Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: sui44 ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2010, 19:59:27
-
เพื่อนที่เป็นmkของไฟแนนที่นึงที่มีประสบการณืในวงการรถมานับสิบปีบอกผมว่า คนทําโชวรูมรถมีกําไรมาจาก 2 ทาง
1.ทางตรง
- จากกําไรส่วนต่างที่บริษัทให้มาคันละ 3-5หมื่น แล้วแต่รุ่น
- ขายอะใหร่และบริการ
2.ทางอ้อม
- โกงลูกค้า จากการเปลื่ยนอุปกรณ์แต่งรถของปลอมเข้าไป ของแท้ถอดขาย
- โกงบริษัทรถ จากการที่บริษัทให้ส่วนลดลูกค้าผ่านโชวรูม 3หมื่น-1แสน แต่ลูกค้าบางคนไม่รู้ เลยได้ตํ่ากว่าหรือไม่ได้เลย เจ้าของโชวรูมจึงเขียนใบเสร็จจริงให้ลูกค้าแล้วใบปลอมไปเบิกกับบริษัท ส่วนต่างเข้ากระเป๋า
ซึ่งถ้าไม่ใช่ยี่ห้อหลัก3ยี่ห้อ(โตต้า-ฮอน-อีซุ)และไม่โกง จะเหลือกําไรหลังหักค่าใช้จ่ายแค่คันละ1หมื่นเท่านั้น และเดือนนึงก็ขายได้เฉลี่ยแค่เดือนละ5คัน กําไรเดือนละ5หมื่นบาท คงไม่พอจะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตและทางสังคมเป็นแน่
ซึ่งผมก็เห็นจริงตามนั้นเพราะคนที่ผมรู้จักดีหลายคนที่ทําโชวรูมรถยี่ห้อรอง เช่น ฟอรท นิสสัน บอกผมว่าขาดทุนเดือนละเป็นแสน บางคนก็เลิกทําไป บางคนก็ยังกัดฟันทําต่อไป
แต่บางคนที่ผมไม่รู้จักผิวเผิน ทํารถยี่ห้อรองเหมือนกัน แต่เค้ามีเงินใช้อย่างฟุ่มเฟือยมาก และยังขยายไปทําเพิ่มในจังหวัดอื่นๆด้วย พอผมบอกเพื่อนไปแบบนั้น เค้าเลยบอกผมว่า
1.คนทํายี่ห้อรองแล้วยังมีกําไรแสดงว่าโกงเก่งโดยใช้วิธีที่บอกไปข้างต้น
2.ขายรถใหม่ยี่ห้อรองได้แต่หน้าไม่ได้เงิน สู้ขายรถมือ2ไม่ได้ลงทุนน้อยกําไรเยอะกว่า
เพื่อนผมมันพูดถูกใหมครับ
-
ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ โดยให้บริษัทแม่นำทางครับ
-
กำไรของรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 3-5% ของราคารถก่อนรวม VAT ครับ
และจะมีอีกส่วนหนึ่งที่ทางบ.แม่ให้เป็นงบส่งเสริมการขาย
โดยงบตัวนี้จะแล้วแต่รุ่น แล้วแต่สี แล้วแต่เกรดของรถ
รุ่นเดียวกันแต่สีไหนขายยากกว่าก็จะได้งบส่งเสริมการขายสูงกว่า
อันนี้คือรายได้หลัก
ส่วนรายได้รองก็จะมี
ค่าคอมมิชชั่นจากไฟแนนซ์ ประมาณ 4-10% ของดอกเบี้ย
ค่าคอมมิชชั่นจากการขายอุปกรณ์ตกแต่ง เช่น ฟิล์ม กันชน ผ้ายาง กระบะไลเนอร์ คิ้วกันสาด
ค่าซ่อมบำรุง แต่พูดจริงๆรายได้ส่วนนี้ก็น่าจะแค่พอเลี้ยงศูนย์บริการได้เท่านั้น
ผมพูดตรงๆนะครับ
รถยี่ห้อรองก็สามารถทำกำไรได้ เพราะมันจะมีค่าใช้จ่ายตามสเกลของการลงทุน
ดูอย่างยี่ห้อหลัก ขายกันตกเดืิอนละ 100 คันต่อโชว์รูม
แต่คุณก็ต้องมีศูนย์บริการที่สามารถรองรับปริมาณรถขนาดนั้นได้
ผมว่ามันอยู่ที่คุณธรรมของคนที่ทำมากกว่า
เตนท์รถมือ2บางที่นี่ยังน่ากลัวกว่าอีก
รถชนมาทั้งคันแต่เวลาลูกค้าถามก็ตอบว่ารถแค่ทำสีเล็กๆน้อยๆ
ไม่ต้องอื่นไกลเดี๋ยวนี้มีบ.รถยนต์ลงมาทำรถมือ2เอง
พวกนี้ก็ใช่ย่อย
เคยเจอมั๊ยหล่ะครับ
ซื้อรถได้แมวกลับบ้าน
555+
-
เพื่อนคุณเพิ่งตื่นนอนมาเหรอครับ
0 บริการ ขายรถได้กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วคันละหมื่น ฮาาา เหอๆๆ ;D ;D
-
ที่เหลือคันละหมื่นเะพราะขายได้เดือนละไม่เกิน5คันไงครับ ต้นทุนต่อคันเลยสูง คนรู้จักผมที่ทํา ฟรอท กับนิสสันก็ บอกผมเหมือนกัน ตอนแลกผมก็คิดว่าเค้าโกหก แต่หลังจากนั้นเค้าก็เลิกทําไปจริงๆ เพราะขาดทุนเดือนละแสน
-
บ้านผมทำทั้งโชรูมรถมือ1 แระ รถมือ2 อยู่ได้เพราะรถมือ2 ล้วนๆ ขาดทุนจิง บริษัท แม่ก้อ กดดันตลอด ให้ซื้ออุปกรณ์แพงๆ ด่าว่าทำไมถึงต้องทำรถมือ2 ถ้าไม่ทำ ป่านนี้ คงปิดโชรูมไปแระ
-
บ้านผมทำทั้งโชรูมรถมือ1 แระ รถมือ2 อยู่ได้เพราะรถมือ2 ล้วนๆ ขาดทุนจิง บริษัท แม่ก้อ กดดันตลอด ให้ซื้ออุปกรณ์แพงๆ ด่าว่าทำไมถึงต้องทำรถมือ2 ถ้าไม่ทำ ป่านนี้ คงปิดโชรูมไปแระ
ทำยี่ห้ออะไรเหรอครับ แชร์เป็นความรู้กันดีกว่าครับ
-
พึ่งถามเพื่อนที่เป็นเซลมา แต่มันเป็นเซลฮอนด้า ที่เป็นยี่ห้อหลัก มันบอกยังงี้
"ข้อ1 กับข้อ2 sale เอาไปแดก เจ้าของโชว์รูมจะกันข้อ 1 ไว้บางส่วนและยังได้จากคอมดอกเบี้ยที่ไฟแนนให้อีก
โดยเฉลี่ยเจ้าของจะได้ประมาณคันละ 10,000-20,000 บาท ยอดขายโดยเฉลี่ยจะอยู่ประมาณเดือนละ 30-40 คัน
อย่าลืมว่าเป้าสิ้นปีก็มีจากบริษัทผู้ผลิตอีกนะ มองโดยรวมไปได้ คงจะจ่ายเงินเดือนผู้บริหารได้สักเดือน"
-
ไม่ได้เป็นยี่ห้อ หลัก สู้ พี่โตต้า อีซุซุ ฮอนด้า ไม่ได้เรยครับ
อันดับ 5 อันดับ 6 ให้เดาคับ ;D
;)
โรงงานเดียวก่าฟอร์ด
-
ส่วนมาก โชรูมผม ได้ ไม่เยอะ เพราะตีรถเก่ามาแพงมาก ศูนย์โตต้า ฮอนด้าตีให้ 100000 เดียว ของผม บางที ต้องตีไปถึง 200000 เค้าถึงจายอม ซื้อ ป้ายแดง ขายเอาตัวเลข ประทั่ง ไว้ เพื่อ ไม่ให้ โดนด่ามากไปก่านี้ :'(
-
ปัญหามันมาจาก
1) ทุกวันนี้ Marketshare แต่ละยี่ห้อ มันสุดโต่งเกินไป
เอาตัวเลขหยาบๆ ตลาดรถบ้านเรา สัดส่วน รถเก๋ง : รถกระบะ = 50:50
ในรถกระบะ 2 เจ้าใหญ่สุด คือ Toyota กับ Isuzu ได้ไปฝ่ายละ 40 และ 40 เหลืออีก 20 แบ่งกันระหว่าง Nis , Mit , Chev , Ford , Maz
ในรถเก๋ง 2 เจ้าใหญ่สุด คือ To กับ Hon ได้ไปฝ่ายละ 40 และ 40 เหลืออีก 20 แบ่งกันระหว่าง Nis , Mit , Chev , Ford , Maz , Benz , BMW , ฯลฯ
Marketshare ตลาดรถ โดยรวม ได้เป็นว่า To = 40 , Is = 20 , Hon = 20
3 ค่ายใหญ่ กินไปแล้ว 80% เหลืออีก 20% แบ่งกันระหว่าง 10 กว่ายี่ห้อ
--> ไอ้รายใหญ่ ก็ใหญ่ซะ ไอ้รายเล็ก ก็เล็กแบบว่า...
คนทำศูนย์ 3 ค่าย จึงกำไรเพียบ แต่ค่ายที่เหลือ ได้ยอดขายน้อยมากๆ
(ดีลเลอร์โตโยต้าแห่งหนึ่ง มีศูนย์แค่ 2 ศูนย์ (ศูนย์ที่ 3 กำลังสร้าง)
ปีที่แล้ว กำไรก่อนจ่ายภาษี 70 กว่าล้านบาท จ่ายภาษีธุรกิจ 20 กว่าล้าน)
2) ลงทุนทำโชว์รูม
3 ยี่ห้อใหญ่ ชักจูงแนวคิดว่า ซื้อรถสักคัน โชว์รูมต้องใหญ่โต โอ่อ่า กว้างขวาง ห้องโชว์รถ เพดานต้องสูงเป็น 6 เมตร กระจกใสรอบด้าน แต่แอร์เย็นฉ่ำ
ศูนย์บริการ ต้องมีช่องจอดเยอะๆ มีศูนย์ซ่อมสีและตัวถังด้วย
ยี่ห้อเล็กๆ ที่เหลือก็มองตาปริบๆ แล้วคิดว่า ถ้าตูลงทุนแบบมัน แล้วตูจะคืนทุนเมื่อไหร่วะ ?
ผมไปต่างประเทศบ่อยๆ โชว์รูมรถในยุโรป ในเกาหลี เป็นแค่ห้องแถว หรือชั้นล่างของอาคารสำนักงานเองครับ เหอ เหอ
หลายๆ แห่ง อยู่นอกๆ เมืองหน่อย ลักษณะเหมือน อาคารชั่วคราวตามงานแสดงสินค้าแบบนั้นเลยครับ
(สี่เหลี่ยม ชั้นเดียว เพดานไม่สูง) ในอาคารมีรถไฮไลท์จอดซักคัน 2 คัน นอกนั้นที่เหลือ จอดอยู่ด้านหน้า รับแดดรับลมเย็นๆ นั่นแหละ
3) ราคาขายต่อ
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุหลัก และสาเหตุย่อยใดๆ มารวมกัน รถสำหรับคนไทย แพง - แพงมาก
คนไทยส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงราคาขายต่อไว้เป็นหัวข้อสำคัญข้อนึงของการพิจารณา
รถที่น่าสนใจ สมรรถนะรถ จะเด่น คุณภาพรถ จะสูง แค่ไหน แต่พอเห็นยี่ห้อ รู้ว่าราคาขายต่อจะตก / ขายยาก ก็เริ่มลังเล
พอหันไปดูยี่ห้อรถตลาดๆ ก็เห็นว่า เออ มันก็ด้อยกว่ากันนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้มากมาย แล้วมันก็ยังมีจุดเด่นบางด้าน ที่รถไม่ตลาด ยังสู้ไม่ได้
แล้วหันไปดูบนท้องถนน ก็เห็นมันมีวิ่งออกเยอะแยะ --> คิดเอาเองว่า มันก็คงใช้ได้ล่ะน่า ไม่งั้น มันคงไม่มีคนซื้อใช้กันต่อเนื่องแบบนี้
ไม่ต้องอะไรมาก มีหลายคน เคยลองซื้อรถไม่ตลาดไปใช้ ก็พบว่า เออ มันก็ดีนี่หว่า ไม่เห็นจะซ่อมแพง จุกจิกตรงไหน ใช้ๆ ไปก็ Happy
แต่พอถึงเวลาเริ่มเก่า จะเปลี่ยนรถใหม่ ตอนนั้นแหละถึงรู้ ถ้าเค้าไม่กดราคาแบบว่า รับไม่ได้ ก็บอกง่ายๆ เลยว่า รุ่นนี้ไม่รับซื้อ
4) พฤติกรรมคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเอง+ชอบออกความเห็นแทนคนอื่นด้วย
2 แรงบวก (แต่เป็นแรงต้านนะ) ทำให้ "ยอดขายที่น่าจะขายได้" ของรถไม่ตลาด ต้องลดเหลือแค่ "ยอดขายที่ขายได้จริง"
ทั้ง 4 ข้อ คงเป็นแค่ส่วนนึง เท่าที่มองเห็น จากฝั่งคนซื้อ (ไม่รวมฝั่งคนขาย ผู้ผลิต ไฟแนนซ์ ประกันภัย ของแต่ง อะไหล่ ฯลฯ)
ไม่รู้เหมือนกันว่า อะไรเกิดก่อน อะไรเกิดหลัง (เหมือน ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน) แต่รวมๆ แล้ว เหมือนเป็นวงจรอุบาทว์
รถยี่ห้อไม่ตลาด ถึงไม่มีวันจะได้เกิดสักที
-
^
^
อ่านแล้ว มันเศร้าๆ ไงไม่รู้ :'(
-
^
^
^
งั้นเราก้ไปซื้อรถไม่ตลาดมาใช้กันสิครับ มันจะได้กลายเป็นรถตลาดสักที ;D
-
^^
-
คงจะเหมือนกระทู้หนึ่งที่ผมพึ่งตั้งไปที่ อีก web site นึงละครับ
เห็นตัวเลขแล้ว รู้เลยว่า การเป็น dealer เจ้ารองๆ นั้น
เหนื่อยยากขนาดไหน
-
แต่ฟรอด ที่เห็นอยู่อันดับท้ายตารางนั้น ผมเห็นบางคนทําแล้วท่าทางจะมีกําไรมากก็มี เพราะเค้ายังขยายสาขาเพิ่ม ทั้งสร้างโชวรูมใม่ในจังหวัดที่ยังไม่มี หรือซื้อต่อหรือเช่าโชวรูมที่เจ้าของทําต่อไม่ใหวเลิกทําไป ค่าเช่าต่อเดือนก็อยู่ประมาณ 8หมื่นบาท
ผมเห็นแล้วจึงสงสัยอย่างมากว่าเค้ามีเทคนิคอะไรถึงขายรถฟอรทแล้วมีกําไรคุ้มค่าเช่าเดือนละ8หมื่นบาท ในขณะที่คนที่ให้เช่าขาดทุนเดือนละแสน (ขนาดคนที่ให้เช่า เอาเงินตัวดํามาสร้างนะครับ ไม่ได้กูแบ็งค์ ยังขาดทุนเดือนละแสนเลยคิดดู)
แปลกใจเหมือนผมใหมครับ หรือว่าเค้าฟอกเงิน ???
-
ปัญหามันมาจาก
1) ทุกวันนี้ Marketshare แต่ละยี่ห้อ มันสุดโต่งเกินไป
เอาตัวเลขหยาบๆ ตลาดรถบ้านเรา สัดส่วน รถเก๋ง : รถกระบะ = 50:50
ในรถกระบะ 2 เจ้าใหญ่สุด คือ Toyota กับ Isuzu ได้ไปฝ่ายละ 40 และ 40 เหลืออีก 20 แบ่งกันระหว่าง Nis , Mit , Chev , Ford , Maz
ในรถเก๋ง 2 เจ้าใหญ่สุด คือ To กับ Hon ได้ไปฝ่ายละ 40 และ 40 เหลืออีก 20 แบ่งกันระหว่าง Nis , Mit , Chev , Ford , Maz , Benz , BMW , ฯลฯ
Marketshare ตลาดรถ โดยรวม ได้เป็นว่า To = 40 , Is = 20 , Hon = 20
3 ค่ายใหญ่ กินไปแล้ว 80% เหลืออีก 20% แบ่งกันระหว่าง 10 กว่ายี่ห้อ
--> ไอ้รายใหญ่ ก็ใหญ่ซะ ไอ้รายเล็ก ก็เล็กแบบว่า...
คนทำศูนย์ 3 ค่าย จึงกำไรเพียบ แต่ค่ายที่เหลือ ได้ยอดขายน้อยมากๆ
(ดีลเลอร์โตโยต้าแห่งหนึ่ง มีศูนย์แค่ 2 ศูนย์ (ศูนย์ที่ 3 กำลังสร้าง)
ปีที่แล้ว กำไรก่อนจ่ายภาษี 70 กว่าล้านบาท จ่ายภาษีธุรกิจ 20 กว่าล้าน)
2) ลงทุนทำโชว์รูม
3 ยี่ห้อใหญ่ ชักจูงแนวคิดว่า ซื้อรถสักคัน โชว์รูมต้องใหญ่โต โอ่อ่า กว้างขวาง ห้องโชว์รถ เพดานต้องสูงเป็น 6 เมตร กระจกใสรอบด้าน แต่แอร์เย็นฉ่ำ
ศูนย์บริการ ต้องมีช่องจอดเยอะๆ มีศูนย์ซ่อมสีและตัวถังด้วย
ยี่ห้อเล็กๆ ที่เหลือก็มองตาปริบๆ แล้วคิดว่า ถ้าตูลงทุนแบบมัน แล้วตูจะคืนทุนเมื่อไหร่วะ ?
ผมไปต่างประเทศบ่อยๆ โชว์รูมรถในยุโรป ในเกาหลี เป็นแค่ห้องแถว หรือชั้นล่างของอาคารสำนักงานเองครับ เหอ เหอ
หลายๆ แห่ง อยู่นอกๆ เมืองหน่อย ลักษณะเหมือน อาคารชั่วคราวตามงานแสดงสินค้าแบบนั้นเลยครับ
(สี่เหลี่ยม ชั้นเดียว เพดานไม่สูง) ในอาคารมีรถไฮไลท์จอดซักคัน 2 คัน นอกนั้นที่เหลือ จอดอยู่ด้านหน้า รับแดดรับลมเย็นๆ นั่นแหละ
3) ราคาขายต่อ
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุหลัก และสาเหตุย่อยใดๆ มารวมกัน รถสำหรับคนไทย แพง - แพงมาก
คนไทยส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงราคาขายต่อไว้เป็นหัวข้อสำคัญข้อนึงของการพิจารณา
รถที่น่าสนใจ สมรรถนะรถ จะเด่น คุณภาพรถ จะสูง แค่ไหน แต่พอเห็นยี่ห้อ รู้ว่าราคาขายต่อจะตก / ขายยาก ก็เริ่มลังเล
พอหันไปดูยี่ห้อรถตลาดๆ ก็เห็นว่า เออ มันก็ด้อยกว่ากันนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้มากมาย แล้วมันก็ยังมีจุดเด่นบางด้าน ที่รถไม่ตลาด ยังสู้ไม่ได้
แล้วหันไปดูบนท้องถนน ก็เห็นมันมีวิ่งออกเยอะแยะ --> คิดเอาเองว่า มันก็คงใช้ได้ล่ะน่า ไม่งั้น มันคงไม่มีคนซื้อใช้กันต่อเนื่องแบบนี้
ไม่ต้องอะไรมาก มีหลายคน เคยลองซื้อรถไม่ตลาดไปใช้ ก็พบว่า เออ มันก็ดีนี่หว่า ไม่เห็นจะซ่อมแพง จุกจิกตรงไหน ใช้ๆ ไปก็ Happy
แต่พอถึงเวลาเริ่มเก่า จะเปลี่ยนรถใหม่ ตอนนั้นแหละถึงรู้ ถ้าเค้าไม่กดราคาแบบว่า รับไม่ได้ ก็บอกง่ายๆ เลยว่า รุ่นนี้ไม่รับซื้อ
4) พฤติกรรมคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเอง+ชอบออกความเห็นแทนคนอื่นด้วย
2 แรงบวก (แต่เป็นแรงต้านนะ) ทำให้ "ยอดขายที่น่าจะขายได้" ของรถไม่ตลาด ต้องลดเหลือแค่ "ยอดขายที่ขายได้จริง"
ทั้ง 4 ข้อ คงเป็นแค่ส่วนนึง เท่าที่มองเห็น จากฝั่งคนซื้อ (ไม่รวมฝั่งคนขาย ผู้ผลิต ไฟแนนซ์ ประกันภัย ของแต่ง อะไหล่ ฯลฯ)
ไม่รู้เหมือนกันว่า อะไรเกิดก่อน อะไรเกิดหลัง (เหมือน ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน) แต่รวมๆ แล้ว เหมือนเป็นวงจรอุบาทว์
รถยี่ห้อไม่ตลาด ถึงไม่มีวันจะได้เกิดสักที
ถูกต้องครับ
เป็นครั้งแรกที่ผมมีความเห็นตรงกับพี่ 100%
5555