Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: YenChar ที่ มีนาคม 14, 2010, 22:29:35
-
จากกระทู้ที่แล้ว เคยถามเรื่องแรงต้านอากาศของรถ
เลยมีข้อสงสัยอีกนิ๊ดครับ
อยากทราบว่า รถกระบะเครื่อง3,000 ที่แรงบิดมันมหาศาล
ทำไมมันถึงมีความเร็วต้น-กลาง-ปลาย ได้ไม่เท่ากับรถเก๋งที่มีแรงบิดน้อยกว่าเหรอครับ
เป็นเพราะแรงเสียดทานอากาศรึเปล่าครับ??
กระทู้ที่แล้ว RX350 VS Camry3.5 เครื่องเท่ากัน แต่แพ้ที่รูปทรง ทำให้RX350ต้องใช้แรงม้ามากกว่าถึง20ตัว!
ถ้าอย่างนั้น กระบะเหลี่ยมๆบ้านเรา ต้องสู้กับแรงต้านอากาศมากขนาดไหนครับ
ยกตัวอย่าง D-max หรือ Navara รูปทรงบึกบึน แต่ดูแล้วคงต้านอากาศมากเหลือเกิน
เป็นไปได้มั้ยครับ ที่ความประหยัดน้ำมัน อัตราเร่ง จะมีผลมาจากรูปทรงที่ต้านอากาศเหล่านี้
หรือแม้กระทั่ง ความเกาะถนน อาการโคลงเพราะลมปะทะ เพราะรถมีพื้นที่หน้าตัดมาก
คำถามคือ
นอกจากเครื่อง เกียร ช่วงล่าง เบรคแล้ว
ทุกท่านคิดว่า"แรงเสียดทานอากาศ"สำคัญมั้ยครับ มาก/น้อยเพียงใด
-
หลายยี่ห้อค่าแรงเสียดทานอากาศน้อยก็ประหยัดน้ำมันเครื่องไม่ต้องออกแรงเยอะเพื่อชนกันอากาศ
-
ก็มีส่วนครับ อย่าง BMW นี่ รุ่นใหม่ๆ Cd ยิ่งน้อย ยิ่งประหยัดน้ำมัน หรือจากกระทู้ RX vs Camry ก็เหมือนกันครับ
ถ้าไม่อย่างงั้น ทำไมยาริสถึงกินน้ำมันกว่าวีออสล่ะครับ? หุหุ
-
อยากรู้ว่าแรงต้านของอากาศมากขนาดไหน ลองขับรถสัก 120 km/hr แล้วเปิดกระจกแบมือออกไปนอกหน้าต่าง
แล้วค่อยๆ บิดมือจากหน้าตัดค่อยๆบิดมือไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าใจเองครับ
ที่ยาริสวิ่งสู้วีอ๊อสไม่ได้ถ้าดูจากรูปทรงสามารถนำเอาเรื่อง การกิดลมหมุน vortex shading
ด้านท้ายรถมาอธิบายได้
ซึ่งรถที่รูปทรงแบบยาริส(ท้ายตัด) ลมหมุนที่เกิดขึ้นจะเกิดตรงท้ายรฝาหลังพอดี และพื้นที่หน้าตัดที่เกิด
ลมหมุนจะมากกว่ารถเก๋งที่มีช่วงเว้าลงมาก่อน ทำให้ลมหมุนเกิดเหมือนกันแต่เกิดกับพื้นที่ที่น้อยกว่าและ
ไกลจากฝากระโปรงท้ายมากกว่า
แรงเสียดทานจึงน้อยกว่าในกรณีที่ตัวแปรอื่นๆเหมือนกันนะครับ
-
มากขนาดรถเก๋งเป็นเรื่อยเล็กไปเลยครับ
-
ผมคิดว่ามีความสำคัญมากนะครับ
เนื่องจากรถต้องชนกับอากาศตลอกเวลา
เหมือนเครื่องบินไงตรงปีก(Flaps) และลำตัวครับ
-
ผมว่าสำคัญมากๆเลยครับ ไม่งั้นรถรุ่นแพงๆ พวก super car คงไม่พยายามทำให้ลดค่า CD ให้ได้มากสุด และลามมาถึงรถบ้านๆด้วย เพราะมันหมายถึงอัตราสิ้นเปลืองและอัตราความเร็ว การเร่ง ด้วย สัมพันธ์กันมากๆ
-
คิดว่ามากๆเลยหละครับ ถ้าเอาเครื่องของกะบะดีเซลคอมมอลเรลมาลงในเก๋งคงวิ่งระเบิดแน่ๆครับ
น้ำหนักรถก็ใช่ย่อยนะครับ ผมเอา NAVARA ขึ้นตาชั่งดูโอ้ว 2 ตันนิดๆ :o
-
แต่ก็ไม่จำเป็นว่าสัมประสิทธิแรงต้านอากาศจะต่ำแล้วผลลัพของแรงต้านอากาศจะต่ำลงด้วยเสมอไปนะครับ
เพราะเวลาคิดแรงต้านที่เกิดจากอากาศนั้นจำเป็นต้องนำCdไปคูณด้วยพื้นที่หน้าตัดที่ปะทะกับอากาศและความเร็วของอากาศยกกำลังสองและคูณด้วยความหนาแน่นของอากาศในขณะนั้น
ดังนั้น สัมประสิทธิแรงต้านอากาศที่บริษัทรถยนต์ใช้ในการโฆษณาไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้รถมีแรงต้านอากาศที่ต่ำลงได้ครับ
-
รถเก๋ง ค่า CD ประมาณ 0.26-0.32 ไม่ค่อยเกินนี้
รถกระบะ ค่า CD ประมาณ 0.45-0.54 ประมาณนี้
(ค่า CD คือค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานครับ ยิ่งมาก ยิ่งต้านลม)
-
อยากรู้ว่าแรงต้านของอากาศมากขนาดไหน ลองขับรถสัก 120 km/hr แล้วเปิดกระจกแบมือออกไปนอกหน้าต่าง
แล้วค่อยๆ บิดมือจากหน้าตัดค่อยๆบิดมือไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าใจเองครับ
ที่ยาริสวิ่งสู้วีอ๊อสไม่ได้ถ้าดูจากรูปทรงสามารถนำเอาเรื่อง การกิดลมหมุน vortex shading
ด้านท้ายรถมาอธิบายได้
ซึ่งรถที่รูปทรงแบบยาริส(ท้ายตัด) ลมหมุนที่เกิดขึ้นจะเกิดตรงท้ายรฝาหลังพอดี และพื้นที่หน้าตัดที่เกิด
ลมหมุนจะมากกว่ารถเก๋งที่มีช่วงเว้าลงมาก่อน ทำให้ลมหมุนเกิดเหมือนกันแต่เกิดกับพื้นที่ที่น้อยกว่าและ
ไกลจากฝากระโปรงท้ายมากกว่า
แรงเสียดทานจึงน้อยกว่าในกรณีที่ตัวแปรอื่นๆเหมือนกันนะครับ
ไม่ต้องถึง 120 หรอกครับ แค่ 60 เพิ่มไป 80 นี่ก็ชัดเจนแล้ว
ลูกแก้ว : ที่ถูก ควรเขียนว่า "Cd." จ้ะ
-
แล้ว อย่างนี้ ค่า Cd จะเท่ากับ เท่า หร่ายยยย เนี่ย :o
-
เพื่อเป็นความรู้ครับ สำหรับ drag coefficient (Cd)
http://en.wikipedia.org/wiki/Automobile_drag_coefficient
-
มิน่าหล่ะ เด็กแว๊นซ์แถวบ้านผม ถึงไม่ใส่หมวกกัน เค้าห่วงเรื่องค่า Cd. นี่เอง ;D