Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Dark Overlord ที่ มกราคม 17, 2017, 11:14:04
-
ศูนย์รวมเต้นท์รถแถวศรีนครินทร์ใกล้ตึก Uniform
มลายหายเป็นซากที่รกร้างแล้วครับ Niche car ตรงแถวนั้นก็หายไปแล้ว
ครับ แต่เพราะย้ายสถานที่อะไรรึเปล่าไม่รู้นะ
แล้วก็สังเกตุดูร้านรวงต่างๆ เจ๊งหายกันเป็นว่าเล่น
อ.วีระ ธีรภัทร ก็มี sense ว่าอีกสามปีน่าจะยังแย่อยู่
มันมีเรื่องเบสิกที่ว่า ถ้าเราอยากให้คนจับจ่ายซื้อของ ข้าวของก็ต้องราคาถูกภาษีน้อยหรือไม่มีไปเลย
ถ้าเราไม่อยากให้คนซื้อของนั้นๆ เราก็ต้องมีภาษี มีกำแพงภาษี
ถ้าเราอยากส่งเสริมการลงทุนหน้าใหม่จากต่างประเทศ ก็ควรทำให้การจับจ่ายของคน
ในประเทศสะพัด อะไรที่นำเข้ามาเพื่อการผลิตควรลดหรืองดภาษีไปเลย แต่ต้องไม่ใช่
ของที่มีผลิตในประเทศอยู่แล้ว
เมืองไทยทางภูมิศาสตร์ เราคือ hub ของภูมิภาคอยู่แล้ว
ถ้าเราเน้นการส่งเสริมการผลิตแบบไร้ภาษี เราจะเป็นประเทศผู้ผลิตที่น่ากลัวมาก
แบรนด์ต่างๆ จะเข้ามามากขึ้น ถ้าพูดถึงรถ ผู้ผลิตเจ้าเดิมๆ อาจจะไม่ชอบด้วยซ้ำ
เพราะต้องแข่งกันมากขึ้น ผมว่าจีนมีหันหลังขวับได้
จีนเคยเป็นที่หนึ่งเพราะค่าแรงถูกที่สุด แต่ทุกวันนี้ประเทศรวยขึ้น ค่าแรงเริ่มไม่ถูก
ก็กลายมาเป็นการเติบโตจากการที่คนมีเงินบริโภคมากขึ้น
อย่างบ้านเราที่ค่าแรงไม่ถูกแล้ว และเรากำลังพ่ายแพ้ต่อสงครามค่าแรงถูก
เศรษฐกิจก็แย่ คนไม่ยอมจ่ายเงินซื้อของ เศรษฐกิจต่างประเทศแย่นี่ก็อีกเรื่อง แต่สังเกตุดู
ภายในประเทศคนก็ไม่ซื้อของ ถึงเวลาต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการทำให้คนในประเทศมีกำลัง
ซื้อมากขึ้น กับแย่งการลงทุนจากต่างประเทศมาให้ได้ พูดถึงรถ มีแบรนด์อีกตั้งบานเบอะที่เลือก
ไม่มาลงทุนเมืองไทย ทั้งๆ ที่ ตำแหน่งประเทศ infrastructure ก็ดี แรงงานก็ฝีมือเยี่ยม
ถ้าเราไม่เก็บภาษี ก็จะกลายเป็นสวรรค์ของนักลงทุนต่างชาติทันที
รวมทั้งของนักช็อป แล้วไปเก็บภาษีอีกทีจากประชากรและเหล่าบริษัทที่รวยขึ้น อาจจะหลายเท่า
รัฐอาจจะได้ภาษีกลับมาใกล้เคียงเท่ากับการเก็บภาษีแบบเดิม หรืออาจจะยิ่งดีกว่า
บวกกับคนทั่วประเทศที่จะรวยขึ้นในวงกว้าง เพราะทางลัดจากการลงทุนเพิ่มจากต่างประเทศ
การเพิ่มกำลังซื้อโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องคอยมาแจกเงินทีละ 2 พัน 3 พันล้าน แล้วกำลัง
ซื้อก็วูบวาบทีนึงก่อนหายเข้ากลีบเมฆ
การที่ตัวเรามีสภาพประเทศและที่อยู่เป็น hub แต่ทำไมต้องกระเสือกกระสนหาคนมา
ลงทุน นี่ก็เป็นเรื่องที่แปลกที่สุด ก็นึกถึงสิงคโปร์ที่แม่มไม่มีอะไรเลย แต่ได้รับการจัดอันดับว่าน่าลง
ทุนที่สุดครับ ที่รัฐกำลังกู้เยอะๆ ผมว่าหาจุดเริ่มต้นสักจุด ประหยัดงบให้มากที่สุด
กู้มาเพื่อ ทดแทนภาษีสินค้าและบริการที่จะไม่ได้เก็บ ให้รอดไปก่อนสัก 1-2 ปี
ที่จะโหดหนักหน่อยแต่น่าจะเบาลงในปีที่ 3-4 และอาจจะดีที่ปีที่ 5 เป็นต้นไป
จากนั้นก็สบายแล้วครับ ผมว่าวิธีนี้ ทั้งจีน ทั้งสิงคโปร์ มีค้อนแน่นอน เพราะมันเป็นแนวทาง
แบบยั่งยืน หลังจากที่การผลิตเราล้น คนในประเทศรวยแล้ว จากนั้นก็จะไปสู่ขั้นที่ต้องออกไป
ลงทุนต่างประเทศ แบบคนญี่ปุ่น จีน อเมริกา สิงคโปร์ ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด แล้วคนในชาติก็ไม่จำเป็นต้องมีค่าจ้างรายได้ถูกเพื่อที่จะให้ใครมาลงทุน
แต่เราต้องเสริมภาวะการผลิตและการจับจ่ายซื้อของให้ maximum ที่สุด
ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่
อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียน
ภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่
ถ้ารัฐมีเป้าแบบนี้ผมขอสนับสนุนเต็มที่ครับ อย่างน้อยยังมองเห็นภาพ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา
เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหลายแบบประชานิยม ไม่ว่ารัฐบาลไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น
แถมยังรู้สึกว่า แนวทางเศรษฐกิจเราค่อนข้างพึ่งดวง ดวงดีก็ดี ดวงไม่ดีก็แย่ มีเรื่องแก้น้ำท่วม
กับแก้เรื่องปัญหาการเกษตรไปเพลินๆ ก็คงได้ยินเอกชนพูดว่า รัฐไม่ต้องช่วยอะไรก็ได้
อยู่เฉยๆ ก็ดีแล้ว เป็นอะไรที่ชัดเจนครับ
-
ตอบเรื่องเตนท์นะครับ เขาย้ายออกครับ ที่แพงไม่คุ้มแล้ว แถวกาญจนาภิเษกก็เริ่มย้ายแล้วเหมือนกันใครยังมัวชักช้าจะลำบาก
รถมือสองตลาดยังไปได้อีกนานครับ แต่Blacklist เยอะไฟแนนซ์ไม่ปล่อยซะมาก ที่ขายเงินสดกับพวกเครดิตรดียังมีเรื่อยๆ
-
ถ้าเกี่ยวกับวงการรถยนต์ ผมเคยบอกไปแล้วว่า บ้านเรา hyper protectionism เกินไป นานเกินไปจนตอนนี้กำลังติดกับตัวเอง โดนลากไปพร้อมกับไอ้ยุ่นด้วย
-
อ่านแล้วมานึกๆเอง โครงสร้างมันซับซ้อนและทับซ้อนกันหลายอย่างเกินปัญญา คนจะแก้ไขได้ในระยะยาวต้องเป็นซุปเปอร์มนุษย์จริงๆ
-
งงเลยสรุปว่า
-
เข้าใจว่า ตลาดรถมือสองยังไปได้เรื่อยๆครับ ไม่ได้ดีนักเหมือนก่อน พวกที่อยู่รอดคือมีทุน หรือที่ทาง ของตนเอง
คนที่นิยมรถมือสอง และมีเครดิตพอ ยังมีอยู่ครับผม
-
ถ้าเกี่ยวกับวงการรถยนต์ ผมเคยบอกไปแล้วว่า บ้านเรา hyper protectionism เกินไป นานเกินไปจนตอนนี้กำลังติดกับตัวเอง โดนลากไปพร้อมกับไอ้ยุ่นด้วย
ผมกลับคิดว่า protectionism จำเป็นพอสมควรครับ สำหรับประเทศเรา
แต่ถ้ามากไป เราอาจจะเติบโตยาก
ขอบคุณครับ
-
นิชคาร์ย้ายไปอยู่เรียบมอเตอร์เวย์ครับสร้างอาคารใหม่ใหญ่กว่าเดิมมากครับ
-
นโยบายส่งเสริมการผลิต โดยมีincentiveด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล , ภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ภาษีนำเข้าเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต มีBOIอยู่แล้วนะครับ แต่เค้ามีเงื่อนไขของเค้า เช่น ต้องมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต ต้องมีinnovation ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้FDIทั้งหลายเอาสายการผลิตที่มีvalueมาลงที่บ้านเรามากขึ้น ไม่งั้นไทยก็จะได้แต่การลงทุนที่มูลค่าเพิ่มต่ำ
เช่นเดียวกัน นโยบายBOIที่ส่งเสริมให้ไทยไปลงทุนต่างประเทศก็มีอยู่แล้วครับ ลองหาดูครับ
-
ถึงจะออกนโยบายมาแบบนี้ มันก็ไม่ได้ใช้เวลาสามสี่ปีหรอกครับถึงจะเห็นผล
บ้านเรากฎหมายไม่เอื้อ ไม่อณุญาติให้ต่างชาติถือหุ้น 100% ในบริษัท จะทำโรงงาน ก็ทำสินค้าได้ไม่กี่ชนิด เพราะขาดซัพพลายเชนคนละโลกก็ที่จีนเลย
ที่จีนอยากทำโรงงานเล็กๆทุนน้อยเาก็ทำได้ เพราะซัพพลายเชนเขาครบ โนฮาวในการผลิตเราก็ไม่มี ตรนี้ต้องใช้เวลาศึกษานานพอควรถึงจะกล้าทำโรงงานผลิตสินค้ากันได้ เพราะจะทำของถูกก็สู้จีนไม่ได้ จะทำของดีก็ไม่มีโนฮาวเลย นโยบายแบบนี้กว่าจะเห็นผลเป็นรูปเป็นร่างค่อยสร้างซัพพลายเชนค่อยๆสะสมความรู้โนฮาวใช้เวลาต้องมีสักสิบสองปีครับกว่าจะเห็นเงินเป็นกอบเป็นกำ รัฐบาลบ้านเราไม่สนใจ SME หรอก คอยแต่จะเอาใจทุนใหญ่ต่างชาติเท่านั้น
sme คนไทยต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาเอง อย่าว่าแต่ช่วยเลยไม่เตะตัดขาก็บุญแล้วววว
บ้านเราตอนนี้ได้เปรียบค่าแรงฝีมือแรงงานค่าครองชีพเมื่อเทียบกับเมื่องต่างๆของจีนที่เป็นเมืองอุตสาหกรรมมาหลายปีแล้ว
แต่แรงงานถูกและมีฝีมือ ต่อให้ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ผมว่าโรงงานก็ไม่สนใจจะมาเปิดที่ไทยหรอกครับ ที่จีนยังทำงานง่ายกว่าไทยเยอะ
-
ตอบเรื่องเตนท์นะครับ เขาย้ายออกครับ ที่แพงไม่คุ้มแล้ว แถวกาญจนาภิเษกก็เริ่มย้ายแล้วเหมือนกันใครยังมัวชักช้าจะลำบาก
รถมือสองตลาดยังไปได้อีกนานครับ แต่Blacklist เยอะไฟแนนซ์ไม่ปล่อยซะมาก ที่ขายเงินสดกับพวกเครดิตรดียังมีเรื่อยๆ
นิชคาร์ย้ายไปอยู่เรียบมอเตอร์เวย์ครับสร้างอาคารใหม่ใหญ่กว่าเดิมมากครับ
ขอบคุณครับ นิชคาร์เขาจะเจ๊งได้ยังไงออกจะดัง ;D
เรื่องเต้นท์ถูกกินค่าเช่าที่ก็มีประเด็นนะครับ
นโยบายส่งเสริมการผลิต โดยมีincentiveด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล , ภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ภาษีนำเข้าเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต มีBOIอยู่แล้วนะครับ แต่เค้ามีเงื่อนไขของเค้า เช่น ต้องมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต ต้องมีinnovation ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้FDIทั้งหลายเอาสายการผลิตที่มีvalueมาลงที่บ้านเรามากขึ้น ไม่งั้นไทยก็จะได้แต่การลงทุนที่มูลค่าเพิ่มต่ำ
เช่นเดียวกัน นโยบายBOIที่ส่งเสริมให้ไทยไปลงทุนต่างประเทศก็มีอยู่แล้วครับ ลองหาดูครับ
ถึงจะออกนโยบายมาแบบนี้ มันก็ไม่ได้ใช้เวลาสามสี่ปีหรอกครับถึงจะเห็นผล
บ้านเรากฎหมายไม่เอื้อ ไม่อณุญาติให้ต่างชาติถือหุ้น 100% ในบริษัท จะทำโรงงาน ก็ทำสินค้าได้ไม่กี่ชนิด เพราะขาดซัพพลายเชนคนละโลกก็ที่จีนเลย
ที่จีนอยากทำโรงงานเล็กๆทุนน้อยเาก็ทำได้ เพราะซัพพลายเชนเขาครบ โนฮาวในการผลิตเราก็ไม่มี ตรนี้ต้องใช้เวลาศึกษานานพอควรถึงจะกล้าทำโรงงานผลิตสินค้ากันได้ เพราะจะทำของถูกก็สู้จีนไม่ได้ จะทำของดีก็ไม่มีโนฮาวเลย นโยบายแบบนี้กว่าจะเห็นผลเป็นรูปเป็นร่างค่อยสร้างซัพพลายเชนค่อยๆสะสมความรู้โนฮาวใช้เวลาต้องมีสักสิบสองปีครับกว่าจะเห็นเงินเป็นกอบเป็นกำ รัฐบาลบ้านเราไม่สนใจ SME หรอก คอยแต่จะเอาใจทุนใหญ่ต่างชาติเท่านั้น
sme คนไทยต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาเอง อย่าว่าแต่ช่วยเลยไม่เตะตัดขาก็บุญแล้วววว
บ้านเราตอนนี้ได้เปรียบค่าแรงฝีมือแรงงานค่าครองชีพเมื่อเทียบกับเมื่องต่างๆของจีนที่เป็นเมืองอุตสาหกรรมมาหลายปีแล้ว
แต่แรงงานถูกและมีฝีมือ ต่อให้ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ ผมว่าโรงงานก็ไม่สนใจจะมาเปิดที่ไทยหรอกครับ ที่จีนยังทำงานง่ายกว่าไทยเยอะ
ที่อยากให้เป็นเลิกภาษีสินค้าและบริการครับ
ทำให้เป็นสวรรค์ของนักช้อปในไทยและที่จะมาจากทั่วโลก
ส่วนเรื่อง component ถ้าเทคโนโลยี่บ้านเรายังผลิตไม่ได้ ไม่มีโนฮาว
ให้นำเข้ามาประกอบแบบปลอดภาษีได้ครับ เงื่อนไขน้อยๆ เน้นเพื่อสนับสนุนการลงทุน
แต่ถ้าประเทศเอื้อต่อบรรยากาศการซื้อขายมากๆ ก็มีสิทธิ์เรียกให้ผู้ผลิตเน้นเทคโนโลยี่
ต่างๆ เข้ามาได้ครับ เพราะไม่มีเหตุผลที่จะไม่มา ก่อนอื่นเราต้องตั้งคำถามก่อนว่า
ไม่มากันเพราะอะไร ถ้ารัฐไม่เก็บภาษีของที่ผลิตในประเทศก็ถูกมาก การขยายการจ้างงาน
เติบโตแบบลูกโซ่ คนมีฐานะขึ้น จับจ่ายมากขึ้น มีความรู้มากขึ้น โนฮาวน่าจะไม่ใช่ปัญหา
เท่าการมีภาษีที่รัดกุมเกินไป
-
การที่ เต้นท์รถต่างๆ ร้านค้าปิดตัว ผมว่า บางทีอาจจะเพราะ สิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนไป
ทุกวันนี้ ไม่จำเป็น ต้องมีเต้นท์ในย่านทำเลขายรถมือสอง แบบ รัชดา หรือ กาญจนา เหมือนแต่ก่อนก็ได้
มีอินเตอร์เน็ต แล้ว มีหน้าร้านตรงไหนก็ได้ ย้ายไปที่ค่าเช่าถูก ขายรถมือสองถูกลง แล้วลงอินเตอร์เน็ต เดี๋ยวคนก็ไปหา
คนซื้อ ก็ไม่ไปเดินหาซื้อเหมือนก่อน
-
ขอแสดงความเห็นครับ
"ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
- มองจากสภาพแวดล้อม สังคม ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง ผมบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ คนไทยยังห่างกันกับคำว่า "เจริญแล้ว" มากครับ ถ้าจะเอ่ยถึงมันจะยาวเกินไปครับ
"ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียนภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่ "
- ก็ต้องมาดูด้วยครับว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว มันมาจากหลายอย่างครับ บุคลากร สังคม ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ทัศนคติ มันมีส่วนทุกอย่างครับ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเรียนมากๆแล้วจะเก่งครับ เด็กประเทศเจริญแล้วเรียนไม่ถึงครึ่งของเด็กไทยเลยครับ พ่อแม่ส่วนมากก็อยากให้ลูกเรียนเก่งเรียนดีทั้งนั้นครับ สอนให้เรียนเก่งๆเกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน บังคับเรียนนู้นเรียนนี่ทั้งๆที่เด็กไม่ชอบ ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผู้ใหญ่ให้เรียนก็เรียนไปแบบนั้น
- ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ ประเทศดีมีทรัพยากรแต่คอยให้ต่างชาติเข้ามาสูบและใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่เคยเห็นรัฐบาลจะมองการณ์ไกล พัฒนาอย่างยั่งยืนกันเลย
-
การที่ เต้นท์รถต่างๆ ร้านค้าปิดตัว ผมว่า บางทีอาจจะเพราะ สิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนไป
ทุกวันนี้ ไม่จำเป็น ต้องมีเต้นท์ในย่านทำเลขายรถมือสอง แบบ รัชดา หรือ กาญจนา เหมือนแต่ก่อนก็ได้
มีอินเตอร์เน็ต แล้ว มีหน้าร้านตรงไหนก็ได้ ย้ายไปที่ค่าเช่าถูก ขายรถมือสองถูกลง แล้วลงอินเตอร์เน็ต เดี๋ยวคนก็ไปหา
คนซื้อ ก็ไม่ไปเดินหาซื้อเหมือนก่อน
ใช่คับ
-
ขอแสดงความเห็นครับ
"ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
- มองจากสภาพแวดล้อม สังคม ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง ผมบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ คนไทยยังห่างกันกับคำว่า "เจริญแล้ว" มากครับ ถ้าจะเอ่ยถึงมันจะยาวเกินไปครับ
"ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียนภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่ "
- ก็ต้องมาดูด้วยครับว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว มันมาจากหลายอย่างครับ บุคลากร สังคม ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ทัศนคติ มันมีส่วนทุกอย่างครับ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเรียนมากๆแล้วจะเก่งครับ เด็กประเทศเจริญแล้วเรียนไม่ถึงครึ่งของเด็กไทยเลยครับ พ่อแม่ส่วนมากก็อยากให้ลูกเรียนเก่งเรียนดีทั้งนั้นครับ สอนให้เรียนเก่งๆเกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน บังคับเรียนนู้นเรียนนี่ทั้งๆที่เด็กไม่ชอบ ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผู้ใหญ่ให้เรียนก็เรียนไปแบบนั้น
- ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ ประเทศดีมีทรัพยากรแต่คอยให้ต่างชาติเข้ามาสูบและใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่เคยเห็นรัฐบาลจะมองการณ์ไกล พัฒนาอย่างยั่งยืนกันเลย
*ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ*
อ่านประโยคนี้แล้วมันเจ็บปวด แต่แม่งจริง เดินเข้าไปโฮมโปรสิครับ เดินรอบๆแล้วถามว่ามีสินค้าชิ้นใหนบ้างที่เราผลิตเองแบบจริงๆจังมีสักกี่ตัวกี่ชิ้นเอง
นอกนั้นของต่างชาติล้วนๆเลย แม่งชัดเจนมากว่าเราไม่มีโนฮาวอะไรเลยจริงๆ แอร์ไซโจเด็นกินี่ตัวคอมเพรสเซ่อผลิตเองได้หรือเปล่าผมยังสงสัย
-
ขอแสดงความเห็นครับ
"ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
- มองจากสภาพแวดล้อม สังคม ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง ผมบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ คนไทยยังห่างกันกับคำว่า "เจริญแล้ว" มากครับ ถ้าจะเอ่ยถึงมันจะยาวเกินไปครับ
"ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียนภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่ "
- ก็ต้องมาดูด้วยครับว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว มันมาจากหลายอย่างครับ บุคลากร สังคม ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ทัศนคติ มันมีส่วนทุกอย่างครับ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเรียนมากๆแล้วจะเก่งครับ เด็กประเทศเจริญแล้วเรียนไม่ถึงครึ่งของเด็กไทยเลยครับ พ่อแม่ส่วนมากก็อยากให้ลูกเรียนเก่งเรียนดีทั้งนั้นครับ สอนให้เรียนเก่งๆเกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน บังคับเรียนนู้นเรียนนี่ทั้งๆที่เด็กไม่ชอบ ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผู้ใหญ่ให้เรียนก็เรียนไปแบบนั้น
- ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ ประเทศดีมีทรัพยากรแต่คอยให้ต่างชาติเข้ามาสูบและใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่เคยเห็นรัฐบาลจะมองการณ์ไกล พัฒนาอย่างยั่งยืนกันเลย
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ขับรถมอไซค์ใส่หมวกกันน๊อค ยังทำกันไม่ได้เลย
ตำรวจไม่จับคนทำความผิด=ดี ผมละโคตรงงกับวิธีคิดแบบนี้เลย ด่านตรวจเมา เอาคนเมามานั่งให้หายเมาก่อน เชียร์กันเน็ตแทบแตก
-
ขอแสดงความเห็นครับ
"ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
- มองจากสภาพแวดล้อม สังคม ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง ผมบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ คนไทยยังห่างกันกับคำว่า "เจริญแล้ว" มากครับ ถ้าจะเอ่ยถึงมันจะยาวเกินไปครับ
"ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียนภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่ "
- ก็ต้องมาดูด้วยครับว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว มันมาจากหลายอย่างครับ บุคลากร สังคม ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ทัศนคติ มันมีส่วนทุกอย่างครับ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเรียนมากๆแล้วจะเก่งครับ เด็กประเทศเจริญแล้วเรียนไม่ถึงครึ่งของเด็กไทยเลยครับ พ่อแม่ส่วนมากก็อยากให้ลูกเรียนเก่งเรียนดีทั้งนั้นครับ สอนให้เรียนเก่งๆเกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน บังคับเรียนนู้นเรียนนี่ทั้งๆที่เด็กไม่ชอบ ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผู้ใหญ่ให้เรียนก็เรียนไปแบบนั้น
- ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ ประเทศดีมีทรัพยากรแต่คอยให้ต่างชาติเข้ามาสูบและใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่เคยเห็นรัฐบาลจะมองการณ์ไกล พัฒนาอย่างยั่งยืนกันเลย
+1 รู้สึกแบบนี้เหมือนกันครับ
-
ชื่อหัวข้อไม่ค่อยสื่ออะไรเท่าไรเลยครับ
-
เรื่องการศีกษา มีทั้งแบบ ลูกชอบอะไรก็ไม่ได้เรียน เพราะพ่อแม่บังคับให้เรียนอย่างที่ตัวเองต้องการ และแบบ พ่อแม่ปล่อยให้ลูกเลือกเอง แต่สิ่งที่ลูกเลือก มันไม่ใช่ สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้มาก
-
ชื่อหัวข้อไม่ค่อยสื่ออะไรเท่าไรเลยครับ
เดี๋ยวแก้ครับ แหะๆๆ
-
ขอแสดงความเห็นครับ
"ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
- มองจากสภาพแวดล้อม สังคม ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง ผมบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ คนไทยยังห่างกันกับคำว่า "เจริญแล้ว" มากครับ ถ้าจะเอ่ยถึงมันจะยาวเกินไปครับ
"ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียนภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่ "
- ก็ต้องมาดูด้วยครับว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว มันมาจากหลายอย่างครับ บุคลากร สังคม ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ทัศนคติ มันมีส่วนทุกอย่างครับ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเรียนมากๆแล้วจะเก่งครับ เด็กประเทศเจริญแล้วเรียนไม่ถึงครึ่งของเด็กไทยเลยครับ พ่อแม่ส่วนมากก็อยากให้ลูกเรียนเก่งเรียนดีทั้งนั้นครับ สอนให้เรียนเก่งๆเกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน บังคับเรียนนู้นเรียนนี่ทั้งๆที่เด็กไม่ชอบ ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผู้ใหญ่ให้เรียนก็เรียนไปแบบนั้น
- ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ ประเทศดีมีทรัพยากรแต่คอยให้ต่างชาติเข้ามาสูบและใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่เคยเห็นรัฐบาลจะมองการณ์ไกล พัฒนาอย่างยั่งยืนกันเลย
. ไม่น่าเชื่อว่า ... มันจะมาเร็วกว่าที่คิด เมื่อฟองสบู่มหาวิทยาลัยแตกดังโพล๊ะ ... แล้วมหาวิทยาลัยที่มีมากกว่า 300 แห่ง จะทำอย่างไร กันหล่ะที่นี้ ครับพี่น้อง ??
- มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งมีนักศึกษาลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสาม ต้องบีบอาจารย์ให้ลาออกเนื่องจากขาดทุนย่อยยับ หลายแห่งตั้งเป้าหมายให้อาจารย์เหลือเพียงแค่หนึ่งในสาม
- มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งขายที่ดินสร้างคอนโดมิเนียมขาย
- มหาวิทยาลัยราชภัฎหลายแห่งตัดสินใจไม่ต่อสัญญาให้อาจารย์ เนื่องจากไม่มีนักศึกษาให้สอน
- มหาวิทยาลัยของรัฐในบางสาขารับนักศึกษาได้เพียงร้อยละ 20 ของเป้าหมายที่ตั้งไว้
- มหาวิทยาลัยเปิดของรัฐไม่ต่อสัญญาจ้างอาจารย์เพราะไม่มีนักศึกษาเพียงพอ เริ่มมีปัญหาทางการเงิน
- มหาวิทยาลัยของรัฐอีกหลายแห่ง อาจารย์เริ่มแย่งวิชาสอนกันเพื่อให้ตัวเองมีภาระงานครบ และหลายแห่งดิ้นรนด้วยการไปหานักศึกษาจีนเข้ามาเรียนซึ่งเป็นนักศึกษาจีนที่คุณภาพไม่ดีนัก
- อาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด บางคนทั้งๆ ที่รู้อยู่ไม่มีนักศึกษาให้สอนก็ดิ้นรนจะต่ออายุราชการให้ตัวเองต่อ บางคนที่ไม่มีทางไปก็พยายามดิ้นรนหานักศึกษาเข้ามาเรียนให้มากขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ
- อาจารย์มหาวิทยาลัยไทยผลิตงานวิจัยขึ้นหิ้ง ตีพิมพ์ในระดับนานาชาติกันมากมายแต่เอามาใช้งานจริงหรือนำมาประยุกต์ใช้ให้ขายได้จริงในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) ได้น้อยมาก
..
คลิกลิงค์ เพื่ออ่านต่อครับพี่น้อง ...
http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9590000129178
-
ขอแสดงความเห็นครับ
"ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
- มองจากสภาพแวดล้อม สังคม ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง ผมบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ คนไทยยังห่างกันกับคำว่า "เจริญแล้ว" มากครับ ถ้าจะเอ่ยถึงมันจะยาวเกินไปครับ
"ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียนภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่ "
- ก็ต้องมาดูด้วยครับว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว มันมาจากหลายอย่างครับ บุคลากร สังคม ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ทัศนคติ มันมีส่วนทุกอย่างครับ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเรียนมากๆแล้วจะเก่งครับ เด็กประเทศเจริญแล้วเรียนไม่ถึงครึ่งของเด็กไทยเลยครับ พ่อแม่ส่วนมากก็อยากให้ลูกเรียนเก่งเรียนดีทั้งนั้นครับ สอนให้เรียนเก่งๆเกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน บังคับเรียนนู้นเรียนนี่ทั้งๆที่เด็กไม่ชอบ ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผู้ใหญ่ให้เรียนก็เรียนไปแบบนั้น
- ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ ประเทศดีมีทรัพยากรแต่คอยให้ต่างชาติเข้ามาสูบและใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่เคยเห็นรัฐบาลจะมองการณ์ไกล พัฒนาอย่างยั่งยืนกันเลย
. ไม่น่าเชื่อว่า ... มันจะมาเร็วกว่าที่คิด เมื่อฟองสบู่มหาวิทยาลัยแตกดังโพล๊ะ ... แล้วมหาวิทยาลัยที่มีมากกว่า 300 แห่ง จะทำอย่างไร กันหล่ะที่นี้ ครับพี่น้อง ??
- มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งมีนักศึกษาลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสาม ต้องบีบอาจารย์ให้ลาออกเนื่องจากขาดทุนย่อยยับ หลายแห่งตั้งเป้าหมายให้อาจารย์เหลือเพียงแค่หนึ่งในสาม
- มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งขายที่ดินสร้างคอนโดมิเนียมขาย
- มหาวิทยาลัยราชภัฎหลายแห่งตัดสินใจไม่ต่อสัญญาให้อาจารย์ เนื่องจากไม่มีนักศึกษาให้สอน
- มหาวิทยาลัยของรัฐในบางสาขารับนักศึกษาได้เพียงร้อยละ 20 ของเป้าหมายที่ตั้งไว้
- มหาวิทยาลัยเปิดของรัฐไม่ต่อสัญญาจ้างอาจารย์เพราะไม่มีนักศึกษาเพียงพอ เริ่มมีปัญหาทางการเงิน
- มหาวิทยาลัยของรัฐอีกหลายแห่ง อาจารย์เริ่มแย่งวิชาสอนกันเพื่อให้ตัวเองมีภาระงานครบ และหลายแห่งดิ้นรนด้วยการไปหานักศึกษาจีนเข้ามาเรียนซึ่งเป็นนักศึกษาจีนที่คุณภาพไม่ดีนัก
- อาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด บางคนทั้งๆ ที่รู้อยู่ไม่มีนักศึกษาให้สอนก็ดิ้นรนจะต่ออายุราชการให้ตัวเองต่อ บางคนที่ไม่มีทางไปก็พยายามดิ้นรนหานักศึกษาเข้ามาเรียนให้มากขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ
- อาจารย์มหาวิทยาลัยไทยผลิตงานวิจัยขึ้นหิ้ง ตีพิมพ์ในระดับนานาชาติกันมากมายแต่เอามาใช้งานจริงหรือนำมาประยุกต์ใช้ให้ขายได้จริงในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) ได้น้อยมาก
..
คลิกลิงค์ เพื่ออ่านต่อครับพี่น้อง ...
http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9590000129178
จริงครับ
-
ขอแสดงความเห็นครับ
"ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
- มองจากสภาพแวดล้อม สังคม ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง ผมบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ คนไทยยังห่างกันกับคำว่า "เจริญแล้ว" มากครับ ถ้าจะเอ่ยถึงมันจะยาวเกินไปครับ
"ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียนภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่ "
- ก็ต้องมาดูด้วยครับว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว มันมาจากหลายอย่างครับ บุคลากร สังคม ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ทัศนคติ มันมีส่วนทุกอย่างครับ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเรียนมากๆแล้วจะเก่งครับ เด็กประเทศเจริญแล้วเรียนไม่ถึงครึ่งของเด็กไทยเลยครับ พ่อแม่ส่วนมากก็อยากให้ลูกเรียนเก่งเรียนดีทั้งนั้นครับ สอนให้เรียนเก่งๆเกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน บังคับเรียนนู้นเรียนนี่ทั้งๆที่เด็กไม่ชอบ ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผู้ใหญ่ให้เรียนก็เรียนไปแบบนั้น
- ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ ประเทศดีมีทรัพยากรแต่คอยให้ต่างชาติเข้ามาสูบและใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่เคยเห็นรัฐบาลจะมองการณ์ไกล พัฒนาอย่างยั่งยืนกันเลย
ผมเข้าใจนะครับ แต่ขอแย้งนิดนึงคือ
ผมว่าพูดกันคนละประเด็นกันครับ เพราะอยากให้เข้าใจ concept มากกว่าครับ
-เรื่องคำว่าคำว่าประเทศพัฒนาแล้วคงไม่ใช่ว่าเราจะมีความคิดความรู้เข้าขั้นอารยประเทศในไม่กี่ปี
คือเรายังแว้นกันอยู่เลย ตรรกะอะไรต่างๆ ก็ยังหยาบมาก ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนครับ
แต่สิ่งที่อยากให้ทำเหมือนให้เป็นจุดเริ่มต้นก่อนครับ คือการหนีออกจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ หนีออกจาก
ความยากจนให้ได้ก่อน การที่คนจนมีวิธีคิดแบบในปัจจุบันมันก็มีที่มาที่ไป เราไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้นเราไม่
เข้าใจเขาหรอกครับ ดังนั้นการปรับฐานะ การช่วยเรื่องความจนเป็นสิ่งที่มาก่อนการไปดัดนิสัยของคนครับ
-การศึกษาไทย เปลี่ยนมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จ และมีการตั้งเป้าที่สูงส่งว่าการศึกษาจะช่วย
เปลี่ยนแปลงคนในชาติให้พัฒนาขึ้นนำพาเศรษฐกิจของประเทศ แต่มันยากที่จะให้คนหาเช้ากินค่ำมา
ใส่ใจลูกๆ แบบชนชั้นกลางครับ พ่อแม่หลายครอบครัวดีมากๆ ไม่บังคับและยังเป็นโคชในเวลาเดียวกัน
แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้นกับคนทั่วๆ ไปครับ พ่อแม่ทั่วไปที่ต้องทำงานแบบไม่สบายนัก ค่าใช้จ่ายสูง
ต้องปล่อยลูกให้เรียนแบบตามมีตามเกิด ลูกมีปัญหาที่โรงเรียน หรือต้องการคำแนะนำที่ถูกต้อง
เป็นสิ่งที่ยากมาก ที่จริงการสอนวิธีคิดไม่ใช่หน้าที่ของโรงเรียนเพียงอย่างเดียวครับ ต้องพ่อแม่ซึ่งมีส่วน
สำคัญอย่างมาก สังเกตุดูว่าบ้านไหนที่พ่อแม่เป็นหมอ ลูกก็มักจะเป็นหมอ หรือทำอาชีพอื่นๆ ที่มีความรู้
สูงๆ ซึ่งจะบอกว่าเป็นกรรมพันธ์อย่างเดียวคงไม่ใช่ครับ เพราะเด็กทุกคนเกิดมา iQ สูงนะครับ
ถ้าเลี้ยงเป็น แต่ถ้าเลี้ยงแบบตามมีตามเกิด โภชนาการไม่ดี ขาดการพูดคุยการกระตุ้นที่เหมาะสม
ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะแย่ไปเลยครับ ดังนั้นเรื่องความยากจนสำคัญมากครับ เราต้องกำจัดมันออกไปให้ได้
เสียก่อน
-know how
คือสิ่งนี้ และเทคโนโลยี่ ควรจะตามมาครับ
-
การศึกษาไทย เหนื่อยอีกนาน
-
อ่านแล้วรู้สึกประเทศนี้สิ้นหวังจัง
-
ขอแสดงความเห็นครับ
"ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
- มองจากสภาพแวดล้อม สังคม ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง ผมบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ คนไทยยังห่างกันกับคำว่า "เจริญแล้ว" มากครับ ถ้าจะเอ่ยถึงมันจะยาวเกินไปครับ
"ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียนภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่ "
- ก็ต้องมาดูด้วยครับว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว มันมาจากหลายอย่างครับ บุคลากร สังคม ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ทัศนคติ มันมีส่วนทุกอย่างครับ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเรียนมากๆแล้วจะเก่งครับ เด็กประเทศเจริญแล้วเรียนไม่ถึงครึ่งของเด็กไทยเลยครับ พ่อแม่ส่วนมากก็อยากให้ลูกเรียนเก่งเรียนดีทั้งนั้นครับ สอนให้เรียนเก่งๆเกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน บังคับเรียนนู้นเรียนนี่ทั้งๆที่เด็กไม่ชอบ ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผู้ใหญ่ให้เรียนก็เรียนไปแบบนั้น
- ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ ประเทศดีมีทรัพยากรแต่คอยให้ต่างชาติเข้ามาสูบและใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่เคยเห็นรัฐบาลจะมองการณ์ไกล พัฒนาอย่างยั่งยืนกันเลย
ผมเข้าใจนะครับ แต่ขอแย้งนิดนึงคือ
ผมว่าพูดกันคนละประเด็นกันครับ เพราะอยากให้เข้าใจ concept มากกว่าครับ
-เรื่องคำว่าคำว่าประเทศพัฒนาแล้วคงไม่ใช่ว่าเราจะมีความคิดความรู้เข้าขั้นอารยประเทศในไม่กี่ปี
คือเรายังแว้นกันอยู่เลย ตรรกะอะไรต่างๆ ก็ยังหยาบมาก ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนครับ
แต่สิ่งที่อยากให้ทำเหมือนให้เป็นจุดเริ่มต้นก่อนครับ คือการหนีออกจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ หนีออกจาก
ความยากจนให้ได้ก่อน การที่คนจนมีวิธีคิดแบบในปัจจุบันมันก็มีที่มาที่ไป เราไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้นเราไม่
เข้าใจเขาหรอกครับ ดังนั้นการปรับฐานะ การช่วยเรื่องความจนเป็นสิ่งที่มาก่อนการไปดัดนิสัยของคนครับ
-การศึกษาไทย เปลี่ยนมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จ และมีการตั้งเป้าที่สูงส่งว่าการศึกษาจะช่วย
เปลี่ยนแปลงคนในชาติให้พัฒนาขึ้นนำพาเศรษฐกิจของประเทศ แต่มันยากที่จะให้คนหาเช้ากินค่ำมา
ใส่ใจลูกๆ แบบชนชั้นกลางครับ พ่อแม่หลายครอบครัวดีมากๆ ไม่บังคับและยังเป็นโคชในเวลาเดียวกัน
แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้นกับคนทั่วๆ ไปครับ พ่อแม่ทั่วไปที่ต้องทำงานแบบไม่สบายนัก ค่าใช้จ่ายสูง
ต้องปล่อยลูกให้เรียนแบบตามมีตามเกิด ลูกมีปัญหาที่โรงเรียน หรือต้องการคำแนะนำที่ถูกต้อง
เป็นสิ่งที่ยากมาก ที่จริงการสอนวิธีคิดไม่ใช่หน้าที่ของโรงเรียนเพียงอย่างเดียวครับ ต้องพ่อแม่ซึ่งมีส่วน
สำคัญอย่างมาก สังเกตุดูว่าบ้านไหนที่พ่อแม่เป็นหมอ ลูกก็มักจะเป็นหมอ หรือทำอาชีพอื่นๆ ที่มีความรู้
สูงๆ ซึ่งจะบอกว่าเป็นกรรมพันธ์อย่างเดียวคงไม่ใช่ครับ เพราะเด็กทุกคนเกิดมา iQ สูงนะครับ
ถ้าเลี้ยงเป็น แต่ถ้าเลี้ยงแบบตามมีตามเกิด โภชนาการไม่ดี ขาดการพูดคุยการกระตุ้นที่เหมาะสม
ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะแย่ไปเลยครับ ดังนั้นเรื่องความยากจนสำคัญมากครับ เราต้องกำจัดมันออกไปให้ได้
เสียก่อน
-know how
คือสิ่งนี้ และเทคโนโลยี่ ควรจะตามมาครับ
เด็ไทยสมัยนี้เรียนจบปริญญาตรีกันเป็นส่วนใหญ่แล้วนะครับ จาสถิติปรากฏว่าคนไทยอยู่ในระดับอุดมศึกษาในแต่ละปีประมาณ 2.4 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่ศึกษาในสาขาสังคมศาสตร์เพราะสาขาวิทยาศาสตร์เปิดสอนน้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะถูกกีดกันจากคนที่อยู่ในสาขาวิชาชีพนั้นๆ http://service.nso.go.th/nso/web/statseries/statseries06.html (http://service.nso.go.th/nso/web/statseries/statseries06.html)
-
สาขาที่คนอยากเรียนแต่รับไม่มากเพราะแบบนี้ ///// ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เปิดเผยสถานการณ์การผลิตแพทย์ ว่า ปัจจุบันมีการเร่งผลิตแพทย์จำนวนมาก โดยมีแพทย์จบใหม่ปีละประมาณ 2,500 คน จากเดิมผลิตเพียงปีละ 200 คน ในขณะที่มีประชากรเกิดใหม่น้อยลงเหลือเพียงปีละ 7-8 แสนคน จากเดิมที่มีปีละประมาณ 1 ล้านคน หากเป็นเช่นนี้ในอีก 15 ปี อาจส่งผลให้แพทยมีจำนวนล้น และแพทย์ ที่จบใหม่อาจจะตกงาน เหมือนกับหลายประเทศ เช่น ทวีปยุโรปที่แพทย์ต้องไปขับรถแท็กซี่ หรือประเทศอินเดียที่ต้องส่งแพทย์ออกไปต่างประเทศถึงปีละ 6 หมื่นคน
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/83416
-
ผมเข้าใจนะครับ แต่ขอแย้งนิดนึงคือ
ผมว่าพูดกันคนละประเด็นกันครับ เพราะอยากให้เข้าใจ concept มากกว่าครับ
-เรื่องคำว่าคำว่าประเทศพัฒนาแล้วคงไม่ใช่ว่าเราจะมีความคิดความรู้เข้าขั้นอารยประเทศในไม่กี่ปี
คือเรายังแว้นกันอยู่เลย ตรรกะอะไรต่างๆ ก็ยังหยาบมาก ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนครับ
แต่สิ่งที่อยากให้ทำเหมือนให้เป็นจุดเริ่มต้นก่อนครับ คือการหนีออกจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ หนีออกจาก
ความยากจนให้ได้ก่อน การที่คนจนมีวิธีคิดแบบในปัจจุบันมันก็มีที่มาที่ไป เราไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้นเราไม่
เข้าใจเขาหรอกครับ ดังนั้นการปรับฐานะ การช่วยเรื่องความจนเป็นสิ่งที่มาก่อนการไปดัดนิสัยของคนครับ
-การศึกษาไทย เปลี่ยนมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จ และมีการตั้งเป้าที่สูงส่งว่าการศึกษาจะช่วย
เปลี่ยนแปลงคนในชาติให้พัฒนาขึ้นนำพาเศรษฐกิจของประเทศ แต่มันยากที่จะให้คนหาเช้ากินค่ำมา
ใส่ใจลูกๆ แบบชนชั้นกลางครับ พ่อแม่หลายครอบครัวดีมากๆ ไม่บังคับและยังเป็นโคชในเวลาเดียวกัน
แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้นกับคนทั่วๆ ไปครับ พ่อแม่ทั่วไปที่ต้องทำงานแบบไม่สบายนัก ค่าใช้จ่ายสูง
ต้องปล่อยลูกให้เรียนแบบตามมีตามเกิด ลูกมีปัญหาที่โรงเรียน หรือต้องการคำแนะนำที่ถูกต้อง
เป็นสิ่งที่ยากมาก ที่จริงการสอนวิธีคิดไม่ใช่หน้าที่ของโรงเรียนเพียงอย่างเดียวครับ ต้องพ่อแม่ซึ่งมีส่วน
สำคัญอย่างมาก สังเกตุดูว่าบ้านไหนที่พ่อแม่เป็นหมอ ลูกก็มักจะเป็นหมอ หรือทำอาชีพอื่นๆ ที่มีความรู้
สูงๆ ซึ่งจะบอกว่าเป็นกรรมพันธ์อย่างเดียวคงไม่ใช่ครับ เพราะเด็กทุกคนเกิดมา iQ สูงนะครับ
ถ้าเลี้ยงเป็น แต่ถ้าเลี้ยงแบบตามมีตามเกิด โภชนาการไม่ดี ขาดการพูดคุยการกระตุ้นที่เหมาะสม
ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะแย่ไปเลยครับ ดังนั้นเรื่องความยากจนสำคัญมากครับ เราต้องกำจัดมันออกไปให้ได้
เสียก่อน
-know how
คือสิ่งนี้ และเทคโนโลยี่ ควรจะตามมาครับ
=======================
พอเข้าใจครับ ผมก็เห็นด้วยครับ
-
สาขาที่คนอยากเรียนแต่รับไม่มากเพราะแบบนี้ ///// ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เปิดเผยสถานการณ์การผลิตแพทย์ ว่า ปัจจุบันมีการเร่งผลิตแพทย์จำนวนมาก โดยมีแพทย์จบใหม่ปีละประมาณ 2,500 คน จากเดิมผลิตเพียงปีละ 200 คน ในขณะที่มีประชากรเกิดใหม่น้อยลงเหลือเพียงปีละ 7-8 แสนคน จากเดิมที่มีปีละประมาณ 1 ล้านคน หากเป็นเช่นนี้ในอีก 15 ปี อาจส่งผลให้แพทยมีจำนวนล้น และแพทย์ ที่จบใหม่อาจจะตกงาน เหมือนกับหลายประเทศ เช่น ทวีปยุโรปที่แพทย์ต้องไปขับรถแท็กซี่ หรือประเทศอินเดียที่ต้องส่งแพทย์ออกไปต่างประเทศถึงปีละ 6 หมื่นคน
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/83416
ขอแสดงความเห็นครับ
"ผมว่าการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
- มองจากสภาพแวดล้อม สังคม ความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรม การเมือง ผมบอกเลยว่าเป็นไปไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ คนไทยยังห่างกันกับคำว่า "เจริญแล้ว" มากครับ ถ้าจะเอ่ยถึงมันจะยาวเกินไปครับ
"ประชากรในประเทศรวยขึ้น เดี๋ยวการศึกษาจะตามมาเอง ต่อให้ระบบการศึกษาแย่อย่างที่เขาว่ากันอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กถ้าได้เรียนเต็มที่ พ่อแม่มีเงินส่งเรียนพิเศษเสริม เรียนภาษาเสริม ก็ถือว่าพอโอเคอยู่ "
- ก็ต้องมาดูด้วยครับว่าทำไมการศึกษาไทยถึงล้มเหลว มันมาจากหลายอย่างครับ บุคลากร สังคม ความเชื่อ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ทัศนคติ มันมีส่วนทุกอย่างครับ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเรียนมากๆแล้วจะเก่งครับ เด็กประเทศเจริญแล้วเรียนไม่ถึงครึ่งของเด็กไทยเลยครับ พ่อแม่ส่วนมากก็อยากให้ลูกเรียนเก่งเรียนดีทั้งนั้นครับ สอนให้เรียนเก่งๆเกิดมาเป็นเจ้าคนนายคน บังคับเรียนนู้นเรียนนี่ทั้งๆที่เด็กไม่ชอบ ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ผู้ใหญ่ให้เรียนก็เรียนไปแบบนั้น
- ประเทศไทยไม่มี Know How อะไรเลยนะครับ ระยะยาวจะไปสู้อะไรคนอื่นครับ ประเทศดีมีทรัพยากรแต่คอยให้ต่างชาติเข้ามาสูบและใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง ไม่เคยเห็นรัฐบาลจะมองการณ์ไกล พัฒนาอย่างยั่งยืนกันเลย
ผมเข้าใจนะครับ แต่ขอแย้งนิดนึงคือ
ผมว่าพูดกันคนละประเด็นกันครับ เพราะอยากให้เข้าใจ concept มากกว่าครับ
-เรื่องคำว่าคำว่าประเทศพัฒนาแล้วคงไม่ใช่ว่าเราจะมีความคิดความรู้เข้าขั้นอารยประเทศในไม่กี่ปี
คือเรายังแว้นกันอยู่เลย ตรรกะอะไรต่างๆ ก็ยังหยาบมาก ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนครับ
แต่สิ่งที่อยากให้ทำเหมือนให้เป็นจุดเริ่มต้นก่อนครับ คือการหนีออกจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ หนีออกจาก
ความยากจนให้ได้ก่อน การที่คนจนมีวิธีคิดแบบในปัจจุบันมันก็มีที่มาที่ไป เราไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้นเราไม่
เข้าใจเขาหรอกครับ ดังนั้นการปรับฐานะ การช่วยเรื่องความจนเป็นสิ่งที่มาก่อนการไปดัดนิสัยของคนครับ
-การศึกษาไทย เปลี่ยนมาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จ และมีการตั้งเป้าที่สูงส่งว่าการศึกษาจะช่วย
เปลี่ยนแปลงคนในชาติให้พัฒนาขึ้นนำพาเศรษฐกิจของประเทศ แต่มันยากที่จะให้คนหาเช้ากินค่ำมา
ใส่ใจลูกๆ แบบชนชั้นกลางครับ พ่อแม่หลายครอบครัวดีมากๆ ไม่บังคับและยังเป็นโคชในเวลาเดียวกัน
แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้นกับคนทั่วๆ ไปครับ พ่อแม่ทั่วไปที่ต้องทำงานแบบไม่สบายนัก ค่าใช้จ่ายสูง
ต้องปล่อยลูกให้เรียนแบบตามมีตามเกิด ลูกมีปัญหาที่โรงเรียน หรือต้องการคำแนะนำที่ถูกต้อง
เป็นสิ่งที่ยากมาก ที่จริงการสอนวิธีคิดไม่ใช่หน้าที่ของโรงเรียนเพียงอย่างเดียวครับ ต้องพ่อแม่ซึ่งมีส่วน
สำคัญอย่างมาก สังเกตุดูว่าบ้านไหนที่พ่อแม่เป็นหมอ ลูกก็มักจะเป็นหมอ หรือทำอาชีพอื่นๆ ที่มีความรู้
สูงๆ ซึ่งจะบอกว่าเป็นกรรมพันธ์อย่างเดียวคงไม่ใช่ครับ เพราะเด็กทุกคนเกิดมา iQ สูงนะครับ
ถ้าเลี้ยงเป็น แต่ถ้าเลี้ยงแบบตามมีตามเกิด โภชนาการไม่ดี ขาดการพูดคุยการกระตุ้นที่เหมาะสม
ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะแย่ไปเลยครับ ดังนั้นเรื่องความยากจนสำคัญมากครับ เราต้องกำจัดมันออกไปให้ได้
เสียก่อน
-know how
คือสิ่งนี้ และเทคโนโลยี่ ควรจะตามมาครับ
เด็ไทยสมัยนี้เรียนจบปริญญาตรีกันเป็นส่วนใหญ่แล้วนะครับ จาสถิติปรากฏว่าคนไทยอยู่ในระดับอุดมศึกษาในแต่ละปีประมาณ 2.4 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่ศึกษาในสาขาสังคมศาสตร์เพราะสาขาวิทยาศาสตร์เปิดสอนน้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะถูกกีดกันจากคนที่อยู่ในสาขาวิชาชีพนั้นๆ http://service.nso.go.th/nso/web/statseries/statseries06.html (http://service.nso.go.th/nso/web/statseries/statseries06.html)
ขอโทษนิดนึงครับ
คือประเด็นของผมหมายถึง ศักยภาพทางการเรียนรู้และการศึกษาระหว่างครอบครัวที่
พ่อแม่ที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจกับพ่อแม่ไม่มีปัญหาครับ ไม่ได้สนใจเรื่องอาชีพหมอครับ แค่ยกตัวอย่างเฉยๆ :'(
-
" อีก3 ปีเศรษฐกิจยังอันตราย " ไม่จริงครับ ความจริงคือ " อีกนานและเกิน 3 ปีครับ " สม.... มาช่วยก็แก้ไม่ได้ รู้ว่าต้องแก้ยังไงแต่ก็แก้ไม่ได้เพราะคนกลุ่มนึงอยากให้เป็นแบบนี้ >:(
-
อีกเปนสิบปีครับ
เราตกหล่มทางโครงสร้างเศรษฐกิจ
และการศึกษาเราล้มเหลวทางการสร้างบุคลากร
รวมถึงเราไม่มีเทคโนโลยีเองในมือเลย
การจะแก้อะไรแบบนี้ มันต้องทำกันเปนสิบๆปีถึงจะแก้ได้ทั้งระบบครับ
แต่ถ้าจะเอาแต่รอดแค่คนกลุ่มเดียวระดับบนๆหรือองคกรใหญ่แบบนั้นทำได้เร็วกว่า
แต่ก็ตะยิ่งถ่างความเหลื่อมล้ำและห่างไกลจากการแก้ที่โครงสร้างเข้าไปอีก
ตราบใดยังแก้คนไม่ได้ ก็ยังไปไหนไม่ได้ครับ
การศึกษาเราถอยหลังไม่ทันกับแนวทางของทั้งโลกแล้ว
ยิ่งปล่อยไปก็ยิ่งห่างไกลขณะที่ตปทเค้าก็ทิ้งเราไปเรื่อยๆ
อดทนสู้กันไปครับเกิดมาประเทศนี้แล้วทำให้ดีที่สุดครับบ่นได้แต่ก็ช่วยกันครับ
-
ช่วยแชร์ครับ
เอาเรื่องเต๊นท์รถก่อน .... คือบางที่ ที่ปิดตัวลง หรือย้าย เพราะพฤติกรรมการซื้อรถของคนสมัยนี้คือ เค้าไม่มาเดินตามเต้นท์กันแล้วครับ ... เค้าดูในเน็ท และไหนจะรถที่เจ้าของรถขายเองอีก .... คนซื้อบางคนพอรู้ว่ารถเต้นท์ ก็ไม่ซื้อจะตามหาแต่รถบ้าน .... เต้นท์ก็เลยเปลี่ยนตัวเองเป็นรถบ้าน คือ ปิดเต้น เอารถไปจอดบ้าน ถ่ายรูปขายในเน็ท ไม่เสียค่าที่ด้วย ...
ทีนี้มาเรื่องเศรษฐ์กิจ ที่หลายคนบอก แย่ ....
เราเคยสังเกตุไหมครับ คนที่ว่าแย่ คือคนกลุ่มไหน อาชีพอะไร ....
คนรวยขึ้นมีเยอะนะครับ สังเกตุได้จากยอดขายของรถนำเข้า และรถหรูอย่าง Banz , BMW ที่วิ่งกันเยอะขึ้นบนท้องถนน ... แต่รถญี่ปุ่นกลับยอดตก .... มันหมายถึงอะไร ...
ชนชั้นกลาง ที่เป็นพนักงานบริษัท กินเงินเดือนฟิก พวกนี้ไม่กระทบเท่าไรครับ ชิวๆ แต่โบนัสก็ไม่ได้อู่ฟู่
ชนชั้นกลางที่เปิดร้านขายของตามห้าง อาคารพาณิชย์ พวกนี้แย่ลงครับ เพราะพฤติกรรมการซื้อเปลี่ยนไป คนหันไปซื้อของ online กันมากขึ้น เพราะราคาถูกกว่า ส่งถึงที่ และบางที่เก็บเงินปลายทางด้วย .. เพื่อนผมเปิดร้านมือถือในห้างดัง บางทีมันยังต้องเอามือถือถ่ายรูปลงขายในเน็ท ด้วย รอขายหน้าห้างอย่างเดียวไม่เกิดครับ การแข่งขันสูง สุดท้าย ขายในเน็ทดีกว่าขายในห้างซะงั้น .... ทั้งๆที่ตั้งราคาพอๆกัน แต่ที่ลูกค้าเลือกซื้อเพราะ คิดว่า เจ้าของขายเอง ไม่ใช่ร้านมาขาย(แบบเดียวกับรถมือ2)
ชนชั้นบน ที่รวยขึ้น ส่วนใหญ่เป็นบริษัทฯที่ทำธุรกิจแบบ โปรเจค ไม่ใช่ค้าขาย แต่เป็นธุรกิจที่ขายความคิดขายดีไซด์ พวกนี้ฟันกำไรได้มากครับ หรือไม่ก็เป็นบริษัทฯที่รับสินค้าจากจีนมาขายในไทย พวกเครื่องสำอาง พวกนี้ ....
การศึกษา ถามว่ามีผลไหมผมว่ามี ... แต่ไม่ใช่ว่า เรียนแย่โรงเรียนไม่ดีนะ .... แต่การศึกษาไทย สอนให้คนเป็นลูกจ้างมากกว่า ที่จะปลูกฝังให้พัฒนาตนเอง คิดประดิษฐ์อะไรใหม่ๆ ความสามารถคน วัดกันแค่ใบปริญญา แต่คนที่ทำงานหลักแหลม มองแนวทางใหม่ๆได้ กลับเป็นคนที่การศึกษาน้อยซะงั้น ...
สังเกตุสิ เจ้าของร้าน เจ้าของกิจการ ใหญ่ๆรวยๆ ส่วนใหญ่ ก็คนมีการศึกษาน้อยที่ดิ้นรน จนเติบโต ... แล้วก็จ้างพวกจบ ตรี จบโท มาเป็นลูกน้อง ....... กันทั้งนั้น ...
-
อีกเปนสิบปีครับ
เราตกหล่มทางโครงสร้างเศรษฐกิจ
และการศึกษาเราล้มเหลวทางการสร้างบุคลากร
รวมถึงเราไม่มีเทคโนโลยีเองในมือเลย
การจะแก้อะไรแบบนี้ มันต้องทำกันเปนสิบๆปีถึงจะแก้ได้ทั้งระบบครับ
แต่ถ้าจะเอาแต่รอดแค่คนกลุ่มเดียวระดับบนๆหรือองคกรใหญ่แบบนั้นทำได้เร็วกว่า
แต่ก็ตะยิ่งถ่างความเหลื่อมล้ำและห่างไกลจากการแก้ที่โครงสร้างเข้าไปอีก
ตราบใดยังแก้คนไม่ได้ ก็ยังไปไหนไม่ได้ครับ
การศึกษาเราถอยหลังไม่ทันกับแนวทางของทั้งโลกแล้ว
ยิ่งปล่อยไปก็ยิ่งห่างไกลขณะที่ตปทเค้าก็ทิ้งเราไปเรื่อยๆ
อดทนสู้กันไปครับเกิดมาประเทศนี้แล้วทำให้ดีที่สุดครับบ่นได้แต่ก็ช่วยกันครับ
เห็นด้วยคับ
-
อีกเปนสิบปีครับ
เราตกหล่มทางโครงสร้างเศรษฐกิจ
และการศึกษาเราล้มเหลวทางการสร้างบุคลากร
รวมถึงเราไม่มีเทคโนโลยีเองในมือเลย
การจะแก้อะไรแบบนี้ มันต้องทำกันเปนสิบๆปีถึงจะแก้ได้ทั้งระบบครับ
แต่ถ้าจะเอาแต่รอดแค่คนกลุ่มเดียวระดับบนๆหรือองคกรใหญ่แบบนั้นทำได้เร็วกว่า
แต่ก็ตะยิ่งถ่างความเหลื่อมล้ำและห่างไกลจากการแก้ที่โครงสร้างเข้าไปอีก
ตราบใดยังแก้คนไม่ได้ ก็ยังไปไหนไม่ได้ครับ
การศึกษาเราถอยหลังไม่ทันกับแนวทางของทั้งโลกแล้ว
ยิ่งปล่อยไปก็ยิ่งห่างไกลขณะที่ตปทเค้าก็ทิ้งเราไปเรื่อยๆ
อดทนสู้กันไปครับเกิดมาประเทศนี้แล้วทำให้ดีที่สุดครับบ่นได้แต่ก็ช่วยกันครับ
ผมว่าเราผสมเรื่องกันมากเกินไปครับ ซึ่งมันจะทำให้เราแก้อะไรไม่ได้เลย
มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องสวยหรู แต่ความเป็นจริงเราจะแก้ทั้งหมดพร้อมกันมันลำบาก
ถ้ายิ่งพูดว่าทั้งระบบยิ่งเป็นไปไม่ได้ครับ บทพิสูจน์คือช่วงเวลาที่ผ่านมาซึ่งเราก็เห็นกันดี
การพัฒนาคนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และต้องทำ แต่มันจะตามมาต่อเนื่องหลังจาก
ที่เรากลายเป็น free trade และยกระดับการจับจ่ายซื้อขายและกระกระตุ้นภาคการผลิต
และการดึงดูดการลงทุนแบบสูงสุด โดยการให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนำ มากกว่าการ
กดค่าแรงให้ถูกนำแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และถ้าใครได้ค่าแรงถูกกว่าถึงจะได้การลงทุน
ซึ่งผิด และเป็นการสร้างระบบความเหลี่ยมล้ำทางเศรษฐกิจแบบรุนแรงแบบจีนเป็นต้น
แต่สิงคโปร์ไม่จำเป็นต้องกดค่าแรง เงินเดือนก็สูงมาก แต่ยังเป็นสถานที่ที่หอมหวลสำหรับ
การลงทุน เราจะทำแบบนั้นได้ เมื่อเราพัฒนาคนด้วยการศึกษาแบบถูกต้องตามมาหลังจาก
ที่สร้างระบบเศรษฐกิจใหม่แล้ว
เพราะปัจจุบัน เราพยายามทำให้คนที่กำลังหิว ฉลาด มัสติ และมีปัญญา ซึ่งมัน
เป็นไปไม่ได้ ถ้าร่างกายหิว เราจะเกิดปัญญาได้ยังไง เราต้องอิ่มท้องก่อน ถึงจะฟัง
ถึงจะเรียนรู้เรื่อง
หรืออีกตัวอย่าง
เรากำลังใช้วิธีการทำสมาธิ แบบที่ต้องนั่งนิ่งๆ ขัดสมาธิ ต้องทนเมื่อยเลือดไม่เดินไหลเวียน
แต่ต้องอดทนให้ได้ ต้องมีสมาธิ ในขณะที่จีนญี่ปุ่นเกาหลีใช้วิธี ทำตัวให้สบาย เพ่งไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เพื่อให้เกิดสมาธิ จิตใจสงบและมีความสุข เพราะไม่ได้ฝืนร่างกาย ซึ่งวิธีปฎิบัติทั้งสองแบบใช้ได้
ผลเหมือนกัน แต่วิธีหนึ่งคือการฝืน ซึ่งจะมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้
เช่นเดียวกับการศึกษา
เรากลับเลือกใช้วิธีที่สามารถสอนให้คนกลุ่มหนึ่งเก่งมาก แต่เป็นกลุ่มคนที่เล็กมากๆ
ในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถเรียนตามแบบนั้นได้ ถึงได้เรียกระบบการศึกษาว่าล้มเหลว
ตามนี้ครับ
-
ช่วยแชร์ครับ
เอาเรื่องเต๊นท์รถก่อน .... คือบางที่ ที่ปิดตัวลง หรือย้าย เพราะพฤติกรรมการซื้อรถของคนสมัยนี้คือ เค้าไม่มาเดินตามเต้นท์กันแล้วครับ ... เค้าดูในเน็ท และไหนจะรถที่เจ้าของรถขายเองอีก .... คนซื้อบางคนพอรู้ว่ารถเต้นท์ ก็ไม่ซื้อจะตามหาแต่รถบ้าน .... เต้นท์ก็เลยเปลี่ยนตัวเองเป็นรถบ้าน คือ ปิดเต้น เอารถไปจอดบ้าน ถ่ายรูปขายในเน็ท ไม่เสียค่าที่ด้วย ...
ทีนี้มาเรื่องเศรษฐ์กิจ ที่หลายคนบอก แย่ ....
เราเคยสังเกตุไหมครับ คนที่ว่าแย่ คือคนกลุ่มไหน อาชีพอะไร ....
คนรวยขึ้นมีเยอะนะครับ สังเกตุได้จากยอดขายของรถนำเข้า และรถหรูอย่าง Banz , BMW ที่วิ่งกันเยอะขึ้นบนท้องถนน ... แต่รถญี่ปุ่นกลับยอดตก .... มันหมายถึงอะไร ...
ชนชั้นกลาง ที่เป็นพนักงานบริษัท กินเงินเดือนฟิก พวกนี้ไม่กระทบเท่าไรครับ ชิวๆ แต่โบนัสก็ไม่ได้อู่ฟู่
ชนชั้นกลางที่เปิดร้านขายของตามห้าง อาคารพาณิชย์ พวกนี้แย่ลงครับ เพราะพฤติกรรมการซื้อเปลี่ยนไป คนหันไปซื้อของ online กันมากขึ้น เพราะราคาถูกกว่า ส่งถึงที่ และบางที่เก็บเงินปลายทางด้วย .. เพื่อนผมเปิดร้านมือถือในห้างดัง บางทีมันยังต้องเอามือถือถ่ายรูปลงขายในเน็ท ด้วย รอขายหน้าห้างอย่างเดียวไม่เกิดครับ การแข่งขันสูง สุดท้าย ขายในเน็ทดีกว่าขายในห้างซะงั้น .... ทั้งๆที่ตั้งราคาพอๆกัน แต่ที่ลูกค้าเลือกซื้อเพราะ คิดว่า เจ้าของขายเอง ไม่ใช่ร้านมาขาย(แบบเดียวกับรถมือ2)
ชนชั้นบน ที่รวยขึ้น ส่วนใหญ่เป็นบริษัทฯที่ทำธุรกิจแบบ โปรเจค ไม่ใช่ค้าขาย แต่เป็นธุรกิจที่ขายความคิดขายดีไซด์ พวกนี้ฟันกำไรได้มากครับ หรือไม่ก็เป็นบริษัทฯที่รับสินค้าจากจีนมาขายในไทย พวกเครื่องสำอาง พวกนี้ ....
การศึกษา ถามว่ามีผลไหมผมว่ามี ... แต่ไม่ใช่ว่า เรียนแย่โรงเรียนไม่ดีนะ .... แต่การศึกษาไทย สอนให้คนเป็นลูกจ้างมากกว่า ที่จะปลูกฝังให้พัฒนาตนเอง คิดประดิษฐ์อะไรใหม่ๆ ความสามารถคน วัดกันแค่ใบปริญญา แต่คนที่ทำงานหลักแหลม มองแนวทางใหม่ๆได้ กลับเป็นคนที่การศึกษาน้อยซะงั้น ...
สังเกตุสิ เจ้าของร้าน เจ้าของกิจการ ใหญ่ๆรวยๆ ส่วนใหญ่ ก็คนมีการศึกษาน้อยที่ดิ้นรน จนเติบโต ... แล้วก็จ้างพวกจบ ตรี จบโท มาเป็นลูกน้อง ....... กันทั้งนั้น ...
ขอแก้ไขนิดนึงนะครับ
ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน confirm ว่าดิ่งลงตั้งแต่ข้างล่างขึ้นไปข้างบนครับ
แล้วมันกำลังกินขึ้นไปเรื่อยๆ ปีนี้ คนรวยยังรวยเหมือนเดิมครับ คนทำงานบริษัท
อาจจะยังไม่โดนอะไร แต่มันกำลังกินขึ้นมาเรื่อยๆ ตรงข้ามกับวิกฤติต้มยำกุ้งครับ
ตอนนั้น มันพังจากข้างบนลงมา สถาบันการเงินเจอก่อน ถัดมาคนรวยล้มละลาย
คนชั้นกลางค่อยเริ่มตกงาน คนรากหญ้าโดนทีหลัง
ตอนนี้สังเกตุดูรถหรูขายกระจาย ใช่ครับ มันเป็นไปตามที่ผมบอก
แต่วิกฤติคราวนี้มันจะโหดยิ่งกว่าคราวนั้น เพราะมันมองไม่เห็นจุดจบว่าจะออกยังไง
ฐานที่เสียหายกว้างมากเพราะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ปั้มฉีดเงินให้ฟรีพันๆ ล้าน
ให้เที่ยวกินแล้วเอาใบเสร็จมาลดภาษี ทั้งหมดเหมือนมลายหายไปในน้ำ แทบไม่มีอะไรกระดิกครับ
ต้องเลิกเก็บภาษีแล้วการกระตุ้นจะเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการกระจายรายได้เยอะๆ
โดยอัตโนมัติ แล้วมันจะกระตุ้นด้วยตัวมันเองเป็นลูกโซ่ไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อครับ
สมัยนี้รถคือปัจจัย 6 นะ นี่ตัวกระตุ้นชั้นดีที่สุด แต่ระบบภาษีเป็นของฟุ่มเฟือยอยู่ ซึ่งไม่สมเหตุผล
-
" อีก3 ปีเศรษฐกิจยังอันตราย " ไม่จริงครับ ความจริงคือ " อีกนานและเกิน 3 ปีครับ " สม.... มาช่วยก็แก้ไม่ได้ รู้ว่าต้องแก้ยังไงแต่ก็แก้ไม่ได้เพราะคนกลุ่มนึงอยากให้เป็นแบบนี้ >:(
อ.แกไม่ได้บอกว่าหลัง 3 ปีจะดีครับ
ความหมายคือ ยังไม่ดี และยิ่ง 3 ปีนี้ ยิ่งใจไม่ดี
-
พฤติกรรมคนซื้อและขายเปลี่ยนไปครับ เดี๋ยวหน้าร้านออนไลน์ตอบโจทย์กว่า ถ้าบ้านที่กว้าง ก็แทบไม่ต้องเช่าที่ และเลือกซื้อรถตลาดๆ ที่ซื้อง่ายขายคล่องแทนครับ มีคนรอบๆตัวทำแนวๆนี้ รถออกเข้าแทบทุกวัน อยากได้อะไร ก็สั่งไว้ พอหารถได้ ดูแล้วถูกใจ ก็จบเลย ไม่ต้องเอาเงินไปจมทีหละเยอะๆครับ
-
https://www.matichonweekly.com/column/article_21559 (https://www.matichonweekly.com/column/article_21559)
-
ช่วยแชร์ครับ
เอาเรื่องเต๊นท์รถก่อน .... คือบางที่ ที่ปิดตัวลง หรือย้าย เพราะพฤติกรรมการซื้อรถของคนสมัยนี้คือ เค้าไม่มาเดินตามเต้นท์กันแล้วครับ ... เค้าดูในเน็ท และไหนจะรถที่เจ้าของรถขายเองอีก .... คนซื้อบางคนพอรู้ว่ารถเต้นท์ ก็ไม่ซื้อจะตามหาแต่รถบ้าน .... เต้นท์ก็เลยเปลี่ยนตัวเองเป็นรถบ้าน คือ ปิดเต้น เอารถไปจอดบ้าน ถ่ายรูปขายในเน็ท ไม่เสียค่าที่ด้วย ...
ทีนี้มาเรื่องเศรษฐ์กิจ ที่หลายคนบอก แย่ ....
เราเคยสังเกตุไหมครับ คนที่ว่าแย่ คือคนกลุ่มไหน อาชีพอะไร ....
คนรวยขึ้นมีเยอะนะครับ สังเกตุได้จากยอดขายของรถนำเข้า และรถหรูอย่าง Banz , BMW ที่วิ่งกันเยอะขึ้นบนท้องถนน ... แต่รถญี่ปุ่นกลับยอดตก .... มันหมายถึงอะไร ...
ชนชั้นกลาง ที่เป็นพนักงานบริษัท กินเงินเดือนฟิก พวกนี้ไม่กระทบเท่าไรครับ ชิวๆ แต่โบนัสก็ไม่ได้อู่ฟู่
ชนชั้นกลางที่เปิดร้านขายของตามห้าง อาคารพาณิชย์ พวกนี้แย่ลงครับ เพราะพฤติกรรมการซื้อเปลี่ยนไป คนหันไปซื้อของ online กันมากขึ้น เพราะราคาถูกกว่า ส่งถึงที่ และบางที่เก็บเงินปลายทางด้วย .. เพื่อนผมเปิดร้านมือถือในห้างดัง บางทีมันยังต้องเอามือถือถ่ายรูปลงขายในเน็ท ด้วย รอขายหน้าห้างอย่างเดียวไม่เกิดครับ การแข่งขันสูง สุดท้าย ขายในเน็ทดีกว่าขายในห้างซะงั้น .... ทั้งๆที่ตั้งราคาพอๆกัน แต่ที่ลูกค้าเลือกซื้อเพราะ คิดว่า เจ้าของขายเอง ไม่ใช่ร้านมาขาย(แบบเดียวกับรถมือ2)
ชนชั้นบน ที่รวยขึ้น ส่วนใหญ่เป็นบริษัทฯที่ทำธุรกิจแบบ โปรเจค ไม่ใช่ค้าขาย แต่เป็นธุรกิจที่ขายความคิดขายดีไซด์ พวกนี้ฟันกำไรได้มากครับ หรือไม่ก็เป็นบริษัทฯที่รับสินค้าจากจีนมาขายในไทย พวกเครื่องสำอาง พวกนี้ ....
การศึกษา ถามว่ามีผลไหมผมว่ามี ... แต่ไม่ใช่ว่า เรียนแย่โรงเรียนไม่ดีนะ .... แต่การศึกษาไทย สอนให้คนเป็นลูกจ้างมากกว่า ที่จะปลูกฝังให้พัฒนาตนเอง คิดประดิษฐ์อะไรใหม่ๆ ความสามารถคน วัดกันแค่ใบปริญญา แต่คนที่ทำงานหลักแหลม มองแนวทางใหม่ๆได้ กลับเป็นคนที่การศึกษาน้อยซะงั้น ...
สังเกตุสิ เจ้าของร้าน เจ้าของกิจการ ใหญ่ๆรวยๆ ส่วนใหญ่ ก็คนมีการศึกษาน้อยที่ดิ้นรน จนเติบโต ... แล้วก็จ้างพวกจบ ตรี จบโท มาเป็นลูกน้อง ....... กันทั้งนั้น ...
ขอแก้ไขนิดนึงนะครับ
ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน confirm ว่าดิ่งลงตั้งแต่ข้างล่างขึ้นไปข้างบนครับ
แล้วมันกำลังกินขึ้นไปเรื่อยๆ ปีนี้ คนรวยยังรวยเหมือนเดิมครับ คนทำงานบริษัท
อาจจะยังไม่โดนอะไร แต่มันกำลังกินขึ้นมาเรื่อยๆ ตรงข้ามกับวิกฤติต้มยำกุ้งครับ
ตอนนั้น มันพังจากข้างบนลงมา สถาบันการเงินเจอก่อน ถัดมาคนรวยล้มละลาย
คนชั้นกลางค่อยเริ่มตกงาน คนรากหญ้าโดนทีหลัง
ตอนนี้สังเกตุดูรถหรูขายกระจาย ใช่ครับ มันเป็นไปตามที่ผมบอก
แต่วิกฤติคราวนี้มันจะโหดยิ่งกว่าคราวนั้น เพราะมันมองไม่เห็นจุดจบว่าจะออกยังไง
ฐานที่เสียหายกว้างมากเพราะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ปั้มฉีดเงินให้ฟรีพันๆ ล้าน
ให้เที่ยวกินแล้วเอาใบเสร็จมาลดภาษี ทั้งหมดเหมือนมลายหายไปในน้ำ แทบไม่มีอะไรกระดิกครับ
ต้องเลิกเก็บภาษีแล้วการกระตุ้นจะเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการกระจายรายได้เยอะๆ
โดยอัตโนมัติ แล้วมันจะกระตุ้นด้วยตัวมันเองเป็นลูกโซ่ไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อครับ
สมัยนี้รถคือปัจจัย 6 นะ นี่ตัวกระตุ้นชั้นดีที่สุด แต่ระบบภาษีเป็นของฟุ่มเฟือยอยู่ ซึ่งไม่สมเหตุผล
นโยบายอัดฉีดเงินให้ประชาชนฟุ่มเฟือย ก็ทำเพื่อพวกนายทุนทั้งนะแหละครับ
ถ้าจะช่วยคนจนจริงๆ ต้องลดภาษีให้ประชาชนครับ ไม่ใช้กระตุ้นให้ใช้
ปัจจัยที่6 เนื่อผมว่า Smart phone มากกว่าครับ บางคนเปลี่ยนกัน 6เดือนเครื่องนึงครับ
ทั้งนี้ถ้าอยากขายของต้องขายถูกครับ เอากำไรน้อยแต่ขายเยอะๆครับ
-
https://www.matichonweekly.com/column/article_21559 (https://www.matichonweekly.com/column/article_21559)
เหมือนจะเรื่องเดียวกันกับกระทู้ แต่ยังเป็นคนล่ะเรื่องอยู่ครับ
การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรต้องเริ่มตั้งแต่เด็กอนุบาล
สมมติได้สูตรที่จะแก้ระบบการศึกษาละในวันนี้ คุณเริ่มต้นในทุระดับชั้นได้ทันที
แต่ที่จะเห็นผลจริงๆ คือรุ่นที่เป็นเด็กเล็ก ซึ่งเด็กที่โตแล้วก็จะ work ไม่เท่า
15-20 ปี กว่าจะได้ผลผลิตครับ
ซึ่ง ณ วันนี้เรายังบอกไม่ได้ว่าเราจะใช้หลักสูตรอะไรดี
แต่ครอบครัวที่พ่อแม่เก่งๆ มีวิธีคิด สอนให้ลูกรู้จักวิเคราะห์น่ะมีครับ
เพราะคนที่ไม่เชื่อมั่นในระบบการศึกษาตอนนี้เยอะนะครับ มีตังก็ส่งไปนอก
สอนเองก็มี ส่งไปโรงเรียนหลักสูตรสิงคโปร์ที่แสนแพง คนธรรมดาทำไม่ได้เลย
ถ้าเราไม่แก้เศรษฐกิจแบบที่ว่าก่อน แล้วครอบครัวทั่วๆ ไปสามารถทำแบบนั้นไม่ได้ครับ
เพราะหลักสูตรการศึกษาที่ดีอย่างว่า มันต้องมีครอบครัวร่วมด้วย ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช่แค่เรียนที่
โรงเรียน แต่กลับไปบ้านพ่อแม่ต้องพูดกับเด็กด้วยเป็นต้น ถ้าคนมีเงินมีกินมีใช้ อะไรๆ ก็ตามมาเอง
ครับ เพราะคนก็ไม่ได้ฉลาด ทุกคนอ่านข่าว ดูข่าว pisa ในทีวี วิทยุ และเรื่อง
การศึกษาไทยก็โดนด่ามาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ไม่ต้องมีข่าว Pisa ผมก็ไม่ชอบ
วิธีการเรียนในระบบไทยอยู่ครับ :-X
ไม่เลิกเก็บภาษี ผมว่าออกจาก loop ประเทศยากจนยากครับ
-
" อีก3 ปีเศรษฐกิจยังอันตราย " ไม่จริงครับ ความจริงคือ " อีกนานและเกิน 3 ปีครับ " สม.... มาช่วยก็แก้ไม่ได้ รู้ว่าต้องแก้ยังไงแต่ก็แก้ไม่ได้เพราะคนกลุ่มนึงอยากให้เป็นแบบนี้ >:(
อ.แกไม่ได้บอกว่าหลัง 3 ปีจะดีครับ
ความหมายคือ ยังไม่ดี และยิ่ง 3 ปีนี้ ยิ่งใจไม่ดี
เอาเป็นว่าวงในรู้กันหมดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ ปลายเหตุก็พังอย่างทุกวันนี้ล่ะครับ ไม่ต้องโทษเหตุปัจจัยย่อยหรอกครับและมันจะพังไปเรื่อยๆตามความตั้งใจของคนกลุ่มนึง บอกเลยว่าสงสารคนทั้งประเทศที่ต้องทนรับชะตากรรม
-
" อีก3 ปีเศรษฐกิจยังอันตราย " ไม่จริงครับ ความจริงคือ " อีกนานและเกิน 3 ปีครับ " สม.... มาช่วยก็แก้ไม่ได้ รู้ว่าต้องแก้ยังไงแต่ก็แก้ไม่ได้เพราะคนกลุ่มนึงอยากให้เป็นแบบนี้ >:(
อ.แกไม่ได้บอกว่าหลัง 3 ปีจะดีครับ
ความหมายคือ ยังไม่ดี และยิ่ง 3 ปีนี้ ยิ่งใจไม่ดี
เอาเป็นว่าวงในรู้กันหมดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ ปลายเหตุก็พังอย่างทุกวันนี้ล่ะครับ ไม่ต้องโทษเหตุปัจจัยย่อยหรอกครับและมันจะพังไปเรื่อยๆตามความตั้งใจของคนกลุ่มนึง บอกเลยว่าสงสารคนทั้งประเทศที่ต้องทนรับชะตากรรม
คนกลุ่มหนึ่งนี่ถึงขั้น*****มั้ยครับ ที่ประมาณว่าพูดไม่ได้เดี๋ยวติดคุก
-
เศรษฐกิจแก้ยากครับ มันหลายอย่าง พันกันมั่วไปหมด :( :( :(