Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: MoO Cnoe ที่ สิงหาคม 31, 2015, 09:19:42
-
Sales Report : D-Segment January - July 2015
พอดีได้ตัวเลขแบบแยกเครื่องยนต์ของกลุ่ม D-Segment มาครับ
เลยเอามาแชร์ให้ชมกัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
1. เครื่องยนต์ ขนาด 2.0 ลิตร
2. เครื่องยนต์ ขนาด 2.4-2.5 ลิตร
3. เครื่องยนต์ Hybrid
โดยเป็นยอดรวมตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 ถึงเดือนกรกฎาคม 2558
รวมทั้งสิ้น 7 เดือนครับ
(http://upic.me/i/cy/total_dseg_2015.jpg) (http://upic.me/show/56603728)
ปล. Camry ESport 2.5 รวมอยู่ในกลุ่ม 2.4-2.5 ลิตร เริ่มส่งมอบ
ได้ 2 เดือนคือตั้งแต่ 11 มิถุนายน - 31 กรกฎาคม ทำยอดไปได้ 113 คัน
โดยที่ยอดนำเข้ามาจากออสเตรเลียจะอยู่ที่ประมาณ 100 คัน / เดือนครับ
------------------------------------------------------------------------------
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง น่าสนใจต่อการอ่านเพิ่มเติม
ยอดขายรวมปี 2557/2014 แบบเจาะลึกแบ่งตามประเภทเกียร์-เครื่องยนต์-ระบบขับเคลื่อน
http://www.headlightmag.com/salesreport_total2014/
ยอดขายแยกตามรายเดือน มกราคม-กรกฎาคม 2558/2015
มกราคม 58 - http://www.headlightmag.com/salesreport_january2015/
กุมภาพันธ์ 58 - http://www.headlightmag.com/salesreport_february2015/
มีนาคม 58 - http://www.headlightmag.com/salesreport_march2015/
เมษายน 58 - http://www.headlightmag.com/salesreport_april2015/
พฤษภาคม 58 - http://www.headlightmag.com/salesreport_may2015/
มิถุนายน 58 - http://www.headlightmag.com/salesreport_june2015/
กรกฎาคม 58 - http://www.headlightmag.com/salesreport_july2015/
-
:) เครื่อง 2.0 ก็ยังมียอด มากกว่าเครื่องใหญ่ 2.4-2.5 อยู่มาก เกือบ 10 เท่า
แสดงว่าคนนิยมรถใหญ่แต่เครื่องเล็กชัดเจน เครื่อง 2.0 ก็เหลือๆแล้วครับ
:) Camry ตัวเครื่อง 2.5 ถ้าตัดยอดของ camry ESport ออกไปจะเหลือแค่ 254 คัน
เทียบอัตราส่วนแล้ว กับตัวเครื่อง 2.0 จะเท่ากับ 12.8 : 1
แสดงว่าคนใช้ 2.5 เป็นคนส่วนน้อยมากเลยครับหรือเพราะเบรคไม่ดีครับ
:) รุ่น Hybrid ก็ยังได้รับความนิยมกว่ารุ่น เครื่อง 2.4-2.5 อยู่มากอย่างชัดเจน
ทั้ง Accord และ Camry ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ครับ ทั้งที่เครื่อง 2.4-2.5 ก็เหลือเฟือมากแล้ว
หรือจะติดเรื่อง Option ที่จะมีเต็มๆในรุ่น Hybrid ครับ
:) ไม่ทราบว่าในต่างประเทศ เขานิยมรถตัวถังใหญ่แต่เครื่องเล็กเหมือนกันกับบ้านเราไหมครับ
:) อะไรที่ทำให้คนที่จะใช้รถเครื่องแรง เปลี่ยนจากเครื่อง 2.4-2.5 แล้วไปเล่นตัว Hybrid ครับ
ทั้งๆที่ช่วงหลังนี้กระแสการขยาดต่อ ความกลัวเรื่องดูแลและแบตเตอรี่ ตลอดจนราคาขายต่อที่ต่ำเตี่ยเรี่ยดิน
ขนาดนี้แต่ยอดของ Hybrid ก็ยังมีพอสมควร
-
ขอบคุณครับ ละเอียดเลย
-
พึ่งเข้าใจ
รถที่ขายดีคือ
2.0 เน้นประหยัดกันนี่เอง
-
ขอบคุณครับ
-
เราว่าที่ 2.0 ขายดี ส่วนนึงน่าจะมาจากสภาพเศษฐกิจ ที่ใช้จ่ายอะไรแต่ละครั้งต้องคิดแล้วคิดอีก อีกอย่างคนที่อยากได้รถใหญ่แต่เงินไม่ถึงตัวท็อปก็เยอะ ประมาณว่า เงินถึงแค่ตัวท็อปอัลติส เลยขยับมาเล่นตัว 2.0 เซกเมนที่ใหญ่กว่าแทน
-
2.0 ไม่อืดหรอก
เพราะผมขับมาร์ช cvt อยู่ :'( ฮือฮือ :'(
-
อยากเห็นยอดแบบแยกย่อย แต่ละเครื่องยนต์นานแล้ว วันนี้ได้เห็น ทุกอย่างกระจ่าง
2.5 ถ้าไม่มี es แย่เลย เหมือน es (โคล่า) แค่ลองก็ใหม่แล้ว โตต้า ไม่เคยพลาด กับเวลาเสริมทัพ
ตอนเปิดตัว เห็น มีแต่คำ ติ ว่า low low low ไฟหน้า ภายใน ไฟท้าย แสงภายในสีเขียว เบาะดูcheap แต่พับได้
จกข้างพับมือ มีแค่ sunroof กับ ความใจถึง กล้าลองมีรถสีแดงสด ที่ไม่เคยมีมาก่อน ในรถระดับ d-seg
ปกติมีแต่สีผู้ใหญ่ แต่ยอดก็ดีกว่าตัวในประเทศ ที่ภายในสวยกว่า หรูกว่า เครื่องเสียงbuilt in ไฟแสงสีขาว
Thailand land of illogical marketing
2.4 น่าจะเพราะ Lane Watch
2.0 ยอดนิยมตลอดการ แม้ option จะไม่เท่า แต่ราคา ไขว่ขว้าได้ สบายกระเป๋า ที่สุด (เทียบกับ2.4-2.5 hv)
-
ทุกค่าย
ยอดขาย 2.0 มากกว่า 2.4 ถึง 10 เท่า นี่ไม่ธรรมดานะครับ
ผมว่า ค่ายรถคงมองออกแล้ว ว่าคนไทย เป็นแบบไหน
กลุ่มทีมีเงินใช้ 2.4 ได้ จ่ายค่าน้ำมันได้
คงไม่เล่น รถญี่ปุ่นแล้ว คงขยับไป ยุโรษเลย
-
มามองดูสำหรับประเทศไทยผมว่าเน้นขายเครื่อง 2.0 ให้มันดีไปเลย น่าจะดีกว่านะครับ
ตัว 2.4 2.5 Hybrid ตัดออกไปก็ได้
เพราะคนที่เล่นตัว 2.4 2.5 Hybrid ก็จะข้ามไปเล่นรถยุโรปละ
อีกอย่าง ผมว่าตัว Hybrid ที่ขายดีเพราะคนอยากได้ตัว top ครบๆ ประกอบกับส่วนลด ของแถมมันมากกว่าตัว 2.4 2.5 หรือเปล่าครับ
-
ส่วนตัวมองว่าสาเหตุที่เครื่อง 2.0 ขายดีกว่าเครื่อง 2.4/2.5 น่าจะมาจาก 2 เหตุผลหลักๆ ครับ
1. คนไทยยังมองว่า เครื่องใหญ่กว่า = กินน้ำมันมากกว่า แม้ว่าในปัจจุบันอัตราสิ้นเปลืองแทบจะไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
โดยไม่ได้มองถึงสมรรถนะในการขับขี่เลยว่า 2.0 มันอืดกว่า 2.4/2.5 ดังนั้นเพราะสาเหตุที่ต้องแบกน้ำหนักมากๆ นี่แหละ
อัตราสิ้นเปลืองเลยไม่ทิ้งกันเท่าไหร่
2. ราคาที่ใกล้เคียงกันระหว่าง 2.4/2.5 กับ Hybrid คนที่มีกำลังซื้อขนาดนี้ ส่วนต่างแสนสองแสนไม่ใช่ปัญหา
เค้ายินดีจ่ายแพงกว่าเพื่อแลกกับ option และสมรรถนะที่ดีกว่า คนเล่น Hybrid เดี๋ยวนี้ไม่น่าจะมองแค่เรื่องความประหยัด
อย่างเดียวอยู่แล้ว เมื่ออัตราเร่งที่ได้มามันก็ดีกว่าด้วย
-
ขอบคุณสำหรับข้อมูล
เห็นยอดขายรถเริ่มทรงตัวมาสองสามเดือน(ลดลงน้อย เดือนนี้เพิ่มเล็กน้อย) แค่นี้ก็ก็ใจชื้น ยังพอมีหวัง .... อีกสองสามเดือน ขอให้ทรงตัวอยู่ได้เกินหกหมื่นคัน/เดือน น่าจะเพิ่มความมั่นใจให้มีการตัดสินใจในการลงทุนอะไรได้ง่ายขึ้นครับ..
-
คนซื้อ d deg เป็นคนเมืองเป็นส่วนใหญ่
ทีนี้เอา 2.4/2.5 มาขับในเมืองรถติดๆเดินเบาทิ้งไว้กินกว่า 2.0 พอสมควรครับ
-
คนซื้อ d deg เป็นคนเมืองเป็นส่วนใหญ่
ทีนี้เอา 2.4/2.5 มาขับในเมืองรถติดๆเดินเบาทิ้งไว้กินกว่า 2.0 พอสมควรครับ
อันนี้เห็นด้วยครับ
เพราะ 2.4 เบนซิน มันกินจริงๆ
มันไม่เหมืนพวก กะบะ เครื่อง 3.0 ดีเซล เทอรโบหรอกนะครับ อันั้นอะลาก ตัวถัง ทำให้การกินไม่ต่างกัน
ทุกวันนี้ผมแปลกใจกับอัตราการบริโภคน้ำมันของ Dmax 3.0 มากครับ มันทำได้ไง
คนละเรื่องกับ D segment 2.4 เลย
-
2.4-2.5 น้อยมาก คิดผิดมาตลอดเลยหรอเนี่ย
-
เหตุผลที่ผมซื้อ 2.0 ไม่ซื้อ 2.4
เพราะใช้งานในเมือง 80% เป็นหลักไว้รับส่งลูกไปโรงเรียน เดินทางต่างจังหวัดไม่บ่อยครับ ปีละ สี่ ห้าครั้ง
อยู่อุดรถ้าจะลง กทม. นั่งเครื่องบินเร็วกว่า เหลือเวลาเที่ยวมากกว่าครับ
เครื่อง 2.0 ก็วิ่ง 140 150 สบายๆแล้วครับ
-
ตัว 2.4 2.5 แต่ละค่าย ทำออกมาเหมือนไม่สุด คนเลยกระโดดไป hybrid แทน ยิ่ง Camry มี 2.5 แค่ตัวเดียว ไม่งั้นต้องไป hybrid หมด
-
คนไทยใช้รถกันนาน ไม่ได้เปลี่ยนบ่อยๆ จะให้ซื้อรุ่นท๊อปเลยก็งบไม่ถึง จุดที่เหมาะสมที่สุดเลยไปตกที่ 2.0
กลุ่มคนที่อยากได้ความหรูหราแบบรถยุโรป แต่ก็กลัวๆกล้าๆ เลยมาจบที่รถoptionครบอย่าง hybrid
อันนี้ผมคิดเองนะ ;D ;D ;D
-
D segment ในไทย ยังไงตัวล่างสุดก็ขายดี ดูจากบนถนนก็รู้
เพราะต้องการบอดี้ที่หรู นั่งสบาย กว้างขวาง แค่นั้นแหละ
-
เห็นตัวเลขแล้วสะท้อนอะไรได้เยอะเลย
-
ปีที่แล้ว ฮอนด้ากินไปเพียบ
โตต้า ไมเนอร์อย่างแรง แซงคืนได้
ส่วน นิสสันเนิบๆ ตามสไตล์เขาละ ยอดก็ไม่น่าเกลียดนะ
-
สมมุติว่า ถ้าราคา 2.4 ลงมาใกล้กับ 2.0 โดยห่างกันไม่เกิน 50,000 อาจได้เห็นตัวเลขอีกแบบนึงก็ได้ครับ
อันนี้คาดเดาเล่น ๆ นะครับ
-
ขอบคุณคับ
ชัดเจน 2.0 ในดวงใจ555 ;D
-
เหตุผลที่ซื้อ 2.4 เพราะออฟชั่นล้วนๆ ครับ :(
-
แน่นอนครับ
คนขับ D segment หลักๆ จะมี 2 แบบครับ
1 ต้องการรถที่ขนาดใหญ่และดูหรูหรา เครื่องเอาแค่พอตัว ไม่ต้องแรงมาก เพราะส่วนใหญ่รถติดบนถนน
เขยิบจาก C segment มาเป็น D งบ ล้านต้นๆ
2 คนที่ต้องการรถ D segment คันใหญ่ ดูดี ซ่อมแซมง่ายไม่จุกจิกมาก ไม่ใช้รถยุโรปเพราะเบื่อค่าบำรุงรักษา
ต้องการเป็นที่สุดในรุ่น ก็จัดตัวแพงสุด ออฟชั่นเยอะสุด แต่เผอิญเป็น hybird เลยได้ความประหยัดเป็นของแถม ความแรงไม่ค่อยสนมากก อายุเยอะขับไม่เร็วแล้ว
-
Camry คนไปเล่นไฮบริดแทน 2.5 ไม่ค่อยแปลก เพราะสเปค 2.5 ค่อนข้างไม่ครบ และทางโตโยต้าอัดสเปคไฮบริดเยอะกว่า โหดกว่า และคุ้มกว่ามาก
แต่ Accord อันนี้แปลกกว่าที่คิด เพราะ 2.4 มีตัวสเปคจัดเต็มอยู่แล้ว แถมไฮบริดราคาต่างกันพอสมควร (แต่นั้นคือตัวท๊อป) เลยแปลกใจว่า คนไม่สน 2.4 แล้วไปเล่นไฮบริดตัวล่างแทนรึเปล่า อาจจะในแง่ความประหยัดและสมรรณะ ถ้าใช่แปลว่าการตลาดไฮบริดของฮอนด้าค่อนข้างได้รับกระแสตอบรับที่ดี
คนบางกลุ่มอาจไม่สนใจสเปคเพิ่มเติมตกแต่งต่างๆ แต่เน้นประหยัดบวกสมรรณะก็เป็นได้ (ตรงนี้เพิ่มอยากรู้ยอดแยกเป็นรุ่นย่อยๆจังเลย)
ส่วน 2.0 ขายดีสุดก็ตามที่หลายๆท่านว่า เน้นบอดี้ให้สบายก่อน สมรรณะเป็นลำดับถัดไป บนงบประมาณที่ตั้งไว้
รอ Accord MC ว่าจะมีเกียร์ลูกใหม่กับโมเครื่องเพิ่มให้สามารถรีดสมรรณะและความประหยัดได้มากกว่านี้แค่ไหน ถ้าได้ดี คงตีตลาด Camry ได้พอสมควร
Teana คงต้องรอ ไฮบริดว่าจะสามารถตีตลาดได้มากน้อยแค่ไหน
-
ผมเลือก D-segment (JP) แทนที่จะเป็น C-segment (JP)
เพราะเบาะหน้า นั่งสบายกว่า
การเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกดีกว่า
ขับแล้วอาการล้า เกิดขึ้นน้อยกว่า ...น่าจะเพราะระบบช่วงล่างดีกว่า !!
และเลือก เครื่อง 2000 เพราะ 97% ใช้ขับย่องๆอยู่ในกทม. (เพราะรถติด)
เลยไม่รู้ว่าจะเลือกเครื่องใหญ่ๆไปเพื่ออะไรครับ
ถ้า C-segment (JP) ตอบสนองผมได้ ...ผมก็คงไม่เลือกซื้อรถ C-segment ^^