Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: bahamu ที่ พฤษภาคม 11, 2017, 22:39:27

หัวข้อ: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: bahamu ที่ พฤษภาคม 11, 2017, 22:39:27
ค่าซีเทนสูงสุดถึง 70 (มาตรฐานกรมธุรกิจพลังงาน ค่าซีเทนขั้นต่ำ 50)
ปตท.ไฮฟอร์ค2 ยูโร 5 ซีเทนเกิน 60

ผู้บริหารให้สัมภาษณ์ว่า มาตรฐานสูงกว่า ยูโร 5 แต่ใกล้ยูโร 6 แค่ไหนไม่ได้บอก
ราคาเพิ่มสามบาทเศษ ต่อลิตร
(บางจากกำลังทดสอบb10 ตามนโยบายรัฐ)

ตอนนี้ในไทยมีดีเซล ยูโร5 สองยี่ห้อไทยแท้ รถดีเซลแรงดันหัวฉีดสูงหาเติมง่ายขึ้นเยอะ
ส่วนของนอกคงน่าจะตามมาในไม่ช้า ก่อนปี63 ที่รถออกจากโรงงานต้องไอเสียยูโร5

รถดีเซลรุ่นใหม่ มาตรฐานน้ำมันยูโร6  ค่ากำมะถันเท่ากับ ยูโร 5
ไนโตรเจนออกไซด์ ลดลงเหลือ 0.80 จาก 0.180 มล.กรัมต่อกิโล
หมอกพิษ(HC+NOx)  ลดลงเหลือ0.170 จาก 0.230 มล.กรัมต่อกิโล

ยูโร7 คงมลพิษต่ำจนสู้รถไฟฟ้าได้ ไม่งั้นบ.รถคงล้มหายตายจากไปอีกเยอะ
หัวข้อ: Re: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: escudaeza ที่ พฤษภาคม 11, 2017, 22:55:38
แล้วตัว ไฮดีเซลs ธรรมดานี่ผ่านยูโร5ไหมครับ  :)
หัวข้อ: Re: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: Stp ที่ พฤษภาคม 11, 2017, 22:59:22
ผมเริ่มสงสัยว่าสารเติมแต่ง (Additive) ของน้ำมันเกรด EURO 5 นี่มันแพงกว่ามากแค่ไหน ทำไมต้องขายราคาเกรดแพงกว่าปกติมาก หรือแค่ตั้งใจจะแยกเกรดขายราคาแพงกว่าก็แค่นั้น

บางจากพรีเมียมดีเซล Euro 5 ราคา 28.22 บาท
บางจากดีเซล Euro 4 ราคา 24.54 บาท

แพงกว่าเกือบ 4 บาททีเดียว ราคาดุใช้ได้เลย แต่อยากลองกับเครื่องยนต์ดีเซล EURO6 เหมือนกันว่าจะรู้สึกยังไง ปกติก็เติมดีเซลบางจากอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: bahamu ที่ พฤษภาคม 12, 2017, 07:28:04
เมื่อเปรียบเทียบการลงทุนระหว่างน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 กับยูโร 5 แล้วคาดว่า
การลงทุนสำหรับน้ำมันยูโร 5 "จะต้องลงทุนสูงกว่าประมาณร้อยละ 10-20"
เนื่องจากทางเทคนิคจะต้องติดตั้งระบบเพิ่มความดัน อุปกรณ์สำหรับควบคุมอุณหภูมิ
และระบบอื่นๆ เพื่อให้น้ำมันภายใต้มาตรฐานดังกล่าว สามารถลดค่ากำมะถันให้เหลือเพียง 10 PPM
ในขณะที่น้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ปล่อยค่ากำมะถันอยู่ที่ 50 PPM

แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลย้อนหลังในช่วงที่โรงกลั่นต้องปรับปรุงน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 นั้น
มีการศึกษาต้นทุนราคาน้ำมันโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) พบว่า
ต้นทุนน้ำมันเบนซินปรับขึ้น 1.20 บาท/ลิตร ในขณะที่ต้นทุนน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1 บาท/ลิตร

ดังนั้นแนวโน้มต้นทุนของราคาน้ำมันภายใต้มาตรฐานยูโร 5 ที่ประชาชนต้องรับภาระคาดว่า
จะอยู่ที่ประมาณ 1 บาทกว่า/ลิตรเช่นกัน

เมื่อประเมินการลงทุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดังกล่าวจะใช้เงินลงทุนอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ/โรง
หรือ 14,000 ล้านบาท/โรง ดังนั้นโรงกลั่นในประเทศที่มีอยู่ 6 โรงเท่ากับว่า จะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 84,000 ล้านบาท

"กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันได้ลงทุนปรับปรุงน้ำมันให้ได้มาตรฐานยูโร 4 ยังไม่ถึง 10 ปีเลย
มาตอนนี้ภาครัฐก็จะให้ปรับเป็นยูโร 5 อีกแล้ว ทุกคนพร้อมจะปฏิบัติตามนโยบายของภาครัฐ
เพียงแต่ต้องชัดเจนใน 4 ประเด็นข้างต้นก่อน และต้องถามผู้ใช้น้ำมันด้วยว่า
สามารถแบกรับต้นทุนราคาน้ำมัน ที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับมาตรฐานเป็นน้ำมันยูโร 5 ได้หรือไม่ด้วย"

1)เหตุผลหรือความจำเป็นที่ต้องการให้ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันที่แท้จริง เนื่องจากทางกรมควบคุมฯให้ข้อมูลว่า
ในแต่ละปีมีผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจค่อนข้างมาก แต่กลับไม่มีรายงานตัวเลขที่ชัดเจน

2)ไม่มีการยืนยันจากผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศว่า รถยนต์ในปัจจุบันสามารถใช้น้ำมันยูโร 5 ได้หรือไม่

3)ต้นทุนการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะบริหารจัดการอย่างไร

4)ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับนั้น "คุ้มค่าการลงทุนหรือไม่"



http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1487147685 (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1487147685)
หัวข้อ: Re: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: MUK ที่ พฤษภาคม 12, 2017, 09:59:42
ผมมีความเชื่อว่า เพิ่มคุณภาพโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มราคาครับ
หัวข้อ: Re: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: Jacob ที่ พฤษภาคม 12, 2017, 11:13:50
ใช้รถไฟฟ้าละกัน เอาน้ำมันไปปั่นไฟ มลพิษก็จำกัดอยู่แค่แถวโรงงานไฟฟ้า คนทั่วไปก็ไม่เป็นโรคละ
หัวข้อ: Re: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: bahamu ที่ พฤษภาคม 12, 2017, 13:25:23
คาดการณ์ มาตรฐานน้ำมันดีเซล ยูโร7 2020
NOx เหลือ  23mg/kWh
NO2 เหลือ  110mg/kWhr
ไม่เน้นการลดCO2

ประสิทธิภาพทางความร้อน (thermal efficiency) เครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่
ยูโร 6 heavy-duty diesels ที่ 45—46%
ยูโร7 ตั้งเป้า 48%

เครื่องดีเซลความจุกระบอกสูบ 12-13 ลิตร
แรงดันน้ำมันดีเซลที่หัวฉีด 2,700 บาร์ ตั้งเป้า 3,400 บาร์
แรงอัดกระสูบ(cylinder pressures) 250 บาร์ ตั้งเป้า 300 บาร์


http://www.transportengineer.org.uk/article-images/116005/Next_generation_engines.pdf (http://www.transportengineer.org.uk/article-images/116005/Next_generation_engines.pdf)
หัวข้อ: Re: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: takuyaku ที่ พฤษภาคม 12, 2017, 16:54:33
ตัวใหม่ที่บางจากออกมา นี่ราคาแรงจริงครับ แต่ถ้าเทียบในตระกูล ดีเซลเกรดพรีเมียม ถ้ามองกลาง อยากได้น้ำมันสะอาด ค่าซีเทนอยู่ในระดับที่เกินมาตรฐาน แต่ถ้าต้องเลือกควักเงินจากกระเป๋าเยอะ ผมก็คงไม่เอา
ขอเลือก ที่มันแรงหน่อยในราคาที่เรายอมจ่ายได้แบบกลางๆ ดีกว่า
หัวข้อ: Re: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: bravo ที่ พฤษภาคม 12, 2017, 17:42:16
คุณ bahamu พอจะมีข้อมูลของ
-วี เพาเวอร์ ไนโตร+
-เอสโซ่ ซูพรีม ดีเซลพลัส
มั๊ยครับ ว่าค่าซีเทน เท่าไรครับ
หัวข้อ: Re: บางจาก ดีเซล ยูโร5 ราคาแบบพรีเมี่ยม
เริ่มหัวข้อโดย: bahamu ที่ พฤษภาคม 12, 2017, 21:32:39
ค่าซีเทนค้นไม่พบ แต่จากบทความนี้ พอจะบอกเป็นนัยๆได้

ใครจะไปเชื่อ! ว่าน้ำมันดีเซลเกรดPremium ที่มีสัดส่วนเพียงแค่ 1%
ของตลาดน้ำมันค้าปลีกในเมืองไทยที่มีมูลค่า 18,266 ล้านลิตรต่อปี
จะปรับเปลี่ยนสถานการณ์ร้อนแรงขึ้นมาอย่างทันที จากเดิมมีเพียง Shell เพียงรายเดียว
ที่ทำตลาดนี้อย่างจริงจังมานานกว่า 10 ปี แต่เวลานี้ได้เกิด 2 ผู้ท้าชิงหน้าใหม่ระดับ Big Brandอย่าง ปตท. และ Esso เลือกที่จะมีน้ำมันดีเซลเกรดPremium ไว้ให้ผู้บริโภคเป็นตัวเลือก

ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท. ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 45%
ในตลาดน้ำมันค้าปลีกคิดที่จะท้าทายแบรนด์รองในตลาดอย่าง Shell
ด้วยการคิดค้นน้ำมันดีเซลสูตร Premium ที่ชื่อ PTT HyForce
มาวางขายในสถานีปั๊มน้ำมันของตัวเอง

เพราะก่อนหน้านี้ตลาดน้ำมันดีเซลเกรด  Premium มีเพียง Shell เพียงเจ้าเดียวในตลาด
ที่ขายมานานกว่า 10 ปีอย่างไร้คู่แข่ง โดยมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 360 ล้านลิตร/ปี
ซึ่งหากนำมาเทียบกับมูลค่าตลาดน้ำมันทั้งหมดคือ 18,266ล้านลิตร/ปี
จะกลายเป็นสัดส่วนตลาดที่บางเฉียบเหลือเพียงแค่ 1% เท่านั้น

“ปตท. ไม่ได้หวังยอดขายและกำไรมากมายกับ HyForce แต่เป้าหมายหลักคือ
ต้องการให้ผู้บริโภคคนไทยรู้ว่าแม้ ปตท. จะเป็นบริษัทของคนไทย แต่ก็สามารถพัฒนาคิดค้น
น้ำมันดีเซลPremium ได้เทียบชั้นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย”
 
ชวลิต พันธ์ทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บอกถึงเป้าหมายหลักของน้ำมัน HyForceไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท.
ที่มีส่วนแบ่งสูงถึง 45% ในตลาดน้ำมันค้าปลีกคิดที่จะท้าทายแบรนด์รองในตลาดอย่าง Shell
ด้วยการคิดค้นน้ำมันดีเซลสูตร Premium ที่ชื่อ PTT HyForce มาวางขายในสถานีปั๊มน้ำมันของตัวเอง

โดยได้ให้บริษัทพันธมิตรอย่าง IRPC เป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการคิดค้นและวิจัยโดย
HyForceใช้เทคโนโลยีการผลิตเดียวกันกับการผลิตน้ำมันอากาศยาน
และการได้รับมาตรฐานยูโร 5 เพียงรายเดียวในตลาด

ราคาที่แพงกว่า 1 สตางค์ไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อแน่นอน แต่ที่ ปตท. ไม่อยากขายเท่ากัน
เพราะต้องการส่งสัญญาณไปว่า HyForce แพงกว่านิดหน่อย แต่คุณภาพเหนือกว่าคู่แข่ง
อีกทั้งต้นทุนยังสูงกว่า และถ้า ปตท. จะขายเน้นกำไรจริงๆ ราคาจะแพงกว่านี้


“ในเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่ Shell เข้าไปทำธุรกิจเราสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดน้ำมันดีเซลเกรด Premium ได้ในหลายๆ ประเทศ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าเราคือ Big Brand
ที่ประสบความสำเร็จในการขายน้ำมันเกรด Premium ผ่านสถานีบริการ 43,000 แห่งทั่วโลก”
 
แกรนท์ แมคเกรเกอร์ กรรมการบริหาร ธุรกิจการตลาดค้าปลีก บริษัท เซลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เล่าถึงความยิ่งใหญ่ระดับโลกของการทำตลาดน้ำมันดีเซลเกรด Premium

“มีโอกาสที่ Shellจะสูญเสียยอดขาย แต่ก็ยังมั่นใจในเทคโนโลยีของ Shell
ที่ตลาดน้ำมันอื่นๆ ก็พิสูจน์มาแล้ว”

เพราะ Shell เชื่อว่าแม้การเติมน้ำมันของผู้บริโภคในยุคนี้ ชอบทดลองอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ
แต่หากไปลองมาแล้วเกิดไม่ถูกใจก็จะกลับมาหาแบรนด์เดิมที่ตัวเองรู้สึกว่า Happy อย่างทันที

หากมองถึงความได้เปรียบของ Shell ในตลาดน้ำมันดีเซลเกรด  Premium
คือการเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 10 ปี
แน่นอนย่อมสามารถสร้างฐานลูกค้าจำนวนมากที่ยอมรับในคุณภาพของสินค้ามากกว่าคู่แข่งที่มาทีหลัง


http://marketeer.co.th/archives/685 (http://marketeer.co.th/archives/685)