Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: GreenG ที่ มีนาคม 13, 2010, 22:40:53
-
เรียนถามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน ว่า ราคา NISSAN MARCH จะทำให้ ECO CAR ถูกกว่านี้อีกไหมครับ
(เน้นที่ทาทา ควรจะเอานาโน ยูโรป้า มาได้แล้ว เร็วๆ ด้วย และควรถูกกว่าเจ้าตลาดญี่ปุ่นที่เหลือด้วย
แอบหวัง ทาทา ครับว่าเจ้านาโน ยูโรป้าจะราคาสัก 2.5-3 แสนบ. เกียร์ CVT หรือ ออโต้ครับ)
และจะมีเจ้าไหนออกต่อจาก NISSAN ครับ
เช่น
- ฮอนด้า
- ซูซูกิ
- มิตซูบิชิ
- โตโยต้า
- ทาทา
ใครจะออกคนต่อไปครับ
ขอบคุณพี่น้องทุกท่านครับ :) ;)
-
ตอนนี้ที่บ้านผมบอกว่า เจ้า MARCH น่าซื้อมาก ควรจะซื้อตัว TOP ไปเลย
ส่วนตัวผมอยากได้ตัว E ธรรมดา(จริงๆ อยากได้ S แต่มันไม่มี CVT)
แต่ผมว่ามันแพงไปนิด 4.59 แสน เลยยังช่างใจว่ารอต่อไปดีไหม(เผื่อจะมีของถูกกว่านี้)เพราะสามห่วงคันปัจจุบันยังใช้ได้
แต่ประหยัดน้อยไปหน่อย 8-9 โลลิตรในเมืองครับ
-
ตอนนี้ที่บ้านผมบอกว่า เจ้า MARCH น่าซื้อมาก ควรจะซื้อตัว TOP ไปเลย
ส่วนตัวผมอยากได้ตัว E ธรรมดา(จริงๆ อยากได้ S แต่มันไม่มี CVT)
แต่ผมว่ามันแพงไปนิด 4.59 แสน เลยยังช่างใจว่ารอต่อไปดีไหม(เผื่อจะมีของถูกกว่านี้)เพราะสามห่วงคันปัจจุบันยังใช้ได้
แต่ประหยัดน้อยไปหน่อย 8-9 โลลิตรในเมืองครับ
ถ้ารอได้ผมว่ารอก็ดีนะครับ เผื่อจะมีตัวเลือกอะไรออกมาเยอะ ๆ
ถ้าเจ้าคันเก่ายังไม่งอแง ก็อยู่เป็นเพื่อนมันไปก่อน อิอิ
-
มีเรื่องมาเล่าแหล่ะ คิคิ
เมื่อเช้าไปดูมาร์ชมากับที่บ้าน
ก็ไปลองผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายรอบ
เห็นเซลล์ยืนมองมาข้างหน้าหัวเราะกันคิกคัก ผมงี้งงเลย พอถามว่าหัวเราะอะไรกันหรอ เซลล์ก็ชี้ไปข้างหน้า
เท่านั้นแหล่ะ อ้อเลย
เจอรถของทางมาสด้าขับมาด้อมๆมองๆหลายรอบเลย นานมากก สงสัยหวั่นๆกะมาสด้า2ซีดานแน่เลย คิคิ ^^
-
รอหน่อยก็ดีครับ รถออกใหม่ จะไม่มีของแถม
ผมว่าถ้าได้แถมประกัน+ฟิลม์+เบาะหนัง+ล้ออัลลอย+ไฟตัดหมอก
แค่นี้ ผมว่าก็ไม่แพงเกินไปแล้ว
-
สีน้องมีนา มีแค่ 6 สีหรือครับ
ที่บ้านผมอยากให้ซื้อสีม่วงหรือชมพูหรือฟ้า
แต่ผมชอบสีเงินกับเทา จะมีไหมครับในอนาคต
-
รอลุ้นครับ
-
ผมกลับมองว่า TATA NANO ไม่น่ามาแฮะ แต่ถ้า INDICA เนี่ย...ไม่แน่
-
อือ ตกลงแล้วเจ้า march มันก็คือ B segment ดีๆนี่เอง ถ้าสมมติเอา yaris,jazz,mazda2,fiesta มาใส่เครื่อง 1.2 หรือ 1.3 มันก็สามารถเป็น eco car ได้เลยรึเปล่าครับ มันก็ไซค์ใกล้เคียงกันทั้งนั้น
-
แน่นอนครับ ตราบใดที่ yaris,jazz,2,fiesta สามารถประหยัดน้ำมัน 5ลิตร/100กม. ปล่อยก๊าซไอเสีย ผ่านการทดสอบชนได้มาตรฐาน บลาบลาบลา
มันก็เป็น ecocar ได้ทั้งนั้นแหละครับ
-
แล้วอีกข้อ ยางติดรถ ผมว่ายาง dunlop มันก็ดีไม่ใช่หรอครับพี่จิมมี่ ดีกว่า maxxis ไม่ใช่หรอครับ
แล้วถ้าพี่โตทำ yaris model ใหม่ใส่เครื่อง 1.2,1.3 เป็น ecocar ก็น่าจะดี ไม่ต้องทำรุ่นใหม่ก็ได้ เจ้า etios น่ะ
-
ผมเปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเราซื้อมือ -Nokia-Samsung-Sony Ericsson ราคาสูงแล้วมีรุ่นต่ำออกมาขาย
-WellcoM- i-mobile ราคาถูกแต่กับขายถูกลงอีก
-แล้วจะเอาคุณภาพจะเลือกแบบไหน
-
รอต่อเผื่อมีถูกกว่านี้ ;D
โดยเฉพาะทาทา กรุณาเอานาโนยูโรป้ามานะครับ ถ้าเอา Indica มาผมไม่ซื้อ(ไปซื้อ March ดีกว่า...Ha.AA)
-
แน่นอนครับ ตราบใดที่ yaris,jazz,2,fiesta สามารถประหยัดน้ำมัน 5ลิตร/100กม. ปล่อยก๊าซไอเสีย ผ่านการทดสอบชนได้มาตรฐาน บลาบลาบลา
มันก็เป็น ecocar ได้ทั้งนั้นแหละครับ
ถ้าคำว่า Eco Car ของคุณหมายความว่ารถประหยัดน้ำมัน ปล่อยมลพิษต่ำแค่นั้นละก๊อใช่
แต่สิ่งที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคสนใจคือภาษีสรรสามิต 10% เพราะตัวนี้จะทำให้รถราคาถูกลง หรือทำให้มีกำไรมากขึ้น
แต่การที่คุณจะเสียภาษีสรรพสามิตในอัตรานั้นได้คุณต้อง
1) ได้ยื่นคำขอต่อ BOI ในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งหมดเวลาไปนานแล้ว
2) คุณต้องลงทุนเพิ่มในโรงงานนั้นเป็นจำนวน 5,000 ล้านบาท
3) มียอดผลิตและส่งออกในปีที่ 5 ไม่ต่ำกว่า 100,000 คัน ต่อ ปี
ข้อสองและสามอาจคลาดเคลื่อนแต่ไปอ่านรายละเอียดที่ถูกต้องได้จาก First Impression ของคุณ J!MMY
และข้อสองและสามก็คือสาเหตุที่โตโยต้าอิดออดไม่พอใจ เพราะตนเองมีโรงงานผลิตรถเล็กในหลายๆประเทศอยู่แล้ว และแต่ละประเทศที่เข้าไปตั้งก็เพราะสิทธิประโยชน์ต่างๆที่เขาให้แต่ก็ต้องสัญญาโน่นนี่ แบบนี้จะได้แสนคันต่อปีได้ยังไง
เมื่อมองจากเครื่องยนต์ที่เล็กลง และภาษีสรรรพสามิตที่ลดลงเหลือแค่ 10% จึงทำให้มองว่าราคาที่นิสสันตั้งมายกเว้นในรุ่นล่างสุดนั้น นอกนั้นแพงไปหน่อย ยิ่งรุ่นท็อปนี่แพงไปมาก ที่คนคิดว่า Eco Car คือรถราคาถูกมันก็ไม่ผิด เพราะอัตราภาษีสรรพสามิตที่ลดลงมาก และเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลง
และอีกอย่างที่ไม่แน่ใจคือระยะการรับประกัน ห้าปีแสนกิโลเมตรหรือไม่ รถราคานี้มูลค่าของประกันต่อปีก็คงตีได้ราว 3,000-5,000 บาท หรืออาจมากกว่า เพราะขนาด extended warranty ของโน๊ตบุ๊คราคาไม่กี่หมื่นยังต้องจ่ายปีละเป็นพัน
-
ผมว่า Honda ไม่น่าจะเคาะราคาน้องโก้ต่ำกว่านี้
แต่ Suzuki ไม่แน่ เพราะต้องมาหลังจาก 2 Big names เค้าปล่อย แล้วคนที่อยากได้น้องโก้คาร์คงสอยไปแทบหมดแล้ว ณ ช่วงเวลานั้น
โดยส่วนตัวผมฝากความหวังจะได้เห็น 3นิด ๆ กับโปรแรง ๆ จาก Suzuki ครับ
:'( ::)
-
ผมว่า Honda ไม่น่าจะเคาะราคาน้องโก้ต่ำกว่านี้
แต่ Suzuki ไม่แน่ เพราะต้องมาหลังจาก 2 Big names เค้าปล่อย แล้วคนที่อยากได้น้องโก้คาร์คงสอยไปแทบหมดแล้ว ณ ช่วงเวลานั้น
โดยส่วนตัวผมฝากความหวังจะได้เห็น 3นิด ๆ กับโปรแรง ๆ จาก Suzuki ครับ
:'( ::)
Suzuki ก็ยังดีครับ brand เชื่อถือได้
แต่ทาทาต้องถูกที่สุด ไม่งั้นไม่ซื้อแน่ๆ :D
-
Tata มันไม่ได้ร่วมในโครงการน้องโก้คาร์นี่ครับ
ไอ้จะเอารถเล็กเข้ามาแข่ง เจอภาษีโหดดักคอเข้าไปก็อ้วกแล้ว - -*
-
Tata มันไม่ได้ร่วมในโครงการน้องโก้คาร์นี่ครับ
ไอ้จะเอารถเล็กเข้ามาแข่ง เจอภาษีโหดดักคอเข้าไปก็อ้วกแล้ว - -*
อ้าว ทาทา ออกไปแล้วไม่ได้อยู่หรือครับ
อย่างนี้จะเอาอะไรมาขายละครับ จะไปสู้อะไรเขาได้
-
ส่วนตัวคิดว่ามาชยังกั๊กๆนะครับ เหมือนเน้นเอากำไรมากกว่ายอดขาย
ความจริงถ้าอยากเน้นจำนวน รุ่น s ล่างสุดต้องติด วิทยุ + เอ็มพี 3 และเบาะหลังแบบรุ่น E มาให้ด้วย (แต่เป็นกระจกหมือหมุน เซ็นทรัลล็อกไม่ต้องมี อย่างงี้พอได้) แล้วเพิ่มราคาจากที่ขายอยู่ตอนนี้สักหมื่นบาท
จากนั้นก็เอา รุ่น s อ๊อปชั่นแบบข้างบน ติดเกียร์ CVT ขายสัก 429,000
อย่างนี้ยอดมาแน่ๆ
ส่วนอีโคคาร์ ซูซูกิ คิดว่าคงเป็นรถที่หากไม่เป็นรถที่ ราคาถูกที่สุด ก็คงจะมีอ๊อปชั่นมากที่สุดในกลุ่มอีโคคาร์ด้วยกัน
ยิ่งถ้าได้สวิฟท์มาเป็นอีโคคาร์แล้วล่ะก็ 555+ มันส์แน่ๆ
-
ผมว่านี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ขอบคุณที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมานะครับ อยากให้มาวิเคราะห์กันจริงๆจังๆสักหน่อย ไม่เสียหายอะไร....
ผมจำไม่ได้แล้ว ว่าค่ายไหนจะออกปีไหนๆ เอาแค่วิเคราะห์จากสมมติฐานเกี่ยวกับยี่ห้อเป็นหลักละกัน
Toyota & Honda เป็นเจ้าแห่งตลาดรถเล็กตอนนี้ รุ่นที่ออกมา คงตัวถังเล็กลงไประดับ A-segment แน่นอน เพราะมีตัวถังระดับ B-segment หมดแล้ว คงวางเบนซิน 1.2-1.3 (ไม่น่าจะ 1.1 เพราะ Nissan ตั้งมาตรฐานไว้แล้ว ว่าต้องเครื่องพิกัดนี้) และคงไม่มีตัวดีเซล เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ไม่มีออกเก๋งดีเซลในไทยเลย ที่สำคัญ ราคาต้นทุนดีเซลคงแพงไปมากๆจนเกินตลาดจะรับไหว ราคาก็คงใกล้ๆ Nissan หรือแพงกว่าหน่อย เพราะคนเชื่อถือยี่ห้อมากๆ ผมให้ Toyota วิ่งอยู่ 389,000-550,000 ละกัน ส่วน Honda ก็ 384,000-545,000 (โดยที่ทั้งสองยี่ห้อ คงอยากตั้งบรรทัดฐานให้รุ่น Top ของ Ecocar ชนกับรุ่นต่ำสุดของ B-segment เพื่อให้ผู็บริโภคลังเล ว่าจะเลือกตัวถังระดับไหนดี เหมือนๆกับที่ Top ของ B-segment ชนกับต่ำสุดของ C-segment และ Top ของ C-segment ชนกับต่ำสุดของ D-segment...)
Mitsu เรื่องยี่ห้อ ผมว่ากลางๆในเมืองไทยนะ ตอนนี้ไม่มีขายรถ B-segment และคงรอผลตอบรับของ Nissan ว่ารถระดับ B-segment วางเครื่องเล็ก ได้รับการยอมรับแค่ไหน ถ้าดีมากๆ ก็คงทำคล้ายๆกัน คือตัวถัง B-segment แต่วางเครื่องเบนซิน 1.2-1.3 (เหตุผลเหมือน Toyota+Honda) คงไม่มีดีเซล เพราะต้นทุนทำให้คุมราคาขายปลีกไม่ได้ ราคาน่าจะใกล้ Nissan มากๆ คือ 379,000-535,000 แต่ถ้าเืลือกที่จะทำตัวถัง A-segment มาขาย คงลดราคาลงไปหน่อย อยู่ที่ 359,000-499,000
Suzuki ผู้นำรถเล็ก ด้านแบรนด์ยังไม่แข็งแกร่งนัก และตอนนี้ก็มีขาย Swift ซึ่งเป็น Subcompact อยู่แล้ว ดังนั้น Ecocar คงตัวถังระดับ A-segment แน่นอน เพื่อไม่ให้ทับตลาดกัน คงวางเครื่อง 1.2-1.3 เบนซินเหมือนกัน ไม่มีดีเซล ด้านราคา ผมว่านอกจาก Tata แล้ว ก็มี Suzuki นี่แหล่ะ ที่จะต่ำสุด (สังเกตุจาก Swift ที่ขาย 599,000-650,000 ต่ำกว่าตลาดมากๆ) คืออยู่ในช่วง 349,000-479,000
Tata ตอนนี้ยังไม่มีเก๋งขายเลย และแบรนด์ก็ยังไ่ม่ติดตลาดนัก และยังไม่เคาะด้วยว่าจะเล่นระดับไหน ตัวถัง A หรือ B segment คงดูผลจาก Nissan ก่อน ผมมองว่า Tata จะเป็น Ecocar ที่ราคาต่ำสุด และอาจมีดีเซลด้วย เพื่อสร้างความแตกต่าง ด้วยราคาที่ยังทำให้ลูกค้ายอมรับได้ (เหมือนๆกับ Focus TDCi ที่ทำให้ Ford ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นบ้าง) ถ้าเป็นตัวถัง B-segment ราคาคงวิ่งช่วง 339,000-469,000 (แต่ถ้าดีเซล คงเพิ่มอีกช่วง 489,000-519,000) แต่ถ้าเป็นตัวถัง A-segment ราคาคงมาที่ 319,000-449,000 (ถ้ามีดีเซล คงอยู่ในช่วง 469,000-499,000)
เรื่อง March ผมว่าตัว 1.2 S MT เค้าคงพยายามให้ราคาต่ำกว่า 4แสน เพราะเคยประกาศออกมาแล้วตามสื่อต่างๆ ว่าราคา 3xx,xxx ถ้าไม่มีรุ่นนี้ เหมือนกับโกหกกลายๆ เพราะตัวถัดไป 1.2 E MT ก็อัพราคาไปถึง 425,000 แล้ว... เพียงแต่ว่าแบบนี้ มันทำให้ตัวต่ำสุดแย่มากๆ เห็นด้วยว่าน่าจะมีวิทยุก็ยังดี หรือ central ล็อค
โดยสรุปแล้ว ผมว่า Ecocar คงไม่มีเจ้าไหนที่จะทำราคารถให้ต่ำกว่า 3แสนได้.....ด้วยเหตุผลนานับประการ.....ถ้าจะมีรถระดับต่ำกว่า 3แสน ผมก็ว่่ามีเจ้า Tata nano นี่แหล่ะ ที่จะทำให้ราคาในไทยวิ่งอยู่ในช่วง 21x,000-27x,000 ได้.....
-
ถ้าคำว่า Eco Car ของคุณหมายความว่ารถประหยัดน้ำมัน ปล่อยมลพิษต่ำแค่นั้นละก๊อใช่
แต่สิ่งที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคสนใจคือภาษีสรรสามิต 10% เพราะตัวนี้จะทำให้รถราคาถูกลง หรือทำให้มีกำไรมากขึ้น
แต่การที่คุณจะเสียภาษีสรรพสามิตในอัตรานั้นได้คุณต้อง
1) ได้ยื่นคำขอต่อ BOI ในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งหมดเวลาไปนานแล้ว
2) คุณต้องลงทุนเพิ่มในโรงงานนั้นเป็นจำนวน 5,000 ล้านบาท
3) มียอดผลิตและส่งออกในปีที่ 5 ไม่ต่ำกว่า 100,000 คัน ต่อ ปี
ข้อสองและสามอาจคลาดเคลื่อนแต่ไปอ่านรายละเอียดที่ถูกต้องได้จาก First Impression ของคุณ J!MMY
และข้อสองและสามก็คือสาเหตุที่โตโยต้าอิดออดไม่พอใจ เพราะตนเองมีโรงงานผลิตรถเล็กในหลายๆประเทศอยู่แล้ว และแต่ละประเทศที่เข้าไปตั้งก็เพราะสิทธิประโยชน์ต่างๆที่เขาให้แต่ก็ต้องสัญญาโน่นนี่ แบบนี้จะได้แสนคันต่อปีได้ยังไง
เมื่อมองจากเครื่องยนต์ที่เล็กลง และภาษีสรรรพสามิตที่ลดลงเหลือแค่ 10% จึงทำให้มองว่าราคาที่นิสสันตั้งมายกเว้นในรุ่นล่างสุดนั้น นอกนั้นแพงไปหน่อย ยิ่งรุ่นท็อปนี่แพงไปมาก ที่คนคิดว่า Eco Car คือรถราคาถูกมันก็ไม่ผิด เพราะอัตราภาษีสรรพสามิตที่ลดลงมาก และเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลง
และอีกอย่างที่ไม่แน่ใจคือระยะการรับประกัน ห้าปีแสนกิโลเมตรหรือไม่ รถราคานี้มูลค่าของประกันต่อปีก็คงตีได้ราว 3,000-5,000 บาท หรืออาจมากกว่า เพราะขนาด extended warranty ของโน๊ตบุ๊คราคาไม่กี่หมื่นยังต้องจ่ายปีละเป็นพัน
ไปเอามาจากไหนที่ว่า ภาษีสรรพสามิตรถ ECOCar แค่ 10% !!
ผิดแล้วล่ะ (สงสัยจำผิด หรือไม่ก็พิมพ์ผิด) จริงๆ คือ 17% ครับ
เทียบกับรถ 1.5 ลิตร E20 ทั้งหลายในตลาด ภาษี 25%
เท่ากับว่า ภาษีมันถูกกว่าแค่ 8% เท่านั้นครับ
สมมติ รถคันนึง ราคาหน้าโรงงาน 300,000
ภาษีรถ E20 1.5 ลิตร เริ่มที่ 25% = 75,000
Margin Dealer สมมติ 50,000
รวมเป็น 425,000
VAT อีก 7% = 29,750
รวมเป็นราคาขายหน้าศูนย์ = 454,750 ผมปัดเป็น 455,000 แล้วกัน
ถ้าเป็น ECOCar ราคาหน้าโรงงาน 300,000
ภาษีรถ ECOCar 17% = 51,000 --> ถูกกว่าแค่ 24,000 เอง (8% ของ 300,000)
Margin Dealer สมมติ 50,000
รวมเป็น 401,000
VAT อีก 7% = 28,070
รวมเป็นราคาขายหน้าศูนย์ = 429,070 ตีซะเป็น 430,000
จะเห็นว่า ภาษีที่ถูกกว่า มันมีผลแค่ราวๆ 24-25,000 เท่านั้น ไม่ได้เยอะแยะเลย
แต่ที่ Nissan ตั้งราคาขาย March ถูกกว่ารถ B-Segment รุ่นอื่นๆ ได้เกือบแสน - แสนกว่า ก็คงเพราะ
- เครื่อง 3 สูบ ลองคิดถึง ราคาเครื่อง 1.6 ใน Tiida แล้วคูณ 3/4
- ลดต้นทุนจุดต่างๆ ทุกๆ จุด เพราะต้องส่งไปขายในอีกหลายๆ ประเทศด้วย
- ลดต้นทุนพวกเครื่องจักรที่นำเข้ามาเพื่อผลิตรถโครงการนี้ (BOI)
- พฤติกรรมผู้บริโภคคนไทย ที่ไม่นิยมรถเครื่องเล็กในอดีต ก็มีผลช่วยกดราคาให้มันห่างไว้แบบนี้ด้วย
-
ผมว่านี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ขอบคุณที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมานะครับ อยากให้มาวิเคราะห์กันจริงๆจังๆสักหน่อย ไม่เสียหายอะไร....
ผมจำไม่ได้แล้ว ว่าค่ายไหนจะออกปีไหนๆ เอาแค่วิเคราะห์จากสมมติฐานเกี่ยวกับยี่ห้อเป็นหลักละกัน
Toyota & Honda เป็นเจ้าแห่งตลาดรถเล็กตอนนี้ รุ่นที่ออกมา คงตัวถังเล็กลงไประดับ A-segment แน่นอน เพราะมีตัวถังระดับ B-segment หมดแล้ว คงวางเบนซิน 1.2-1.3 (ไม่น่าจะ 1.1 เพราะ Nissan ตั้งมาตรฐานไว้แล้ว ว่าต้องเครื่องพิกัดนี้) และคงไม่มีตัวดีเซล เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ไม่มีออกเก๋งดีเซลในไทยเลย ที่สำคัญ ราคาต้นทุนดีเซลคงแพงไปมากๆจนเกินตลาดจะรับไหว ราคาก็คงใกล้ๆ Nissan หรือแพงกว่าหน่อย เพราะคนเชื่อถือยี่ห้อมากๆ ผมให้ Toyota วิ่งอยู่ 389,000-550,000 ละกัน ส่วน Honda ก็ 384,000-545,000 (โดยที่ทั้งสองยี่ห้อ คงอยากตั้งบรรทัดฐานให้รุ่น Top ของ Ecocar ชนกับรุ่นต่ำสุดของ B-segment เพื่อให้ผู็บริโภคลังเล ว่าจะเลือกตัวถังระดับไหนดี เหมือนๆกับที่ Top ของ B-segment ชนกับต่ำสุดของ C-segment และ Top ของ C-segment ชนกับต่ำสุดของ D-segment...)
Mitsu เรื่องยี่ห้อ ผมว่ากลางๆในเมืองไทยนะ ตอนนี้ไม่มีขายรถ B-segment และคงรอผลตอบรับของ Nissan ว่ารถระดับ B-segment วางเครื่องเล็ก ได้รับการยอมรับแค่ไหน ถ้าดีมากๆ ก็คงทำคล้ายๆกัน คือตัวถัง B-segment แต่วางเครื่องเบนซิน 1.2-1.3 (เหตุผลเหมือน Toyota+Honda) คงไม่มีดีเซล เพราะต้นทุนทำให้คุมราคาขายปลีกไม่ได้ ราคาน่าจะใกล้ Nissan มากๆ คือ 379,000-535,000 แต่ถ้าเืลือกที่จะทำตัวถัง A-segment มาขาย คงลดราคาลงไปหน่อย อยู่ที่ 359,000-499,000
Suzuki ผู้นำรถเล็ก ด้านแบรนด์ยังไม่แข็งแกร่งนัก และตอนนี้ก็มีขาย Swift ซึ่งเป็น Subcompact อยู่แล้ว ดังนั้น Ecocar คงตัวถังระดับ A-segment แน่นอน เพื่อไม่ให้ทับตลาดกัน คงวางเครื่อง 1.2-1.3 เบนซินเหมือนกัน ไม่มีดีเซล ด้านราคา ผมว่านอกจาก Tata แล้ว ก็มี Suzuki นี่แหล่ะ ที่จะต่ำสุด (สังเกตุจาก Swift ที่ขาย 599,000-650,000 ต่ำกว่าตลาดมากๆ) คืออยู่ในช่วง 349,000-479,000
Tata ตอนนี้ยังไม่มีเก๋งขายเลย และแบรนด์ก็ยังไ่ม่ติดตลาดนัก และยังไม่เคาะด้วยว่าจะเล่นระดับไหน ตัวถัง A หรือ B segment คงดูผลจาก Nissan ก่อน ผมมองว่า Tata จะเป็น Ecocar ที่ราคาต่ำสุด และอาจมีดีเซลด้วย เพื่อสร้างความแตกต่าง ด้วยราคาที่ยังทำให้ลูกค้ายอมรับได้ (เหมือนๆกับ Focus TDCi ที่ทำให้ Ford ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นบ้าง) ถ้าเป็นตัวถัง B-segment ราคาคงวิ่งช่วง 339,000-469,000 (แต่ถ้าดีเซล คงเพิ่มอีกช่วง 489,000-519,000) แต่ถ้าเป็นตัวถัง A-segment ราคาคงมาที่ 319,000-449,000 (ถ้ามีดีเซล คงอยู่ในช่วง 469,000-499,000)
เรื่อง March ผมว่าตัว 1.2 S MT เค้าคงพยายามให้ราคาต่ำกว่า 4แสน เพราะเคยประกาศออกมาแล้วตามสื่อต่างๆ ว่าราคา 3xx,xxx ถ้าไม่มีรุ่นนี้ เหมือนกับโกหกกลายๆ เพราะตัวถัดไป 1.2 E MT ก็อัพราคาไปถึง 425,000 แล้ว... เพียงแต่ว่าแบบนี้ มันทำให้ตัวต่ำสุดแย่มากๆ เห็นด้วยว่าน่าจะมีวิทยุก็ยังดี หรือ central ล็อค
โดยสรุปแล้ว ผมว่า Ecocar คงไม่มีเจ้าไหนที่จะทำราคารถให้ต่ำกว่า 3แสนได้.....ด้วยเหตุผลนานับประการ.....ถ้าจะมีรถระดับต่ำกว่า 3แสน ผมก็ว่่ามีเจ้า Tata nano นี่แหล่ะ ที่จะทำให้ราคาในไทยวิ่งอยู่ในช่วง 21x,000-27x,000 ได้.....
ความเห็นส่วนตัวนะ
ในท้ายที่สุดแล้ว รถ ECOCar ในบ้านเรา ก็จะกลายเป็น
- รถ B-segment หรือ Sub Compact ทั้งหลายนี่แหละ แต่เอารุ่นใหม่ (Model Change) มาผลิตขาย
- วางเครื่องเล็กลง เพื่ออัตราภาษี และอาจมีเครื่องใหญ่ สำหรับกลุ่มตลาดเดิม
- น่าจะมีการย้ายฐานผลิตมาที่ไทย แล้วส่งกลับไปขายที่ญี่ปุ่น เหมือน March
ถ้าไม่ใช่แนวนี้ เช่น
- A Segment เป็น ECOCar แล้วก็มี B Segment 1.5 ลิตรขายคู่กันด้วย
- ไม่มีการย้ายฐานผลิตมา
ผมว่า Feasibility Study ของโครงการ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ
1. ขนาดตัวถังเล็กลงนิดหน่อย แต่ต้นทุนราคาแทบไม่ได้ต่างกัน
2. ถึงจะมีบางเจ้า จะเสนอ A Segment ขาย แต่เจ้าอื่นๆ เอา B Segment วางเครื่องเล็กขายอยู่
คนไทยก็คงไม่นิยม เพราะตัวรถมันเล็กกว่า แต่ราคาต่างกันไม่มากนัก
3. ตอนที่ 6 ค่าย ผลิตไปถึงปีที่ 5 ต้องผลิตให้ได้ 100,000 คันต่อปี รวม 6 ค่ายก็ 600,000 คัน จะไปหาตลาดที่ไหนที่จะขาย ??
ตลาดในประเทศไทยสำหรับรถกลุ่มนี้ สมมติ 150,000 คัน 6 ค่ายเฉลี่ยก็แค่ค่ายละ 15,000 - 20,000 คันเอง
มันจึงต้องมีตลาดใหญ่อีกที่นึง แต่เลิกผลิต ย้ายมาผลิตที่ไทยนั่นเอง
-
ขอบคุณครับ
-
Tata ยังอยู่ใน Eco Car ครับ
และ อยู่อย่าง มั่นคง ด้วย
และ เปิดตัว กระบะเล็ก Super Ace เครื่องดีเซล 1.4 ในราคา 290,000 บาท ในไทย แล้วครับ
ข่าวว่า จะขายจริง เดือน มีค นี้ เช่นกัน
เครื่อง 1.4 นี้ ถ้า เป็น ตัว คอมมอนเรล ก็ คือ 1.4 TDCI ตัวที่อยู่ใน เก๋ง ที่ ขายดีกว่า Fiesta 1.4TDCI ที่อินเดีย
ถ้า ทาทา ประเทศไทย ใจถึง
ขายกระบะ Super Ace ใส่เครื่อง 1.4TDCI จริง
คนไทย ก็ รอ Eco Car ของ Tata ที่ต้องมี เครื่องดีเซล 1.4TDCI ขายในไทย แน่นอนครับ
เพราะ อะไหล่ ใช้ร่วมกับ Super Ace ได้
ตอนนี้ ก็ ได้แต่ รอ ครับ
ว่า ทาทา ประเทศไทย จะขาย Super Ace 1.4TDCI ราคา 290,000 บาท ในไทย จริง ใน เดือน มีค นี้หรือไม่
ถ้า ขายจริง
รับรองว่า วง แตก แน่ ครับ
เพราะ คนในวงการ รถยนต์ ก็จะรู้แจ้ง กันทันทีว่า
ทาทา อินเดีย เอาจริง ในไทยแล้ว
แต่ง ตัว เครื่อง 1.4TDCI รอ Eco Car ในอีก 2 ปี ข้างหน้า
และ ถ้า ขาย รถเก๋ง Tata Eco Car 1.4TDCI ด้วยราคา 390,000 บาท
ผม คิดว่า ทาทา จะ เริ่ม ต้น นับ หนึ่ง และ นับต่อไป จน เป็น จ้าวตลาด รถเล็ก ในไทย ได้ ในที่สุด ครับ
ก็ จะเป็น จุดจบ ของ ยี่ห้อ จอม กั๊ก ทั้งหลาย
และ เป็น จุดจบ คนการตลาดทั้งหลาย ที่ สรุป ไปเองว่า เก๋ง ดีเซล ขายไม่ได้ในไทย ครับ
-
Tata ยังอยู่ใน Eco Car ครับ
และ อยู่อย่าง มั่นคง ด้วย
และ เปิดตัว กระบะเล็ก Super Ace เครื่องดีเซล 1.4 ในราคา 290,000 บาท ในไทย แล้วครับ
ข่าวว่า จะขายจริง เดือน มีค นี้ เช่นกัน
เครื่อง 1.4 นี้ ถ้า เป็น ตัว คอมมอนเรล ก็ คือ 1.4 TDCI ตัวที่อยู่ใน เก๋ง ที่ ขายดีกว่า Fiesta 1.4TDCI ที่อินเดีย
ถ้า ทาทา ประเทศไทย ใจถึง
ขายกระบะ Super Ace ใส่เครื่อง 1.4TDCI จริง
คนไทย ก็ รอ Eco Car ของ Tata ที่ต้องมี เครื่องดีเซล 1.4TDCI ขายในไทย แน่นอนครับ
เพราะ อะไหล่ ใช้ร่วมกับ Super Ace ได้
ตอนนี้ ก็ ได้แต่ รอ ครับ
ว่า ทาทา ประเทศไทย จะขาย Super Ace 1.4TDCI ราคา 290,000 บาท ในไทย จริง ใน เดือน มีค นี้หรือไม่
ถ้า ขายจริง
รับรองว่า วง แตก แน่ ครับ
เพราะ คนในวงการ รถยนต์ ก็จะรู้แจ้ง กันทันทีว่า
ทาทา อินเดีย เอาจริง ในไทยแล้ว
แต่ง ตัว เครื่อง 1.4TDCI รอ Eco Car ในอีก 2 ปี ข้างหน้า
และ ถ้า ขาย รถเก๋ง Tata Eco Car 1.4TDCI ด้วยราคา 390,000 บาท
ผม คิดว่า ทาทา จะ เริ่ม ต้น นับ หนึ่ง และ นับต่อไป จน เป็น จ้าวตลาด รถเล็ก ในไทย ได้ ในที่สุด ครับ
ก็ จะเป็น จุดจบ ของ ยี่ห้อ จอม กั๊ก ทั้งหลาย
และ เป็น จุดจบ คนการตลาดทั้งหลาย ที่ สรุป ไปเองว่า เก๋ง ดีเซล ขายไม่ได้ในไทย ครับ
ถ้าเป็นดีเซล 3.9 แสนก็ยอมซื้อครับ
-
ขอบคุณ P_Wut มากครับ ที่วิเคราะห์ในอีกมุมมองนึง น่าสนใจมากๆครับ ผมคิดว่าเป็นไปได้นะ
และข้อมูล Tata ของคุณ traveller ก็น่าสนใจเอามากๆเช่นกัน กับ 1.4 TDCi Ecocar ในพิกัดราคา 390,000 (หรือแม้กระทั่ง 4แสนกลางๆ ก็ยังน่าสนใจมากๆ) เพราะใช้ร่วมกับ Super Ace อยู่แล้ว ลุ้นเช่นกันครับ ให้เปิดราคา Super Aces 1.4 TDCi มาที่ 290,000 รับรองว่าต้องมีคนรอ Ecocar ของทาทาแน่นอน และน่าจะเป็นเจ้าเดียวใน 6 ยี่ห้อที่มีดีเซลให้เลือก จากข่าวที่ติดตามมา รู้สึกว่า Tata ยังไม่สรุปว่าจะตัวถังระดับไหน A หรือ B segment ได้แต่ภาวนาให้เลือก B...
-
ความเห็นส่วนตัวครับ ;D
ถ้าการตอบรับของลูกค้าต่อมาร์ชออกมาดี ซึ่งน่าจะเป็นเช่นนั้น
เพราะด้วยสภาพปัจจุบัน มาร์ช มันเหมาะมากที่จะเป็นรถคันที่สองหรือ สาม สี่ ห้า ของครอบครัว
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น
เราอาจจะได้เห็น
โตโยต้าเลิกทำตลาด ยาริส 1.5 ลิตร แต่หันมาเล่นตลาด Altis 5 ประตู แทน
ซึ่งในตลาดตอนนี้มีแค่ 3 กับ กัสจัง
เพื่อหนี แจ๊ซ, 2, สวิฟท์, ฟิเอต้า, ทีด้า ที่ยาริส 1.5 ลิตร สู้ด้วยยาก
และเราอาจจะได้เห็น
โตโยต้าเขยิบ วีออส 1.5 ลิตรโดยเพิ่มออพชั่น+ราคา ขึ้นไป (งานถนัดพี่โต)
แล้วจับ ยาริส ใส่เครื่อง 1.3 ลิตร ลงมาสู้ มาร์ช ตรงๆ และ ดึงส่วนแบ่งจาก 5 ประตู 1.5 ลิตร โดยอ้อม
ซึ่ง ยาริส 1.3 มีขายในยุโรปอยู่แล้ว มีตลาดรองรับเงื่อนไข 100000 คันของภาครัฐพอดี
และโตโยต้าสามารถตั้งราคาสูงกว่า มาร์ช ได้
เนื่องจากขยับราคาออสหนีออกไปแล้ว และอาศัยชื่อชั้นยาริส ซึ่งดูมีภาษีดีกว่ามาร์ชในสายตาผู้บริโภคอยู่ก่อนแล้ว
โตโยต้าคงไม่เอา A segment เข้ามาแข่ง มาร์ช
เพราะน่าจะรู้ว่าขนาดตัวถังที่เล็กกว่า ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ ยาริส สู้ แจ๊ซไม่ได้
หากจะเอา A segment เข้ามาแข่ง มาร์ช เกรงว่าจะเดินตามรอยยาริส ;D
-
ความเห็นส่วนตัวครับ ;D
ถ้าการตอบรับของลูกค้าต่อมาร์ชออกมาดี ซึ่งน่าจะเป็นเช่นนั้น
เพราะด้วยสภาพปัจจุบัน มาร์ช มันเหมาะมากที่จะเป็นรถคันที่สองหรือ สาม สี่ ห้า ของครอบครัว
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น
เราอาจจะได้เห็น
โตโยต้าเลิกทำตลาด ยาริส 1.5 ลิตร แต่หันมาเล่นตลาด Altis 5 ประตู แทน
ซึ่งในตลาดตอนนี้มีแค่ 3 กับ กัสจัง
เพื่อหนี แจ๊ซ, 2, สวิฟท์, ฟิเอต้า, ทีด้า ที่ยาริส 1.5 ลิตร สู้ด้วยยาก
และเราอาจจะได้เห็น
โตโยต้าเขยิบ วีออส 1.5 ลิตรโดยเพิ่มออพชั่น+ราคา ขึ้นไป (งานถนัดพี่โต)
แล้วจับ ยาริส ใส่เครื่อง 1.3 ลิตร ลงมาสู้ มาร์ช ตรงๆ และ ดึงส่วนแบ่งจาก 5 ประตู 1.5 ลิตร โดยอ้อม
ซึ่ง ยาริส 1.3 มีขายในยุโรปอยู่แล้ว มีตลาดรองรับเงื่อนไข 100000 คันของภาครัฐพอดี
และโตโยต้าสามารถตั้งราคาสูงกว่า มาร์ช ได้
เนื่องจากขยับราคาออสหนีออกไปแล้ว และอาศัยชื่อชั้นยาริส ซึ่งดูมีภาษีดีกว่ามาร์ชในสายตาผู้บริโภคอยู่ก่อนแล้ว
โตโยต้าคงไม่เอา A segment เข้ามาแข่ง มาร์ช
เพราะน่าจะรู้ว่าขนาดตัวถังที่เล็กกว่า ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ ยาริส สู้ แจ๊ซไม่ได้
หากจะเอา A segment เข้ามาแข่ง มาร์ช เกรงว่าจะเดินตามรอยยาริส ;D
เห็นด้วยครับ