Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Immortal6 ที่ พฤศจิกายน 23, 2015, 13:19:59
-
อยากรู้หลักการทำงานของกล่องประหยัดน้ำมัน/เพิ่มออกซิเจน ประหยัดได้จริงหรือไม่ครับ
-
ผมก็อยากรู้คนที่มันทำได้จริงๆ โดยไม่หลอกเหมือนกันครับ
-
ลืมๆ มันไป
-
หลักการไม่ทราบ แต่ลองดูตรรกะของผมนะครับ
ถ้าดีจริง ทำไมบริษัทรถยนต์ถึงไม่ซื้อลิขสิทธิ์ไปล่ะครับ คล้ายกับ ลิขสิทธิ์ของ Hybrid ที่เขาเอาของโตโยต้าไปเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้ง BMW และอีกหลายๆเครือ
ทำไม toyota, bmw, benz ถึงไม่แย่งกันซื้อลิขสิทธิ์ตัวประหยัดน้ำมันครับ ถ้าของเขาดีจริง
-
ลองทดสอบเองดูสิครับ เค้ามีรับประกัน 15 วันหลังติดถ้าติดแล้วก็ลองทดสอบดูครับ เค้าเคลมว่าประหยัดขึ้น 20% คุณลองทดสอบดู ถ้ามันเห็นไม่ชัดก็ขอเงินคืนเลยครับ
ผมไม่เคยใช้แต่อ่านรีวิวส่วนมากมี 2 แบบคือใช้แล้วได้ผลกับไม่ได้ใช้แล้วบอกไม่ได้ผล นานๆ ซึ่งการที่คนหลายร้อยบอกว่าได้ผลอาจจะเป็นการอุปทานหมู่ก็ได้หรือได้ผลจริงๆ ก็ได้ แต่ถึงจะเป็นการอุปทานหมู่แต่ถ้าทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นผมว่ามันก็ไม่มากหรอกครับ บางทีเช่าพระมาบูชาแพงกว่านั้นก็มีถมไป
-
พอดีมีพี่ในบริษัทเค้าจะไปทำอ่ะครับ
สรรพคุณคือ เพิ่มแรงม้า 20เปอร์เซ็น ประหยัดน้ำมัน ใช่ได้ทั้งเบนซิร ดีเซล
ลดco เพิ่ม o3
แรงม้านี่ยังกะใส่โบเลย เลยอยากถามๆดูว่ามันขนานนั้นเลยเหรอครับ ราคาตั้ง2-3 พัน
-
หลักการไม่ทราบ แต่ลองดูตรรกะของผมนะครับ
ถ้าดีจริง ทำไมบริษัทรถยนต์ถึงไม่ซื้อลิขสิทธิ์ไปล่ะครับ คล้ายกับ ลิขสิทธิ์ของ Hybrid ที่เขาเอาของโตโยต้าไปเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้ง BMW และอีกหลายๆเครือ
ทำไม toyota, bmw, benz ถึงไม่แย่งกันซื้อลิขสิทธิ์ตัวประหยัดน้ำมันครับ ถ้าของเขาดีจริง
คิดเหมือนกันเลยครับ ถ้าได้จริงโดนซื้อลิขสิทธิ์รวยเละไปแล้ว เดาว่าจะบอกว่าโดนกีดกันโดนกลั่นแกล้งโน่นนี่นั่นแน่เลย
-
พอดีมีพี่ในบริษัทเค้าจะไปทำอ่ะครับ
สรรพคุณคือ เพิ่มแรงม้า 20เปอร์เซ็น ประหยัดน้ำมัน ใช่ได้ทั้งเบนซิร ดีเซล
ลดco เพิ่ม o3
แรงม้านี่ยังกะใส่โบเลย เลยอยากถามๆดูว่ามันขนานนั้นเลยเหรอครับ ราคาตั้ง2-3 พัน
ตามสัจธรรมง่ายๆเลย ที่ทุกคนมองข้ามกันไป อยากได้ทั้งประหยัดน้ำมัน แต่ "แรงขึ้นด้วย" มันมีที่ไหนละครับ ถ้ามันทำได้สมบูรณ์แบบอย่างนั้น คงไม่ต้องมีเทคโนโลยีไฮบริด หรืออื่นๆ หรอกครับ ติดเจ้านี่ดีกว่า ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ถ้าสามารถทำได้จริงตามที่กล่าวอ้าง ราคาแค่2-3 พันบาท แปบเดียวคุ้มทุนครับ เพราะเท่าที่เห็นๆมา ของดีแล้วถูก ไม่มีในโลก ถ้าคนขายไม่สเน่หาด้วยนะ
ปล. ถ้าคำตอบผมไม่ถูกใจ ขออภัยใน ณ ที่นี้ด้วยครับ
-
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......
แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
การจุดระเบิดของรถยนต์ ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
- รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี และไอเสีย..
- ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ 14.7/1 อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
- หลังจากการเผาไหม้ จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์
ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์ มันแตกตัวให้ โอโซน และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง) แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้ มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ค่า ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด
ดังนั้น จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป
ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง และใช้มาจนปัจจุบัน ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย ในขณะที่ ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ ....... ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
-
ตรรกะความคิดผมเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ
การออกแบบอะไรสักอย่างออกมา วิศวกรมีโจทย์ที่ต้องตีให้แตกอย่างนึงคือ ทุกอย่างต้องสมดุลทั้งแรงม้า อัตราการสิ้นเปลือง และความทนทาน กว่ารถจะออกมาหนึ่งคันต้องผ่านการทดสอบ และทดลอง ทั้งลองขับในสภาวะต่างๆ กัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสิ่งที่ออกแบบไปใช้งานได้จริง
การติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม แม้ว่าจะทำได้อย่างที่เคลมว่าได้ แต่ทุกอย่างเป็นเหมือนตาชั่งครับ คือมันต้องมีบางอย่างสูญเสียไป ซึ่งในกรณีนี้เดาได้ว่าคือ "ความทนทาน" เมื่อมีการควบคุมการเพิ่มออกซิเจนเข้าไปในเครื่อง อาจทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้น ยางในเครื่องอาจจะเสื่อมเร็วขึ้น หัวฉีดอาจจะมีอายุการใช้งานน้อยลง
-
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......
แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
การจุดระเบิดของรถยนต์ ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
- รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี และไอเสีย..
- ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ 14.7/1 อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
- หลังจากการเผาไหม้ จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์
ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์ มันแตกตัวให้ โอโซน และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง) แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้ มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ค่า ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด
ดังนั้น จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป
ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง และใช้มาจนปัจจุบัน ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย ในขณะที่ ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ ....... ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สรุปง่ายๆ คือกระฉับกระเฉงขึ้นแต่ไม่ประหยัดขึ้นเหรอครับ
-
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......
แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
การจุดระเบิดของรถยนต์ ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
- รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี และไอเสีย..
- ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ 14.7/1 อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
- หลังจากการเผาไหม้ จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์
ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์ มันแตกตัวให้ โอโซน และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง) แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้ มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ค่า ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด
ดังนั้น จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป
ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง และใช้มาจนปัจจุบัน ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย ในขณะที่ ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ ....... ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สรุปง่ายๆ คือกระฉับกระเฉงขึ้นแต่ไม่ประหยัดขึ้นเหรอครับ
ใช่ครับ มันจะจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น เฉพาะในรอบต่ำ ๆ จน แถว ๆ พันแปดร้อยรอบ เพื่อให้ค่าออกซิเจน เหลือตามค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้.....ซึ่ง(คงจะ)ทำให้แรงบิดเพิ่มขึ้นบ้าง มันถึงให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง..กว่าเดิม
-
กล่อง ที่ ควันดำ นี่เหมารวมไหมครับ
-
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......
แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
การจุดระเบิดของรถยนต์ ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
- รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี และไอเสีย..
- ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ 14.7/1 อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
- หลังจากการเผาไหม้ จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์
ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์ มันแตกตัวให้ โอโซน และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง) แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้ มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ค่า ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด
ดังนั้น จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป
ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง และใช้มาจนปัจจุบัน ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย ในขณะที่ ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ ....... ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สอบถามต่อครับ ช่วงที่พี่ทดลองควันดำมันลดลงรึปล่าวครับ
-
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......
แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
การจุดระเบิดของรถยนต์ ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
- รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี และไอเสีย..
- ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ 14.7/1 อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
- หลังจากการเผาไหม้ จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์
ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์ มันแตกตัวให้ โอโซน และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง) แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้ มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ค่า ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด
ดังนั้น จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป
ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง และใช้มาจนปัจจุบัน ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย ในขณะที่ ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ ....... ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สอบถามต่อครับ ช่วงที่พี่ทดลองควันดำมันลดลงรึปล่าวครับ
ผมทดลองด้วยเครื่องเบนซิน x-trail t31 .....มันไม่มีควันอยู่แล้วครับ แต่ไม่ทราบว่ากล่องดีเซลมันชดเชยน้ำมันแบบเดียวกับเบนซีนหรือเปล่า ในความเห็นส่วนตัว คิดว่าควันดำน่าจะลดลง ข้อควรระวังเนื่องจากมันใช้ประจุไฟฟ้าโวลท์สูง ต้องสังเกตว่า มันรบกวนระบบอื่น ๆ หรือเปล่า..... ถ้าอยู่ลำลูกกา ถอดเอาของผมไปทดลองได้...เพราะผมทดลองจนได้บทสรุปแล้ว....
-
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......
แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
การจุดระเบิดของรถยนต์ ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
- รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี และไอเสีย..
- ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ 14.7/1 อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
- หลังจากการเผาไหม้ จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์
ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์ มันแตกตัวให้ โอโซน และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง) แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้ มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ค่า ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด
ดังนั้น จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป
ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง และใช้มาจนปัจจุบัน ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย ในขณะที่ ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ ....... ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สอบถามต่อครับ ช่วงที่พี่ทดลองควันดำมันลดลงรึปล่าวครับ
ผมทดลองด้วยเครื่องเบนซิน x-trail t31 .....มันไม่มีควันอยู่แล้วครับ แต่ไม่ทราบว่ากล่องดีเซลมันชดเชยน้ำมันแบบเดียวกับเบนซีนหรือเปล่า ในความเห็นส่วนตัว คิดว่าควันดำน่าจะลดลง ข้อควรระวังเนื่องจากมันใช้ประจุไฟฟ้าโวลท์สูง ต้องสังเกตว่า มันรบกวนระบบอื่น ๆ หรือเปล่า..... ถ้าอยู่ลำลูกกา ถอดเอาของผมไปทดลองได้...เพราะผมทดลองจนได้บทสรุปแล้ว....
มีบทสรุปของผู้บริหาร (executive summary)
ในรีวิวรึยังครับ