Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: arpore ที่ สิงหาคม 09, 2015, 14:02:14

หัวข้อ: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: arpore ที่ สิงหาคม 09, 2015, 14:02:14
กำลังจะออกไปดูรถมือ2
ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
ต้องตรวจเช็คอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ
ซื้อขายกันเองไม่ผ่านเต็นท์ครับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: Staples ที่ สิงหาคม 09, 2015, 14:41:11
ได้มาเท่าไรครับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: DF-SLB ที่ สิงหาคม 09, 2015, 19:09:06
- สำหรับผม ผมเน้นที่การเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเกียร์ครับ อย่างน้อยๆ 50000km นี้ เกรียร์ดูอัลครัชต้องเปลี่ยน น้ำมันเกียร์อย่างน้อยมา 1 ครั้งแล้ว  ขับเนิบๆ รอบเกียร์จะเปลี่ยนที่รอบปกติปรมาณ 2000-2100 rpm ถ้า ลากสูงกว่านั้น ผมเกรงจะไม่ปกติ  เน้นว่าขับเนิบๆ ค่อยๆไล่เกียร์นะครับ

- เช็คครับว่าลูกยางใต้ผาพลาติคครอบครื่องอยู่ครบหรือเปล่า ส่นใหญจะไม่ครบครับแต่ใก้รู้ไว้ก่อน หายตัวสองตัวไม่เป็นไร

ผมคิดออกแค่นี้ครับ เพราะรถผมใช้มาชะ 5 ปีแล้วก็ยังไม่เจอปัญหาอะไร

 
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: Gunn ที่ สิงหาคม 09, 2015, 19:49:33
ไม่แน่ใจว่าปี 2010 นี่เป็นตัว Full Option หรือยังครับ ถ้าเลือกได้หาตัวสุดท้ายที่เบาะไฟฟ้าคู่หน้า กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัตินะครับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: Gunn ที่ สิงหาคม 09, 2015, 19:52:34
- สำหรับผม ผมเน้นที่การเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเกียร์ครับ อย่างน้อยๆ 50000km นี้ เกรียร์ดูอัลครัชต้องเปลี่ยน น้ำมันเกียร์อย่างน้อยมา 1 ครั้งแล้ว  ขับเนิบๆ รอบเกียร์จะเปลี่ยนที่รอบปกติปรมาณ 2000-2100 rpm ถ้า ลากสูงกว่านั้น ผมเกรงจะไม่ปกติ  เน้นว่าขับเนิบๆ ค่อยๆไล่เกียร์นะครับ

- เช็คครับว่าลูกยางใต้ผาพลาติคครอบครื่องอยู่ครบหรือเปล่า ส่นใหญจะไม่ครบครับแต่ใก้รู้ไว้ก่อน หายตัวสองตัวไม่เป็นไร

ผมคิดออกแค่นี้ครับ เพราะรถผมใช้มาชะ 5 ปีแล้วก็ยังไม่เจอปัญหาอะไร
50,000 กม. นี่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์แล้วหรือครับ รถผม 3 ปีกว่า เลขไมล์ตอนนี้ 63,000 กม. แล้ว เข้าศูนย์เช็คระยะทุกครั้งก็ยังไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เลยครับ กะว่าจะเปลี่ยนตอนแสน กม. ครับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: kumpol2511 ที่ สิงหาคม 10, 2015, 08:02:24
ขอถามผู้รู้ครับรุ่นนี้ไม่ใช่เครื่องดีเซลใช่ไหมครับ แล้วทำไมใช้คำว่า tdci ซึ่งโฉมเก่าหมายถึ่งเครื่องดีเซล
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: onbit40 ที่ สิงหาคม 10, 2015, 08:22:09
tdci ก็เครื่องดีเซล ฟอร์ดนี่แหละคับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: abnormal ที่ สิงหาคม 10, 2015, 09:35:14
น้ำมันเกียร์แล้วแต่งบของแต่ละคนละครับ เพราะราคาสูงหน่อย ในคู่มือบอก 120,000 แต่ผมเปลี่ยนประมาณ 80,000 โลครับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: 2k ที่ สิงหาคม 10, 2015, 10:01:13
ลองก้มลงไปดูหน่อยว่าที่เสื้อเกียร์ด้านล่างมีคราบน้ำมันเลอะเปราะออกมาไหม มันแสดงถึงอาการซีลเกียร์ภายในเกิดเสื่อมสภาพแล้วการเปลี่ยนยุ่งยากครับ ซีลยางปากเทอร์โบยังอยู่สุขสบายหรือเปล่า ถ้าซีลยางปากเทอร์โบรั่วแรงอัดจะตกรถจะไม่มีกำลังเลย  :(

น้ำมันเกียร์น่าจะเปลี่ยนที่สัก50000กิโลหรือไม่ควร70000กิโลนะครับ รวมถึงกรองน้ำมันเกียร์และกรองน้ำมันดีเซลด้วยด้วย ไม่ใช่แค่เฉพาะรุ่นนี้หรอกรถทุกยี่ห้อทุกรุ่นนั่นแหละที่ควรจะเปลี่ยนที่ระยะนี้ถ้าอยากใช้นานๆโดยเกียร์ไม่พังจริงๆ การที่เกียร์จะพังนั้นมาจากการที่เวลาเราใช้งานแล้วเหยียบรอบสูงหรือออกตัวแรงๆบ่อยๆ มันจะมีเศษของคลัทช์ที่หลุดร่อนออกมาเรื่อยๆจากการใช้งาน ทีนี้เศษที่มันหลุดร่อนออกมาก็จะปะปนไปกับน้ำมันเกียร์โดยที่กรองเกียร์นี่แหละที่จะเป็นพระเอกสำคัญในการกรองไม่ให้เศษคลัทช์พวกนี้มันไหลไปติดขัดตามชิ้นส่วนต่างๆยามที่น้ำมันหล่อลื่น แต่ถ้าหากว่าเราใช้ไปนานๆไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเกียร์และกรองน้ำมันเลย พอเศษคลัทช์มันไปกระจุกตัวอุดตันที่กรองเกียร์มากๆเข้าการไหลเวียนหล่อลื่นของน้ำมันไม่ดีเหมือนเคยก็จะเป็นสาเหตุของเกียร์พังเกียร์ไม่จับตัวได้ ถ้าเคยเจอคำพูดที่ว่าเกียร์เริ่มทำงานลื่น ผืด เข้าเกียร์แล้วรถไม่ยอมเคลื่อนตัวเลยต้องเหยียบคันเร่งถึงจะเริ่มไหลให้ไปลองเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ดูอาจจะช่วยก็มาจากเรื่องนี้แหละครับ  :-X

เรื่องของเกียร์แยกเป็นสองเรื่องนะหนึ่งคือตัวน้ำมันเกียร์ที่ยิ่งใช้งานไปความสามารถในการหล่อลื่นและระบายความร้อนยิ่งลดลง สองคือกรองเกียร์ที่ทำหน้าที่กรองเศษคลัทช์ที่หลุดร่อนออกมาไม่ให้มันเกิดอาการตันจนทำหน้าที่ไม่เต็มที่  :D ประเด็นเรื่องของการเปลี่ยนกรองเกียร์นี้มีมาตั้งแต่สมัยซีวิคไดเมนชั่นแล้วครับที่ว่ารุ่นนี้โดนครหาว่าใช้งานไม่เกินแสนกิโลเกียร์พังทุกราย แท้จริงแล้วหลายคันเกียร์ไม่ได้พังนะแต่เกิดจากการที่กรองเกียร์ในไดเมนชั่นรุ่นแรกใส่มาขนาดเล็กเกินไป พอมีขนาดเล็กเกินไปมันก็อุดตันได้เร็วที่ระยะไม่เกินแสนกิโล นานมาแล้วมีสมาชิกกลุ่มฮอนด้าคันนึงเกียร์มีปัญหาเจอฮอนด้าอุดมสุขเสนอให้เปลี่ยนเกียร์ใหม่ทั้งลูกบอกแต่ว่าพังแล้ว แต่เค้ายังติดใจอยู่เลยยอมลากรถไปเข้าอู่แทน ปรากฏว่าถอดชิ้นส่วนออกมาพบว่ากรองเกียร์ตันครับเปลี่ยนกรองเกียร์ใหม่รถใช้ได้เหมือนเดิมเลย ซึ่งในซีวิคไดเมนชั่นรุ่นหลังๆมามีการเปลี่ยนกรองเกียร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เลขชิ้นส่วนไม่เหมืนเดิมแต่เอามาใส่เข้ากันได้ขนาดพอดีเด๊ะ  :(
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: jaesz ที่ สิงหาคม 10, 2015, 11:03:07
ผมไม่แนะนำให้ซื้อนะ เพื่อนพ่อผมขายรุ่นแรกเกียร์ธรรมดา ตั้งไว้สองปีไม่มีใครเอา
เปลี่ยนคลัทช์ที่ศูนย์พร้อมหวีลูกปืน หมดไปห้าหมื่น ถามข้างนอกก็หมื่นกว่าๆไม่รับประกัน

ภาวนาอย่าให้อะไรเสียอีก

แต่ถ้ายังมั่นใจก็ไม่ว่ากันครับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: hellokrub ที่ สิงหาคม 10, 2015, 12:34:08
เพิ่งขายไปเดือนที่แล้วครับ
ปี 11 รุ่นสุดท้ายที่มีกระจกตัดแสงออโต้
รถขับดีมากครับ ประหยัดและแรงดีมาก
ผมเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ไปตอน 70,000 กิโล ขายออกไปตอน 80,000 กิโล
เท่าที่ใช้มา สำหรับ tdci เรืี่องที่ต้องดูหลักๆเลยคือ เกียร์ ครับ นอกนั้นไม่จุกจิกอะไร
อาการทีเริ่มจะพบคือ เข้าเกียร์ถอยแล้วต้องรอเกียร์จับ 2-3 วิ รถถึงขยับ บางครั้งเป็น บางครั้งไม่เป็น แต่พักหลังเป็นบ่อยขึ้น
อีกอันคือ ถ้าเคยชินกับรถญี่ปุ่น เข้าเกียร์เร็ว (เร็วแบบคนปกตินะ) เช่นจาก P , D หรือ R , D บางครั้งจะเจออาการกระตุก ดัง ปั็ก!! ดังมาก
ต้องเข้าเกียร์แบบช้ากว่าปกติ เช่น P ไป R รอ 1 วิ แล้วค่อยไป D อาการจะน้อยลงมากกว่า 95%
คือต้องรอ 1 วิ ก่อนขยับเปลี่ยนตำแหน่งเกี่ยร์ตลอด นั่นทำให้ผมรำคาญเวลารีบๆ
เอาจริงๆก็ไม่ได้ก่อปัญหาอะไรมากนัก แต่ผมตัดสินใจปล่อยไป ก่อนที่จะเป็นมากกว่านี้ครับ
ทุกวันนี้ยังหารถมาแทนมันไม่ได้จริงๆ ที่จะแรงและประหยัดและช่วงล่างดีได้เท่า ในงบประมาณไม่เกิน 1 ล้าน
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: DF-SLB ที่ สิงหาคม 10, 2015, 20:44:27
ลองก้มลงไปดูหน่อยว่าที่เสื้อเกียร์ด้านล่างมีคราบน้ำมันเลอะเปราะออกมาไหม มันแสดงถึงอาการซีลเกียร์ภายในเกิดเสื่อมสภาพแล้วการเปลี่ยนยุ่งยากครับ ซีลยางปากเทอร์โบยังอยู่สุขสบายหรือเปล่า ถ้าซีลยางปากเทอร์โบรั่วแรงอัดจะตกรถจะไม่มีกำลังเลย  :(

น้ำมันเกียร์น่าจะเปลี่ยนที่สัก50000กิโลหรือไม่ควร70000กิโลนะครับ รวมถึงกรองน้ำมันเกียร์และกรองน้ำมันดีเซลด้วยด้วย ไม่ใช่แค่เฉพาะรุ่นนี้หรอกรถทุกยี่ห้อทุกรุ่นนั่นแหละที่ควรจะเปลี่ยนที่ระยะนี้ถ้าอยากใช้นานๆโดยเกียร์ไม่พังจริงๆ การที่เกียร์จะพังนั้นมาจากการที่เวลาเราใช้งานแล้วเหยียบรอบสูงหรือออกตัวแรงๆบ่อยๆ มันจะมีเศษของคลัทช์ที่หลุดร่อนออกมาเรื่อยๆจากการใช้งาน ทีนี้เศษที่มันหลุดร่อนออกมาก็จะปะปนไปกับน้ำมันเกียร์โดยที่กรองเกียร์นี่แหละที่จะเป็นพระเอกสำคัญในการกรองไม่ให้เศษคลัทช์พวกนี้มันไหลไปติดขัดตามชิ้นส่วนต่างๆยามที่น้ำมันหล่อลื่น แต่ถ้าหากว่าเราใช้ไปนานๆไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเกียร์และกรองน้ำมันเลย พอเศษคลัทช์มันไปกระจุกตัวอุดตันที่กรองเกียร์มากๆเข้าการไหลเวียนหล่อลื่นของน้ำมันไม่ดีเหมือนเคยก็จะเป็นสาเหตุของเกียร์พังเกียร์ไม่จับตัวได้ ถ้าเคยเจอคำพูดที่ว่าเกียร์เริ่มทำงานลื่น ผืด เข้าเกียร์แล้วรถไม่ยอมเคลื่อนตัวเลยต้องเหยียบคันเร่งถึงจะเริ่มไหลให้ไปลองเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ดูอาจจะช่วยก็มาจากเรื่องนี้แหละครับ  :-X

เรื่องของเกียร์แยกเป็นสองเรื่องนะหนึ่งคือตัวน้ำมันเกียร์ที่ยิ่งใช้งานไปความสามารถในการหล่อลื่นและระบายความร้อนยิ่งลดลง สองคือกรองเกียร์ที่ทำหน้าที่กรองเศษคลัทช์ที่หลุดร่อนออกมาไม่ให้มันเกิดอาการตันจนทำหน้าที่ไม่เต็มที่  :D ประเด็นเรื่องของการเปลี่ยนกรองเกียร์นี้มีมาตั้งแต่สมัยซีวิคไดเมนชั่นแล้วครับที่ว่ารุ่นนี้โดนครหาว่าใช้งานไม่เกินแสนกิโลเกียร์พังทุกราย แท้จริงแล้วหลายคันเกียร์ไม่ได้พังนะแต่เกิดจากการที่กรองเกียร์ในไดเมนชั่นรุ่นแรกใส่มาขนาดเล็กเกินไป พอมีขนาดเล็กเกินไปมันก็อุดตันได้เร็วที่ระยะไม่เกินแสนกิโล นานมาแล้วมีสมาชิกกลุ่มฮอนด้าคันนึงเกียร์มีปัญหาเจอฮอนด้าอุดมสุขเสนอให้เปลี่ยนเกียร์ใหม่ทั้งลูกบอกแต่ว่าพังแล้ว แต่เค้ายังติดใจอยู่เลยยอมลากรถไปเข้าอู่แทน ปรากฏว่าถอดชิ้นส่วนออกมาพบว่ากรองเกียร์ตันครับเปลี่ยนกรองเกียร์ใหม่รถใช้ได้เหมือนเดิมเลย ซึ่งในซีวิคไดเมนชั่นรุ่นหลังๆมามีการเปลี่ยนกรองเกียร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เลขชิ้นส่วนไม่เหมืนเดิมแต่เอามาใส่เข้ากันได้ขนาดพอดีเด๊ะ  :(

อธิบายดีมากครับคุณ 2k
รถผมจะครบ 5 ปี เดือน มีนา ปี 58 ครับ  วิ่งมา 53000 กม ผมขับรถเร็วตลอดครับ 180-200 บ่อยๆ  ขับช้าบางช่วง อยากรู้ว่าอัตรากิน น้ำมันได้เท่าไหร่อยู่  ผมเปลี่ยน น้ำมันเกียร์ ไป 2 ครั้งแล้งครับ เปลี่ยนกรองน้ำมันเกียร์ไปในการเปลี่ยน น้ำมันเกียร์รอบที่ 2 ที่ 50,000 กม ผมยังหารถมาแทนคันนี้ไม่ได้เหมือนกัน เลยบำรุงรักษามันเวอร์ไปนิดนึง น้ำมันเครื่องเริ่มดำๆเมื่อไหร่ สักพักผมเปลี่ยนเลย พร้อมกรองทุกครั้ง ประมาณ 4000-5000 กม ก็เปลี่ยนแล้วครับ   กะว่า ใช้อีก 25,000 กม ผมจะเปลี่ยน น้ำมันเกียร์และกรอง อีกรอบครับผม
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: Gunn ที่ สิงหาคม 10, 2015, 21:07:49
ส่วนใหญ่จะเจอปัญหาเดียวกันสำหรับคนที่ใช้ Focus TDCI คือไม่รู้จะหารถอะไรทดแทนมันได้ในงบ 1 ล้านบาท ผมเคยคิดจะ up ไปใช้ F30 320d แต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ขับรถที่ไม่ต้องผ่อนดีกว่าครับ  ::)
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: Gunn ที่ สิงหาคม 10, 2015, 21:21:16
ลองก้มลงไปดูหน่อยว่าที่เสื้อเกียร์ด้านล่างมีคราบน้ำมันเลอะเปราะออกมาไหม มันแสดงถึงอาการซีลเกียร์ภายในเกิดเสื่อมสภาพแล้วการเปลี่ยนยุ่งยากครับ ซีลยางปากเทอร์โบยังอยู่สุขสบายหรือเปล่า ถ้าซีลยางปากเทอร์โบรั่วแรงอัดจะตกรถจะไม่มีกำลังเลย  :(

น้ำมันเกียร์น่าจะเปลี่ยนที่สัก50000กิโลหรือไม่ควร70000กิโลนะครับ รวมถึงกรองน้ำมันเกียร์และกรองน้ำมันดีเซลด้วยด้วย ไม่ใช่แค่เฉพาะรุ่นนี้หรอกรถทุกยี่ห้อทุกรุ่นนั่นแหละที่ควรจะเปลี่ยนที่ระยะนี้ถ้าอยากใช้นานๆโดยเกียร์ไม่พังจริงๆ การที่เกียร์จะพังนั้นมาจากการที่เวลาเราใช้งานแล้วเหยียบรอบสูงหรือออกตัวแรงๆบ่อยๆ มันจะมีเศษของคลัทช์ที่หลุดร่อนออกมาเรื่อยๆจากการใช้งาน ทีนี้เศษที่มันหลุดร่อนออกมาก็จะปะปนไปกับน้ำมันเกียร์โดยที่กรองเกียร์นี่แหละที่จะเป็นพระเอกสำคัญในการกรองไม่ให้เศษคลัทช์พวกนี้มันไหลไปติดขัดตามชิ้นส่วนต่างๆยามที่น้ำมันหล่อลื่น แต่ถ้าหากว่าเราใช้ไปนานๆไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเกียร์และกรองน้ำมันเลย พอเศษคลัทช์มันไปกระจุกตัวอุดตันที่กรองเกียร์มากๆเข้าการไหลเวียนหล่อลื่นของน้ำมันไม่ดีเหมือนเคยก็จะเป็นสาเหตุของเกียร์พังเกียร์ไม่จับตัวได้ ถ้าเคยเจอคำพูดที่ว่าเกียร์เริ่มทำงานลื่น ผืด เข้าเกียร์แล้วรถไม่ยอมเคลื่อนตัวเลยต้องเหยียบคันเร่งถึงจะเริ่มไหลให้ไปลองเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ดูอาจจะช่วยก็มาจากเรื่องนี้แหละครับ  :-X

เรื่องของเกียร์แยกเป็นสองเรื่องนะหนึ่งคือตัวน้ำมันเกียร์ที่ยิ่งใช้งานไปความสามารถในการหล่อลื่นและระบายความร้อนยิ่งลดลง สองคือกรองเกียร์ที่ทำหน้าที่กรองเศษคลัทช์ที่หลุดร่อนออกมาไม่ให้มันเกิดอาการตันจนทำหน้าที่ไม่เต็มที่  :D ประเด็นเรื่องของการเปลี่ยนกรองเกียร์นี้มีมาตั้งแต่สมัยซีวิคไดเมนชั่นแล้วครับที่ว่ารุ่นนี้โดนครหาว่าใช้งานไม่เกินแสนกิโลเกียร์พังทุกราย แท้จริงแล้วหลายคันเกียร์ไม่ได้พังนะแต่เกิดจากการที่กรองเกียร์ในไดเมนชั่นรุ่นแรกใส่มาขนาดเล็กเกินไป พอมีขนาดเล็กเกินไปมันก็อุดตันได้เร็วที่ระยะไม่เกินแสนกิโล นานมาแล้วมีสมาชิกกลุ่มฮอนด้าคันนึงเกียร์มีปัญหาเจอฮอนด้าอุดมสุขเสนอให้เปลี่ยนเกียร์ใหม่ทั้งลูกบอกแต่ว่าพังแล้ว แต่เค้ายังติดใจอยู่เลยยอมลากรถไปเข้าอู่แทน ปรากฏว่าถอดชิ้นส่วนออกมาพบว่ากรองเกียร์ตันครับเปลี่ยนกรองเกียร์ใหม่รถใช้ได้เหมือนเดิมเลย ซึ่งในซีวิคไดเมนชั่นรุ่นหลังๆมามีการเปลี่ยนกรองเกียร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เลขชิ้นส่วนไม่เหมืนเดิมแต่เอามาใส่เข้ากันได้ขนาดพอดีเด๊ะ  :(

อธิบายดีมากครับคุณ 2k
รถผมจะครบ 5 ปี เดือน มีนา ปี 58 ครับ  วิ่งมา 53000 กม ผมขับรถเร็วตลอดครับ 180-200 บ่อยๆ  ขับช้าบางช่วง อยากรู้ว่าอัตรากิน น้ำมันได้เท่าไหร่อยู่  ผมเปลี่ยน น้ำมันเกียร์ ไป 2 ครั้งแล้งครับ เปลี่ยนกรองน้ำมันเกียร์ไปในการเปลี่ยน น้ำมันเกียร์รอบที่ 2 ที่ 50,000 กม ผมยังหารถมาแทนคันนี้ไม่ได้เหมือนกัน เลยบำรุงรักษามันเวอร์ไปนิดนึง น้ำมันเครื่องเริ่มดำๆเมื่อไหร่ สักพักผมเปลี่ยนเลย พร้อมกรองทุกครั้ง ประมาณ 4000-5000 กม ก็เปลี่ยนแล้วครับ   กะว่า ใช้อีก 25,000 กม ผมจะเปลี่ยน น้ำมันเกียร์และกรอง อีกรอบครับผม
รบกวนถามหน่อยครับ  นม.เกียร์+กรองเกียร์  เปลี่ยนในศูนย์หรือเปลี่ยนอู่ข้างนอกครับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: PuM ที่ สิงหาคม 10, 2015, 23:09:10
ซื้อรถมือสองมา ยังไงก็แนะนำให้เปลี่ยนของเหลวทั้งหมดแหละครับ

ผมใช้รุ่นนี้อยู่ 120,000 km แล้ว 5 ปี เข้าศูนย์ตลอด (ทะเลาะกะศูนย์ตลอดเช่นกัน เพราะทีมช่างเปลี่ยนบ่อยเหลือเกิน)
น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนไป 2 รอบแล้ว ที่ 60,xxx กว่า และ 110,xxx เพราะว่าเริ่มมีอาการเกียร์กระตุก รอบเครื่องไม่นิ่ง
แต่หลังจากเปลี่ยนแล้ว ก็อาการปกติครับ

ยังไม่มีปัญหาหนักในระบบเครื่องและระบบขับเคลื่อนครับ มีเปลี่ยนคอมแอร์ ไปรอบนึง ตอนเกือบแสนโล
เปลี่่ยนแบตทุก 1.5 ปีโดยเฉลี่ย ถ้าแบตอ่อน ระบบจะเริ่มรวนครับ ขึ้น mulfunction นั่นโน่นนี่ เปลี่ยนแล้วอาการหายครับ

รถขับดีครับ แต่ต้องรู้ใจกันหน่อย มี club คนใช้งานอยู่ครับ ลองหาข้อมูลจากที่นั่นก็ได้ ขอให้สนุกกับการใช้งานครับ

หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: 2k ที่ สิงหาคม 11, 2015, 10:19:32
ผมเปลี่ยนที่ศูนย์ครับ แต่เชื่อว่าอู่ที่เป็นที่รู้จักอย่างช่างชายที่เบิกอะไหล่แท้ก็ทำได้ไม่ต่างกันครับ  :) รหัสเบิกคือ WSS M2C936 A (ฺBOT 341) น้ำมันเกียร์สำหรับเกียร์อัตโนมัติธรรมดา เกียร์คลัทช์คู่แบบเปียกในเครื่องดีเซล เกียร์คลัทช์คู่แบบแห้งในเฟียสต้าและโฟกัสใหม่ แต่ละรุ่นใช้น้ำมันเกียร์แตกต่างกันและเอามาทดแทนกันไม่ได้นะ  :-X
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: anuson ที่ สิงหาคม 11, 2015, 11:53:19
ผมใช้tdciตัวสุดท้าย 2011 ดีครับขับสนุกทรงตัวดี ประหยัด 87000 km.แล้วยังไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ก็ยังปกติดีครับ มีติเรื่องเดียวเรื่องการประกอบภายในห้องโดยสารครับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: arpore ที่ สิงหาคม 11, 2015, 20:29:55
ได้มาเท่าไรครับ
370,000
แต่ยังไม่จบครับ
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: arpore ที่ สิงหาคม 11, 2015, 20:40:44
ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ
ตอนนี้อยู่ระหว่างต่อรองกับเจ้าของรถ
และอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้บังคับบัญชาที่บ้าน(เมีย)
หัวข้อ: Re: สุดท้าย จบที่ฟอร์ดโฟกัส Tdci 2.0 ปี2010
เริ่มหัวข้อโดย: Sappe! ที่ สิงหาคม 11, 2015, 21:07:50
ขับสนุกครับ ผมก็ใช้ปี 2010 เหมือนกัน

มีปัญหาอยู่นิดหน่อยครับ แต่เล็กน้อย ให้ช่างแก้ให้ก็หายครับ  :)