Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Red Bicycle ที่ เมษายน 15, 2017, 13:15:08
-
:) :) :) ผมขับไม่เร็วครับ ในเมืองก็ไม่จี้ไม่มุด ไม่เร่งเครื่องกระชาก ทางไกลก็อยู่ที่ 80-110 แต่จะอยู่ในเลนที่เหมาะสมกับความเร็วและสถานการณ์ขณะนั้นตลอด ไม่ขับแช่ขวา จะใช้แซงแล้วกลับเข้ามา เว้นระยะเบรคเผื่อไว้ค่อนข้างเยอะ ค่อยๆเร่งเครื่อง ถ้าไม่มีภาวะกดดัน ไม่ชอบสลับเลนไปมา เวลาเห็นเหตุการณ์ไม่น่าไว้ใจก็จะชลอแต่เนิ่นๆ ถ้าฝนตกก็จะขับช้ากว่าเดิมมากๆ ไม่ไหวก็หาที่ปลอดภัยจอดก่อน / ขับรถยนต์มายี่สิบกว่าปีผมยังไม่เคยเหยียบเบรคเต็มแรงเกิดซักที ยังไม่เคยรู้เลยครับว่าถ้า ABS มันทำงานมันเป็นอย่างไร รถ Under หรือ over สเตียร์มันรู้สึกอย่างไร / ไม่เคยรู้สึกว่า VSC TRC มันทำงานตอนไหนครับ
:) :) :) อยากถามท่านที่ขับรถเร็วๆหน่อยนะครับ ถ้าคนขับแบบผมนี่ จะสามารถรัรู้ถึงสมรรถนะที่แท้จริงของรถแต่ละรุ่นที่เราใช้ขนาดไหนครับ / แฮะๆรู้สึกว่าขับรถมานานแต่ดูทักษะไม่ค่อยพัฒนาเท่าไรเลยครับ 555
-
ก็รู้นะครับ แต่คงไม่เต็มที่เท่าไหร่
เปรียบเทียบอย่างผมขับ Fortuner 4x4
1. ในเมืองน้ำท่วมฝนตก ไปได้หมด
2. วิ่งขึ้นเขาขึ้นดอยสมรรถนะเหลือเฟือ แม้จะเ็ป็นเครื่องเบนซินก็ตาม คิดว่าแรงมันยังเหลือให้เหยียบต่อ
3.วิ่งขึ้นลงดอย ทางลื่น ๆ ไม่แฉลบไม่ลงข้างทาง สมรรถนะดีกว่าเห็น ๆ
4.วิ่งช้า 90 แต่ไม่เบรค ยังไงก็สมรรถนะดีกว่าขับเก๋งเล็ก ๆ
5. วิ่งลุยป่า ลุยท้องนาได้หมด ไม่ต้องขับเร็ว
6. ขับ 90 จริง แต่คิดว่ามีแรงต่อไปได้สบาย ๆ
7.อื่น ๆ
-
ทราบครับ
ทราบสมรรถนะช่วงนั้นของรถ อาจจะไม่ใช่สมรรถนะสูงสุด
แต่ถ้าเราไม่เคยใช้ความเร็วสูงสุดของรถคันนั้น ผมว่าการตอบสนองช่วงความเร็วที่เราใช้บ่อยนั่นแหละสำคัญ
-
ถ้าสมรรถนะที่ความเร็วสูงๆ ก็คงไม่ทราบครับว่ามันเป็นอย่างไร
แต่สมรรถนะปกติตามความเร็วมาตรฐาน ผมว่าก็คงจะรับรู้กันได้เช่น เวลาคันหน้าเบรคกระทันหันแล้วเบรคตามเราก็จะรู้แล้วว่าระยะเบรคเป็นยังไง
หรือถ้าเคยโดนรถคันอื่นตัดหน้าแล้วต้องหักหลบถ้าเราผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้เราก็จะรู้ว่าช่วงล่างและการทรงตัวของรถที่ความเร็วปกติมันควบคุมรถได้อยู่รึเปล่า เป็นต้น
คงไม่จำเป็นต้องไปขับเสี่ยงๆเพื่อให้รับรู้ถึงสมรรถนะสูงสุดของรถ
ก็เหมือนกับที่คุณ jimmy มักจะย้ำเสมอในทุกๆ review และในคลิป ว่าทีมงานเขาไปเสี่ยงลองสมรรถนะแต่ละคันมาให้ดูแล้ว คนอื่นไม่จำเป็นต้องไปลองเองให้มันอันตราย....
การที่คุณไม่ขับเร็วเกินกฏหมายกำหนด ควบคุมตัวเองให้ขับด้วยความระมัดระวังไม่ประมาท ก็ถือว่าเป็นคนที่มีทักษะการขับรถที่ดีมากแล้วครับ
บางคนขับรถมุดซ้ายมุดขวาเก่ง ขับรถเร็วๆไม่ได้แปลว่าขับรถเก่งเสมอไปนะครับ แต่เป็นกลุ่มคนประเภทที่ขับรถประมาท วุฒิภาวะไม่เพียงพอที่จะควบคุมตนเองได้ ขับรถไปตามอารมณ์ใจโดยที่ไม่คำนึงถึงการใช้ถนนร่วมกับคนอื่น
-
สำหรับผม ผมทราบครับว่ากระบะดีแม็ก 116 แรงโม้ของผมเนี่ยออกตัวสู้อีโคคาร์เครื่องพันสองไม่ได้ เวลาจะเร่งแซงเลนสวนต้องเติมคันเร่งเยอะหน่อย เผื่อระยะเพิ่ม กับลดเกียร์ลงก่อนแซงถ้าต้องมีผ่อนคันเร่งก่อน
-
ถ้าเทียบต่าง segment ผมว่ารู้สึกได้ชัดเจน
แต่ถ้า segmentเดียวกัน ผมว่าค่อนข้างยาก
-
รู้นิดหน่อยถ้าเอาไปคิดต่อยอด
แต่จริงๆก็เกือบจะไม่รู้แล้วล่ะ
-
ถ้าความเร็วระดับนี้
ผมว่าน่าจะเน้นไปทางการซับแรงสะเทือน การเก็บเสียงมากกว่านะครับ
เน้นความรื่นรมย์ขณะขับขี่
เป็นช่วงความเร็วถนนชานเมือง อาจไม่ต้องเน้นช่วงล่างที่เกาะถนนมาก ๆ ก็ได้
ส่วนมากรถที่เกาะถนนที่ความเร็วสูงดี ๆ มันซับแรงสะเทือนที่ความเร็วต่ำไม่ค่อยดี มีติดตึงตัง
ขับความเร็วขนาดนี้ รถ C-segment ทั่วไปน่าจะตอบโจทย์นะครับ
สำหรับผม
อารมณ์บนรถแต่ละคันที่ขับก็ต่างกัน
วันไหนขับ Focus ก็เหยียบ ๆ มุด ๆ เพราะมันขับสนุก
แต่ถ้า Camry ก็ขับเรื่อย ๆ ไม่เร็วมากครับ
แบบจขกท ลองไป test drive ดูครับ
-
ทราบแต่ไม่ชัดมาก เพราะจากที่ผมใช้มา ถ้าขับไม่เกิน 100 จริง ถ้ารถไม่ได้สภาพแย่มาก จะรถรุ่นไหนก็เหมือนกันไปหมด
จะต่างตรงการหักเลี้ยวกะทันหัน ความนิ่งของพวงมาลัย การขับผ่านถนนไม่เรียบ แค่นั้นที่ชัดๆ
แต่จะไม่รู้ลิมิตช่วงล่าง การเข้าโค้งด้วยความเร็ว การเก็บเสียง อะไรแบบนั้น
-
ขับเร็วจริงๆก็ใช่ว่าเค้นกันเต็มสมรรถนะรถครับ
ที่วิ่งๆกันแรงๆบนถนนนี่ใช้คุ้มแล้ว? ไอ้การวิ่งตรงๆนิ่งๆ สมัยนี้ รถบ้านคันไหนๆมันก็เหยียบได้ 200 ทั้งนั้น
เก่งๆ เจ๋งๆที่ว่ากัน บนถนนที่ว่ากัน พอลงสนามเจอของจริงใน trackday อย่างพวก Im Evo ก็จ๋อยแล้วครับ หรือพอจะไปแข่งทางตรง ไปสนาม Drag เจอของจริงก็โดนทิ้งไม่เห็นฝุ่น
การขับเร็วๆ นิ่งๆ ตรงๆ 140-150 หรือไอ้การมุดแบบบ้านๆแว้นๆ แบบบางคนบนถนน ผมไม่เรียกว่าทำได้เต็มสมรรถนะช่วงล่างหรอก ต้องเล่นกันจนออกอาการโน่นละครับถึงจะคุ้ม
หรือบางคนที่ชอบการเล่นถึงลิมิตของรถจริงๆ ชอบการใส่โค้งจนลิมิต ถึงได้ชอบ 86 brz มากกว่า GTI ไง เพราะชีวิตมันมีมากกว่าโลกแคบๆที่อยู่แค่การกดคันเร่งในทางตรง
Heel and toe
Scandinevian flick
Over Steer
การอ่านไลน์
และเทคนิคอีกเยอะแยะมากมาย ที่จะสนุกกับลิมิตของรถ
ที่เห็นๆกระทืบแรงๆๆๆๆๆ กระทืบเร็วๆๆๆๆ เด็กมันก็ทำได้ คนที่ขับรถพึ่งขับได้ใหม่ๆมันก็ทำได้ ก็แค่กดคันเร่งเยอะๆ แต่สักกี่คนที่คุมรถเก่งๆ ในตอนถึงลิมิตได้ เหมือนเป็นร่างกายตัวเองบ้าง รู้ถึงสมรรถนะรถจริงๆบ้าง ผมว่า น้อย ถ้าไม่ใช่พวกแข่งรถจริงๆจังๆ หรือขับมาแล้วเยอะๆ
ส่วนระบบที่ทำๆมาเนี่ย เพื่อเหตุไม่คาดฝันจริงๆ
บนถนน มันไม่มีทางขับให้ถึงลิมิตโดยไม่ไปรบกวนชาวบ้านได้หรอกครับ เลยขอทำตามกฎ ใจเย็นๆขับสบายๆ มีอะไร ค่อยไปวัดในสนามครับ ยอมเสียเงินหน่อย แต่ความสนุกมันก็คุ้มค่านะ
จริงๆว่าอยากลองลง Toyota Racing School ดูเหมือนกัน จะได้ลองฝึกเทคนิคหลายๆอย่างเผื่อมาประยุกต์ใช้บนถนน
อย่างผมเคยอ่านเรื่องพื้นฐานการถ่ายน้ำหนักรถ ก็เอามาประยุกต์ในชีวิตจริง จนตอนนี้โดนบังคับให้เป็นคนขับรถประจำที่บ้านไปแล้ว ถ้าไปไหนคือต้องรถผมตลอด ทุกคนพูดตรงกันว่า ขับได้นิ่มนวลมาก ไม่เมารถเลย
่หลังๆเลยใส่ใจกับอะไรที่มันเห็นผลในการใช้งานจริงๆมากกว่า เช่น ความสวยของภายนอก และบรรยากาศภายใน ความเงียบ พื้นที่โดยสาร สัมภาระ เสียงเครื่อง เครื่องเสียง ฟีลลิ่งพวงมาลัยดีพอประมาณ นิ่งๆไม่ต่องคอยเลี้ยง หรือสะบัดแรงๆ เกินไป ช่วงล่างนิ่มๆ แต่แน่นๆ พอจะคุมท้ายจะไม่รีบาวหนักๆเวลาเจอคอสะพาน เอาว่ารถที่ขับไกลๆไม่เหนื่อยและสุนทรีย์ไปกับมัน น่าใช้สุดละครับ เพราะเป็นอะไรที่ได้ใช้ทุกวันมากกว่า ::)
พวกฟีลสปอร์ตเต็มขั้น คันต่อไปผมเล็งๆ GC ไม่ก็ MX5 ไว้ละครับ กะทำไว้ Trackday สถานเดียว (หรืออาจจะ RX8 เพราะยังไงก็ไม่ได้ขับทุกวันอยู่แล้ว + ชอบขับหลังเป็นทุนเดิม)
เล่นกันแรงๆแตะลิมิต มันต้องแบบนี้ครับ โครตมันส์
https://www.youtube.com/watch?v=H_fcVWkvK2Q
-
ผมมองว่า จขกท.ใช้รถที่สมรรถนะ ทำได้แค่นั้น
ถ้า จขกท.เปลี่ยนรถที่ สมรรถนะดีขึ้น ความเร็วในการใช้รถก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างผมขับสลับอยู่ 2 คัน ใช้ความเร็วไม่เท่ากันแม้วิ่งในเส้นทางเดิมๆ เพราะเรารู้ ลิมิต ของรถ แต่ละคันว่ามันได้แค่ใหน ระยะเบรคเท่าไร
-
อาจจะไม่ทราบสมรรถนะที่แท้จริงได้แต่สามารถ
แยกได้ว่า. กับคุ้แข่งมันต่างกันอย่างไร. เข่น110 civic กับ altis ต่างกัน
-
พอได้แต่ไม่สุดครับ มันต้องแล้วแต่รุ่นรถอีกอ่ะ ถ้า110อีโค่คาร์นี่เบาแล้ว
ถ้าพวกรถยุโรปหรือพวกช่วงล่างเทพๆ 110นี่เหมือน60 ของรถทั่วๆไป
-
ก็ได้อยู่นะครับ กับอาการของรถที่แสดงออกในช่วงความเร็วนั้นๆ
เช่นการซึมซับแรงกระแทก อาการโยนตัวตอนเข้าโค้ง ความตึงตัง
แต่ถ้าถามว่าสมรรถนะจริงๆ ของรถแต่ละคัน
ว่าใกล้จะหลุดโค้งตอนไหน เหวี่ยงแรง over/understeer พวกนี้มันยังไม่ออกอาการแน่ครับ
-
สำหรับผมแทบไม่แตกต่างเลยครับ ถ้า....
รถสภาพสมประกอบ ไม่ถึงขนาดต้องสมบุรณ์ ขับทางตรงๆ 80-110 เจอโค้งก็เบรค ผมลองขับที่ย่านความเร็วนี้ตั้งแต่ Swift/Brio จนไปถึง SClass (แต่ไม่เคยขับกระบะนะครับ) แทบไม่แตกต่างกันจนรู้สึกได้เลยครับ แม้กระทั่งการเก็บเสียง การเก็บแรงสะเทือน
มันจะมาออกออกอาการถ้าเราเริ่มใส่โค้งแรงๆ เจอโค้งหักๆต่อเนื่อง หรือหักหลบอะไรบางอย่างครับ อันนี้เห็นอาการชัดๆเลยครับ
-
ขับบนถนน 2 เลนรถสวนครับ เอาเส้นที่มีรถเยอะๆ ต้องเค้นกำลังเร่งแซงบ่อยๆ เช่นถนนเชื่อมระหว่างจังหวัดเกือบทุกสายในภาคอีสาน
ส่วมมากคนที่ขับในเมือง เช้าทางด่วน เย็นทางด่วน ถนน 4 เลนตลอดจะไม่ค่อยทราบอะไรมาก
เพราะมันไม่กดดันในการแซง อย่างมากแซงไม่พ้นก็แช่ขวาไปเรื่อยๆ แบบนั้นแหละ ใครจะทำไม ถถถ+
B-seg Eco ส่วนมากก็วิ่งไปเรื่อยๆก็ได้ ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อออกต่างจังหวัดถนน 2 เลน เมื่อไหร่ความรู้สึกคนละเรื่องเลย
-
ขับธรรมดา บ้าน ๆ ใน กทม ความเร็ว 40-60 น่าจะไม่ค่อยได้ทราบสมรรถนะจริง ๆ ได้แค่รู้สึกเรื่องระยะเบรค ความนุ่มนวล ความคล่องตัว
ถ้าพอได้ขับ ตจว.ทางไกล ทางโค้ง โค้งหักศอก โค้งตัว S ขึ้นเขา จังหวะการเร่งแซง ฯลฯ
จะทราบเองครับว่า เป็นอย่างไร ?
พวกที่ลองขับใกล้ ๆ นี้ ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ ต้องลองไกลหน่อย แล้วจังหวะเข้าโค้ง เพื่อจับความรู้สึก
-
ถ้าขับอย่างที่ จขกท ว่า คงสัมผัสลิมิตรถ ยากครับ
ยกเว้นโชคไม่ดีเจอคนเมา หรือหลับในข้ามเลนมาชน ซึ่งอาจต้องหักหลบ+เบรคเร็วๆ แต่โอกาสคงเป็นไปได้น้อยมากๆ
ทีนี้ถ้าอยากสัมผัสลิมิตรถจริงๆ โดยที่ไม่ต้องใช้ความเร็ว ใกล้ๆก็ไปที่สนามนครไชยศรีเลยครับ สุดทางตรงถ้ารถแรงม้าไม่มากน่าจะซัก120 ทางโค้งก็40-60 ได้รู้อาการรถทุกอย่างแน่นอน แล้วขับในชีวิตประจำวัน จะมั่นใจขึ้นครับ
https://youtu.be/0D1KDhOGRO0
-
ถ้าจขกท.ขับลํกษณะเช่นนั้น คงจะไม่ทราบถึงสมรรถนะที่แท้จริงของรถล่ะครับ
คงได้เพียงสมรรถนะการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน
แต่ถ้าหากถามว่า จำเป็นต้องเรียนรู้สมรรถนะที่แท้จริงของรถด้วยตัวเองหรือไม่?
หรือเพื่อพัฒนาทักษะให้ขับเก่งๆหรือไม่?
จากลักษณะการใช้งานมา20ปีของจขกท.ที่เป็นการขับขี่ที่ดี ปลอดภัย ถนอมตัวรถไปด้วย
ดีมากๆอยู่แล้วครับ ไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงไปในการลองสมรรถนะรถด้วยตัวเองเลย
อ่านรีวิวต่างๆเยอะๆมากมายแทนดีกว่าครับ ขอแค่ให้รู้พอ
ให้คนอื่นผู้ที่มีประสบการณ์เขารับความเสี่ยงแทนดีกว่า
(ส่วนใหญ่เขาชอบแนวทางนี้อยู่แล้วครับ จึงได้มาสายเส้นทางนี้)
ก็จะได้รับทราบสมรรถนะข้อมูลรถของตัวเองเหมือนกัน
และไม่จำเป็นต้องมาเปลี่ยนแนวทางวิธีขับขี่ที่ดีแล้วนั้น
ถ้าเร็วมากขึ้น ความเสี่ยงกับชีวิตตัวเองและคนข้างเคียงมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
เพราะปกติก็ขับเช่นนั้นด้วยความสุข(+ความปลอดภัย)มาเนิ่นนานดีอยู่แล้ว
ผมคิดว่าจขกท.โชคดีมากครับ ถือว่าเหมือนพรสวรรค์ที่ดีส่งมาให้เลย ที่พอใจการขับขี่แบบนั้นมาตลอด
เหมือนเป็นการช่วยรับประกันความปลอดภัยปกป้องอตร.จากอุบัติเหตุได้ส่วนหนึ่งแล้ว
หลายท่านในจิตใจชอบขับเร็วกว่าจขกท. ชอบตื่นเต้นกว่า ทั้งรู้ว่าขับเร็วความเสี่ยงอตร.เพิ่มขึ้นแน่นอน
อาจให้เหตุผลต่างๆนานา เช่น ขับแค่นั้นแล้วง่วง รีบไปทำธุระ กลัวไปสาย ไม่ทันนัดหมาย ฯลฯ
แต่จริงๆมันเหมือนแรงผลักดันจากภายในจนชนะความรู้สึกที่ว่ามันอตร.เพิ่มขึ้น
(ตัวผมก็เป็น แต่พออายุมากขึ่้นก็ช้าลงเอง กลัวมากขึ้นครับ)
กลุ่มนี้ก็ต้องถือว่ามีความโชคดีน้อยกว่าจขกท. ที่ต้องรับความเสี่ยงเพิ่มมากกว่า
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะขับรถปลอดภัยอย่างไร ก้ไม่ใช่เลือกรถที่มีคุณสมบัติแค่นำเราจากจุดAไปจุดB
(อย่างที่หลายท่านชอบกล่าวกัน)
ถ้าพอไหว ก็ขอให้เลือกรถที่มีสมรรถนะดีกว่า ปลอดภัยมากกว่า ตามกำลังที่เราจ่ายได้อย่างเหมาะสม
เวลาเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน รถสมรรถนะที่ดีกว่าย่อมปกป้องให้ผ่านสถานการณ์อันตรายได้ดีกว่า
ยิ่งมีหลายอุบัติเหตุที่เกิดจากควมผิดพลาดหรือความบกพร่อง ประมาทของบุคคลอื่น ทั้งที่เราขับขี่ปลอดภัยเต็มที่อยู่แล้ว
-
ถ้าขับอย่างที่ จขกท ว่า คงสัมผัสลิมิตรถ ยากครับ
ยกเว้นโชคไม่ดีเจอคนเมา หรือหลับในข้ามเลนมาชน ซึ่งอาจต้องหักหลบ+เบรคเร็วๆ แต่โอกาสคงเป็นไปได้น้อยมากๆ
ทีนี้ถ้าอยากสัมผัสลิมิตรถจริงๆ โดยที่ไม่ต้องใช้ความเร็ว ใกล้ๆก็ไปที่สนามนครไชยศรีเลยครับ สุดทางตรงถ้ารถแรงม้าไม่มากน่าจะซัก120 ทางโค้งก็40-60 ได้รู้อาการรถทุกอย่างแน่นอน แล้วขับในชีวิตประจำวัน จะมั่นใจขึ้นครับ
https://youtu.be/0D1KDhOGRO0
ตอนนี้ค่าใช้จ่ายคิดเท่าไหร่ยังไงครับต่อวัน / ครึ่งวัน ผมสนใจอยากลองไปวิ่งเหมือนกันครับ น่าสนุก ;D ;D ;D ;D
-
ผมมองว่า จขกท.ใช้รถที่สมรรถนะ ทำได้แค่นั้น
ถ้า จขกท.เปลี่ยนรถที่ สมรรถนะดีขึ้น ความเร็วในการใช้รถก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างผมขับสลับอยู่ 2 คัน ใช้ความเร็วไม่เท่ากันแม้วิ่งในเส้นทางเดิมๆ เพราะเรารู้ ลิมิต ของรถ แต่ละคันว่ามันได้แค่ใหน ระยะเบรคเท่าไร
:) :) :) ช่วงที่ผ่านมาใช้ Toyota wish และตอนนี้ ใช้ Camry HV MC 2015 อยู่ครับเวลาเดินทางไกล ครับ 555 อายจัง :-[กำลังรถมันยังไปได้อีกเยอะครับ แต่สารภาพตรงๆเลย ผมวิ่งแค่นั้นจริงๆครับ ใช้ Radar cru. Control กำกับความเร็วอีกต่างหาก...อายจริงๆ / แต่มันได้ประโยชน์ตอนต้องใช้กำลังตอนขึ้นเขา เร่งแซงทางสองเลนนะครับ / แต่การที่ผมวิ่งที่ความเร็วแค่นี้ ผมไม่ค่อยทราบว่าช่วงล่างรถผมมันเป็นอย่างไรชัดๆนะครับ 555 ดูมันก็เหมือนๆคันอื่นๆนะครับ แยกแยะไม่ค่อยออก / เวลาขับในเมืองก็สลับกับ Swift บ้างนะครับ ผมก็แยกไม่ค่อยออก
-
ถ้าขับอย่างที่ จขกท ว่า คงสัมผัสลิมิตรถ ยากครับ
ยกเว้นโชคไม่ดีเจอคนเมา หรือหลับในข้ามเลนมาชน ซึ่งอาจต้องหักหลบ+เบรคเร็วๆ แต่โอกาสคงเป็นไปได้น้อยมากๆ
ทีนี้ถ้าอยากสัมผัสลิมิตรถจริงๆ โดยที่ไม่ต้องใช้ความเร็ว ใกล้ๆก็ไปที่สนามนครไชยศรีเลยครับ สุดทางตรงถ้ารถแรงม้าไม่มากน่าจะซัก120 ทางโค้งก็40-60 ได้รู้อาการรถทุกอย่างแน่นอน แล้วขับในชีวิตประจำวัน จะมั่นใจขึ้นครับ
https://youtu.be/0D1KDhOGRO0
ตอนนี้ค่าใช้จ่ายคิดเท่าไหร่ยังไงครับต่อวัน / ครึ่งวัน ผมสนใจอยากลองไปวิ่งเหมือนกันครับ น่าสนุก ;D ;D ;D ;D
ตอนผมไป1,500 ได้ทั้งวันครับ แต่ต้องวิ่งผลัดกับมอไซค์ รอบละ30นาที
โทรถามตารางว่างได้จากเบอร์ในเวปเลยครับ ตอนนี้ปรับปรุงสนามใหม่ด้วยน่าจะขับดีขึ้นไปอีก
โดยส่วนตัว ผมชอบสนามนี้มากกว่าพีระอีก ขับสนุกไม่โทรมรถ
http://www.thailandcircuit.racing/
-
ถ้าจขกท.ขับลํกษณะเช่นนั้น คงจะไม่ทราบถึงสมรรถนะที่แท้จริงของรถล่ะครับ
คงได้เพียงสมรรถนะการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน
แต่ถ้าหากถามว่า จำเป็นต้องเรียนรู้สมรรถนะที่แท้จริงของรถด้วยตัวเองหรือไม่?
หรือเพื่อพัฒนาทักษะให้ขับเก่งๆหรือไม่?
จากลักษณะการใช้งานมา20ปีของจขกท.ที่เป็นการขับขี่ที่ดี ปลอดภัย ถนอมตัวรถไปด้วย
ดีมากๆอยู่แล้วครับ ไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงไปในการลองสมรรถนะรถด้วยตัวเองเลย
อ่านรีวิวต่างๆเยอะๆมากมายแทนดีกว่าครับ ขอแค่ให้รู้พอ
ให้คนอื่นผู้ที่มีประสบการณ์เขารับความเสี่ยงแทนดีกว่า
(ส่วนใหญ่เขาชอบแนวทางนี้อยู่แล้วครับ จึงได้มาสายเส้นทางนี้)
ก็จะได้รับทราบสมรรถนะข้อมูลรถของตัวเองเหมือนกัน
และไม่จำเป็นต้องมาเปลี่ยนแนวทางวิธีขับขี่ที่ดีแล้วนั้น
ถ้าเร็วมากขึ้น ความเสี่ยงกับชีวิตตัวเองและคนข้างเคียงมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
เพราะปกติก็ขับเช่นนั้นด้วยความสุข(+ความปลอดภัย)มาเนิ่นนานดีอยู่แล้ว
ผมคิดว่าจขกท.โชคดีมากครับ ถือว่าเหมือนพรสวรรค์ที่ดีส่งมาให้เลย ที่พอใจการขับขี่แบบนั้นมาตลอด
เหมือนเป็นการช่วยรับประกันความปลอดภัยปกป้องอตร.จากอุบัติเหตุได้ส่วนหนึ่งแล้ว
หลายท่านในจิตใจชอบขับเร็วกว่าจขกท. ชอบตื่นเต้นกว่า ทั้งรู้ว่าขับเร็วความเสี่ยงอตร.เพิ่มขึ้นแน่นอน
อาจให้เหตุผลต่างๆนานา เช่น ขับแค่นั้นแล้วง่วง รีบไปทำธุระ กลัวไปสาย ไม่ทันนัดหมาย ฯลฯ
แต่จริงๆมันเหมือนแรงผลักดันจากภายในจนชนะความรู้สึกที่ว่ามันอตร.เพิ่มขึ้น
(ตัวผมก็เป็น แต่พออายุมากขึ่้นก็ช้าลงเอง กลัวมากขึ้นครับ)
กลุ่มนี้ก็ต้องถือว่ามีความโชคดีน้อยกว่าจขกท. ที่ต้องรับความเสี่ยงเพิ่มมากกว่า
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะขับรถปลอดภัยอย่างไร ก้ไม่ใช่เลือกรถที่มีคุณสมบัติแค่นำเราจากจุดAไปจุดB
(อย่างที่หลายท่านชอบกล่าวกัน)
ถ้าพอไหว ก็ขอให้เลือกรถที่มีสมรรถนะดีกว่า ปลอดภัยมากกว่า ตามกำลังที่เราจ่ายได้อย่างเหมาะสม
เวลาเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน รถสมรรถนะที่ดีกว่าย่อมปกป้องให้ผ่านสถานการณ์อันตรายได้ดีกว่า
ยิ่งมีหลายอุบัติเหตุที่เกิดจากควมผิดพลาดหรือความบกพร่อง ประมาทของบุคคลอื่น ทั้งที่เราขับขี่ปลอดภัยเต็มที่อยู่แล้ว
::) ::) ::) ขอบคุณมากครับ / มันน่าจะมาจากการที่ขี้กลัว มากกว่าครับ และไม่อยากให้ลูกเมียอันตรายด้วยครับ และเพื่อนร่วมทาง แม้กระทั่งผู้คนข้างๆทางครับ / แต่ก็ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับรถครับ เลยมาแฝงตัวเสพข้อมูลต่างๆจากเพื่อนสมาชิก ที่มีประสพการณ์หลากหลาย ทำให้เหมือนได้ชดเชย ด้านที่ไม่เคยสัมผัสจริงนะครับ / เห็นด้วยครับเรื่องการเลือกรถที่สมรรถนะที่เผื่อความปลอดภัยไว้หน่อย แม้จะขับไม่เร็ว ตอนนี้ก็เลยใช้ Camry HV premium MC 2015 อยู่ครับ เผื่อเอาไว้ครับ แต่ก็ไม่อยากใช้อะไรที่ต้องเสียวๆเลยครับ 555
-
ถ้าขับอย่างที่ จขกท ว่า คงสัมผัสลิมิตรถ ยากครับ
ยกเว้นโชคไม่ดีเจอคนเมา หรือหลับในข้ามเลนมาชน ซึ่งอาจต้องหักหลบ+เบรคเร็วๆ แต่โอกาสคงเป็นไปได้น้อยมากๆ
ทีนี้ถ้าอยากสัมผัสลิมิตรถจริงๆ โดยที่ไม่ต้องใช้ความเร็ว ใกล้ๆก็ไปที่สนามนครไชยศรีเลยครับ สุดทางตรงถ้ารถแรงม้าไม่มากน่าจะซัก120 ทางโค้งก็40-60 ได้รู้อาการรถทุกอย่างแน่นอน แล้วขับในชีวิตประจำวัน จะมั่นใจขึ้นครับ
https://youtu.be/0D1KDhOGRO0
:) :) :) สุดยอดเลยครับ
-
ที่ความเร็ว 80-110 กม/ชม
รถต่างกัน การตอบสนองแตกต่างแล้วครับ
เช่นที่ 80 แล้วต้องเร่งแซง หรือ 80 แล้วจะหยุด
และ 80 แล้วหักหลบ
หรือวิ่ง 80ตรงๆ แต่ถนนไม่ได้เรียบสนิท แค่สะพานข้ามแยก ผมยกตัวอย่างสะพานหน้าโลตัสพระราม 3 มุ่งหน้าใต้สะพานแขวน ใช้รถคนละคัน มันกระเด้งกระดอนต่างกัน
อีกเรื่องที่เจอคือ เสียงรบกวนครับ
ที่ 100 รถที่บ้านคันนึง ฟังเพลงไม่รู้เรื่องครับ
คันอื่นๆยังฟังได้ เสียงลมมันกวน จนไม่ได้ยินเสียงเพลง
เวลาเขาโค้ง แค่ 80ก็ต่างมากครับ บางคันเสียวแล้ว
บางคันมันเกาะไปกับโค้งจนอยากกดต่อ
สุดท้ายลองทดสอบดูครับ
ว่าร่างกายเราเหนื่อยล้า ต่างกันไหม
ไปทางเดียวกัน ใข้เวลาพอกัน
ลงจากรถแล้ว อยากนั่งพักหรือยังสดชื่นดี
-
ขับรถเหมือนชิมอาหารครับ ถ้าชิมแค่ช้อน2ช้อน ถามว่าจะเข้าถึงรสชาติที่แท้จริงได้มั้ย ตอบว่าไม่ครับ ถ้าจะให้ดีควรขับให้รู้ limit ของรถ หลักๆที่จำเป็นก็อัตราเร่ง 0-100 , 80-120 , 80-140 , 0-200 / ระยะเบรค 100-0 , 200-0 / อาการรถที่ความเร็วช่วงต่างๆ / การหักหลบกะทันหันที่ความเร็วต่างๆ สิ่งเหล่านี้ทำบ่อยๆจนชินจะทำให้เรามีสติเวลาเจออุบัติเหตุกะทันหันครับ
-
ความเร็ว 80-110 เราจะได้สัมผัสสมรรถนะของเกียร์และเครื่องยนต์ มากกว่าสมรรถนะของช่วงล่าง
-
:) :) :) ช่วงที่ผ่านมาใช้ Toyota wish และตอนนี้ ใช้ Camry HV MC 2015 อยู่ครับเวลาเดินทางไกล ครับ 555 อายจัง :-[กำลังรถมันยังไปได้อีกเยอะครับ แต่สารภาพตรงๆเลย ผมวิ่งแค่นั้นจริงๆครับ ใช้ Radar cru. Control กำกับความเร็วอีกต่างหาก...อายจริงๆ / แต่มันได้ประโยชน์ตอนต้องใช้กำลังตอนขึ้นเขา เร่งแซงทางสองเลนนะครับ / แต่การที่ผมวิ่งที่ความเร็วแค่นี้ ผมไม่ค่อยทราบว่าช่วงล่างรถผมมันเป็นอย่างไรชัดๆนะครับ 555 ดูมันก็เหมือนๆคันอื่นๆนะครับ แยกแยะไม่ค่อยออก / เวลาขับในเมืองก็สลับกับ Swift บ้างนะครับ ผมก็แยกไม่ค่อยออก
[/quote]
ถ้าแบบนี้น่าจะเป็น limited ของผู้ใช้มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ผมก็ใช้ความเร็วมากกว่า จขกท.ประมาณ 20% เกินจากนี้ก็ไม่เอา แต่ถ้าได้มีโอกาสทดลองบนสนามแข่งรถ มีชุด safty พร้อมก็อยากลองขับ แบบ moose test,drift อะไรกับเขาบ้าง
-
ไม่ต้องขับเกิน100แล้วทดสอบหักหลบแบบmoose testก็รับรู้ได้ถึงประสิทธิภาพของรถแล้วนะครับ :-X
-
ผมมองว่า จขกท.ใช้รถที่สมรรถนะ ทำได้แค่นั้น
ถ้า จขกท.เปลี่ยนรถที่ สมรรถนะดีขึ้น ความเร็วในการใช้รถก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างผมขับสลับอยู่ 2 คัน ใช้ความเร็วไม่เท่ากันแม้วิ่งในเส้นทางเดิมๆ เพราะเรารู้ ลิมิต ของรถ แต่ละคันว่ามันได้แค่ใหน ระยะเบรคเท่าไร
อันนี้จริงครับ อย่างผมขับอัลติสเดิมๆ ขับเกิน 80 ก็เริ่มเสียวแล้ว พอไปจับรถของน้า เป็นเบนซ์คลาส C ธรรมดา แค่ออกตัวไปจนเริ่มเสียว แหงะดูความเร็ว อ่าวเฮ้ย 140 แล้วเหรอเนี่ย ความนิ่งและอะไรๆมันรู้สึกพอๆกับตอนอัลติสขับ 80 เลย
-
It's not only about Top Speed.
-
รถบางรุ่นที่ผมเคยไปลองขับ ขับแค่ 80 ก็ไม่ไว้ใจแล้วครับ
พอเปลี่ยนเลนปุ๊บ เสียววูบเลยครับ
-
ขับรถเร็ว ไม่ใช่ จะทราบถึงสมรรถนะรถที่แท้จริง ครับ
ความเร็ว เป็นหนึ่งใน ตัวแปร ครับ
อยากทราบสมรรถนะที่แท้จริง ต้องไปถึง ทุก ขีดจำกัด ของ ตัวแปร ครับ
:) :) :) ผมขับไม่เร็วครับ ในเมืองก็ไม่จี้ไม่มุด ไม่เร่งเครื่องกระชาก ทางไกลก็อยู่ที่ 80-110 แต่จะอยู่ในเลนที่เหมาะสมกับความเร็วและสถานการณ์ขณะนั้นตลอด ไม่ขับแช่ขวา จะใช้แซงแล้วกลับเข้ามา เว้นระยะเบรคเผื่อไว้ค่อนข้างเยอะ ค่อยๆเร่งเครื่อง ถ้าไม่มีภาวะกดดัน ไม่ชอบสลับเลนไปมา เวลาเห็นเหตุการณ์ไม่น่าไว้ใจก็จะชลอแต่เนิ่นๆ ถ้าฝนตกก็จะขับช้ากว่าเดิมมากๆ ไม่ไหวก็หาที่ปลอดภัยจอดก่อน / ขับรถยนต์มายี่สิบกว่าปีผมยังไม่เคยเหยียบเบรคเต็มแรงเกิดซักที ยังไม่เคยรู้เลยครับว่าถ้า ABS มันทำงานมันเป็นอย่างไร รถ Under หรือ over สเตียร์มันรู้สึกอย่างไร / ไม่เคยรู้สึกว่า VSC TRC มันทำงานตอนไหนครับ
:) :) :) อยากถามท่านที่ขับรถเร็วๆหน่อยนะครับ ถ้าคนขับแบบผมนี่ จะสามารถรัรู้ถึงสมรรถนะที่แท้จริงของรถแต่ละรุ่นที่เราใช้ขนาดไหนครับ
รับรู้ได้ เท่ากับ หรือ ใกล้เคียง ตัวแปร ครับ
/ แฮะๆรู้สึกว่าขับรถมานานแต่ดูทักษะไม่ค่อยพัฒนาเท่าไรเลยครับ 555
ทักษะการขับขี่เชิงไหนครับ รุก รับ อื่นๆ
อาจ พัฒนา ทักษะการขับขี่ เชิงรับ มาไกล ก็ เป็นได้ ครับ :D
ถ้า ได้ ทุก เชิง พร้อมลุย ทุก สถานการณ์ ครับ ::)
-
ทราบสิครับ ก็ทราบในแบบการใช้งานของเค้านั่นแหละครับ
เพื่อนผู้หญิงผมคุยเรื่องรถกัน เทียบกันเรื่องที่วางแขน ช่องเก็บของ กระจกแต่งหน้า มันอาจจะไม่ใช่เรื่องสมรรถนะ แต่มันก็คือการใช้รถที่ตรงกับความต้องการของแต่ละคน
-
ได้ครับ หาสนามแคบๆ เดี๋ยวก็ได้รู้ครับ