Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: ฟง อวิ๋น ที่ ตุลาคม 20, 2016, 09:33:18
-
ปัจจัยใดบ้างครับ ที่ทำให้ PPV/SUV บ้านเราราคาแพงเกือบเท่า D-Seg ญี่ปุ่นแต่Optionน้อยกว่า
โดยเฉพาะ Option เรื่องความปลอดภัยของ FTN ตัว TOP น้อยกว่า Ford Ranger และ PJS อย่างเห็นได้ชัด
เทียบกับ Camry HV Premium MY2016 และ Accord HV Tech MY2016 ยิ่งแล้วใหญ่
แต่ราคาก็เริ่มมาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่พอนึกออกว่าอะไรที่ทำให้แพง อาจจะเป็นเพราะ
1. เครื่องยนต์ดีเซล ที่แพงกว่า
2. ปล่อยมลพิษมากก่า โครงสร้างภาษีแพงกว่า (หรือเปล่า??)
3. โครงสร้างใหญ่กว่า เหล็กหนากว่า แข็งแรงกว่า
4. ล้อโตกว่า
5. ต้องออกแบบรองรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
6. ที่นั่งมากกว่า เบาะต้องออกแบบให้พับได้ เลยแพงกว่า
ึ7. แอร์เพดาน
8. นึกไม่ออกแล้วครับ
-
ที่อื่น ppv เค้าแพงกว่า dseg นะครับ เมืองไทย ppv ทำราคาท่า dseg ได้เพราะภาษี
-
นี่ขนาดภาษีช่วยแล้วนะ
ถ้าภาษีไม่ช่วยนะผมว่า PPV กับ กระบะ จะแพงมากกกกกกกกกกก
เหมือนเมืองนอก PPV กับ กระบะ โคตรแพง :'(
-
PPV SUV มันอเนกประสงค์กว่าผมว่าคุ้มค่าคุ้มคุ้มราคากว่า D Segment นะ
อีกอย่าง SUV ผมว่ามันก็นุ่มนั่งสบายนะ (เคยนั่ง Xtrail)
-
ผมว่า D บ้านเราแพงเกินไป
-
นี่ขนาดภาษีช่วยแล้วนะ
ถ้าภาษีไม่ช่วยนะผมว่า PPV กับ กระบะ จะแพงมากกกกกกกกกกก
เหมือนเมืองนอก PPV กับ กระบะ โคตรแพง :'(
เห็นด้วยเลยครับ ดูราคากระบะที่เมืองนอกราคาล้านกว่า โอยจะเป็นลม
-
กำไร ครับ ทำให้รถแพง ;D
-
สูงกว่า ไม่กลัวน้ำท่วม มีเบาะเยอะกว่า เลยแพง
555
เมื่อก่อนคุ้นๆ ตอน For ออกมาแรกๆ จะได้ยินคนบ่น
ทำไมรถดัดแปลงมาจากกระบะ แต่ราคาต่างกันเยอะ
ผมว่าบริษัทรถเค้ารับฟังครับ เลยพยายามเพิ่มราคา
รถกระบะให้เกินล้าน ให้สมศักดิ์ศรีกับ PPV
ทำไปทำมา ราคาเลยเป็นอย่างที่เห็น
;D ( แซวเล่นๆ )
แต่จริงๆ ตามความคิดผม ที่ไม่ได้ทราบถึงราคา
ที่ต่างประเทศ เอาแค่ที่เห็นในไทย
ยุคใหม่นี้ PPV ทำออกได้ดีมาก ทั้งหรูหรา ความงาม
ประโยชน์ใช้สอย รวมถึงคุณภาพโดยรวม
ถ้าในงบ 1-2 ล้าน ผมเลือก PPV ก่อน D-Seg แน่ๆ
โดยไม่ได้ซีเรียสออฟชั่นอะไรมากมาย
-
ลองกลับไปอ่านกระทู้เก่าดูครับ ผมว่าตอบได้ชัดเจนดี
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=50273.0
-
ต้นทุนสูงกว่า โดยเฉพาะเครื่องดีเซล
สังเกตเลยว่า d-sec ไม่มีเครื่องดีเซล
แต่หนีไปไฮบริด เพื่อได้ภาษีถูกลงแทน
พอเป็นไฮบริด ขายไม่ได้อีก เพราะคนไทยกลัวราคาขายตก
หลายคนเลยเลือก PPV แทน
-
ก่อนอื่น ขอขอบคุณทุกความเห็นครับผม
ลองกลับไปอ่านกระทู้เก่าดูครับ ผมว่าตอบได้ชัดเจนดี
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=50273.0
ขอบคุณท่าน jkdragon ครับ ละเอียดมาก โดยเฉพาะความเห็นที่ 15 ครับ ขอบคุณอีกครั้ง ;D ;D
-
ผมว่ามันพัฒนามาจนเค้าเดิมกระบะหายไปเยอะนะครับจนเป็น SUV ที่ช่วงล่างสปอร์ตๆหน่อยๆในบางรุ่น แต่บางรุ่นอาจยังหนีไม่พ้น
แต่ผมเชื่อว่าต้นทุนวิจัยน่าจะเยอะเหมือนกัน แต่กำไรก็เยอะเช่นกัน และเจนหน้าคงกลายเป็นรถที่สลัดกระบะหลุดได้บ้างแหละในบางยี่ห้อ ขนาดตอนนี้
Everest ,Pajero sport,Fortuner TRD ก็ทำมาแทบจะหลุดจาก PPV เดิมๆแล้ว ในเจนนี้
-
ม้นขายแพงได้ แล้วมีคนซื้อ ก็คอยเพิ่มราคา ตอน MMC หรือ FMC ทุกครั้ง
คหสต
PPV --> ดูมีตังค์ แต่ไม่หรู ดูบ้านๆ ไม่แพง แต่ราคาโคตรแพง
D segment --> มีตังค์ด้วย หรูด้วย ดูแพงว่า PPV เยอะ
ผมเข้าใจว่าต้นทุนเครื่องดีเซลแพง แต่จำนวนผลิตเยอะ เพราะใช้ร่วมกับ Pick up และภาษีราคาไม่สูง กำไรเยอะ
ลองเทียบดูง่าย PPV diesel กับ SUV diesel ราคา PPV เริ่มแพงกว่าแล้ว เพราะอะไร ถ้าไม่ใช้กำไรเยอะ
-
ม้นขายแพงได้ แล้วมีคนซื้อ ก็คอยเพิ่มราคา ตอน MMC หรือ FMC ทุกครั้ง
คหสต
PPV --> ดูมีตังค์ แต่ไม่หรู ดูบ้านๆ ไม่แพง แต่ราคาโคตรแพง
D segment --> มีตังค์ด้วย หรูด้วย ดูแพงว่า PPV เยอะ
ผมเข้าใจว่าต้นทุนเครื่องดีเซลแพง แต่จำนวนผลิตเยอะ เพราะใช้ร่วมกับ Pick up และภาษีราคาไม่สูง กำไรเยอะ
ลองเทียบดูง่าย PPV diesel กับ SUV diesel ราคา PPV เริ่มแพงกว่าแล้ว เพราะอะไร ถ้าไม่ใช้กำไรเยอะ
ถ้าผูกขาดขาย ppv เจ้าเดียว คงจะคำนวนแบบนั้นได้ครับ
แต่ที่จริง ppv ทำมาหลายเจ้า มีการแข่งขันกันพอสมควร ดังนั้น
ราคาที่ตั้งค่อนข้างอิงกับต้นทุนครับ เพราะถ้าหวังฟันกำไรท่าเดียว อีกค่ายที่คิดต่าง
สามารถตัดราคาลงได้ง่ายๆ ตอนนี้ที่ราคามันยังเท่านี้อยู่ทุกค่าย เพราะต้นทุนมันบีบ
ไม่งั้นเจ้าเล็กคงตัดขายราคาถูกเพื่อแย่งยอดขายเจ้าใหญ่ๆ ตั้งแต่แรก แต่เท่าที่ผมเห็น
คือยอมขายตัดราคาเมื่อสินค้าเริ่มขายไม่ออก แสดงว่า กำไรรถประเภทนี้ไม่น่ามหาศาล
ขนาดนั้น และตามกฎที่ว่า ถ้าภาษีเท่าๆ กัน ในตปท รถppv จะแพงมาก ก็ไม่น่าจะใช่ว่า
ค่ายรถจะฟันราคามากกว่ารถประเภทอื่นเสมอไป เพราะตลาดมีการแข่งขัน ไม่ได้เป็นแบบผูกขาดครับ
ขนาดและความแข็งแกร่งความทนทานของรถประเภท pickup base
ต้นทุนไม่ถูก แต่มันเอามาโชว์เหมือนรถประเภทอื่นๆ ไม่ได้ด้าน performance, option, การเกาะถนน
แต่มันจะสะท้อนให้เห็นหลังจากการใช้งานไปยาวนานครับ รถพวก pick up base ไม่ว่า ppv mpv
ราคาแข็งกว่า d segment เยอะในตลาดมือสอง คงเนื่องมาจากความแข็งแกร่งทนทาน
โมเดลนึงลากขายยาวนาน แปลว่าอะไหล่ต้องทน เพราะถ้าไม่ทน มีชื่อเสียขึ้นมาระหว่างทำตลาด
อายุตลาดก็จะไม่ยืด เพราะคนจะไม่อยากซื้อรถที่มีปัญหา อย่าง Vigo ที่ขายมาได้ยาว 10 ปี
แล้วไม่มีปัญหาตั้งแต่ต้น แปลว่าอะไหล่ต้องมีคุณภาพใช้ได้เลย ในขณะที่รถประเภทอื่น 3 ปีเริ่มออกอาการละ
น่าจะหมายถึงการออกแบบที่คงทนหรือเสถียรน้อยกว่ารถ pick up base ครับแต่มันใช่ตรงที่
ขับดีกว่านะ เกาะกว่า ขับมันกว่า ออฟชั่นแพรวพราวกว่า ทั้งหมดเป็น คหสต นะครับ
แต่รู้สึก คนที่เล่นรถ pick up base นี่มีแต่ได้กับได้จริงๆ คุ้มมากถ้าออกตั้งแต่ป้ายแดง
-
มันไม่ใช่อยากจะขายแพงแต่ต้นทุนการพัฒนามันต่างกันเยอะมาก
ผมว่า PPV ในไทยถ้าแพง D-SEGMENT ก็โคตรแพงเพราะราคาแต่ละประเทศ มันจะเป็น 4/5 ของ PPV ด้วยซ้ำไป
ไม่งั้นดูรถที่เป็น แชสซีส์ได้ พวก DEFENDER Option เหี้ยนเตียน ผลิตน้อยก็ใช่ และขายแพงกว่า PPV ซะอีก
ส่วนดูหรูไม่หรูไม่ขอออกความคิดเห็น ต่างที่ต่างถิ่นคิดคนละแบบ
พวกฝรั่งมาบอกเมืองไทยโคตรหรูขับกระบะสี่ประตูกับ PPV กันเยอะแยะ
คนไทยบอกนั่นมันรถกระบะ
พอเข้าเขตนอกเมืองพวกถามซื้อเก๋งมาทำไม อยู่ในเมืองพวกถามPPVนอกจากลุยน้ำแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่เหนือกว่าตรงไหน
-
ผมว่าd seg ในไทยเเพงเกินoption ที่ไห้มาครับ
ส่วนPPV หากEve ,pjs ก้อถือว่ารับได้
-
ผมว่าที่แพงเพราะการตลาดด้วยครับ
ของต้นทุนถูก(อันนี้ผมไม่แน่ใจนะครับว่ามันถูกกว่า d segment หรือไม่)
ตั้งราคาขายแพงๆ แต่ตลาดรับได้ ขายดิบขายดี แล้วจะเพิ่มต้นทุนอัดออฟชั่นไปทำไม
ทำกำไรดีกว่า บริษัทต้องการกำไรสูงสุดอยู่แล้ว ไว้ตลาดเปลี่ยนแปลง ค่อยว่ากัน
-
ดูประเทศออสที่ภาษีรถไม่ต่างกันมาก ก็ชัดเเล้ว ว่ารถประเภทนี้ต้นทุนสูงกว่า
http://www.carshowroom.com.au/showrooms/toyota/
-
บางยี่ห้อแพงเพราะบวกกำไรล้วนๆครับ ฟอร์จูนเนอร์รุ่นแรกแพงสุดล้านสองแล้วค่อยๆปรับราคาขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงล้านสี่ รุ่นใหม่นี่ตั้งราคากันถึงล้านเจ็ดคนก็ยังซื้อกันอยู่ แพงกว่ารถปิ๊กอัพพื้นฐานเดียวกันเกือบสองเท่า คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลรองรับนอกจากกำไรล้วนๆ ขณะที่คู่แข่งยังตั้งราคากันไว้ที่ล้านสองถึงล้านสี่ได้อยู่เลย
-
บางยี่ห้อแพงเพราะบวกกำไรล้วนๆครับ ฟอร์จูนเนอร์รุ่นแรกแพงสุดล้านสองแล้วค่อยๆปรับราคาขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงล้านสี่ รุ่นใหม่นี่ตั้งราคากันถึงล้านเจ็ดคนก็ยังซื้อกันอยู่ แพงกว่ารถปิ๊กอัพพื้นฐานเดียวกันเกือบสองเท่า คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลรองรับนอกจากกำไรล้วนๆ ขณะที่คู่แข่งยังตั้งราคากันไว้ที่ล้านสองถึงล้านสี่ได้อยู่เลย
ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ ถ้าเทียบต้นทุนกับราคากระบะต้องบวกภาษีให้เท่ากับ ppv ด้วยนะครับ
เพราะกระบะป้ายเขียว ภาษีจะถูกมากเหมือไม่มีภาษี ส่วนราคา ppv คือบวกภาษีแพงที่ระดับแพงกว่า
ขึ้นไปแล้ว ดูจากชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ มันมากกว่ากระบะพื้นฐานเยอะ ดังนั้นส่วนตัวผมคิดว่า
ราคาของ ppv กลุ่มใหญ่ ยังอิงเรื่องต้นทุนเป็นหลักและตั้งกำไรไว้ในระดับที่เหมาะสมอยู่ครับ
ราคา ppv ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ผมโอเค ส่วน For ที่สูงกว่าคนอื่นเค้า ผมคิดว่าอาจจะ..
1 รถมีความนิยม ทำให้ตั้งราคาสูงได้ (ฟันกำไร)
2 อาจจะลงทุนกับความทนทานของชิ้นส่วนเยอะ กดราคาต้นทุนสู้คู่แข่งไม่ได้
(part ทน กับรถ set มาขับไม่ค่อยดีนี่คนล่ะเรื่องกันนะครับ)
สรุปของอะไรที่ตลาดๆ เป็นที่นิยม demand เยอะ ทุกวงการผมว่าชอบขึ้นราคาแพงกว่าชาวบ้าน
ในรุ่นเท่าๆ กัน option พอกันหรือน้อยกว่า
แต่ถ้าวงการไหน เจ้าตลาดเจือกตั้งราคามาเท่าคู่แข่ง option เท่ากันหรือมากกว่า
แปลว่าเจ้าตลาดตลาดนั้นต้องการกำจัดคู่แข่งละ สุดท้ายจะกลายเป็นผูกขาด แล้วพอไม่มีคู่แข่ง
ก็จะสามารถตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้
ดังนั้นผมยังเอียงๆ ไปข้อ 2 คือเจ้าตลาดคุมต้นทุนไม่ได้เพราะลงทุนไปด้านคุณภาพ
ส่วนการตั้งเพื่อฟันกำไรในข้อ 1 ก็คงทำด้วย แต่ไม่ได้เต็มที่เพราะตลาดยังมีการแข่งขัน
ซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่โตจะไม่อยากกำจัดคู่แข่ง volume สั่งผลิตเยอะ ก็ต้องกดราคาขาย
ต่ำกว่าได้อยู่แล้วในสเป็ค part ที่เท่าๆ กัน แล้วก็ฆ่าคู่แข่งได้ง่ายๆ
แต่สังเกตุดูเหมือนจะทำไม่เคยได้ แต่ได้เรื่องความนิยมในเรื่องความทนทานกับไม่ค่อยมีปัญหาแทน
คหสต นะครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบ for ปัจจุบันเพราะรูปร่างมันยังใช้ตัวเดิมมาโมอยู่
ไม่ได้เขียนเชียร์ for นะครับแต่อาจจะมองต่างมุม
-
คงต้องลองทำภาษีให้เท่าๆกันดูครับ อาจเห็นกันจะๆเลยก็ได้
-
แล้วทำไมไม่คิดกลับกันว่า เครื่องเบนซิน na บนรถคันเล็กๆที่ยัดออปชั่นมาเยอะๆ มันราคาแพงเท่า suv คันใหญ่ๆ ส่วนประกอบเยอะๆเครื่องดีเซลมั่งละครับ
-
บางยี่ห้อแพงเพราะบวกกำไรล้วนๆครับ ฟอร์จูนเนอร์รุ่นแรกแพงสุดล้านสองแล้วค่อยๆปรับราคาขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงล้านสี่ รุ่นใหม่นี่ตั้งราคากันถึงล้านเจ็ดคนก็ยังซื้อกันอยู่ แพงกว่ารถปิ๊กอัพพื้นฐานเดียวกันเกือบสองเท่า คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลรองรับนอกจากกำไรล้วนๆ ขณะที่คู่แข่งยังตั้งราคากันไว้ที่ล้านสองถึงล้านสี่ได้อยู่เลย
ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ ถ้าเทียบต้นทุนกับราคากระบะต้องบวกภาษีให้เท่ากับ ppv ด้วยนะครับ
เพราะกระบะป้ายเขียว ภาษีจะถูกมากเหมือไม่มีภาษี ส่วนราคา ppv คือบวกภาษีแพงที่ระดับแพงกว่า
ขึ้นไปแล้ว ดูจากชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ มันมากกว่ากระบะพื้นฐานเยอะ ดังนั้นส่วนตัวผมคิดว่า
ราคาของ ppv กลุ่มใหญ่ ยังอิงเรื่องต้นทุนเป็นหลักและตั้งกำไรไว้ในระดับที่เหมาะสมอยู่ครับ
ราคา ppv ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ผมโอเค ส่วน For ที่สูงกว่าคนอื่นเค้า ผมคิดว่าอาจจะ..
1 รถมีความนิยม ทำให้ตั้งราคาสูงได้ (ฟันกำไร)
2 อาจจะลงทุนกับความทนทานของชิ้นส่วนเยอะ กดราคาต้นทุนสู้คู่แข่งไม่ได้
(part ทน กับรถ set มาขับไม่ค่อยดีนี่คนล่ะเรื่องกันนะครับ)
สรุปของอะไรที่ตลาดๆ เป็นที่นิยม demand เยอะ ทุกวงการผมว่าชอบขึ้นราคาแพงกว่าชาวบ้าน
ในรุ่นเท่าๆ กัน option พอกันหรือน้อยกว่า
แต่ถ้าวงการไหน เจ้าตลาดเจือกตั้งราคามาเท่าคู่แข่ง option เท่ากันหรือมากกว่า
แปลว่าเจ้าตลาดตลาดนั้นต้องการกำจัดคู่แข่งละ สุดท้ายจะกลายเป็นผูกขาด แล้วพอไม่มีคู่แข่ง
ก็จะสามารถตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้
ดังนั้นผมยังเอียงๆ ไปข้อ 2 คือเจ้าตลาดคุมต้นทุนไม่ได้เพราะลงทุนไปด้านคุณภาพ
ส่วนการตั้งเพื่อฟันกำไรในข้อ 1 ก็คงทำด้วย แต่ไม่ได้เต็มที่เพราะตลาดยังมีการแข่งขัน
ซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่โตจะไม่อยากกำจัดคู่แข่ง volume สั่งผลิตเยอะ ก็ต้องกดราคาขาย
ต่ำกว่าได้อยู่แล้วในสเป็ค part ที่เท่าๆ กัน แล้วก็ฆ่าคู่แข่งได้ง่ายๆ
แต่สังเกตุดูเหมือนจะทำไม่เคยได้ แต่ได้เรื่องความนิยมในเรื่องความทนทานกับไม่ค่อยมีปัญหาแทน
คหสต นะครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบ for ปัจจุบันเพราะรูปร่างมันยังใช้ตัวเดิมมาโมอยู่
ไม่ได้เขียนเชียร์ for นะครับแต่อาจจะมองต่างมุม
ผมถึงลองเปรียบเทียบต้นทุน และราคาขายระหว่าง PPV diesel อย่าง Fortuner และ CX5 2.2 diesel ล่ะครับ
เห็นภาพชัดเลย ว่า PPV ขายแพงและออฟชั่นน้อยมาก
SUV ต้นทุนเครื่อง ดีเซลแพงกว่าเยอะครับ แพงเพราะค่า investment/Volume แล้วราคาแม่พิมพ์ต่อชิ้นมันแพงมากครับ
ผมรู้โครงสร้างต้นทุนดี และก็รู้ว่า Fortuner เดี๋ยวนี้ขายแพงเอากำไรมากกว่าตัวเก่าๆมากๆๆๆๆๆ ออฟชั่นก็ไม่ได้มากกว่าตัวแรกๆเท่าไหร่
แต่ราคาดันขึ้นมาตั้ง 4- 5 แสน แพงจากอะไรครับ ผมขอเหตุผลหน่อย (ผมหักภาษีให้ แสนห้าแล้วกัน เหลืออีก 3แสนกว่า คืออะไรครับ)
-
ลองเอาราคามาให้ดูครับว่า อันไหนแพง อันไหนถูก
-
ในงบประมาณประมาณนี้ ผมยังเลือกที่จะซื้อPPV/SUV มากกว่า D seg เลยครับ
ในความรู้สึกคือคุ้มกว่า เหมาะกับพื้นผิวถนนประเทศไทยมากกว่า ประโยชน์ใช้สอยมากกว่า
ที่สำคัญ โดยส่วนตัวคิดว่า ความยาวขนาด D seg ยังไม่มีรุ่นไหนสวยสุดเลยครับ
ผมว่าความยาวของรถซีดานที่ออกแบบแล้วสวยคือประมาณ C seg :D :D :D :D
-
บางยี่ห้อแพงเพราะบวกกำไรล้วนๆครับ ฟอร์จูนเนอร์รุ่นแรกแพงสุดล้านสองแล้วค่อยๆปรับราคาขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงล้านสี่ รุ่นใหม่นี่ตั้งราคากันถึงล้านเจ็ดคนก็ยังซื้อกันอยู่ แพงกว่ารถปิ๊กอัพพื้นฐานเดียวกันเกือบสองเท่า คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลรองรับนอกจากกำไรล้วนๆ ขณะที่คู่แข่งยังตั้งราคากันไว้ที่ล้านสองถึงล้านสี่ได้อยู่เลย
ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ ถ้าเทียบต้นทุนกับราคากระบะต้องบวกภาษีให้เท่ากับ ppv ด้วยนะครับ
เพราะกระบะป้ายเขียว ภาษีจะถูกมากเหมือไม่มีภาษี ส่วนราคา ppv คือบวกภาษีแพงที่ระดับแพงกว่า
ขึ้นไปแล้ว ดูจากชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ มันมากกว่ากระบะพื้นฐานเยอะ ดังนั้นส่วนตัวผมคิดว่า
ราคาของ ppv กลุ่มใหญ่ ยังอิงเรื่องต้นทุนเป็นหลักและตั้งกำไรไว้ในระดับที่เหมาะสมอยู่ครับ
ราคา ppv ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ผมโอเค ส่วน For ที่สูงกว่าคนอื่นเค้า ผมคิดว่าอาจจะ..
1 รถมีความนิยม ทำให้ตั้งราคาสูงได้ (ฟันกำไร)
2 อาจจะลงทุนกับความทนทานของชิ้นส่วนเยอะ กดราคาต้นทุนสู้คู่แข่งไม่ได้
(part ทน กับรถ set มาขับไม่ค่อยดีนี่คนล่ะเรื่องกันนะครับ)
สรุปของอะไรที่ตลาดๆ เป็นที่นิยม demand เยอะ ทุกวงการผมว่าชอบขึ้นราคาแพงกว่าชาวบ้าน
ในรุ่นเท่าๆ กัน option พอกันหรือน้อยกว่า
แต่ถ้าวงการไหน เจ้าตลาดเจือกตั้งราคามาเท่าคู่แข่ง option เท่ากันหรือมากกว่า
แปลว่าเจ้าตลาดตลาดนั้นต้องการกำจัดคู่แข่งละ สุดท้ายจะกลายเป็นผูกขาด แล้วพอไม่มีคู่แข่ง
ก็จะสามารถตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้
ดังนั้นผมยังเอียงๆ ไปข้อ 2 คือเจ้าตลาดคุมต้นทุนไม่ได้เพราะลงทุนไปด้านคุณภาพ
ส่วนการตั้งเพื่อฟันกำไรในข้อ 1 ก็คงทำด้วย แต่ไม่ได้เต็มที่เพราะตลาดยังมีการแข่งขัน
ซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่โตจะไม่อยากกำจัดคู่แข่ง volume สั่งผลิตเยอะ ก็ต้องกดราคาขาย
ต่ำกว่าได้อยู่แล้วในสเป็ค part ที่เท่าๆ กัน แล้วก็ฆ่าคู่แข่งได้ง่ายๆ
แต่สังเกตุดูเหมือนจะทำไม่เคยได้ แต่ได้เรื่องความนิยมในเรื่องความทนทานกับไม่ค่อยมีปัญหาแทน
คหสต นะครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบ for ปัจจุบันเพราะรูปร่างมันยังใช้ตัวเดิมมาโมอยู่
ไม่ได้เขียนเชียร์ for นะครับแต่อาจจะมองต่างมุม
ผมถึงลองเปรียบเทียบต้นทุน และราคาขายระหว่าง PPV diesel อย่าง Fortuner และ CX5 2.2 diesel ล่ะครับ
เห็นภาพชัดเลย ว่า PPV ขายแพงและออฟชั่นน้อยมาก
SUV ต้นทุนเครื่อง ดีเซลแพงกว่าเยอะครับ แพงเพราะค่า investment/Volume แล้วราคาแม่พิมพ์ต่อชิ้นมันแพงมากครับ
ผมรู้โครงสร้างต้นทุนดี และก็รู้ว่า Fortuner เดี๋ยวนี้ขายแพงเอากำไรมากกว่าตัวเก่าๆมากๆๆๆๆๆ ออฟชั่นก็ไม่ได้มากกว่าตัวแรกๆเท่าไหร่
แต่ราคาดันขึ้นมาตั้ง 4- 5 แสน แพงจากอะไรครับ ผมขอเหตุผลหน่อย (ผมหักภาษีให้ แสนห้าแล้วกัน เหลืออีก 3แสนกว่า คืออะไรครับ)
ผมลองหาราคา Fortuner vs Rav4 มาครับ จาก Toyota australia
ซึ่ง Rav4 จะอยู่ใน segment เดียวกับ CX-5 และเท่าที่ผมเช็คดู option Rav4 ก็มี option
มากกว่า Fortuner เยอะเช่นเดียวกับที่ CX-5 มี option เยอะกว่า Fortuner ครับ
Fortuner GX 2.8L diesel 54,880
Fortuner GXL 60,710
Fortuner Crusade 68,155
Rav4 GX 2.2L diesel 43,166
Rav4 GXL 46,158
Rav4 Cruiser 55,415
เมื่อเทียบกับรถ 2 รุ่นจากค่ายเดียวกัน จะมองเห็นได้ว่ารถประเภท Pickup-base SUV ถ้า
ตั้งราคาขึ้นมาจริงๆ จะไม่สามารถถูกกว่า compact Crossover suv ได้ครับ แม้ว่า option ของ
อย่างหลังจากมากมายมหาศาลกว่า ซึ่งที่จับรถจากค่ายเดียวกันมาเทียบ ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า
ไม่มีการกดราคาหรือเพิ่มราคารถรุ่นใดรุ่นหนึ่งเป็นพิเศษ เพราะอยู่ในระดับการตั้งราคาในบริษัทเดียวกันครับ
การลงทุนรถแบบ pickup base ก็น่าจะต้องทุนหนามากครับ เพราะมันมีส่วนของโครงแชสซีที่ต้อง
แข็งแกร่ง กับ scale project ที่ใหญ่มากต้องใช้คน manpower มาก เพราะตอน Toyota ทำ IMV1
นี่ต้องเกณฑ์คนเกือบจากทุก project เข้ามาช่วยกันทำเป็นทีมใหญ่เลยครับ การ sourcing การทำ die
การทำ mold นี่ก็เป็นงานที่หนักหน่วงมาก กินกำลังคนที่ TMC japan เยอะมาก
ลองสังเกตุดูว่า สำหรับรถ crossover suv นั้น ไม่ว่าค่ายไหนจะเล็กขนาดไหน ก็สามารถผลิตขายออกมาได้ครับ
แต่สำหรับรถยนต์ประเภท pickup base
1) จะต้องเป็นค่ายที่ใหญ่ ทุนหนา และมีความเชี่ยวชาญ
2) ตลาดต้องมีขนาดใหญ่มาก หรือมีแรงจูงใจในการลงทุนจากรัฐบาล
และการลงทุนทำ ppv ก็อาจจะไม่ใช่การลงทุนเล็กๆ แบบกระบะดัดแปลงสมัยก่อน
เมื่อแต่ละค่ายในไทย ก็ใช้เวลาศึกษาเป็นเวลานาน บางค่ายไม่ขอทำดีกว่า หรือแม้แต่ Isuzu
ก็ยังต้องตัดสินใจนานมากกว่าจะทำ ดังนั้นมันเป็นเรื่องของต้นทุนแน่นอนที่ต้องใช้เยอะ
สำหรับรถ crossover suv นั้น มีพื้นฐานแทบทุกรุ่นมาจากรถเก๋ง
CX-5 ใช้พื้นฐานร่วมกับ Mazda 3 ซึ่งในวิกิบอกว่าร่วมกับ Mazda 6 ด้วย แต่ว่า
CX-9 ก็ใช้พื้นฐานของ Mazda 6 แต่ Mazda 3 กลับไม่ได้บอกว่ามีพื้นฐานเดียวกับ Mazda 6
รายละเอียดจึงไม่แน่ชัดนัก แต่ CX-5 ต้องถือว่าเป็นรถใน segment ที่ใช้ platform จากรถ compact
ในค่ายตัวเอง
ซึ่งผมลองเช็คดูราคารถ single cab ในต่างประเทศ ตัวเริ่มต้นจะเริ่มต้นเท่ากับรถ compact เริ่มต้นครับ
ส่วนตัว extra cab เริ่มต้น จะราคาแพงกว่า Camry ตัวเริ่มต้นไปไกลแล้วครับ (30,000 vs 35,000 ที่ออสเตรเลียครับ)
ดังนั้นน่าจะบอกได้ว่า พวกรถ pickup base ในบ้านเรา ถือว่าเป็นรถที่แพงสำหรับต่างประเทศ
ซึ่งสะท้อนต้นทุนที่สูงกว่า ซึ่งตรงนั้นคงจะเน้นไปที่ความแข็งแกร่ง ความทนทานครับ
โดยผมคิดว่าเราคงต้องหาข้อมูลจากสภาพแวดล้อมจริงๆ แบบนี้ เพราะว่าเราไม่สามารถ
ตีแค่เพียงจากการเทียบกระบะ single cab ไปเทียบกับ ppv ได้ โดยใช้ราคาในบ้านเราซึ่งมีเรื่องภาษี
เบี่ยงเบนไปเยอะ ซึ่งถ้าตลาดที่ทำรถจาก pickup base ได้กำไรมากจริงๆ และลงทุนไม่มาก เชื่อว่า
ทุกๆ ค่ายคงจะต้องเข้ามาทำแล้ว แต่ดูท่าว่าการลงทุนจะสูงเกินไปที่จะเสี่ยงครับ
Mazda ที่ไม่ประกอบ ppv ในบ้านทั้งๆ ที่น่าจะได้กำไรกว่าการนำเข้า CBU CX-5 ก็ตัดสินใจไม่ทำ
Nissan, Mitsu, Ford, Chev, Isuzu ต่างก็ต้องหาคนมาแชร์ต้นทุนการพัฒนา กระบะ/ppv
แปลว่า การลงทุนใน segment มันมหาศาลใช่มั้ยล่ะครับ ผมก็เคยอยู่ข้างใน จึงรู้ว่ามัน scale ใหญ่มากครับ
ในขณะที่ crossover suv ไม่จำเป็นเลยที่ต้องหาคนแชร์ลงขัน สามารถทำกันเองได้เลย
ตรงนี้ก็เป็นจุดเปรียบเทียบได้เช่นกันครับ
-
ขอตอบในฐานะที่มีทั้ง PPV และ D-Segment ญี่ปุ่นครับ
PPV เหมาะกับสภาพถนนบ้านเราจริงๆครับ ผมจะเลือกใช้ก็ต่อเมื่อ
1. ขับคนเดียว โดยเฉพาะต้องเดินทางข้ามจังหวัด
2. มีความเสี่ยงว่าจะต้องเจอน้ำท่วม
D-Segment ผมจะเลือกใช้หากต้องพาครอบครัวไปด้วยและไม่เจอน้ำท่วมแน่นอน
เพราะนั่งนุ่มสบายกว่ามากครับ หลับสบายทั้งคัน (ยกเว้นคนขับไม่ได้นอน)
8) 8) 8) 8) 8)
-
เคยอ่านกระทู้นึง เขียนไว้ชัดแล้วว่า ppv ยังไงก็ลงทุนสูงกว่ามาก ลองค้นดูนะครับ
แต่พูดเรื่องลงทุนนะ ไม่ได้พูดเรื่องขับดี คือรถมันทำยาก แพง ทนทานก็จริง แต่ไมไ่ด้แปลว่าขับดี
ถ้าให้เลือรถ ยังไงให้ตายผมก็ไม่กลับมาขับ ppv อีกแล้ว มันเหนื่อย แม้ว่าปัจจับัน ppv จะพยายามทำรถให้นิ่มใกล้เคียงรถ suv แล้วก็เหอะ แต่ก็กลายเป็นเหมือนเป็นโคอาล่ามาร์ช ถูกเขย่าในกล่อง ลงมาเวียนหัว มึน ย้วย โยก และการขับขี่ไม่ปลอดภัยเลยเพราะมุดลำบาก
ถ้าพูดเรื่องต้นทุนยังไง ppv ก็แพงกว่า d-seg, suv
ส่วน d-seg ผมไม่เห็นอะไรที่จะทำให้มันแพงไปได้นอกจาก กำไรกะภาพลักษณ์
-
ความนิยม ความต้องการ ด้วยครับ
เมื่อรถขายดี บ.รถ ก็สามารถมีกำไรได้มาก ไม่จำเป็นต้องใส่อะไรมาเยอะแยะ คนก็ซื้ออยู่ดี
-
บางยี่ห้อแพงเพราะบวกกำไรล้วนๆครับ ฟอร์จูนเนอร์รุ่นแรกแพงสุดล้านสองแล้วค่อยๆปรับราคาขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงล้านสี่ รุ่นใหม่นี่ตั้งราคากันถึงล้านเจ็ดคนก็ยังซื้อกันอยู่ แพงกว่ารถปิ๊กอัพพื้นฐานเดียวกันเกือบสองเท่า คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลรองรับนอกจากกำไรล้วนๆ ขณะที่คู่แข่งยังตั้งราคากันไว้ที่ล้านสองถึงล้านสี่ได้อยู่เลย
ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ ถ้าเทียบต้นทุนกับราคากระบะต้องบวกภาษีให้เท่ากับ ppv ด้วยนะครับ
เพราะกระบะป้ายเขียว ภาษีจะถูกมากเหมือไม่มีภาษี ส่วนราคา ppv คือบวกภาษีแพงที่ระดับแพงกว่า
ขึ้นไปแล้ว ดูจากชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ มันมากกว่ากระบะพื้นฐานเยอะ ดังนั้นส่วนตัวผมคิดว่า
ราคาของ ppv กลุ่มใหญ่ ยังอิงเรื่องต้นทุนเป็นหลักและตั้งกำไรไว้ในระดับที่เหมาะสมอยู่ครับ
ราคา ppv ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ผมโอเค ส่วน For ที่สูงกว่าคนอื่นเค้า ผมคิดว่าอาจจะ..
1 รถมีความนิยม ทำให้ตั้งราคาสูงได้ (ฟันกำไร)
2 อาจจะลงทุนกับความทนทานของชิ้นส่วนเยอะ กดราคาต้นทุนสู้คู่แข่งไม่ได้
(part ทน กับรถ set มาขับไม่ค่อยดีนี่คนล่ะเรื่องกันนะครับ)
สรุปของอะไรที่ตลาดๆ เป็นที่นิยม demand เยอะ ทุกวงการผมว่าชอบขึ้นราคาแพงกว่าชาวบ้าน
ในรุ่นเท่าๆ กัน option พอกันหรือน้อยกว่า
แต่ถ้าวงการไหน เจ้าตลาดเจือกตั้งราคามาเท่าคู่แข่ง option เท่ากันหรือมากกว่า
แปลว่าเจ้าตลาดตลาดนั้นต้องการกำจัดคู่แข่งละ สุดท้ายจะกลายเป็นผูกขาด แล้วพอไม่มีคู่แข่ง
ก็จะสามารถตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้
ดังนั้นผมยังเอียงๆ ไปข้อ 2 คือเจ้าตลาดคุมต้นทุนไม่ได้เพราะลงทุนไปด้านคุณภาพ
ส่วนการตั้งเพื่อฟันกำไรในข้อ 1 ก็คงทำด้วย แต่ไม่ได้เต็มที่เพราะตลาดยังมีการแข่งขัน
ซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่โตจะไม่อยากกำจัดคู่แข่ง volume สั่งผลิตเยอะ ก็ต้องกดราคาขาย
ต่ำกว่าได้อยู่แล้วในสเป็ค part ที่เท่าๆ กัน แล้วก็ฆ่าคู่แข่งได้ง่ายๆ
แต่สังเกตุดูเหมือนจะทำไม่เคยได้ แต่ได้เรื่องความนิยมในเรื่องความทนทานกับไม่ค่อยมีปัญหาแทน
คหสต นะครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบ for ปัจจุบันเพราะรูปร่างมันยังใช้ตัวเดิมมาโมอยู่
ไม่ได้เขียนเชียร์ for นะครับแต่อาจจะมองต่างมุม
ผมถึงลองเปรียบเทียบต้นทุน และราคาขายระหว่าง PPV diesel อย่าง Fortuner และ CX5 2.2 diesel ล่ะครับ
เห็นภาพชัดเลย ว่า PPV ขายแพงและออฟชั่นน้อยมาก
SUV ต้นทุนเครื่อง ดีเซลแพงกว่าเยอะครับ แพงเพราะค่า investment/Volume แล้วราคาแม่พิมพ์ต่อชิ้นมันแพงมากครับ
ผมรู้โครงสร้างต้นทุนดี และก็รู้ว่า Fortuner เดี๋ยวนี้ขายแพงเอากำไรมากกว่าตัวเก่าๆมากๆๆๆๆๆ ออฟชั่นก็ไม่ได้มากกว่าตัวแรกๆเท่าไหร่
แต่ราคาดันขึ้นมาตั้ง 4- 5 แสน แพงจากอะไรครับ ผมขอเหตุผลหน่อย (ผมหักภาษีให้ แสนห้าแล้วกัน เหลืออีก 3แสนกว่า คืออะไรครับ)
นี่แหละครับที่ผมกำลังพยายามจะบอก ราคาเดิมของnew fortuner กับ new everestก่อนอัตราภาษีใหม่ ตัวท๊อปตั้งไว้ที่เท่ากัน 1.59 ลบ. พอโดนอัตราภาษีใหม่ 25% everest ต้องขึ้นไปเต็มพิกัด 1.5 แสนบาท แต่ fortuner ปรับราคาแค่ 3 หมื่นบาทเพราะอะไรครับ เพราะราคาที่ตั้งไว้แต่แรกนั้นบวกกำไรและอัตราภาษีใหม่ไว้แล้ว ราคารถที่โตโยต้าตั้งไว้ส่วนใหญ่คือพร้อมที่จะตัดเป็นส่วนลดเป็นแสนบาทถ้ารถเกิดขายไม่ดีหรือค้างสต็อค แต่ถ้ารถเกิดขายได้เพราะการตลาดเก่ง โรงงานก็จะได้กำไรมหาศาล ไม่อย่างนั้นโบนัสพนักงานไม่เป็นสิบเดือนมาทุกๆปีได้หรอกครับ
-
บางยี่ห้อแพงเพราะบวกกำไรล้วนๆครับ ฟอร์จูนเนอร์รุ่นแรกแพงสุดล้านสองแล้วค่อยๆปรับราคาขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงล้านสี่ รุ่นใหม่นี่ตั้งราคากันถึงล้านเจ็ดคนก็ยังซื้อกันอยู่ แพงกว่ารถปิ๊กอัพพื้นฐานเดียวกันเกือบสองเท่า คิดยังไงก็ไม่มีเหตุผลรองรับนอกจากกำไรล้วนๆ ขณะที่คู่แข่งยังตั้งราคากันไว้ที่ล้านสองถึงล้านสี่ได้อยู่เลย
ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ ถ้าเทียบต้นทุนกับราคากระบะต้องบวกภาษีให้เท่ากับ ppv ด้วยนะครับ
เพราะกระบะป้ายเขียว ภาษีจะถูกมากเหมือไม่มีภาษี ส่วนราคา ppv คือบวกภาษีแพงที่ระดับแพงกว่า
ขึ้นไปแล้ว ดูจากชิ้นส่วนที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ มันมากกว่ากระบะพื้นฐานเยอะ ดังนั้นส่วนตัวผมคิดว่า
ราคาของ ppv กลุ่มใหญ่ ยังอิงเรื่องต้นทุนเป็นหลักและตั้งกำไรไว้ในระดับที่เหมาะสมอยู่ครับ
ราคา ppv ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ผมโอเค ส่วน For ที่สูงกว่าคนอื่นเค้า ผมคิดว่าอาจจะ..
1 รถมีความนิยม ทำให้ตั้งราคาสูงได้ (ฟันกำไร)
2 อาจจะลงทุนกับความทนทานของชิ้นส่วนเยอะ กดราคาต้นทุนสู้คู่แข่งไม่ได้
(part ทน กับรถ set มาขับไม่ค่อยดีนี่คนล่ะเรื่องกันนะครับ)
สรุปของอะไรที่ตลาดๆ เป็นที่นิยม demand เยอะ ทุกวงการผมว่าชอบขึ้นราคาแพงกว่าชาวบ้าน
ในรุ่นเท่าๆ กัน option พอกันหรือน้อยกว่า
แต่ถ้าวงการไหน เจ้าตลาดเจือกตั้งราคามาเท่าคู่แข่ง option เท่ากันหรือมากกว่า
แปลว่าเจ้าตลาดตลาดนั้นต้องการกำจัดคู่แข่งละ สุดท้ายจะกลายเป็นผูกขาด แล้วพอไม่มีคู่แข่ง
ก็จะสามารถตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้
ดังนั้นผมยังเอียงๆ ไปข้อ 2 คือเจ้าตลาดคุมต้นทุนไม่ได้เพราะลงทุนไปด้านคุณภาพ
ส่วนการตั้งเพื่อฟันกำไรในข้อ 1 ก็คงทำด้วย แต่ไม่ได้เต็มที่เพราะตลาดยังมีการแข่งขัน
ซึ่งไม่มีเหตุผลใดๆ ที่โตจะไม่อยากกำจัดคู่แข่ง volume สั่งผลิตเยอะ ก็ต้องกดราคาขาย
ต่ำกว่าได้อยู่แล้วในสเป็ค part ที่เท่าๆ กัน แล้วก็ฆ่าคู่แข่งได้ง่ายๆ
แต่สังเกตุดูเหมือนจะทำไม่เคยได้ แต่ได้เรื่องความนิยมในเรื่องความทนทานกับไม่ค่อยมีปัญหาแทน
คหสต นะครับ ส่วนตัวผมไม่ชอบ for ปัจจุบันเพราะรูปร่างมันยังใช้ตัวเดิมมาโมอยู่
ไม่ได้เขียนเชียร์ for นะครับแต่อาจจะมองต่างมุม
ผมถึงลองเปรียบเทียบต้นทุน และราคาขายระหว่าง PPV diesel อย่าง Fortuner และ CX5 2.2 diesel ล่ะครับ
เห็นภาพชัดเลย ว่า PPV ขายแพงและออฟชั่นน้อยมาก
SUV ต้นทุนเครื่อง ดีเซลแพงกว่าเยอะครับ แพงเพราะค่า investment/Volume แล้วราคาแม่พิมพ์ต่อชิ้นมันแพงมากครับ
ผมรู้โครงสร้างต้นทุนดี และก็รู้ว่า Fortuner เดี๋ยวนี้ขายแพงเอากำไรมากกว่าตัวเก่าๆมากๆๆๆๆๆ ออฟชั่นก็ไม่ได้มากกว่าตัวแรกๆเท่าไหร่
แต่ราคาดันขึ้นมาตั้ง 4- 5 แสน แพงจากอะไรครับ ผมขอเหตุผลหน่อย (ผมหักภาษีให้ แสนห้าแล้วกัน เหลืออีก 3แสนกว่า คืออะไรครับ)
นี่แหละครับที่ผมกำลังพยายามจะบอก ราคาเดิมของnew fortuner กับ new everestก่อนอัตราภาษีใหม่ ตัวท๊อปตั้งไว้ที่เท่ากัน 1.59 ลบ. พอโดนอัตราภาษีใหม่ 25% everest ต้องขึ้นไปเต็มพิกัด 1.5 แสนบาท แต่ fortuner ปรับราคาแค่ 3 หมื่นบาทเพราะอะไรครับ เพราะราคาที่ตั้งไว้แต่แรกนั้นบวกกำไรและอัตราภาษีใหม่ไว้แล้ว ราคารถที่โตโยต้าตั้งไว้ส่วนใหญ่คือพร้อมที่จะตัดเป็นส่วนลดเป็นแสนบาทถ้ารถเกิดขายไม่ดีหรือค้างสต็อค แต่ถ้ารถเกิดขายได้เพราะการตลาดเก่ง โรงงานก็จะได้กำไรมหาศาล ไม่อย่างนั้นโบนัสพนักงานไม่เป็นสิบเดือนมาทุกๆปีได้หรอกครับ
ขอตอบเป็นประเด็นๆ นิดนึงครับ
อันแรกทุกค่ายผมว่าลดได้เป็นแสนหมดครับ เป็นกลไกเวลาขายไม่ออกถือเป็เรื่องปกติ
ส่วนหนึ่งคือกำไรของโชว์รูมเอง ส่วนฝ่ายโรงงานอาจจะลดเองด้วย
อันที่สอง for ตั้งราคาเผื่อไว้ก่อนขึ้นภาษีจริง ผมว่ามันเป็นแทคติคเค้า
อันที่สาม for แพงกว่าคู่แข่ง ppv อื่นๆ พวกสินค้าอื่นๆ ก็เป็น brand ติดตลาดเช่น apple iphone ครับ
แต่สินค้าของเจ้าตลาดก็ต้องทนหรือเสถียรกว่า brand รองถึงจะได้รับการยอมรับ
อันที่สี่ราคา for ที่ดันขึ้นมาเรื่อยๆ (ทำไมไม่ขึ้นราคาน้อยๆ หน่อย) 10ปีที่แล้วกับตอนนี้
มันมีเรื่องของอัตราเงินเฟ้อครับ option น้อยไม่ได้หมายความว่ารถต้องถูก หรือ option เยอะ
ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องแพง เพราะอุปกรณ์ option เซนเซอร์ กล่องควบคุมต่างๆ ต้นทุนมันถูก
ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบราคากับ ppv เจ้าอื่นได้ ณ ปัจจุบัน แต่ไม่ควรไปเปรียบเทียบกับราคา
for ตัวแรก 10 ปีก่อนครับ เทียบกับ ppv อื่นๆ ปัจจุบัน เราจะเห็นว่าแพงกว่าเจ้าอื่นประมาณนึง
อันที่ห้า ถ้าเปรียบเทียบกับ cx-5 อยากให้อ่านคอมเม้นต์ที่ผมอธิบายข้างบนครับ
สำหรับ for มันเหมือนๆ กับ คนชอบ samsung มากกว่า apple หรือชอบ apple มากกว่า
samsung ครับ ไม่มีใครถูกใครผิด แต่เจ้าตลาดควรใช้งานได้เสถียร ไว้ใจได้ ถ้ามี defect
แล้วแก้ไขไม่ได้ หรืออะไหล่แพงเหลือเกิน (hybrid) เจ้าตลาดก็ไปไม่รอด
อันที่หก โบนัสเยอะ ทุกบริษัทถ้าเป็นบริษัทท้อประดับประเทศ หรือโลก โบนัสก็เท่านี้หมดทุกบริษัทครับ
คงไม่เกี่ยวว่าเพราะ To มี fortuner ถึงไม่มี ppv ขาย ผมว่าเค้าก็ต้องจ่ายโบนัสเท่านี้ในฐานะเจ้าตลาด
-
สุดยอดครับ แก้ให้ได้ทุกข้อ
-
ยาวๆไปชอบอ่าน อิๆ
-
มุมมองหลากหลาย ช่วยกันวิเคราะห์ในเชิงสร้างสรรค์แบบนี้ ชอบมากเลยคับ
ยาวไป ยาวไป...(^8^) 8)