Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: AboveGod ที่ พฤษภาคม 28, 2017, 22:32:10
-
ตอนนี้รถไม่มีประกันครับ ปกติทำแต่ชั้น 3 อยากจะทำประกันชั้น 1 ทิ้งไว้แล้วค่อยเครมสีรอบคันตอนจะหมดประกัน
เห็นมี ประกันชั้น 1 (Low Cost) ของกรุงเทพ เห็นเบี้ยราคาถูกดี ประกันพวกนี้เครมรอบคันแล้วคุ้มไหมครับ
ถ้าเครมรอบคันเสียเท่าไหร่ครับ เห็นค่ารับผิดส่วนแรก 2,000-5,000 บาท/ครั้ง อันนี้ต่อชิ้นหรือต่อครั้งครับ
อายุรถ 6 ปี รอยรอบคัน เว้นประตูบางบาน ฝาท้าย หลังคา ที่ไม่มีรอยครับ ;D
-
ผมเคยครับ ตอนถ่ายรูปนี่เอาให้เนียนสุดชีวิตเลย ฝากระโปรงยุบ ผ่านไป 2 เดือนก็เคลมยกชิ้นพร้อมทำสี 8000 กว่าบาท :P
-
ถ้าอยากจะทำเคลมรอบคัน ต้องเป็นแบบ ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรกครับ จะคุ้มสุดครับ เพราะถ้าเคลมแห้ง คือแจ้งเคลมทีเดียวรอบคันเลย จะเสียค่าใช้จ่ายราวๆ 4-6000 สำหรับกรณีไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก
แต่ถ้ามีค่าเสียหายส่วนแรก เขาจะเก็บเป็นเหตุการณ์ครับ ถ้าเคลมแห้งทีเดียวก็ราวๆ 5-6เหตุการณ์ คูณด้วยค่าเสียหายส่วนแรก อย่างเช่น ค่าเสียหายส่วนแรก 5000 ก็คูณ 5 หรือ 6 ไปครับ
แนะนำทำแบบไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก แล้วไปเบียดกระถาง เสาบ้าน แล้วเคลมสดไป เก็บใบเคลมไปเรื่อยๆให้ครอบคลุมรอบคันครับ และอย่างกระจกมีรอย กันชนหน้ามีรอย จะเคลมสดว่าขับรถผ่านหินแล้วโดนหินกระเด็นใส่ได้ พวกกันชนหน้า,ฝากระโปรงหน้า,กระจก,กระจกมองข้าง ,ประตูหน้าซ้าย-ขวา ทำเคลมสดทีเดียวได้เลยไม่เสียค่าเสียหายส่วนแรกครับ
ทำแบบนี้ประหยัดแน่นอน แต่ปีต่อไปย้ายบริษัทครับ ::)
ปอลิง นิดนึงนะครับ ก่อนทำชั้น1 เขาถ่ายรูปรถ และแผลเก่าด้วยนะครับ ถ้ามีแผลเก่าอยู่แล้ว จะเคลมที่จุดนั้น จะยากหน่อยนะครับ ส่วนใหญ่ต้องเคลียร์แผลเก่าให้จบก่อนครับ เขาต้องมาถ่ายรูปรถก่อนทำครับ
-
เข้าใจว่า อยากประหยัด
แต่ เป็นผม จะไม่ทำครับ ประกันไม่โง่หรอกครับ
-
อย่าเด็ดขาดครับ แบบนั้น 5-6 พัน แต่นับเป็นจุดๆครับ
-
ผมเคยครับ ตอนถ่ายรูปนี่เอาให้เนียนสุดชีวิตเลย ฝากระโปรงยุบ ผ่านไป 2 เดือนก็เคลมยกชิ้นพร้อมทำสี 8000 กว่าบาท :P
ประกันเป็นคนถ่ายหรือเราถ่ายเองครับ
ถ้าอยากจะทำเคลมรอบคัน ต้องเป็นแบบ ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรกครับ จะคุ้มสุดครับ เพราะถ้าเคลมแห้ง คือแจ้งเคลมทีเดียวรอบคันเลย จะเสียค่าใช้จ่ายราวๆ 4-6000 สำหรับกรณีไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก
แต่ถ้ามีค่าเสียหายส่วนแรก เขาจะเก็บเป็นเหตุการณ์ครับ ถ้าเคลมแห้งทีเดียวก็ราวๆ 5-6เหตุการณ์ คูณด้วยค่าเสียหายส่วนแรก อย่างเช่น ค่าเสียหายส่วนแรก 5000 ก็คูณ 5 หรือ 6 ไปครับ
แนะนำทำแบบไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก แล้วไปเบียดกระถาง เสาบ้าน แล้วเคลมสดไป เก็บใบเคลมไปเรื่อยๆให้ครอบคลุมรอบคันครับ และอย่างกระจกมีรอย กันชนหน้ามีรอย จะเคลมสดว่าขับรถผ่านหินแล้วโดนหินกระเด็นใส่ได้ พวกกันชนหน้า,ฝากระโปรงหน้า,กระจก,กระจกมองข้าง ,ประตูหน้าซ้าย-ขวา ทำเคลมสดทีเดียวได้เลยไม่เสียค่าเสียหายส่วนแรกครับ
ทำแบบนี้ประหยัดแน่นอน แต่ปีต่อไปย้ายบริษัทครับ ::)
ปอลิง นิดนึงนะครับ ก่อนทำชั้น1 เขาถ่ายรูปรถ และแผลเก่าด้วยนะครับ ถ้ามีแผลเก่าอยู่แล้ว จะเคลมที่จุดนั้น จะยากหน่อยนะครับ ส่วนใหญ่ต้องเคลียร์แผลเก่าให้จบก่อนครับ เขาต้องมาถ่ายรูปรถก่อนทำครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากๆครับ ;D
เข้าใจว่า อยากประหยัด
แต่ เป็นผม จะไม่ทำครับ ประกันไม่โง่หรอกครับ
เวลาไปอู่ อู่ก็ชอบบอกมีประกันชั้น 1 ซัพค่าใช้จ่ายได้
อย่าเด็ดขาดครับ แบบนั้น 5-6 พัน แต่นับเป็นจุดๆครับ
เจ็บหนักกว่าทำสีรอบคันเองซะอีก :(
-
เคยถามมานานพอควร ถ้าเปลี่ยนจาก ป2 ไป ป1 เผื่อเคลมแบบนี้ละครับบ แรกเข้าเขาจะดูประวัติการเคลม ถ้าดีก็เบาไป แต่ถ้ามีเคลมมาพอควร (เพื่อนผมรถ marchเข้า 6ปี เคลมมา2รอบ) จากป2 ไป ป1 เพิ่มเบี้ยราวๆ 3พันกว่าๆ แล้วตอนเคลมต้องเสียค่า accpet อีกครึ่งหมื่น คิดเล่นๆก็หมื่นละครับ แต่การเคลมก็ไม่ได้ง่ายเลย ผมว่า ทางที่ดี เก็บเงินทำสีเองดีกว่าครับ ประกันไม่ฉลาดน้อยอย่างที่ท่านข้างบนว่าไว้จริงๆ
-
ไม่ควรคิด ทำแล้วเสียรถ อยู่ได้ปีสองปี
ถ้าไม่เสียหายมาก ไม่ทำ ถ้าเสียหายมาก ทำเอง จ่ายเงินเอง
ส่วนประกัน ไว้ใช้งานฉุกเฉินจริง ๆ ถ้าเราไม่เคลมได้ลดเบี้ยประกันเหลือแค่ 50/100 คุ้มกว่าครับ
-
แบบนี้แหละครับ เบี้ยประกันชั้นหนึ่งมันถึงเพิ่มขึ้นทุกปีๆ
ประกันคำนวณแล้วกำไรเริ่มลด เพราะมีคนศรีธนญชัยมากเกินไป
เคลมในสิ่งที่ไม่ควรเคลม ให้อู่สีเอาไปขีดข่วน (ทำรอยรอบคัน) แล้วแจ้งเคลมทำสีใหม่
เทคนิคอู่สีทำแบบนี้กันเยอะ ใช่ แต่จะเห็นเลยว่าประกันดีๆ เขาจะไม่รับบางอู่ที่มีลูกเล่นแบบนี้เลย
ขออภัยที่ต้องว่าครับ แต่ผมเองใช้ประกันเพื่อซับความเสียหายในสิ่งที่เป็นอุบัติเหตุ
การที่รถอยู่ดีๆ ไม่มีเหตุ หาเหตุให้มันเกิด มากๆ เข้า เราก็เหมือนทำผิดจนไม่รู้สึกผิดน่ะครับ
-
ประกันชั้น 1 ถ้ารถคุณเกิน 5 ปี คุณ สู้เบี้ยประกันไหว หรอ
เผลอๆ ค่าเบี้ยประกัน แพงกว่า ค่าสี ค่าซ่อม ที่คุณจะต้องจ่ายอีก
คิดดูดีๆ
-
เคยถามมานานพอควร ถ้าเปลี่ยนจาก ป2 ไป ป1 เผื่อเคลมแบบนี้ละครับบ แรกเข้าเขาจะดูประวัติการเคลม ถ้าดีก็เบาไป แต่ถ้ามีเคลมมาพอควร (เพื่อนผมรถ marchเข้า 6ปี เคลมมา2รอบ) จากป2 ไป ป1 เพิ่มเบี้ยราวๆ 3พันกว่าๆ แล้วตอนเคลมต้องเสียค่า accpet อีกครึ่งหมื่น คิดเล่นๆก็หมื่นละครับ แต่การเคลมก็ไม่ได้ง่ายเลย ผมว่า ทางที่ดี เก็บเงินทำสีเองดีกว่าครับ ประกันไม่ฉลาดน้อยอย่างที่ท่านข้างบนว่าไว้จริงๆ
เป็นรถมือสองมาครับ เลยไม่รู้ประวัติเก่าอะไรเลยครับไม่ควรคิด ทำแล้วเสียรถ อยู่ได้ปีสองปี
ถ้าไม่เสียหายมาก ไม่ทำ ถ้าเสียหายมาก ทำเอง จ่ายเงินเอง
ส่วนประกัน ไว้ใช้งานฉุกเฉินจริง ๆ ถ้าเราไม่เคลมได้ลดเบี้ยประกันเหลือแค่ 50/100 คุ้มกว่าครับ
ประกันทำแต่ชั้น 3 อยู่แล้วครับ ไม่เคยทำชั้น 1 เลย แต่อยากเครมเลยมาหาข้อมูลครับ รถไม่มีสีเดิมแล้วครับ เว้นหลังคากับประตูสองสามบาน นอกนั้นทำสีมาหมดแล้วครับ เพี้ยนทั้งคันแบบนี้แหละครับ เบี้ยประกันชั้นหนึ่งมันถึงเพิ่มขึ้นทุกปีๆ
ประกันคำนวณแล้วกำไรเริ่มลด เพราะมีคนศรีธนญชัยมากเกินไป
เคลมในสิ่งที่ไม่ควรเคลม ให้อู่สีเอาไปขีดข่วน (ทำรอยรอบคัน) แล้วแจ้งเคลมทำสีใหม่
เทคนิคอู่สีทำแบบนี้กันเยอะ ใช่ แต่จะเห็นเลยว่าประกันดีๆ เขาจะไม่รับบางอู่ที่มีลูกเล่นแบบนี้เลย
ขออภัยที่ต้องว่าครับ แต่ผมเองใช้ประกันเพื่อซับความเสียหายในสิ่งที่เป็นอุบัติเหตุ
การที่รถอยู่ดีๆ ไม่มีเหตุ หาเหตุให้มันเกิด มากๆ เข้า เราก็เหมือนทำผิดจนไม่รู้สึกผิดน่ะครับ
ผมขับรถไม่เคยชนใครครับ เลยไม่ได้เคยทำชั้น 1 ชั้น 3 ที่ทำไว้ยังเสียดายตังเลยครับ ไม่เคยใช้เลย
มีแต่คนอื่นมาชน จะเก็บทีละใบให้ครบรอบคันก็คงไม่ได้ครับ
ประกันชั้น 1 ถ้ารถคุณเกิน 5 ปี คุณ สู้เบี้ยประกันไหว หรอ
เผลอๆ ค่าเบี้ยประกัน แพงกว่า ค่าสี ค่าซ่อม ที่คุณจะต้องจ่ายอีก
คิดดูดีๆ
ประกันชั้น 1 (Low Cost) ไปเช็คมา ไม่ถึงหมื่นครับ
-
อื้ม...
ส่วนเรื่อง ป.1 Low Cost ถ้าเคลมแห้ง คุณโดนเคสละ 1 Excess ครับ
อย่างกรุงเทพประกันภัย เอาง่ายๆ เว้ากันซื่อๆ ถ้าคุณเคลมแล้วเค้าประเมินไม่ใช่อุบัติเหตุต่อเนื่องกัน ก็จุดละ 5,000 บาท ตาม Excess คูณจำนวนครั้งที่เกิดเหตุ
ถ้าอยากจะทำจริงๆ ก็ไปคุยกะอู่ครับ ว่าเขารับเจ้าไหนบ้าง และอย่าลืมว่า การทำ ป.1 ใหม่ โดยไม่มีประวัติต่อเนื่องหรือเปลี่ยนประกัน ยังไงคุณก็โดนถ่ายรูปรถอยู่ดี
และข้อมูลสมัยนี้ประกันลิงค์กันหมดครับ จะเห็นว่าทำไมประกันมันโอนส่วนลดได้ นั่นโน่นนี่ได้ การเปลี่ยนเจ้าประกันหลายๆ ครั้ง ไม่ได้เป็นการลบล้างประวัติด้วยครับ
-
ผมละงงกับพวกคำพูดที่ว่า
เคลมรอบคันแล้วเปลี่ยนประกันไปเรื่อยๆ ก็ได้ส่วนลดเพิ่ม ไม่มีประวัติเสีย คือเอาความคิดยุคออนไลน์แบบนี้มาจากไหนกัน
อื้ม...
ส่วนเรื่อง ป.1 Low Cost ถ้าเคลมแห้ง คุณโดนเคสละ 1 Excess ครับ
อย่างกรุงเทพประกันภัย เอาง่ายๆ เว้ากันซื่อๆ ถ้าคุณเคลมแล้วเค้าประเมินไม่ใช่อุบัติเหตุต่อเนื่องกัน ก็จุดละ 5,000 บาท ตาม Excess คูณจำนวนครั้งที่เกิดเหตุ
ถ้าอยากจะทำจริงๆ ก็ไปคุยกะอู่ครับ ว่าเขารับเจ้าไหนบ้าง และอย่าลืมว่า การทำ ป.1 ใหม่ โดยไม่มีประวัติต่อเนื่องหรือเปลี่ยนประกัน ยังไงคุณก็โดนถ่ายรูปรถอยู่ดี
และข้อมูลสมัยนี้ประกันลิงค์กันหมดครับ จะเห็นว่าทำไมประกันมันโอนส่วนลดได้ นั่นโน่นนี่ได้ การเปลี่ยนเจ้าประกันหลายๆ ครั้ง ไม่ได้เป็นการลบล้างประวัติด้วยครับ
-
ผมละงงกับพวกคำพูดที่ว่า
เคลมรอบคันแล้วเปลี่ยนประกันไปเรื่อยๆ ก็ได้ส่วนลดเพิ่ม ไม่มีประวัติเสีย คือเอาความคิดยุคออนไลน์แบบนี้มาจากไหนกัน
ส่วนหนึ่งคือ หลายคนคิดว่าเบี้ยถูกลง ก็จบแล้ว ได้ส่วนลด...
หารู้ไม่ว่า เบี้ยประกัน มันไม่ได้สัมพันธ์แค่กับ Total Loss อย่างเดียว
หลายเจ้าก็หมกมั่วไปหมดให้ดูเหมือนเบี้ยถูก เพราะหลายคนดูแค่ (สมมตินะ: เบี้ยหมื่นห้า ทุนหกแสน โอ้ว คูณสี่สิบ คุ้มแล้วๆ)
แต่ไม่ได้ดูส่วนที่ควรคุ้มครองจริงๆ เช่น ความรับผิดชอบต่อความเสียหายภายนอกรถ (อุบัติเหตุต่อครั้ง)
หรือพูดง่ายๆ ก็คือความรับผิดชอบคู่กรณีและส่วนที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ทุนรถซ่อม 600,000 จริง
แต่บางเจ้าใส่ทุน Coverage ตรงนั้นมาแค่สองล้านห้า... ชนตรูดเบนซ์ไฮบริดก็อาจจะไม่พอแล้ว
ในขณะที่ประกันเจ้าที่ดีๆ ทุนสมเหตุสมผล และประวัติดีจริงๆ คุณจะได้ทั้งเบี้ยไม่แพง ส่วนลดต่อเนื่อง (35-50%)
รวมทั้ง Coverage พวกนั้นในอัตราที่สูง (5-10 ล้าน หรือมากกว่า) ไปจนถึงทุนประกันตัวผู้ขับขี่ และค่ารักษาพยาบาลผู้โดยสารในรถแบบครบๆ
วิธีขายประกันของหลายเจ้า มันมีวิธีให้ผู้บริโภคดูแล้วเหมือนได้ส่วนลด ถูกลงจริงอะไรจริง แต่ถ้าทุนพวกส่วนควบทั้งหลายมันลดมาแล้ว
อนาคตการดึงทุนประกันหรืออื่นๆ เงื่อนไขอื่น นอกจากเบี้ยที่ถูกลงทีละนิดๆ แล้ว ความคุ้มครองอื่นๆ ก็ลดตามไปอีกและโอกาสจะขึ้นกลับมาเท่าเดิมยาก
พอมีผู้บริโภคที่คิดว่า ทำๆ ไป เดี๋ยวเคลมเดี๋ยวเปลี่ยนเจ้า ฯลฯ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นพวกผ่อนรถราคาถูกนี่แหละ (ผมไม่ได้เจาะจงนะ รถผมก็ราคาถูก)
พอมีเงื่อนไขทรงๆ นี้ การเคลมแห้งเยอะๆ อะไรที่ทำให้สถิติการเคลมมันพุ่ง รถของท่านก็จะเป็นกลุ่มเสี่ยงและเบี้ยแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ
ลองๆ ดูครับ พวกอีโคคาร์/B/C-Seg ยี่ห้อไหน แต่งซิ่งเยอะๆ เบี้ยต่อทุนจะแพงกว่ายี่ห้ออื่นแบบชัดเจนมาก
ในขณะที่พวก D-Seg/C-SUV โดยเฉพาะที่ไม่ถึงกับเจ้าตลาด ที่ีมีแนวโน้มคนขับจะอายุมากกว่า มีสติในการใช้รถ
หวงห่วงสภาพรถ กลายเป็นเบี้ยถูกเมื่อเทียบกับทุนประกัน แถมทุนประกันต่อปีลดแค่ 10% ยาวๆ ไปเลยก็ยังมี
นักคณิตศาสตร์ประกันภัยน้อยคนที่จะไม่ฉลาดครับ และเค้าเข้าใจปัจจัยทุกอย่างพวกนี้หมด
ค่าตัวเขาถึงแพง เพราะคำนวณแล้วแบบไหนคุ้ม แบบไหนเสี่ยงก็ต้องขึ้นเบี้ย ฯลฯ มันมีหลักการของมัน
จริงๆ การซื้อประกันภัยมันก็คือการซื้อความเสี่ยงแบบกลุ่มนั่นแหละ เอาไปเจียดจ่ายให้คนที่ประสบอุบัติเหตุ ก็เท่านั้นเอง
ถ้าขับรถมารยาทดีกันทั้งประเทศ ใช้ลดความเสี่ยงในการรับผิดชอบความเสียหายวงเงินสูงกันจริงๆ เบี้ยจะถูกกว่านี้ได้อีกมาก