ในช่วง 1500-2500 รอบต่อนาที ถ้าชันจัดๆ 2500 ไม่ขึ้นก้อเร่งเครื่องลากรอบส่งไปเลย ไม่ต้องปรานี การรักษาระยะห่างรถคันหน้าก้อจำเป็น เพราะว่าถ้าเกิดเจอมือใหม่หรือสิงห์ทางเรียบ รับรองเจอดับกลางเนินและไหลลงแน่ พอคันหน้าดับไหลลงมาเราก้อต้องเบรค แล้วรอบก้อจะตกรถเราจะไม่มีแรงขึ้น การเข้าโค้งแบบนี้ถ้าเป็นรถยกสูง ระวังเกิดอาการหลงฟ้า หลงดิน เนื่องจากหน้ารถจะเชิดขึ้นตามทางที่มันชัน ทีนี้ก้อจะไม่เห็นขอบหรือไหล่ทาง อันตรายเลยจุดนี้ ใช้วิธีตัดโค้งช่วย คือเลี้ยวกินเลนไปอีกฝากเลย แต่ต้องระวังรถที่จะสวนลงมา ยิ่งถ้าเป็นโค้งที่มองไม่เห็นทางข้างหน้า ให้ใช้บีบแตรสัญญาณ เป็นการช่วยบอกว่าเรากำลังส่งขึ้นเนินไป
มาขาลงกันบ้าง ง่ายกว่าขาขึ้น แต่รถจะลงเร็วมาก ถ้าเจอทางแบบโค้งเยอะๆ แล้วโค้งสั้น อาจมีไม่เข้าโค้ง การชะลอความเร็วรถ ก้อต้องใช้เบรค สลับกับเอ็นจิ้นเบรค เบรคต้องไม่เหยียบแช่ เหยียบแล้วมีปล่อยสลับไปมา ถ้าลงเขายาวๆ เบรคจะร้อนมาก ระวังเบรคไหม้ คราวนี้ล่ะงานงอก ส่วนเอ็นจิ้นเบรค ก้อคือการลดเกียร์ให้ต่ำลงมา อย่างปล่อยเกียร์ 3ลงมา เบรคแล้วก้อเหมือนรถยังเร็วเกิน ก้อลดมาเกียร์ 2 เครื่องจะหน่วงความเร็ว ให้เราสามารถควบคุมรถให้อยู่ในความเร็วที่เหมาะสมได้
คนตีนดอยอ่างข่าง เคยแนะเคล็ดมาว่า ขึ้นเกียร์ไหนลงเกียร์นั้น จากส่วนมากที่ขับเอง [รถมีเกียร์ 4WD] เกียร์ 2เป็นพระเอก ไปทำเท่มาหลายดอย ก้อเท่ากับว่าขึ้นใช้ 2 ลงก้อใช้ 2คับ เกียร์ 4WDเคยลองใช้บ้าง มีแรงขึ้นง่าย ลงก้อง่าย แต่เลิ้ยวยาก วงเลี้ยวกว้างขึ้น ถ้าได้ลองวิ่งถนนเส้น 1095 แม่มาลัย-ปาย ก้อจะเจอครบเกือยทุกรสชาดเลยคับ ท่าสองยาง ก้อแนะนำลองขึ้นอุทยานแม่เมย ขอให้สนุกกับการออกทริปครั้งหน้าที่ไปเจอ ทางภูเขา ทางชันๆอีกคับ
-
ผมได้มีโอกาสไปแจกหนังสือ สิ่งของ เครื่องนุ่งห่มต่างๆ ที่ อำเภอท่าสองยาง จ.ตาก ซึ่งทางที่ไปนั้น เป็นทางชันซะส่วนมาก และก้อเป็นทางลาดยางสภาพแบบเป็นหลุมเป็นบ่อ สลับกับทางลูกรัง ซึ่งคณะที่เราไป ส่วนใหญ่ก้อมีแต่กะบะยกสูง ที่ไม่ใช่โฟร์วิน รวมถึงมาสด้าบีที50โปรของผมด้วย แต่ละคนก้อไม่ได้มีทักษะในการขับรถขึ้นเขากันเลย ระหว่างที่ขับขึ้นเนินทางลาดชัน ไททันพลัส4ประตู อยู่ๆก้อเบรค และพอจะออกตัวรถไหลเกือบจะชนรถผม แถมตอนออกตัวรถดับอีกต่างหาก ตกใจกันทั้งคนรถ ทั้งรถไททัน และรถผม ผมก้อเลยอยากทราบเทคนิคการขับรถของเพื่อนๆเวลาขับรถขึ้นเขากันอ่ะคับ เพราะเวลาผมขับ ถึงทางลาดชัน ผมจะขับช้าๆเข้าเกียร์1ไว้ ค่อยๆไต่ขึ้นเขาไปครับ ทางบางช่วง เป็นทางชันขึ้นเนิน โค้งหักเป็นรูปตัววี ตอนนั้นหักพวงมาลัยมั่วเรยย มองไม่เห็นทางข้างหน้า เล่นเอาตกใจกันทั้งคัน นึกๆแล้วก้อฮาดีครับ พอถึงที่หมายทุกคนร้องกรี๊ดดดด ด้วยความดีใจ ว่ากูไม่ตายแร้วโว๊ยยยยย 555+
ขึ้นเขา ทางชันๆ ต้องใช้แรงบิด ใช้รอบเครื่อง ซึ่ง BT-50จะมีแรงบิดสูงสุดในย่านความเร็วรอบ 1500-2500 ต่อนาทีเกียร์ที่ใช้ขึ้นน่าจะใช้เกียร์ 2 เหตุว่าเกียร์ 1 รอบจะหมดเร็ว ลองขับเกียร์ 1แล้วลากรอบดูคับ ถ้ารอบกวาดไปถึงย่าน 1500-2500 รถเราก้อจะมีแรงบิดที่จะช่วยในการปีนป่าย สู้กับทางชันๆ แต่ถ้ารอบไม่ขึ้นถึงช่วงทีมีแรงบิดสูงสุดให้ใช้ แล้วทางยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ รถก้อจะไม่มีแรง เร่งช่วยก้อไม่ไป เตรียมตัวรับมืออาการดับกลางเนิน หลังจากตกอกตกใจกันถั่วถ้วนหน้า [แต่อย่านานนะ เด๋วรถไหลลง] ดึงเบรคมือ สตาร์ทรถเข้าเกียร์ 1ค่อยๆปล่อยคลัทช์ ให้รถขยับตัว ค่อยลดเบรคมือ เติมคันเร่งช่วย ถ้าชันมากๆ ใส่เกียร์ 1ค้างแล้วสตาร์ท ให้ช่วยกระชากให้รถออกตัว
โค้งตัววี หรือโค้งหักศอก เร่งส่งให้พอเหมาะ ให้รอบเครื่องอยู่ในช่วง 1500-2500 รอบต่อนาที ถ้าชันจัดๆ 2500 ไม่ขึ้นก้อเร่งเครื่องลากรอบส่งไปเลย ไม่ต้องปรานี การรักษาระยะห่างรถคันหน้าก้อจำเป็น เพราะว่าถ้าเกิดเจอมือใหม่หรือสิงห์ทางเรียบ รับรองเจอดับกลางเนินและไหลลงแน่ พอคันหน้าดับไหลลงมาเราก้อต้องเบรค แล้วรอบก้อจะตกรถเราจะไม่มีแรงขึ้น การเข้าโค้งแบบนี้ถ้าเป็นรถยกสูง ระวังเกิดอาการหลงฟ้า หลงดิน เนื่องจากหน้ารถจะเชิดขึ้นตามทางที่มันชัน ทีนี้ก้อจะไม่เห็นขอบหรือไหล่ทาง อันตรายเลยจุดนี้ ใช้วิธีตัดโค้งช่วย คือเลี้ยวกินเลนไปอีกฝากเลย แต่ต้องระวังรถที่จะสวนลงมา ยิ่งถ้าเป็นโค้งที่มองไม่เห็นทางข้างหน้า ให้ใช้บีบแตรสัญญาณ เป็นการช่วยบอกว่าเรากำลังส่งขึ้นเนินไป
มาขาลงกันบ้าง ง่ายกว่าขาขึ้น แต่รถจะลงเร็วมาก ถ้าเจอทางแบบโค้งเยอะๆ แล้วโค้งสั้น อาจมีไม่เข้าโค้ง การชะลอความเร็วรถ ก้อต้องใช้เบรค สลับกับเอ็นจิ้นเบรค เบรคต้องไม่เหยียบแช่ เหยียบแล้วมีปล่อยสลับไปมา ถ้าลงเขายาวๆ เบรคจะร้อนมาก ระวังเบรคไหม้ คราวนี้ล่ะงานงอก ส่วนเอ็นจิ้นเบรค ก้อคือการลดเกียร์ให้ต่ำลงมา อย่างปล่อยเกียร์ 3ลงมา เบรคแล้วก้อเหมือนรถยังเร็วเกิน ก้อลดมาเกียร์ 2 เครื่องจะหน่วงความเร็ว ให้เราสามารถควบคุมรถให้อยู่ในความเร็วที่เหมาะสมได้
คนตีนดอยอ่างข่าง เคยแนะเคล็ดมาว่า ขึ้นเกียร์ไหนลงเกียร์นั้น จากส่วนมากที่ขับเอง [รถมีเกียร์ 4WD] เกียร์ 2เป็นพระเอก ไปทำเท่มาหลายดอย ก้อเท่ากับว่าขึ้นใช้ 2 ลงก้อใช้ 2คับ เกียร์ 4WDเคยลองใช้บ้าง มีแรงขึ้นง่าย ลงก้อง่าย แต่เลิ้ยวยาก วงเลี้ยวกว้างขึ้น ถ้าได้ลองวิ่งถนนเส้น 1095 แม่มาลัย-ปาย ก้อจะเจอครบเกือยทุกรสชาดเลยคับ ท่าสองยาง ก้อแนะนำลองขึ้นอุทยานแม่เมย ขอให้สนุกกับการออกทริปครั้งหน้าที่ไปเจอ ทางภูเขา ทางชันๆอีกคับ
อธิบายได้ระเอียดมากคับ ขอบคุนคับ แต่พูดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ผมพูดจิงๆนะ ผมไม่ได้ดูรอบเครื่องเลย และทุกวันนี้ ในชีวิตประจำวัน ผมก้อไม่ค่อยได้สนใจมองรอบเครื่องเท่าไหร่ ดูแต่ว่า รถวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่แล้ว 555+ ต่อไปนี้ ผมคงต้องใส่ใจกับรอบเครื่องบ้างแล้วล่ะ ^_<
-
ผมว่าน่าจะให้มีตอนสอบใบขับขี่ด้วยนะ ความรู้แบบนี้ เอาให้ละเอียดเลย มีประโยชน์ และลดอุบัติเหตุได้มากเลยทีเดียว ::)
-
ผมมีทั้งประสบการณ์ที่ไม่ดีในรอบแรกๆ เช่นเบรคไหม้ ฯลฯ หลังๆต้องศึกษาดีๆ เส้นที่ผมว่านรกสำหรับผม ตอนนั้นก็ ภูทับเบิก (ตอนก่อนขยายถนนนะครับ 3-4ปีละ)
ทับเบิกอาจดูไม่ชัน ไม่โหด
แต่ความโหดมันอยู่ตรงที่ ขึ้นอย่างเดียว 8 กิโลครับ
8 กิโลที่ว่านี้คือ ไม่มีลาดลงแม้แต่นิดเดียวขึ้นอย่างเดียวจริงๆ
ใครอยากขับขึ้นเอาแก่งๆ ก้ไปลองขึ้นห้างก่อนครับ ขับไปจอดซักชั้น 10 โดยที่ ไม่ไหลชนรถคันหลัง ถือว่าผ่าน 55 ขำๆ
-
ทับเบิก พระตำหนัก ผมว่าธรรมดา ทับเบิกขึ้นได้ 2 ด้านถ้าขึ้นด้านหลังจะสบายกว่าขึ้นด้านหน้า
ทางลง มีตัดใหม่ อยู่ เส้นนึงผมจำไม่ได้เเล้ว ทางลุกรังทำสำหรับให้พวกแม้ว ขับ เอาของขึ้นไปขาย ลงตรงๆ ขึ้นตรงๆ เลาะสันเขา รถไม่ค่อยมี ธรรมชาติสุดๆ
ทางแคบๆชันๆต้องภาคเหนือ
เทคนิคขึ้นเขา ที่ดีที่สุดคือ อย่าอดนอน เวลาไปเที่ยวเขา ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะแรงอัดของอากาศและต้องหนีแรงโน้มถ่วงของโลก
จอดรถต้องเอาหัวขึ้นทางลาด เอาท้ายลงทางลาด
จอดทางชันต้องเข้า ดึงเบรคมือ พอรถหยุดกิ๊กก้เข้า p ถ้า เกียร์กระปุ๊ก ก็ หัวขึ้นทางลาด เข้าดึงเบรคมือให้สุดให้ไม่ไหลหยุดกึกแล้วเข้าเกียร์ 1 คาเอาไว้ หาขอนไม้ติดรถเอาไว้ซักท่อนก็ดีได้เอามาหนุนล้อ
ไม้แผ่นไม้กระดานหน้าเรียบ ติดรถเอาไว้ เกิด ยางแตกหนุนแม่แรงได้
พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่ม เขาลูกไหนๆก็ขึ้นได้หมด
-
ผมได้มีโอกาสไปแจกหนังสือ สิ่งของ เครื่องนุ่งห่มต่างๆ ที่ อำเภอท่าสองยาง จ.ตาก ซึ่งทางที่ไปนั้น เป็นทางชันซะส่วนมาก และก้อเป็นทางลาดยางสภาพแบบเป็นหลุมเป็นบ่อ สลับกับทางลูกรัง ซึ่งคณะที่เราไป ส่วนใหญ่ก้อมีแต่กะบะยกสูง ที่ไม่ใช่โฟร์วิน รวมถึงมาสด้าบีที50โปรของผมด้วย แต่ละคนก้อไม่ได้มีทักษะในการขับรถขึ้นเขากันเลย ระหว่างที่ขับขึ้นเนินทางลาดชัน ไททันพลัส4ประตู อยู่ๆก้อเบรค และพอจะออกตัวรถไหลเกือบจะชนรถผม แถมตอนออกตัวรถดับอีกต่างหาก ตกใจกันทั้งคนรถ ทั้งรถไททัน และรถผม ผมก้อเลยอยากทราบเทคนิคการขับรถของเพื่อนๆเวลาขับรถขึ้นเขากันอ่ะคับ เพราะเวลาผมขับ ถึงทางลาดชัน ผมจะขับช้าๆเข้าเกียร์1ไว้ ค่อยๆไต่ขึ้นเขาไปครับ ทางบางช่วง เป็นทางชันขึ้นเนิน โค้งหักเป็นรูปตัววี ตอนนั้นหักพวงมาลัยมั่วเรยย มองไม่เห็นทางข้างหน้า เล่นเอาตกใจกันทั้งคัน นึกๆแล้วก้อฮาดีครับ พอถึงที่หมายทุกคนร้องกรี๊ดดดด ด้วยความดีใจ ว่ากูไม่ตายแร้วโว๊ยยยยย 555+
ขึ้นเขา ทางชันๆ ต้องใช้แรงบิด ใช้รอบเครื่อง ซึ่ง BT-50จะมีแรงบิดสูงสุดในย่านความเร็วรอบ 1500-2500 ต่อนาทีเกียร์ที่ใช้ขึ้นน่าจะใช้เกียร์ 2 เหตุว่าเกียร์ 1 รอบจะหมดเร็ว ลองขับเกียร์ 1แล้วลากรอบดูคับ ถ้ารอบกวาดไปถึงย่าน 1500-2500 รถเราก้อจะมีแรงบิดที่จะช่วยในการปีนป่าย สู้กับทางชันๆ แต่ถ้ารอบไม่ขึ้นถึงช่วงทีมีแรงบิดสูงสุดให้ใช้ แล้วทางยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ รถก้อจะไม่มีแรง เร่งช่วยก้อไม่ไป เตรียมตัวรับมืออาการดับกลางเนิน หลังจากตกอกตกใจกันถั่วถ้วนหน้า [แต่อย่านานนะ เด๋วรถไหลลง] ดึงเบรคมือ สตาร์ทรถเข้าเกียร์ 1ค่อยๆปล่อยคลัทช์ ให้รถขยับตัว ค่อยลดเบรคมือ เติมคันเร่งช่วย ถ้าชันมากๆ ใส่เกียร์ 1ค้างแล้วสตาร์ท ให้ช่วยกระชากให้รถออกตัว
โค้งตัววี หรือโค้งหักศอก เร่งส่งให้พอเหมาะ ให้รอบเครื่องอยู่ในช่วง 1500-2500 รอบต่อนาที ถ้าชันจัดๆ 2500 ไม่ขึ้นก้อเร่งเครื่องลากรอบส่งไปเลย ไม่ต้องปรานี การรักษาระยะห่างรถคันหน้าก้อจำเป็น เพราะว่าถ้าเกิดเจอมือใหม่หรือสิงห์ทางเรียบ รับรองเจอดับกลางเนินและไหลลงแน่ พอคันหน้าดับไหลลงมาเราก้อต้องเบรค แล้วรอบก้อจะตกรถเราจะไม่มีแรงขึ้น การเข้าโค้งแบบนี้ถ้าเป็นรถยกสูง ระวังเกิดอาการหลงฟ้า หลงดิน เนื่องจากหน้ารถจะเชิดขึ้นตามทางที่มันชัน ทีนี้ก้อจะไม่เห็นขอบหรือไหล่ทาง อันตรายเลยจุดนี้ ใช้วิธีตัดโค้งช่วย คือเลี้ยวกินเลนไปอีกฝากเลย แต่ต้องระวังรถที่จะสวนลงมา ยิ่งถ้าเป็นโค้งที่มองไม่เห็นทางข้างหน้า ให้ใช้บีบแตรสัญญาณ เป็นการช่วยบอกว่าเรากำลังส่งขึ้นเนินไป
มาขาลงกันบ้าง ง่ายกว่าขาขึ้น แต่รถจะลงเร็วมาก ถ้าเจอทางแบบโค้งเยอะๆ แล้วโค้งสั้น อาจมีไม่เข้าโค้ง การชะลอความเร็วรถ ก้อต้องใช้เบรค สลับกับเอ็นจิ้นเบรค เบรคต้องไม่เหยียบแช่ เหยียบแล้วมีปล่อยสลับไปมา ถ้าลงเขายาวๆ เบรคจะร้อนมาก ระวังเบรคไหม้ คราวนี้ล่ะงานงอก ส่วนเอ็นจิ้นเบรค ก้อคือการลดเกียร์ให้ต่ำลงมา อย่างปล่อยเกียร์ 3ลงมา เบรคแล้วก้อเหมือนรถยังเร็วเกิน ก้อลดมาเกียร์ 2 เครื่องจะหน่วงความเร็ว ให้เราสามารถควบคุมรถให้อยู่ในความเร็วที่เหมาะสมได้
คนตีนดอยอ่างข่าง เคยแนะเคล็ดมาว่า ขึ้นเกียร์ไหนลงเกียร์นั้น จากส่วนมากที่ขับเอง [รถมีเกียร์ 4WD] เกียร์ 2เป็นพระเอก ไปทำเท่มาหลายดอย ก้อเท่ากับว่าขึ้นใช้ 2 ลงก้อใช้ 2คับ เกียร์ 4WDเคยลองใช้บ้าง มีแรงขึ้นง่าย ลงก้อง่าย แต่เลิ้ยวยาก วงเลี้ยวกว้างขึ้น ถ้าได้ลองวิ่งถนนเส้น 1095 แม่มาลัย-ปาย ก้อจะเจอครบเกือยทุกรสชาดเลยคับ ท่าสองยาง ก้อแนะนำลองขึ้นอุทยานแม่เมย ขอให้สนุกกับการออกทริปครั้งหน้าที่ไปเจอ ทางภูเขา ทางชันๆอีกคับ
อธิบายได้ระเอียดมากคับ ขอบคุนคับ แต่พูดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ผมพูดจิงๆนะ ผมไม่ได้ดูรอบเครื่องเลย และทุกวันนี้ ในชีวิตประจำวัน ผมก้อไม่ค่อยได้สนใจมองรอบเครื่องเท่าไหร่ ดูแต่ว่า รถวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่แล้ว 555+ ต่อไปนี้ ผมคงต้องใส่ใจกับรอบเครื่องบ้างแล้วล่ะ ^_<
คับ ถ้าเราขับทางทั่วไป ก้อแค่เปลี่ยนเกียร์ ให้สัมพัธ์กันกับความเร็ว [ลองหาข้อมูล ในเรื่่องความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ ที่ทางคุณจิม พรีวิว http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=5650:%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A-Mazda-BT-50-PRO-(3-2-L-6AT-6MT-4x4-2-2-L-6AT-6MT-4x2-Hi-Racer)-%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B0-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-SUV-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88 (http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=5650:%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A-Mazda-BT-50-PRO-(3-2-L-6AT-6MT-4x4-2-2-L-6AT-6MT-4x2-Hi-Racer)-%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B0-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-SUV-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88)]
แต่ถ้ากรณีขับขึ้นทางชัน ความเร็วจะเป็นพระรอง แรงบิดจะเป็นพระเอกเต็มตัวตลอดทาง ทีนี้ก้อจะเน้นขับโดยเลี้ยงรอบ ให้อยู่ในย่านที่มีแรงบิดที่เหมาะสม อันนี้ขึ้นอยู่กับสเป็คของรถแต่ละรุ่น ถ้าสังเกตุจะเห็นรายละเอียดโฆษณา ว่าเครื่องกี่ CC มีกี่แรงม้า แล้วจะมีข้อมูลบอกถึงว่ามีแรงบิดสูงสุดในย่านรอบเครื่องเท่าไหร่ เคยช็อคแบบสุดติ่งกระดิ่งแมว เพื่อนพาไปดับกลางยูเทิร์น ดีที่พี่รถพ่วงแกเบรคให้ทัน เลยสงสัยว่าทำไมดับ เพื่อนเราแกมาเกียร์ 4 อยู่ หยุดรอรถว่างแล้วออกตัวทั้งที่คาเกียร์ 4อยู่ก้อเลยดับ คุยกันก้อเลยรู้ว่า ไม่รู้เรื่องความเร็วที่สัมพันธ์กับเกียร์ ได้แต่ขับได้อย่างเดียว
ลองถามในอากู๋ ถึงเรื่องขับขึ้นเขา รับรองว่าได้เพิ่มอีกหลายแท็คติก พอเจอสถานการ์ณจริงก้องัดเอามาใช้ รับรองไปถึงที่หมายกลับถึงปลายทางอย่างปลอดภัยคับ