Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: sukhontha ที่ กรกฎาคม 15, 2016, 08:33:15
-
เขียนความเห็นนี้ ในทรรศนะของตัวเอง เห็นต่างได้ ...อย่างสร้างสรรค์
สิบปีที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน ตลอดจนวิทยาการพัฒนาไปรวดเร็วมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ควรจะพิจารณาในการซื้อรถด้วย...
1. การกลั่นน้ำมัน โรงกลั่นใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั่นน้ำมัน ดีเซลให้ได้มากที่สุด ดังนั้นน้ำมันดิบที่กลั่นแล้วให้ดีเซลน้อย จะไร้ราคา เช่นน้ำมันแถวลานกระบือ...(ผมจำได้ว่าสีเหมือนวาสลิน...)
2. แนวโน้ม และกระแสการใช้น้ำมันดีเซลสูงขึ้นมาก เครื่องยนต์ถูกพัฒนาให้มีคุณภาพดีขึ้น จากรถขนส่งขนาดใหญ่ กะบะ เข้าสู่รถเก๋ง ( ซึ่งเป็นทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะไทย)
3. น้ำมันดีเซล ตึงตัว มีราคาสูงขึ้น ในขณะที่แก๊สโซลีน ล้นตลาด ทำให้ราคาตลาดโลกปรับลดลง
4. ทิศทางการเก็บภาษีน้ำมันของรัฐ...โดยเฉพาะดีเซล เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุปบันอัตราการใช้น้ำมันเบนซิน/ดีเซล กำลังจะเดินไปสู่ 1/2
5. การเกิดของรถไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริง และในเวลาอันใกล้ การพัฒนาจะก้าวกระโดดขึ้นไปอีก...
ดังนั้นจะซื้อรถ ไม่ใช่บาทสองบาท คิดให้รอบคอบ บางคนซื้อทีต้องใช้หลายปี...
***ภาษีดีเซล(เคร่า ๆ) ปี 02 2.3 ปี 05 1.8 ปี 08 0.005 ปี 11 0.005 ปี 15 4.25 เดือนนี้(เมื่อวาน )5.65 ***
-
ถ้าภาคขนส่งก็คงต้อง Diesel แหละครับ แต่ผมมองว่า NGV น่าจะดีกว่าในภาคขนส่งเพราะปล่อยมลพิษน้อยกว่า แต่หาเติมยากเหมือนผูกขาด จะเติมทีรอเป็นชาติ
ส่วนในเมืองหลวงเน้น Gasoline แบบ Ethanol เนี่ยดีแล้ว เพียงแต่ให้รัฐช่วยแบกรับภาระไปหน่อย เพราะการจูนรถให้เติม E85 ได้ทำให้รถมันกินน้ำมันมากขึ้น เครื่องยนต์สึกหรอเร็วขึ้น ดังนั้นราคาน้ำมันต้องต่างอย่างมีนัยสำคัญ ทุกวันนี้เติมเทียบกัน ยังไง E20 ก็ประหยัดเงินกว่า E85 ตรรกะที่ว่า E85 ประหยัดจะใช้ได้กับคนที่มองเงินที่จ่าย ณ ขณะเติมน้ำมันเท่านั้น (ซึงก็มีเยอะอยู่) แต่ถ้ามันประหยัดกว่าจริงๆ เช่นราคาเหลือ 13 บาท กับ E20 บาท 21 บาท ยังไงโอกาสคนเติม E85 ก็เยอะ ช่วยชาติ ช่วยโลก
-
สรุปแล้ว ดีเซเกรดพรีเมี่ยม กับไม่พรีเมียมที่โฆษณากัน มันมาจาก Base น้ำมันเดียวกันที่ผสม เอทานอน 5% แล้วใช่ไหมแล้วค่อยมาใส่สาร additive แล้วขายราคาต่างกันใช่ไหม เกือบ สามบาท สรุปมันใส่อะไรถึงได้ให้ความรู้สึกว่ามันวิ่งดีกว่า ขับได้เยอะกว่า แต่เคยลองจับการสิ้นเปลืองต่อผลต่างราคาผมว่ามันพอๆกันนะ แพงกว่าวิ่งได้ไกลกว่าแต่ราคาเมื่อหารออกมาแล้วเท่าๆกัน :-X
-
ต้องมองปัจจัยอื่นละครับ เรื่องราคาน้ำมันมันใกล้เคียงกันมาก
คงต้องมองที่การใช้งาน สมรรถนะและความประหยัดหละครับ
-
........... ปริมาณการใช้ดีเซลในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ เบนซินล้นตลาด และรถในตลาด ดีเซลเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่าเบนซินมาก
ถ้าหากไม่มีการอุดหนุน หรือแทรกแทรงจากภาครัฐ จะทำให้น้ำมันดีเซลแพงขึ้น ราคาเบนซินจะถูกลง ในไม่ช้านี้และจะฉีกห่างจากเบนซิน ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
ซึ่งปัจจัยนี้ ถ้าท่านจะเลือกซื้อรถทั้งสองประเภทนี้ อะไรจะเหมาะสมกับตนเองมากกว่า.....
-
ผมว่าราคาดีเซล ถ้าสูงขึ้น รัฐคงแทรกแซงครับ ส่วนเบนซิน คงปล่อยให้แพงขึ้นได้บ้าง
-
รถบางประเภท ก็เหมาะกับเบนซินอยู่นะครับ ???
-
คนโดยมากซื้อรถเก๋งดีเซลหรือกระบะ 4 ประตูขับประจำวันทั้งๆที่ไม่ได้บรรทุกอะไร เพราะเครื่องดีเซลทนทานและให้แรงบิดดีกว่า
คนกลุ่มนี้เลยยอมจ่ายแพงกว่า แม้ว่าจะต้องวิ่งหลายแสนกิโลเมตรเพื่อชดเชยส่วนต่างที่แพงกว่า
แต่เวลาขายต่อก็ขายง่ายกว่าและได้ราคากว่ามาชดเชยครับ
รถเบนซินและดีเซลรอวันตายด้วยการมาของรถไฟฟ้าอีกด้วยครับ แต่เชื่อว่าเบนซินน่าจะไปก่อน
เพราะภาคขนส่งอาจยังต้องพึ่งดีเซล
-
บ้านเมืองเราไม่ชัดเจน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คงเหมือนคนซื้อหวย ถ้าฟลุคถูกก็ดีไป ไม่ถูกก็งวดหน้า
ตอนปี2550 น้ำมันแพงเอารถไปติดแกส ปี2558ขายออก ออกรถใหม่ จะไม่ติดแกส อีก
ประหยัด แต่จุกจิก และปัจจุบันราคาน้ำมัน ยี่สิบบาทต้นๆ รับได้
ต้นเป็นที่พึ่งแห่งตน
-
Passenger ---> Gasoline (Pure ones...not abominations like gasohol and ethenol mixed)
Commercial ---> Diesel
Military ---> could be both